หลี่ซินเอ๋อร์ถูกฉินเหยี่ยนเย่ว์แผ่รังสีอาฆาตใส่ก็ตกใจกลัวไปในทันทีพลังที่น่าหวาดผวา พร้อมทั้งกลิ่นไอสังหารที่แผ่ซ่านเข้าสู่จิตใจ ทำเอาหลี่ซินเอ๋อร์ถึงกับตัวสั่นเทาจนมิอาจควบคุมตัวเองได้เมื่อเงยหน้าขึ้นมาพบเจอกับ แววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวของฉินเหยี่ยนเย่ว์นั้น ภายในใจของนางยิ่งนึกหวาดกลัวมา
เมื่อพวกเขามีความคิดความอ่านเช่นนี้ ดังนั้นจึงเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจต่อหลี่ซินเอ๋อร์แน่นอนว่า ค่อนข้างดูแคลนฉินเหยี่ยนเย่ว์ที่วางอำนาจไม่ยอมรามือด้วยเช่นกันถึงอย่างไรในวันพระราชสมภพของฮ่องเต้นี้ คำพูดของพระชายาอ๋องเจ็ดนั้นโหดร้ายเกินไปแล้วทว่า สิ่งที่น่าแปลกก็คือ หลังจากฟังที่ฉินเหยี่ยนเย่ว์
หลี่ซินเอ๋อร์ถูกขัดขวางจนรู้สึกไม่พอใจเดิมทีเตรียมคำพูดเอาไว้เสียเต็มท้อง หากแต่กลับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว ทำได้เพียงมองตาปริบ ๆ เท่านั้น“ไยเจ้าไม่พูดเสียเล่า?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พูดต่อ “ตอนที่ข้ากับท่านอ๋องเจ็ดเดินผ่านตรงนี้ แม่นางหลี่บังเอิญตกจากราวกั้นอันนี้พอดี แน่นอนว่า เจ้าคงถูกเข้าสิง หลั
นางอาศัยตอนที่ตงฟางหลีกระโดดลงมาช่วยนางนั้น พยายามกระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของตงฟางหลีตงฟางหลีมีการเตรียมพร้อมไว้นานแล้ว ชั่วพริบตาที่นางกระโจนเข้ามา ก็ได้โยนตัวคนไปข้างหน้าอย่างแรงหญิงสาวคนนั้นคาดไม่ถึงว่าจะเป็นผลลัพธ์เช่นนี้รอตอนที่ได้สติกลับมานั้น ตัวคนก็ได้ร่วงลงบนสะพาน ก่อนจะล้มลงนอนแผ่หรากางแขน
หลังจากหญิงสาวคนนั้นร่วงตกไปแล้ว กลับมิได้ตกลงไปในน้ำทันที หากแต่ใช้มือเกาะเกี่ยวก้อนหินบนสะพานไว้แน่นเพียงแต่ ร่างกายนางเดิมทีก็ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงมากอยู่แล้ว อาจจะตกลงไปได้ทุกเมื่อ“ช่วยด้วย ท่านอ๋องเจ็ด ช่วยด้วย”“หม่อมฉันไม่อยากตาย”“ช่วยด้วย…”ฉินเหยี่ยนเย่ว์ถึงกับเลิกคิ้วมาเร็วขนาดนี้เชียวหรื
หลังจากฮ่องเต้ชูแก้วขึ้น กลุ่มขุนนางทั้งหลายก็ชูแก้วขึ้นตามบรรยากาศจึงพอนับได้ว่าราบรื่นหลังจากฉินเหยี่ยนเย่ว์กินอาหารเข้าไปไม่น้อย ในที่สุดก็อิ่มท้อง อารมณ์จึงดีขึ้นมาก“ข้าไม่มีทางช่วยเหลือผู้ใดเป็นอันขาด“ ตงฟางหลีนิ่งเงียบชั่วอึดใจใหญ่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา ”พวกเขาดูหมิ่นข้าเกินไปแล้ว”