LOGIN“เจ็บมากหรือไม่”
“อะไรหรือเพคะ”
“ก็หัวของพวกเจ้าอย่างไรเล่าต่อไปอย่าได้ทำเช่นนั้นอีกนะเข้าใจหรือไม่”
“หากว่าไม่ทำเช่นนั้นองค์หญิงก็คงไม่ยอมเลิกง่ายๆ เป็นแน่”
“ข้าก็บอกพวกเจ้าไปแล้วว่าข้ามีวิธีจัดการกับนางแต่ก็ช่างเถอะ นั่งลงได้แล้ว”
เมื่อเห็นว่ามีโขดหินอยู่ตรงหน้านางก็รีบสั่งให้ทั้งสองนั่งลงทันทีก่อนจะล้วงเอาอุปกรณ์ทำแผลออกมา เด็กสาวทั้งสองจ้องมองตาไม่กระพริบ
“นะ นั่นอะไรหรือเพคะ”
“มันคือที่ทำแผล”
“ที่ทำแผล”
“อย่าถามมากน่ายื่นหน้ามาให้ข้า”
“เพคะ/เพคะ”
ทั้งคู่ยอมทำตามที่นางสั่งแต่โดยดี หลิวหรงผิงเริ่มต้นทำความสะอาดบาดแผลโดยใช้น้ำเกลือเทใส่ผ้าสะอาดเช็ดบาดแผลและบริเวณโดยรอบ แม้ในใจจะมีคำถามมากเพียงใดแต่เมื่อดวงตาสบเข้ากับสีหน้าจริงจังของหลิวหรงผิง เด็กสาวทั้งสองก็จำต้องปิดปากเงียบไว้
หลิวหรงผิงเมื่อทำความสะอาดบาดแผลเสร็จสิ้นนางก็ลงมือเปิดขวดยาสำหรับฆ่าเชื้อ นางเทน้ำยาลงใส่ในผ้าสีขาวสีที่เหมือนเลือดทำเอาทั้งสองตื่นตะลึงจนเผลอร้องตะโกนออกมา
“พระชายาท่านมีบาดแผลตรงไหนหรือเพคะ”
“บาดแผลอะไรของพวกเจ้า”
“ก็นั่นๆ เลือดไม่ใช่หรือเพคะ”
“หืม"
นางมองไปตามมือที่ชี้มาก็อดยิ้มขบขันให้เด็กสาวทั้งสองไม่ได้
“ไม่ใช่เลือดแต่มันคือยาที่ใช้ทาบาดแผลป้องกันการติดเชื้อและช่วยให้แผลของพวกเจ้าหายเร็วขึ้นอย่างไรเล่า”
“ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลย”
“ไม่เชื่อข้ากระนั้นหรือ”
พูดจบนางก็หัวเราะเบาๆ ให้กับความไร้เดียงสาของพวกนาง
‘ยังดีที่ทะลุมิติมาแล้วมีพวกนางเป็นเพื่อนมิเช่นนั้นข้าคงเหงาแย่เลย ไม่คิดว่าภารกิจแรกก็ต้องมาช่วยเหลือคนของตัวเองก่อนใครเสียอย่างนั้นทำเหมือนรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นล่ะ’
[แน่นอนเพราะว่าข้าคือระบบวิเศษอย่างไรเล่า]
“ตาเถร!”
“อะไรหรือเพคะ”
“มะ ไม่มีอะไร”
‘เจ้าจะมาเหตุใดไม่ให้ซุ่มให้เสียงกันเล่า’
[ก็ข้าเป็นระบบวิเศษเลื่อนลอยอยู่ใกล้ตัวเจ้า ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไปลืมแล้วหรือ”
‘ไม่ได้ลืมแต่ข้าแค่คิดไม่ถึงต่างหากเล่า’
[ก็คือลืม ภารกิจต่อไป….]
‘ข้าไม่ทำ! เพิ่งทะลุมิติมาไม่นานก็ควรให้ข้าได้ทำใจบ้างสิ’
นางบ่นโอดครวญในใจจนเผลอลงน้ำหนักมือมากขึ้นทำเอาเสี่ยวเถาอดร้องออกมาไม่ได้
“ขะ ขอโทษทีข้าลืมตัวไปหน่อย”
“พระชายายังไม่เสร็จอีกหรือเพคะ”
“ใกล้แล้วๆ”
[เจ้าไม่ทำแน่หรือ รางวัลในครั้งนี้คือหนึ่งพันตำลึงทองเลยนะ]
‘จริงหรือ!’
