LOGIN"จะ..เจ้า..!" ".........." เสี่ยวเยาประคองนางกำนัลผู้ไร้เรี่ยวแรง แม้จะลุกขึ้นยืน เพื่อความปลอดภัยของนาง อย่างไรเสียก็ต้องออกจากจวนแห่งนี้อย่างเร็วที่สุด "ฮ่า ฮ่า ฮ่า เยี่ยม! เยี่ยม! ข้าเริ่มสนใจนายทหารผู้นี้แล้วซิ! มาอยู่กับข้าดีไหม? "ไม่เพียงแต่พูด ท่านอ๋องผู้นี้ได้มุ่งตรงมายังเสี่ยวเยา ด้วยท่าทางสง่าสมเป็นเชื้อพระวงศ์ แววตาดุดัน ชวนให้น่าหวาดหวั่นยิ่ง ปลายหางคิ้วมีร่องรอยแผลขนาดเล็ก แต่ไม่อาจซ่อนเร้นความหล่อไว้ได้ ข้างกายยังมีกระบี่คู่ใจ เสี่ยวเยาไม่รอช้ารีบใช้กำปั้นของตน หมายจะทุบตรงศีรษะ ไม่เช่นนั้นพวกนางอาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับไปได้ "อึก!!" นางทำได้เพียงยืนใจดีสู้เสือ แม้จะกลืนน้ำลายลงคอนับครั้งไม่ถ้วน "เจ้าเป็นผู้หญิงซินะ..."เสียงกระซิบเพียงแผ่วเบา ทำให้ดวงตาคู่สวยเบิกโต สบตาเขาด้วยความบังเอิญ ซึ่งเผยยิ้มอย่างมีเลขนัย 'ไม่คิดว่าเขาจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของเราได้ ช่างเจ้าเล่ห์ อันตรายกว่าเจิ้งเจี๋ยเสียอีก ทำอย่างไรดี?' ทำได้เพียงแค่คิดในใจ ไม่อาจเอ่ยคำพูดใดออกมาในช่วงเวลานี้ "........" "ท่านเหยียดหยามข้าเช่นนี้ ไม่สมกับเป็นบุรุษ" เสี่ยวเยาพยายามพูดบ่ายเบี่ยง เพื่อกลบเกลื่อนอาการร้อนรนของตนเอง "อย่างนั้นเหรอ... เจ้ามาเป็นชายาของข้าจะดีไหม? เพราะข้าจะอุ่นเตียงกับเจ้า หึหึ"เผยยิ้มเจ้าเล่ห์ให้นาง ไม่รู้ด้วยเหตุใดเขาถึงถูกชะตากับนางผู้นี้ "ท่าน!!" เขาเพ่งมองร่างบางอรชร ถึงแม้จะปกปิดด้วยชุดเกาะทหารที่แน่นหนาเพียงใด แต่ก็มิอาจปกปิดสายตาที่เฉียบคมของเขาได้ เพียงแค่โอบกอดร่างบางนั้นไว้ใสอ้อมแขนแกร่งของตน สัมผัสนั้นรับรู้ได้ทันทีว่า ทหารผู้นี้ เป็นสตรี หาใช่บุรุษอย่างที่เห็น "ปล่อยข้านะ ปล่อยซิ! " เสี่ยวเยาพยายามดิ้นรนแต่ไร้ประโยชน์ เพราะเขาก็มีพละกำลังที่แข็งแกร่งกว่าตนนัก "หญิงใดก็ตามที่ตกอยู่ในอ้อมแขนของข้าแล้ว ยากนักที่ข้าจะปล่อยผ่านไปได้!" ท่านอ๋องเผยยิ้มตรงมุมปากอย่างผู้ชนะ ก่อนจะใช้มือดึงเชือกที่ม้วนผมนั้นออกเสีย "ข้าคืออ๋องจี๋ชง" น้ำเสียงยังคงกระซิบเบาๆ ตรงใบหูเรียวของนาง ไม่ได้น่ะ!! เสี่ยวเยาพยายามสลัดตนเองมา ความลับจะเปิดเผยตอนนี้ไม่ได้ 'ใครก็ได้โปรดช่วยฉันด้วยเถิด' นางทำได้เพียงภาวนาให้ใครสักคนเข้ามาช่วยตนออกไปจากคนที่น่ารังเกียจเสียที "ปล่อย คนของข้าเดี๋ยวนี้!!"