“ข้าเคยคิดที่จะปฏิเสธ แต่หากข้าปฏิเสธเสด็จพ่อต่อหน้าสาธารณชน ตรัสแล้วมิอาจไม่รักษาคำพูดได้ สิ่งที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือการส่งต่อบัลลังก์ให้ผู้อื่น หากคนที่ขึ้นครองบัลลังก์คือพี่รอง ข้าก็ไม่กังวลเลย”“แต่ด้วยสถานการณ์ของพี่รอง โอกาสที่เสด็จพ่อจะเลือกนั้นต่ำมาก ถึงเวลานั้น เสด็จพ่ออาจถูกบีบให้เลื
นางหันมามองเขา “พี่เจ็ด หม่อมฉันเพิ่งสงบอารมณ์ลงแล้วไตร่ตรองดู ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หม่อมฉันถึงรู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างผิดปกติเล่า”“บางทีหม่อมฉันอาจคิดมากเกินไป” นางไม่รู้ว่าควรจะอธิบายความรู้สึกนั้นอย่างไรเริ่มแรกที่รู้ว่าฮ่องเต้จะออกราชโองการรับผิดเพื่อให้เจ้าเก้ากลับคืนสู่ราชวงศ์ และสละราชบ
ฉินเหยี่ยนเย่ว์แตะศีรษะของตัวเองนางน่าจะเข้าใจความรู้สึกของตงฟางหลีได้ในฐานะผู้สังเกตการณ์ ตอนที่ได้ยินข่าวอันน่าตกใจนี้ก็พลันรู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าห้าสายฟาดลงกลางกระหม่อมไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเขาคือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง“เสด็จอาบอกข้าว่า เดิมที่เสด็จพ่ออยากจะแต่งตั้งรัชทายาทในวันตรุษเล็ก” ตงฟางหลีเ
“หลังจากกัดข้าแล้ว เจ้าหายโกรธบ้างหรือไม่?” เขาเอนตัวลงเข้าไปใกล้หูของนาง “ยัยหนู ปกติเจ้ามักจะแยกแยะผิดชอบชั่วดีกระจ่าง แล้วไยเป็นเรื่องของข้าก็แยกแยะไม่ออกแล้วเล่า? ต้องเป็นเพราะห่วงใยข้าแน่นอน ใช่หรือไม่?”“ตงฟางหลี หม่อมฉันจะพูดอีกครั้งนะเพคะ ปล่อยหม่อมฉัน” ฉินเหยี่ยนเย่ว์สูดหายใจเข้าลึก“ไม่ปล่
“ท่านอ๋องเชิญกล่าวมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” ตู้เหิงลุกขึ้นจุดเทียนตงฟางหลีพลันประสานมือขึ้นมา “วันนี้เจ้าได้เข้าเฝ้าพระชายาหรือไม่?”ตู้เหิงที่ใช้มือป้องเปลวไฟที่เพิ่งจุดขึ้นนั้น พลันพยักหน้าลง “เข้าเฝ้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“นางได้เอ่ยอันใดกับเจ้าหรือไม่?” ตงฟางหลีหรี่ตามอง “เช่น เรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้า”ตู้เ
ฉินเหยี่ยนเย่ว์พลันขดตัวอยู่ในมุมมุมหนึ่ง ก่อนจะโบกไม้โบกมือไปมา พร้อมด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยอ่อนว่า “ให้หม่อมฉันได้อยู่เงียบ ๆ คนเดียวเถิดเพคะ”“ยัยหนู...”“ออกไป!” เสียงของฉินเหยี่ยนเย่ว์แตกสลายเล็กน้อยเพราะนางเศร้าเกินไป“เจ้าอย่าเพิ่งโกรธ” เมื่อตงฟางหลีเห็นรอบดวงตาที่แดงก่ำของนางนั้น เขารู้สึกว่า