“พระชายาข้าว่าน่าจะพอได้แล้วกระมังเพคะ”
หลิวหรงผิงที่กำลังตื่นตะลึงกับรางวัลที่ยั่วยวนนางอยู่นั้น มือของนางก็ถือผ้าสะอาดแช่ค้างไว้ที่บาดแผลของเสี่ยวเถาจนนางอดปวดแสบปวดร้อนไม่ได้
‘นี่พระชายาทำแผลให้นางหรือเพิ่มบาดแผลให้กันแน่นะ’
“ขอโทษทีเอาล่ะเสร็จแล้ว”
“เช่นนั้นพวกเรากลับเรือนกันเลยดีหรือไม่เพคะ”
“ก็ได้”
หลิวหรงผิงเองเวลานี้ใจของนางอยู่ที่เงินรางวัลในภารกิจหน้านั้นแล้วจึงยอมเชื่อฟังทั้งสองคนอย่างง่ายดายแต่ในระหว่างทางที่จะเดินกลับเข้าเรือนเฟิ่งอวี้นั้น นางก็มองเห็นซุ้มประตูหนึ่งที่ถูกประดับตกแต่งด้วยดอกไม้นานาพรรณสะกดให้หลิวหรงผิงเดินเข้าไปชมเมื่อเห็นว่าพระชายาของตนเดินออกนอกเส้นทางเสี่ยวเถาและซิ่วอิงก็รีบเดินตามไปรั้งนางเอาไว้ทันที
“พระชายาหากว่าองค์หญิงรู้ว่าท่านไม่กลับเข้าเรือนทั้งจวนคงได้วุ่นวายอย่างแน่นอนนะเพคะ”
“พวกเจ้าเห็นข้าเป็นเด็กหรือถึงต้องคอยฟังคำสั่งของนาง”
“แต่ว่า”
“อย่ากลัวไปเลยน่า ข้าเพียงแค่อยากออกมาสูดอากาศก็เท่านั้นอยู่แค่ในห้องอึดอัดจะตายอยู่แล้ว”
นางพูดขึ้นก่อนที่สายตาจะสอดส่ายมองไปจนทั่วจวน
‘จวนแห่งนี้น่าอยู่ไม่น้อยเลยจริงๆ เหตุใดถึงได้เอาแต่กักขังนางเอาไว้ที่เรือนท้ายจวนเช่นนั้นกันนะ’
นางเดินไปไม่ไกลก็เข้าสู่อาณาบริเวณของเรือนใหญ่ ซิ่วอิงที่เห็นว่าผู้เป็นนายเอาแต่เดินไม่ยอมหยุดนางจึงรีบเข้าไปดึงแขนของหลิวหรงผิงเอาไว้แน่นจนหลิวหรงผิงถึงกับหันกลับมามองเด็กสาวก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างนึกสงสัย
“อะไร”
“พระชายากลับเรือนกันเถอะเพคะ”
“ขอเดินต่ออีกหน่อยน่า”
“เช่นนั้นก็ไปทางอื่นกันเถอะนะเพคะ”
“ทำไมกันเล่า”
นางไม่สนใจในท่าทีของสาวใช้คนสนิทตั้งหน้าตั้งตาจะเดินต่อแต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของบรรดาบ่าวรับใช้ที่กำลังเดินตามใครบางคนเข้าไปในเรือนใหญ่ตรงหน้านั้น คนที่เดินนำหัวกลุ่มรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาไม่น้อยแม้จะมีหน้ากากปกปิดไปครึ่งหน้าก็ตาม
‘ใครกัน หล่อจัง’
หลิวหรงผิงยืนแอบอยู่ตรงพุ่มไม้ที่ถูกปลูกเอาไว้ตรงประตูเล็กของเรือนใหญ่กับสวนดอกไม้ที่นางกำลังยืนอยู่ นางจ้องมองบุรุษในชุดคลุมสีเขียวหยกที่เพิ่งจะเดินผ่านประตูจวนเข้ามาไม่นานและดูเหมือนว่าชายผู้นั้นเองก็ไม่ทันได้สังเกตเห็นนางเช่นกัน
“พระชายากลับกันเถอะเพคะหากท่านอ๋องพบเข้าท่านจะแย่เอาได้”
“ท่านอ๋องงั้นหรือเจ้าอย่าบอกนะว่าคนผู้นั้นคือ”
“ก็จวิ้นอ๋องอย่างไรเล่าเพคะ”
“อะไรนะ!”
