LOGIN“นะ นี่ข้าเป็นคนหรือผีกันล่ะเนี่ย!”
เมื่อไม่รู้ว่าสิ่งที่เผชิญอยู่ในเวลานี้คือเรื่องจริงหรือความฝันอยู่ๆ นางก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาเสียอย่างนั้น เมื่อหันกลับไปมองสตรีผู้นั้นก็เห็นเพียงหยาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มลงมาทำเอาหญิงสาวรู้สึกเวทนาไม่น้อยตัดสินใจเดินทะลุผ่านบานประตูออกไปข้างนอก
นางหันซ้ายมองขวาไปจนทั่วเรือนที่ดูอ้างว้างเงียบเหงาแห่งนี้น่าแปลกที่ไร้วี่แววของบ่าวรับใช้แม้แต่สัตว์สักตัวก็ไม่มีให้เห็น
“หายไปไหนกันหมดนะ”
หลิวหรงผิงเดินออกจากเรือนเฟิ่งอวี้ไปตามทางเดินมุ่งสู่เรือนใหญ่แสงสว่างจากโคมไฟปรากฎให้เห็นตามทางโดนทีละดวง เมื่อสองเท้าก้าวเข้าสู่บริเวณเรือนใหญ่ก็เริ่มเห็นกลุ่มคนที่กำลังนั่งสนทนากันพร้อมๆ กับร่ำสุราไปด้วย ทว่าเมื่อสอดส่ายสายตาไปจนทั่วกลับไม่พบแม้แต่เงาของจวิ้นอ๋อง
“เจ้าอ๋องบ้านั่นหายไปไหนกันนะกล้าทิ้งนางเอาไว้ลำพังได้อย่างไรกัน แย่เสียจริง!”
นางเดินเข้าไปใกล้ๆ เหล่าสตรีสูงศักดิ์ที่น่าจะถูกเชิญมาร่วมงานมงคลของเจ้าของร่างที่กำลังนั่งอยู่ในห้องหอเพียงลำพังนั้น ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งอยากตบปากสักทีสองที
‘คนอะไรน่าชังเสียจริง’
“ฮ่าๆๆ ป่านนี้หลิวหรงผิงคงน้ำตาตกไปถึงไหนต่อไหนแล้วกระมังใช่หรือไม่เพคะองค์หญิง”
“ฮึ ก็นางอยากดันทุลังแต่งกับท่านพี่ไปทำไมกันเล่า รู้ทั้งรู้ว่าเขามีคนรักอยู่แล้วทั้งยังไปมาหาสู่กันจนเรียกได้ว่าอีกไม่นานพี่หญิงเว่ยก็คงจะได้เป็นชายาเอกของท่านพี่อย่างแน่นอน”
“แต่นางกลับใช้อำนาจของบิดาบีบบังคับให้เสด็จพ่อพระราชทานสมรสให้ช่างน่าไม่อายเสียจริง”
“ใช่เพคะองค์หญิง แต่ว่านี่ก็จวนยามโหย่วแล้วไม่สู้ท่านรีบกลับเข้าวังดีหรือไม่เพคะฮองเฮาก็เสด็จกลับไปนานแล้วด้วย”
“ข้ายังอยากดื่มอยู่เลยนี่นา”
“กลับไปดื่มที่ตำหนักก็ได้นี่เพคะ หากกลับช้าองค์หญิงสิบสามได้หาเรื่องท่านอีกเป็นแน่”
“เฮอะ ก็ได้”
หลิวหรงผิงที่ยืนฟังบทสนทนาของพวกนางได้เพียงแค่ส่ายหัวให้เท่านั้น