“ชู่ว์! ท่านอย่าเสียงดังไปอย่าบอกนะเพคะว่าแม้แต่หน้าตาของท่านอ๋องท่านก็ลืมสิ้นไปหมดแล้ว”
“ไม่ได้ลืมเสียหน่อย”
‘แต่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยต่างหากเล่าหล่อเหลาไม่น้อยเลยนะเนี่ยแต่เหตุใดถึงได้ใจร้ายกับชายาของตนนักล่ะ’
“แล้วเหตุใดต้องใส่หน้ากากด้วยล่ะ”
“พระชายาลืมที่บ่าวบอกไปแล้วจริงๆ แน่เลย”
“หืม เรื่องอะไร”
“ใบหน้าครึ่งซีกของท่านอ๋องถูกพิษไม่รู้ที่ไปที่มาเช่นกันเพคะว่าเขาได้รับพิษมาได้อย่างไร นี่คงเป็นเหตุผลที่ท่านอ๋องไม่อาจเข้าร่วมคัดเลือกเป็นรัชทายาทได้ถึงมีโอกาสอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ต่ออย่างไรเล่าเพคะ”
“เพราะเหตุใด”
“ร่างกายมีพิษสะสมเช่นนั้นไม่อาจเสี่ยงให้เป็นองค์รัชทายาทได้นี่เป็นกฎระเบียบของราชวงศ์เพคะ และท่านคงไม่ลืมไปอีกอย่างหรอกนะเพคะว่าท่านอ๋องน่ะเป็น…”
“ทำไม? เป็นอะไรอีก”
หลิวหรงผิงรู้สึกหวาดระแวงอยู่ไม่น้อย ทะลุมิติมาก็เพิ่งจะรู้ว่าตนเองนั้นมีสามีแล้วไหนจะเรื่องลึกลับบางอย่างที่นางยังไม่รู้อีก
“คือว่า”
“อ้ำอึ้งอะไรเล่าพูดออกมาเสียทีสิ”
“ท่านอ๋องมีฉายาว่าเป็นองค์ชายปีศาจที่ไม่ว่าผู้ใดได้พบเห็นหรือเกี่ยวข้องย่อมมีจุดจบที่ไม่ได้ตายดี ไม่ก็ว่ากลายเป็นคนบ้าสติฟั่นเฟือนไปเลยก็มีเพคะ”
“เหมือนข้าน่ะหรือ”
“มะ ไม่ใช่หรอกกระมังเพคะ”
“จะไม่ใช่ได้อย่างไร” ก็เจ้าของร่างนี้เป็นบ้าเพราะเขาไม่ใช่หรือ
“กลับกันเถอะเพคะ หากท่านอ๋องรู้ว่าพระชายาย่างกรายมาเหยียบที่เรือนใหญ่อาจจะถูกโบยอีกเป็นแน่ไหนจะเรื่องเมื่อครู่ที่ท่านก่อเรื่องเอาไว้อีก”
“ก็ได้ ไปกลับเรือนกัน”
หลิวหรงผิงมองแผ่นหลังกว้างที่เดินพ้นประตูเรือนไปแล้วด้วยความรู้สึกหลากหลาย
‘ชอบแม่นางผู้นั้นแล้วมาแต่งกับข้าทำไมกันเล่า’
นางมองตามคนพวกนั้นอยู่ครู่เดียวก่อนจะยอมเดินกลับไปที่เรือนของตนท่ามกลางสายตาของคนสองคนที่กำลังจ้องมองนางอยู่อย่างที่เจ้าตัวนั้นไม่รู้ตัวเลยสักเพียงนิด
“ท่านอ๋องให้ข้าน้อยจัดการอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ พระชายาแอบออกมาที่เรือนใหญ่อีกแล้วไหนจะเรื่องที่องค์หญิงเพ่ยเพ่ยมาฟ้องท่านอีก”
จวิ้นอ๋องถอนหายใจเฮือกใหญ่เขาเองก็ไม่ได้อยากอยู่ใกล้สตรีบ้าผู้นั้นเช่นกันแต่เพราะฮ่องเต้เป็นคนพระราชทานสมรสให้ เขาจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้และบิดาของนางก็เป็นประโยชน์ต่อราชสำนักฮ่องเต้จึงจำต้องผูกสัมพันธ์เอาไว้เพื่อใช้งานนั่นเอง
แต่ใครไหนเลยจะรู้ว่าแท้จริงแล้วมีบางอย่างเกี่ยวกับตัวของนางที่มีประโยชน์กับเขา บางอย่างที่นางต้องชดใช้ให้เขาจนกว่าเขาจะพอใจนั่นเอง
“ท่านอ๋อง”
“ไม่ต้อง ปล่อยนางไปแต่หากว่านางคิดจะก่อเรื่องขึ้นอีกไว้ข้าค่อยจัดการนางทีหลัง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เป็นเวลายามจื่อ[1] ของกลางดึกคืนนั้นหลิวหรงผิงที่นอนกระสับกระส่ายเพราะความไม่เคยชินกับสถานที่ที่ไม่ใช่บ้านของตนเอง ท้ายที่สุดความเหนื่อยล้าของวันก็ดึงดูดนางเข้าสู่ห้วงนิทราในที่สุด
ในห้วงแห่งนิทราปรากฎให้เห็นเป็นหมอกควันจางๆ ที่ลอยปะทะกับผิวหน้าบอบบางของนาง หลิวหรงผิงพยายามเบิกตาจ้องมองภาพตรงหน้าที่ลางเรือนนั้น
แสงสลัวสาดส่องเข้ามาปรากฎให้เห็นเป็นห้องหอที่คล้ายคลึงกับห้องที่นางอาศัยอยู่ห้องทั้งห้องถูกประดับประดาด้วยผ้าสีแดงสดสลับทองอร่าม
ผ้าม่านที่ปลิวไสวไปมาด้วยแรงลมยิ่งทำให้นางอดที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสไม่ได้ นางหันมองไปรอบๆ ห้องที่ถูกประดับตกแต่งอย่างงดงามแต่ภายในห้องกลับเงียบงันนั้นก็พบเพียงหญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ในชุดมงคลสีแดงปักลายงดงามทั้งตัว นางนั่งอยู่เพียงลำพังไร้แววบ่าวรับใช้
ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าใดแล้วเพราะห้องทั้งห้องถูกปิดประตูลงกลอนทั้งหน้าต่างและประตูทุกบานอย่างแน่นหนา
“ทะ ทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่กันล่ะเนี่ย”
ห้องหอที่อ้างว้างเงียบงันเวลานี้มีเพียงแสงเทียนไหวเอนไปมาสะท้อนให้เห็นเงาของคนผู้หนึ่งสาดฉายจนเต็มทั่วทั้งผนังห้อง หลิวหรงผิงจ้องมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ขอบเตียงนั้นเพียงลำพังรับรู้ได้ว่าเวลานี้คนตรงหน้าอาจจะเป็นเจ้าของร่างที่นางเข้ามาอาศัยอยู่ก็เป็นได้
“เหตุใดถึงได้ปล่อยให้เจ้าอยู่คนเดียวกันล่ะ เสี่ยวเถากับซิ่วอิงไปไหน”
ใบหน้าของหญิงสาวในเวลานี้เต็มไปด้วยความกังวลใจอย่างยิ่ง วันนี้น่าจะเป็นงานแต่งงานของนางสินะยังไม่ถึงฤกษ์ส่งตัวเจ้าบ่าวอีกงั้นหรือถึงได้ปล่อยให้นางอยู่คนเดียวเช่นนี้
นางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจผลักประตูออกไปด้านนอกแต่เมื่อมือของนางสัมผัสไปยังบานประตูนั้นปรากฏว่าตัวของหญิงสาวทะลุออกไปข้างนอกอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเลยสักนิด
“ขะ ข้าเป็นคนหรือผีกันล่ะเนี่ย!”
- - - - - - - - - -
[1] ยามจื่อ = 23.00-01.00 น.