‘เจ้าของร่างที่นั่งรอเจ้าบ่าวในห้องหอถูกผู้คนรังเกียจเช่นนี้ก็น่าจะดีแล้วกระมังที่นางสิ้นใจไปไม่ต้องอยู่คอยรบรากับสตรีน่ารังเกียจพวกนี้’
‘ไม่ ไม่สิข้าจะมาดีใจกลับเรื่องพวกนี้ได้อย่างไรกันบ้าไปแล้วแน่ๆ เลย’
หลิวหรงผิงกุมขมับของตัวเองแน่นก่อนจะเงยหน้ามองบรรยากาศโถงรับแขกที่ใช้จัดพิธีแต่งงาน
“ดูสิวันแต่งงานที่มีเพียงครั้งเดียวในชีวิตกลับถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายแค่นี้ไม่ดูถูกกันไปหน่อยหรือ แล้วนี่เจ้าบ่าวตัวดีหายไปไหนกันนะ”
นางเดินลัดเลาะไปยังห้องหับด้านในแว่วได้ยินเสียงครวญครางเบาๆ เมื่อเข้าไปใกล้อีกนิดภาพของคนสองคนที่กำลังนั่งคลอเคลียกันก็ปรากฎแก่สายตาของนาง หลิวหรงผิงรีบปิดปากเอาไว้แน่นกลัวว่าตนจะส่งเสียงออกไปด้วยความตื่นตกใจ
“อะ อ๊า”
“โอวอวิ๋นเอ๋อเจ้าช่างคับแน่นเสียจริง”
“อ๊าา ท่านอ๋องข้าไม่ไหวแล้วเพคะ”
‘ตับ! ตับ! ตับ!’
เสียงเนื้อกระทบเนื้อที่ดังแว่วมาตามสายลมทำเอาหลิวหรงผิงใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันใด ใจของนางยังคงเต้นตึกตักด้วยความไม่คิดว่าจะมาพบกับภาพร่วมรักของใครบางคน
เพราะมั่นใจว่าตนเองนั้นเป็นเพียงวิญญาณที่ไม่มีใครเห็นได้จึงตัดสินใจยื่นหน้าไปดูตามเสียงร้องครวญครางนั้น
ภาพของบุรุษที่คร่อมอยู่บนกายสาวทำเอาเลือดลมในกายของนางร้อนผ่าวไปทั่วร่าง ใบหน้าของหญิงสาวใต้ร่างของชายหนุ่มนั้นแดงระเรื่อจากผลของการเสพกาม
จังหวะการกระแทกของเขาทำเอาหญิงสาวแหงนเงยหน้าขึ้นมาด้วยความสุขสมไม่ต่างจากบุรุษผู้นั้นที่เร่งจังหวะถี่ระรัวจนคนทั้งคู่กระตุกตัวเสร็จสมไปตามๆ กัน
“อ๊าาาา”
เสียงร้องครวญครางสลับเสียงครางกระเส่าดังลั่นออกมาทำเอาหลิวหรงผิงเผลอปิดปากของตนเองเอาไว้แทบไม่ทัน
“นี่พวกเขากล้าทำเรื่องพวกนี้ในจวนของจวิ้นอ๋องไปได้อย่างไรกันนะ หรือว่า…”
ชายหนุ่มโอบอุ้มร่างของหญิงสาวขึ้นมาก่อนจะขยับกายไปพิงเสาเรือนโอบกอดเอวคอดเอาไว้ไม่ยอมปล่อยนั่นถึงทำให้นางรู้ว่าคนที่อยู่ในศาลานั้นไม่ใช่จวิ้นอ๋อง!