เมืองหลวงแคว้นต้าหยวน-กรมการพระนคร-จวิ้นอ๋องเดินออกมาจากกรมการพระนครด้วยสีหน้าที่ดูเบื่อหน่ายยิ่งนัก หลายปีมานี้เขาต้องเรียนรู้งานในฐานะองค์รัชทายาทที่ถูกฮ่องเต้ยัดเยียดตำแหน่งนี้ให้โดยที่เขาไม่เต็มใจรับเลยสักเพียงนิดชายหนุ่มหมายมั่นจะออกท่องยุทธภพเพื่อตามหาชายาเพียงคนเดียวของเขาที่หายตัวไปเมื่อหลายปีก่อน แต่เพราะหน้าที่ในตอนนี้จึงทำได้เพียงแค่ส่งองค์รักษ์และเหล่าทหารออกติดตามหานางแทนเขาเท่านั้นน้องชายร่วมสายเลือดที่หายตัวไปตั้งแต่เล็กๆ แม้จะตามหาพบแล้วแต่กลับมีชะตากรรมเดียวกันกับเขาเสียอย่างนั้น“นั่นเจ้าจะไปไหน ต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่ออีกนะ”“ใยข้าต้องไปด้วย”“เจ้าเป็นเจ้ากรมไหนเลยจะละทิ้งหน้าที่กลับไปรายงานผลงานกับพระองค์เดี๋ยวนี้เลยจะมาทิ้งให้ข้ารับผิดชอบแทนเจ้าไม่ได้”“เฮ้อ…ไว้ค่อยรายงานก็ยังได้ นี่พี่สี่พวกเราทำอะไรกันอยู่อย่างนั้นหรือ”“ถามมาได้ว่าทำอะไรไหนเจ้าบอกว่าใกล้ได้ตัวคนร้ายที่เป็นคนลอบทำร้ายเสด็จแม่แล้วอย่างไรเล่า”“ก็ยังไม่รู้ว่านางอยู่ไหน” เยี่ยอ๋องพูดขึ้นพลางเสยผมของเขาด้วยท่วงท่าที่ดูเหนื่อยหน่ายยิ่งนัก จวิ้นอ๋องรู้ดีว่าเวลานี้เขาไม่น่าจะมีกระจิตกระใจในการทำงานอย
“อาเฟยอยู่หรือไม่”เสียงเรียกของหลิวหรงผิงดังแว่วออกมาจากด้านในบ้าน อาเฟยที่กำลังกระโดดโลดเต้นเล่นอยู่หน้าบ้านกับเพื่อนๆ อยู่นั้นก็รีบวิ่งเข้ามาด้านในด้วยความรวดเร็ว“มีอะไรหรือขอรับท่านแม่”“เห็นท่านป้าของเจ้าหรือไม่”“เมื่อครู่ข้าเห็นท่านป้าเดินไปที่สวนไผ่หลังบ้านคงจะไปเดินเล่นกระมังขอรับ”“อย่างนั้นหรือ อาหารเย็นใกล้เสร็จแล้วเจ้ามาช่วยเสี่ยวเถายกไปวางที่โต๊ะอาหารทีแม่จะไปเก็บผักที่แปลงข้างบ้านเสียหน่อย”“ได้ขอรับ”“ล้างมือด้วยเล่า”“ขอรับท่านแม่”เด็กชายรีบวิ่งไปที่ถังใส่น้ำที่ถูกวางเอาไว้บนโต๊ะทำอาหาร เขาปีนเก้าอี้เล็กแล้วยื่นมือน้อยๆ นั้นลงไปล้างในอ่างน้ำทีละส่วนตามที่ผู้เป็นมารดาเคยสอนเอาไว้ หลิวหรงผิงจ้องมองการกระทำนั้นอย่างนึกเอ็นดูก่อนจะหันหลังเดินไปที่สวนผักข้างบ้านในเวลาต่อมา“พี่เสี่ยวเถา”อาเฟยกระโดดลงจากเก้าอี้เล็กนั้นก่อนจะวิ่งเข้าไปหาเสี่ยวเถาที่กำลังจัดเตรียมอาหารสำหรับอาหารมื้อค่ำนี้ นางหันมามองเด็กชายเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า“มีอะไรหรือเจ้าคะคุณชาย”“พี่เสี่ยวเถาอยู่ตรงนี้ไปก่อนนะข้าจะไปดูท่านป้ามู่เสียหน่อย”“แต่ว่าคุณหนูบอกให้คุณชายอยู่ที่นี่เตรียมอาหารสำหรับตั้งโ
เป็นเวลาร่วมเดือนแล้วที่หลิวหรงผิงได้อยู่ร่วมกับสหายคนสนิททั้งสองช่วยกันรักษาผู้คนทุกๆ ครั้งที่เย่หยุนฟางทำการเปิดโรงเตี๊ยมเพื่อทำการรักษาคนเรื่องการไปโรงเรียนของอาเฟยเพราะมีมู่อิงเถาช่วยพูดอีกแรงจนสุดท้ายหลิวหรงผิงก็ยอมอนุญาตให้เด็กชายไปโรงเรียนเช่นเดียวกันกับเพื่อนๆ ในละแวกบ้านของเขาเด็กชายดีใจเป็นอย่างมากและดูจะตื่นเต้นกับการไปโรงเรียนไม่น้อย ในทุกๆ วันเขาจะตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่จัดการตัวเองจนเสร็จเรียบร้อยนั่งรอคอยผู้เป็นมารดาไปส่งเขาที่โรงเรียน วันนี้ก็เช่นกันในใจกลางเมืองฉางอันผู้คนเดินกันพลุกพล่านแผงขายอาหารผักสดผลไม้สดตั้งเรียงรายเต็มทั้งสองข้างทาง เมื่อยืนอยู่บนโรงเตี๊ยมก็มองเห็นบรรยากาศในเมืองได้อย่างชัดเจนความงดงามของแสงอาทิตย์ยามเช้าที่มีแสงแดดอ่อนๆ รำไรสาดส่องลงมาบนแผงขายผักและผลไม้สดที่เรียงรายเป็นแนวชวนให้นางคิดถึงบ้านเกิด“ก่อนหน้านี้ข้าไม่คิดอยากมีชีวิตอยู่ต่อแต่เมื่อมาพบพวกเจ้าข้าถึงได้รู้สึกว่าชีวิตที่เหลือของข้าก็น่าอยู่ไม่น้อยเลย”“พูดอะไรของเจ้ากัน เจ้ายังมีข้ากับอาเฟยอีกคนนะจะทิ้งพวกข้าเอาไว้ที่นี่เพียงลำพังอย่างนั้นหรือช่างใจร้ายเสียจริง”“ข้าพูดแบบนั้นเสีย
ห้าปีต่อมา-เมืองฉางอัน แดนตะวันออก-สายลมเย็นที่พัดโชยมาหอบเอากลิ่นสมุนไพรจากสวนสมุนไพรข้างบ้านลอยเข้ามาถึงในห้องโถง หลิวหรงผิงที่กำลังคัดเลือกสมุนไพรกับเสี่ยวเถาอยู่นั้นก็เงยหน้าขึ้นจ้องมอง หลิวเฟยหมิง ที่กำลังยืนทำหน้างอให้นางอยู่ยิ่งเขาแสดงสีหน้าบึ้งตึงมากเท่าใดก็ยิ่งเหมือนคนผู้นั้นมากขึ้นทุกที‘บ้าจริง! อุ้มท้องมาตั้งหลายเดือนเลี้ยงมาเองกับมือแต่เหตุใดถึงได้เหมือนคนบ้าผู้นั้นถึงเพียงนี้กันนะ’“ท่านแม่ข้าพูดจริงๆ นะ ข้าอยากไปโรงเรียน”“เอาไว้ให้โตกว่านี้ก่อนดีหรือไม่เจ้าคะคุณชาย” เสี่ยวเถาที่สังเกตเห็นสีหน้าที่เริ่มไม่สบอารมณ์ของผู้เป็นนายสาวก็รีบเอ่ยขึ้นมาทันที“ข้าโตแล้วนะขอรับพี่เสี่ยวเถา อีกอย่างเพื่อนรุ่นเดียวกับข้าก็ไปโรงเรียนกันหมดแล้วด้วย”“ไหนเจ้าบอกว่าที่โรงเรียนมีเด็กเกเรที่คอยแต่จะรังแกเจ้าแล้วเจ้ายังอยากจะไปอยู่อีกหรือ”“โธ่ท่านแม่พวกนั้นรังแกข้าก็จริงแต่ข้าก็ซัดกลับไปทุกทีกลัวอะไรกันเล่าขอรับ” เด็กชายเดินเข้ามากอดแขนผู้เป็นมารดาแน่นซบหน้าลงกับไหล่บางของนางคำตอบของเด็กชายทำเอาหลิวหรงผิงถอนหายใจออกพรืดหนึ่ง“อาเฟยเองก็โตแล้วเจ้าส่งเขาไปโรงเรียนได้แล้วกระมัง อุดอู้อยู่