“องค์ชายใหญ่ทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะเพคะ”
“ไม่มีใครเห็นหรอกน่าจวิ้นอ๋องเองก็ออกไปล่าตระเวนด้านนอกเมืองอยู่ เขายังไม่กลับมาในเวลานี้หรอกพวกเรายังมีเวลาอีกเยอะ”
“แต่ว่านี่มันจวนของจวิ้นอ๋องหากว่ามีบ่าวในจวนมาเห็น”
“คนของข้าคอยเฝ้าอยู่ไม่มีใครกล้าเข้ามาถึงที่นี่หรอก”
สิ้นคำบอกกล่าวคนทั้งคู่ก็ยิ้มให้แก่กันและดูเหมือนว่าจะเริ่มบทรักร้อนแรงนั้นขึ้นอีกครั้ง หลิวหรงผิงรีบผละออกมาจากตรงนั้นด้วยความรวดเร็ว
“กล้าทำเรื่องอย่างว่าในจวนของคนอื่นไปได้อย่างไรกันนะไม่อายผีสางก็ควรให้เกียจเจ้าของจวนหรือไม่ แล้วนี่จวิ้นอ๋องทิ้งนางเพื่อออกไปลาดตระเวนนอกเมืองในวันแต่งงานของตนเองเนี่ยนะ เขาคิดอะไรอยู่กันแน่”
เมื่อรู้ถึงเหตุผลที่เจ้าบ่าวยังไม่กลับเข้ามาในห้องหอ หลิวหรงผิงก็เดินกลับไปยังเรือนเฟิ่งอวี้อีกครั้ง
ท้องฟ้าเวลานี้มีสีแดงฉานปกคลุมไปจนทั่วพายุฝนที่ตกกระหน่ำลงมาทำให้นางต้องเร่งฝีเท้าเพื่อกลับไปยังเรือนเฟิ่งอวี้ด้วยความรวดเร็ว แต่เมื่อเข้ามาในห้องหอครั้งนี้กลับพบเพียงความว่างเปล่า
“นางหายไปไหนแล้วหรือว่าเสียใจจนวิ่งหนีกลับบ้านเดิมไปแล้วงั้นหรือ”
หลิวหรงผิงที่ยังคงคิดไม่ตกว่าเวลานี้นางเพียงแค่ฝันไปหรือเป็นเพียงความทรงจำของเจ้าของร่างนี้เท่านั้น
ไม่รู้เลยว่านางควรต้องทำอย่างไรต่อไป แต่แล้วอยู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่าเสื้อผ้าที่ตนสวมใส่อยู่ก่อนหน้านี้นั้นจะเปลี่ยนไปเมื่อก้มมองดูถึงกับตื่นตะลึงไปทันที
“นี่ข้าใส่ชุดเจ้าสาวอยู่อย่างนั้นหรือนี่ เป็นไปได้อย่างไรกัน”
หลิวหรงผิงถึงกับงุนงงไปไม่น้อยคิดว่าตัวเองอาจเลอะเลือนก็เป็นได้ นางตบไปที่ใบหน้าของตัวเองอย่างแรงส่งผลให้เกิดความเจ็บแสบขึ้นมาทันที
“โอ๊ย! บ้าจริง ตกลงแล้วนี่มันเรื่องจริงหรือความฝันกันนะ เจ็บจริงเสียด้วย”
เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปนางจึงนั่งลงบนเก้าอี้หยิบถ้วยชาที่ยังคงอุ่นอยู่นั้นขึ้นมาดื่มแต่เพียงไม่นานนางรู้สึกว่าร่างกายของนางนั้นร้อนรุ่มขึ้นมาแปลกๆ
‘เป็นอะไรไปเนี่ย หรือว่าในน้ำชามียาปลุกกำหนัดงั้นหรือเป็นไปได้อย่างไรกัน!’
ความร้อนรุ่มที่กำลังแทรกซึมไปทั่วทั้งร่างหูของนางก็แว่วได้ยินเสียงเปิดประตูห้องพร้อมๆ กับการปรากฏกายของร่างสูงใหญ่ เขาย่างเท้าเข้ามาในห้องหอ
นางมองภาพบุรุษผู้นั้นที่ย่างกรายเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ภาพตรงหน้าที่เห็นนั้นช่างเลือนรางยิ่งนัก แววตามืดมนของบุรุษที่จ้องมองมาทำเอาหญิงสาวใจเต้นตึกตักอยากที่จะถอยหนีแต่แล้วความต้องการบางอย่างก็ถาโถมเข้ามาจนร่างบางควบคุมตนเองไว้ไม่ได้แล้ว
“หากไม่ใช่เพราะฮองเฮา ข้าไม่มีวันแตะต้องเจ้าเป็นอันขาด!”
สิ้นเสียงนั้นร่างสูงก็ผลักนางลงบนเตียงนอนอย่างแรงส่งผลให้หลิวหรงผิงกระเด้งตัวกลับขึ้นมายืนอยู่ข้างเตียงนอนหลังใหญ่หลังนั้น
‘อะ อะไรกันเนี่ย!’
เมื่อหันไปดูคนบนเตียงนั้นเงาร่างทั้งสองที่กำลังเชื่อมเข้าหากันก็ทำเอานางรีบยกมือปิดตาแทบไม่ทัน
‘ควรจะปิดหูด้วยดีหรือไม่นะ โว๊ย! เกิดอะไรขึ้นกับข้ากันล่ะเนี่ย’
เมื่อคิดไม่ตกถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้นางก็รีบสาวเท้าวิ่งออกไปจากห้องทันที ไม่จำเป็นต้องเปิดประตูเองแต่อย่างใดเพราะร่างทั้งร่างทะลุออกมาด้านนอกแล้ว
เมื่อพ้นจากประตูไปไกลพอสมควรนางถึงหันหลังกลับไปดูห้องหอนั้นอีกครั้ง
“น่าเสียดายจัง ไม่นะ! บ้าแล้วหลิวหรงผิงคิดอะไรของเจ้ากันนะ”
นางตบหน้าตนเองเพื่อเรียกสติให้กลับมาอีกครั้ง แม้จะอิจฉาเจ้าของร่างแต่นางก็ไม่อยากร่วมรักกับคนโหดร้ายเช่นนั้น ขณะที่จะเดินจากไปก็ได้ยินเสียงของใครบางคนดังแว่วออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่หน้าเรือนนั้น
“หมอหลวงเตรียมยาเอาไว้แล้วใช่หรือไม่”
“ข้าน้อยเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ”
“มีผลข้างเคียงกับพระชายามากน้อยเพียงใด”
“หากว่านางกินทุกวันย่อมส่งผลให้ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีกแล้วขอรับ”
“นั่นคงไม่จำเป็นท่านอ๋องของข้าไม่อาจร่วมหอกับนางเกินหนึ่งครั้งอย่างแน่นอน และท่านจำเอาไว้อย่าให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปถึงหูของฮองเฮาเป็นอันขาด”
“ข้าน้อยทราบแล้ว”
เสียงของหานเฟิงที่กำลังสนทนากับคนที่น่าจะเป็นหมอหลวงนั้นแว่วมาให้นางได้ยินทุกประโยค
‘หรือนี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเจ้าของร่างก่อนที่นางจะเข้ามาอยู่ในร่างนี้กระนั้นหรือ’
‘แล้วเหตุอันใดถึงทำให้นางรักมั่นต่อบุรุษผู้นั้นเช่นนี้กัน เหตุไฉนถึงได้ยอมปล่อยให้ความลุ่มหลงบังตาและปล่อยให้เขาทำร้ายตนเองเช่นนี้'
'ตั้งครรภ์ไม่ได้อีกแล้วกระนั้นหรือแล้วต่อไปชีวิตนี้ของเจ้าจะเป็นอย่างไร หลิวหรงผิง’
ท่าทีที่เหินห่างของนางก็ยิ่งทำให้เขาปวดใจไม่น้อยอยากที่จะเข้าไปสวมกอดคนตรงหน้าแต่ก็ทำได้เพียงแคยับยั้งใจเอาไว้เท่านั้น“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”“ข้าสบายดี”“ผิงเอ๋ออย่าทำห่างเหินกับข้าเช่นนี้สิ”“ข้ากับท่านในเวลานี้เกี่ยวข้องอันใดกันอย่างนั้นหรือถึงได้ใช้คำว่าห่างเหิน”“เจ้าตั้งครรภ์เหตุใดถึงไม่บอกข้า”“ไม่ใช่ว่าท่านเป็นคนพูดเองหรอกหรือว่าไม่ว่าอย่างไรจะให้สายเลือดของท่านปะปนกับคนสกุลหลิวไม่ได้”“คือว่าข้าไม่ได้….”