จวิ้นอ๋องที่กำลังนั่งตรวจหนังสือรายงานการลอบทำลายสะพานที่เมืองลี่หนานรวมไปถึงรายงานการลอบทำร้ายชายาของตนอยู่นั้นได้เงยหน้าขึ้นจ้องมององค์รักษ์คนสนิทของเขาที่เวลานี้เอาแต่เดินไปเดินมาอยู่หน้าประตูห้องตำราท่าทางที่กระวนกระวายใจของเขาทำให้ชายหนุ่มอดที่จะสงสัยไม่ได้“เจ้าเป็นอะไร” เสียงของจวิ้นอ๋องดังมาจนถึงหน้าประตูห้อง หานเฟิงเงยหน้าขึ้นก่อนจะพบเข้ากับสายตาเยือกเย็นที่เต็มไปด้วยความงุนนงงของผู้เป็นนาย “เอ่อ คือว่า”เขาเอาแต่ยืนอ้ำอึ้งและยังคงไม่กล้าเดินเข้าไปในห้องจนตงหยางที่รอคอยรับใช้จวิ้นอ๋องอยู่ข้างกายนั้นถึงกับต้องพูดออกมาอย่างหมดความอดทน“ขาของเจ้าเป็นอะไรจะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานหรือไม่ ท่านอ๋องรอฟังเจ้าอยู่ไม่เห็นหรืออย่างไร”“เห็น”“ก็พูดมาเสียทีสิ”หานเฟิงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องด้วยความเชื่องช้า“คือว่าท่านอ๋อง เมื่อครู่ข้าน้อยไปที่เรือนเฟิ่งอวี้มาได้ยินว่าพระชายาอยากไปสวดมนต์ที่อารามหนิงเซียนพ่ะย่ะค่ะ”“สวดมนต์งั้นหรือ”“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”“แค่สวดมนต์ใยต้องไปไกลถึงเพียงนั้นกัน แล้วกงการอะไรของเจ้าถึงได้ไปที่เรือนนั้นโดยที่ข้าไม่ได้สั่ง”“คือว่าข้าน้
คำพูดของเว่ยอวิ๋นเซียนทำให้รุ่ยอ๋องเริ่มโกรธขึ้นมาแล้ว เขาหันมาจ้องมองหลิวหรงผิงด้วยแววตากราดเกรี้ยว“ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะเป็นคนเช่นนี้ก็ยังนึกว่าท่านจะเป็นคนดีที่คู่ควรกับพี่สี่เสียอีก”“นางก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่ใจแคบและเห็นแก่ตัว” จวิ้นอ๋องพูดขึ้นโดยไม่มองมาที่นางแม้เพียงนิด“พูดเช่นนี้แสดงว่าพวกท่านเชื่อใจนางกระนั้นหรือ” นางหันไปมองจวิ้นอ๋องและน้องสามีก็เห็นเพียงสายตาว่างเปล่าของพวกเขาที่มองส่งมาเท่านั้น“ได้ แล้วแต่ท่านเถอะไม่ว่าอย่างไรข้าก็เป็นคนที่ท่านไม่เคยไว้วางใจมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แม้ว่าข้าจะรักษาท่านหายจริงแต่นั่นก็ไม่อาจชดเชยสิ่งที่สกุลหลิวทำได้ข้าเองก็เพิ่งจะรู้ก็ตอนนี้นี่เอง”“จวิ้นอ๋องท่านจงจำเอาไว้จากนี้เป็นต้นไปไม่ว่าท่านจะพูดหรือทำสิ่งใดก็ล้วนไม่มีผลกับข้าอีกแล้ว ข้าในเวลานี้เป็นเพียงชายาในนามของท่านเท่านั้นอยากจะลงโทษข้ากระนั้นหรือก็สุดแล้วแต่พวกท่านเลย”นางพูดจบก็เบือนหน้าหนีไม่คิดจะทำตัวให้ดูน่าสงสารสักเพียงนิดองค์หญิงเพ่ยเพ่ยหันไปมองพี่ชายของตนก่อนจะหันกลับมามองหลิวหลงผิงอีกครั้ง“ท่านพี่ข้าว่าเรื่องนี้ควรสอบสวนก่อนดีหรือไม่”“องค์หญิงพูดเช่นนี้หมายค