“จะบอกว่าไม่ได้เป็นคนพูดกระนั้นหรือ ครั้งแรกตอนเข้าหอกับข้าครั้งที่สองตอนอยู่ที่เมืองลี่หนานคิดว่าข้าโง่เขลาถึงกลับจดจำไม่ได้อย่างนั้นหรือ”“อันที่จริงนี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้วท่านกับข้าก็ห่างเหินกับคำว่าสามีภรรยาไปแล้ว และท่านเองก็มาอยู่ที่นี่แล้วดังนั้นหนังสือหย่าของข้าได้แล้วหรือยัง”“เจ้าอยากหย่ากับข้ามากกระนั้นหรือ”“ใช่”หลิวหรงผิงตอบเขาไปโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปมองเขาเลยสักเพียงนิด จวิ้นอ๋องกำมือของตนเอาไว้แน่นก่อนจะชายตามองไปยังสองคนที่เหลือในห้องเย่หยุนฟางที่เห็นแววตาเย็นเยือกของเขาจ้องมองมาก็เข้าไปสะกิดเซี่ยเว่ยหมิงในทันที ก่อนที่ชายหนุ่มที่เอาแต่นั่งฟังบทสนทนาของคนทั้งค
เสียงลากกระบี่ดังขึ้นไปตามทางเดินของจวนนำพาความรู้สึกเย็นยะเยือกรายล้อมไปทั่วทั้งบริเวณนั้น จนบ่าวรับใช้ในจวนไม่มีผู้ใดกล้าโผล่หน้าออกมาดูเลยสักคน ร่างสูงยืนจังก้าจ้องมองเจ้าเมืองฉางอันที่กำลังนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นหน้าเรือนใหญ่“ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้งบอกมาว่านางอยู่ไหน”“ขะ ข้าไม่รู้เรื่อง”“เจ้าเมืองฉางอัน ท่านคงใช้ชีวิตอยู่มานานมากจนไม่เสียดายชีวิตนี้ของท่านแล้วสินะ”เป็นเยี่ยอ๋องที่พูดขึ้นก่อนจะเข้าไปนั่งยองๆ ใกล้เขา เจ้าเมืองฉางอันที่ถูกซ้อมปางตายในเวลานี้แทบจะพูดอะไรออกมาไม่ได้อยู่แล้วเพราะความละโมบของเขานำพามาซึ่งเหตุการณ์เลวร้ายในครั้งนี้ ก่อนหน้านี้เพราะมีสตรีนางหนึ่งมาขอให้เขากระทำการบางอย่างบอกว่าเป็นพระประสงค์ของพระสนมเสียนเฟยหากว่าเขาทำสำเร็จจะได้รางวัลเป็นทองคำหนึ่งล้านตำลึงและได้แต่งงานกับองค์หญิงห้าหรือก็คือองค์หญิงเพ่ยเพ่ยที่ถึงวัยออกเรือนแล้วนั่นเองแม้จะอายุห่างกับเขาราวพ่อลูกแต่เพราะความหลงใหลในรูปโฉมและเงินทองทำให้เขาไม่สนใจถูกผิด ช่วยเหลือนางโดยการลักพาตัวสตรีนางหนึ่งและเด็กชายอีกคนที่เขาไม่คิดจะสืบที่มาที่ไปของคนทั้งคู่ก่อนเลยสักเพียงนิดมาไว้ที่จวนแห่งนี้
ภายในห้องรับรองนั้นเยี่ยอ๋องที่ยืนกอดอกอยู่ข้างหน้าต่างโดยไม่ยอมขยับกายไปไหนอยู่นั้นก็ได้พูดขึ้นมาว่า“นางดูแปลกๆ ท่านแน่ใจนะว่านางจะช่วยพวกเราได้จริงๆ พี่สี่นี่ได้ยินหรือไม่”เยี่ยอ๋องจ้องมองใบหน้าคมคายของผู้เป็นพี่ชายที่เวลานี้ดูเหมือนว่าเขาจะเอาแต่นั่งเหม่อลอยเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่และดูท่าว่าจะไม่ได้ฟังที่เขาพูดเมื่อครู่นี้“พี่สี่….องค์รัชทายาท!”“เบาๆ สิเจ้าอยากคนให้แตกตื่นมากนักหรืออย่างไรกัน”“ข้าเรียกท่านนานแล้วแต่ท่านก็เอาแต่เหม่อลอยเป็นอะไรไปอย่าบอกนะว่าสนใจสตรีผู้นั้นขึ้นมาแล้ว” จวิ้นอ๋องหันไปจ้องมองน้องชายของเขาก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก“ข้าว่านะเยี่ยอ๋องพวกเราไม่ต้องส่งคนออกไปตามหาพวกนางหรอก”“ท่านจ้างวานนางไปแล้วมันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วหรือไม่เล่า”“ไม่ใช่เช่นนั้น ตงหยางเจ้าเข้ามาในนี้ที”“ขอรับใต้เท้า” เสียงของตงหยางดังขึ้นหน้าประตูห้องก่อนที่ร่างสูงจะเดินเข้ามาด้านใน“ส่งคนไปสะกดรอยตามเย่หยุนฟางเอาไว้หากมีความคืบหน้าอะไรให้รีบมารายงานข้า”“ขอรับ” เขารับคำสั่งก่อนจะเร่งฝีเท้าออกไปจากห้องรับรองตามมาด้วยเหวินหงที่ถูกเยี่ยอ๋องสั่งการให้ตามเขาไป
-โรงเตี๊ยมเหมยหลัน เมืองฉางอัน-“ข้าก็บอกไปแล้วว่าให้พวกเจ้าพักผ่อนก่อนไม่ต้องรีบมาอย่างไรเล่า”“ข้าไม่เป็นไรแล้วจริงๆ ข้าทำได้”เมื่อมู่อิงเถายังคงยืนยันหนักแน่นหลิวหรงผิงก็หันไปมองเย่หยุนฟางด้วยความจนใจ“เจ้าบอกว่ามีเรื่องจะพูดกับพวกข้าเรื่องอะไรงั้นหรือ”“พักนี้มีคนแปลกหน้าเข้ามาในเมืองมากมายนัก”“ไหนเจ้าบอกว่าตรวจสอบดีแล้วอย่างไรเล่า”“ก็ตรวจสอบไปแล้วไม่พบพิรุธอันใดถึงได้มายืนสนทนากับพวกเจ้าได้อย่างไรเล่า”เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่ทั้งหมดจะหันไปมองตามมาด้วยร่างอ้วนท้วนของฉางไห่ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมโผล่หน้าเข้ามาในห้องรับรองก่อนจะสังเกตเห็นว่าเย่หยุนฟางก็อยู่ในห้องนี้เช่นกัน“นายหญิงท่านก็อยู่ด้วยหรือขอรับ”“วิ่งหน้าตาตื่นมาเช่นนี้มีเรื่องสำคัญอะไร”เย่หยุนฟางหันไปถามคนของตัวเองก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย“มีคนมาขอพบแม่นางหลิวขอรับ”“ใคร/ใคร”ทั้งหลิวหรงผิงและเย่หยุนฟางต่างก็พูดขึ้นพร้อมกัน ฉางไห่ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้นางก่อนจะบอกว่าคนผู้นั้นรอนางอยู่ด้านล่างแล้วเย่หยุนฟางหันไปมองหลิวหรงผิงแววตามีความกังวลอยู่ไม่น้อย หลิวหรงผิงคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกอ่านสีหน้าที่วิตกกังวลก่อนหน้
เมืองหลวงแคว้นต้าหยวน-กรมการพระนคร-จวิ้นอ๋องเดินออกมาจากกรมการพระนครด้วยสีหน้าที่ดูเบื่อหน่ายยิ่งนัก หลายปีมานี้เขาต้องเรียนรู้งานในฐานะองค์รัชทายาทที่ถูกฮ่องเต้ยัดเยียดตำแหน่งนี้ให้โดยที่เขาไม่เต็มใจรับเลยสักเพียงนิดชายหนุ่มหมายมั่นจะออกท่องยุทธภพเพื่อตามหาชายาเพียงคนเดียวของเขาที่หายตัวไปเมื่อหลายปีก่อน แต่เพราะหน้าที่ในตอนนี้จึงทำได้เพียงแค่ส่งองค์รักษ์และเหล่าทหารออกติดตามหานางแทนเขาเท่านั้นน้องชายร่วมสายเลือดที่หายตัวไปตั้งแต่เล็กๆ แม้จะตามหาพบแล้วแต่กลับมีชะตากรรมเดียวกันกับเขาเสียอย่างนั้น“นั่นเจ้าจะไปไหน ต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่ออีกนะ”“ใยข้าต้องไปด้วย”“เจ้าเป็นเจ้ากรมไหนเลยจะละทิ้งหน้าที่กลับไปรายงานผลงานกับพระองค์เดี๋ยวนี้เลยจะมาทิ้งให้ข้ารับผิดชอบแทนเจ้าไม่ได้”“เฮ้อ…ไว้ค่อยรายงานก็ยังได้ นี่พี่สี่พวกเราทำอะไรกันอยู่อย่างนั้นหรือ”“ถามมาได้ว่าทำอะไรไหนเจ้าบอกว่าใกล้ได้ตัวคนร้ายที่เป็นคนลอบทำร้ายเสด็จแม่แล้วอย่างไรเล่า”“ก็ยังไม่รู้ว่านางอยู่ไหน” เยี่ยอ๋องพูดขึ้นพลางเสยผมของเขาด้วยท่วงท่าที่ดูเหนื่อยหน่ายยิ่งนัก จวิ้นอ๋องรู้ดีว่าเวลานี้เขาไม่น่าจะมีกระจิตกระใจในการทำงานอย
“อาเฟยอยู่หรือไม่”เสียงเรียกของหลิวหรงผิงดังแว่วออกมาจากด้านในบ้าน อาเฟยที่กำลังกระโดดโลดเต้นเล่นอยู่หน้าบ้านกับเพื่อนๆ อยู่นั้นก็รีบวิ่งเข้ามาด้านในด้วยความรวดเร็ว“มีอะไรหรือขอรับท่านแม่”“เห็นท่านป้าของเจ้าหรือไม่”“เมื่อครู่ข้าเห็นท่านป้าเดินไปที่สวนไผ่หลังบ้านคงจะไปเดินเล่นกระมังขอรับ”“อย่างนั้นหรือ อาหารเย็นใกล้เสร็จแล้วเจ้ามาช่วยเสี่ยวเถายกไปวางที่โต๊ะอาหารทีแม่จะไปเก็บผักที่แปลงข้างบ้านเสียหน่อย”“ได้ขอรับ”“ล้างมือด้วยเล่า”“ขอรับท่านแม่”เด็กชายรีบวิ่งไปที่ถังใส่น้ำที่ถูกวางเอาไว้บนโต๊ะทำอาหาร เขาปีนเก้าอี้เล็กแล้วยื่นมือน้อยๆ นั้นลงไปล้างในอ่างน้ำทีละส่วนตามที่ผู้เป็นมารดาเคยสอนเอาไว้ หลิวหรงผิงจ้องมองการกระทำนั้นอย่างนึกเอ็นดูก่อนจะหันหลังเดินไปที่สวนผักข้างบ้านในเวลาต่อมา“พี่เสี่ยวเถา”อาเฟยกระโดดลงจากเก้าอี้เล็กนั้นก่อนจะวิ่งเข้าไปหาเสี่ยวเถาที่กำลังจัดเตรียมอาหารสำหรับอาหารมื้อค่ำนี้ นางหันมามองเด็กชายเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า“มีอะไรหรือเจ้าคะคุณชาย”“พี่เสี่ยวเถาอยู่ตรงนี้ไปก่อนนะข้าจะไปดูท่านป้ามู่เสียหน่อย”“แต่ว่าคุณหนูบอกให้คุณชายอยู่ที่นี่เตรียมอาหารสำหรับตั้งโ