น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ร่างใครผู้หนึ่งปรากฏขึ้น "เจิ้งเจี๋ย!" แววตาสวยเปล่งประกายพร้อมเผยยิ้มกว้างออกมาอย่างปลื้มใจ สร้างความไม่พอใจให้อ๋องจี๋ชงยิ่งนัก 'หนีเสือปะจระเข้ชัดๆ รีบเผ่นก่อนดีกว่า!' เธอครุ่นคิด และมโนภาพตัวเองกลับจวนไปคงต้องโดนเจิ้งเจี๋ยลงโทษต่างๆ นานา นั่นเพราะตนได้ขุดโพรงใต้ดิน เพื่อลอดข้ามกำแพงจวนออกมา เป็นโพรงสุนัขลอดขนาดใหญ่ ที่จริงสุนัขทั้งฝูงยังลอดข้ามผ่านไปได้อย่างสบาย แถมยังจารึกข้อความไว้อีกว่า 'เจิ้งเจี๋ยจอมโหด โชคดี ข้าไปก่อนล่ะ' 'ตายแน่ๆ เสี่ยวเยาเอ๋ย~~อายุสั้นจริงๆ เฮ่อ!' การต่อสู้ด้วยกระบวนท่าร่ายรำของกระบี่มิอาจแทบเคียงกันได้ แม้แต่น้อยนิด เจิ้งเจี๋ยตวัดกระบี่ดำทมิฬของตนเพียงแผ่วปลาย เพื่อจะสั่งสอนท่านอ๋องผู้ทะนงตนเท่านั้น เขาไม่ได้เกรงกลัวกระบี่พิฆาตของอ๋องจี๋ชงแม้แต่น้อย สมเป็นท่านแม่ทัพผู้ผ่านศึกสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน มีหรือจะยอมอ่อนข้อให้กับอ๋องจี๋ชง แม้อายุจะน้อยกว่าตนก็ตาม ทว่าแววตาที่เฉียบคมดั่งอินทรีย์ของจี๋ชงเพ่งมองหาจุดอ่อนของเขาเช่นกัน "สู้เขาเจิ้งเจี๋ย อย่างนั้น! สุดยอด...." เสียงเชียร์ของเสี่ยวเยาทำให้เหล่าทหารรวมนางกำนัลต่างจ้องมองนางอย่างกับตัวประหลาด "เจ้าช่างไร้มารยาท คำพูดคำจาก็แปลกเหลือเกิน" นางกำนัลผู้น้อยเอ่ยขึ้นด้วยแววตาสงสัย ก่อนจะกะพริบตาปริบๆ ข้างหนึ่ง "เอ๊ะ!!" "สู้ๆ อย่างนี้ใช่ไหม สู้ๆ ฮ่าฮ่า" นางหัวเราะดังสนั่นไปทั่ว ด้วยความชอบใจกับสิ่งแปลกใหม่มิเคยพบเจอมาก่อน จนลืมสิ้นถึงความเจ็บปวดทั้งกายใจที่ตนได้รับ รอยยิ้มที่สดใสภายใต้ใบหน้าที่พบช้ำ เสี่ยวเยาทำได้เพียงถอนหายใจ ด้วยความสงสารนาง "ต้องอย่างนี้ถึงจะเด็ด" นางกระโดดขึ้นที่สูง "แม่ทัพเจิ้งเจี๋ย สู้ๆ "เสียงของนาง ทำให้เจิ้งเจี๋ยหันมามองด้วยความเอื่อมระอา ในท่าทางที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน จนพลาดท่าโดนกระบี่ของจี๋ชงเฉือนเข้าที่แขนข้างหนึ่งจนได้ เสี่ยวเยาเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง ไม่เพียงแต่เขาไม่สนใจแผลนั้น แต่ยังแสร้งทำสีหน้าเรียบเฉยไร้ซึ่งความเจ็บปวด "บังอาจ!!" น้ำเสียงทุ้มดูทรงพลังดังขึ้นจากด้านหลังของบุรุษ ทั้งสอง ทุกคนต่างก้มลงต่ำด้วยความเคารพ ศึกครั้งนี้จบลงโดยไม่อาจรู้แพ้ชนะได้ดั่งเช่นทุกครั้ง "ถวายพระพรฝ่าบาท" จี๋ชงรีบเก็บของตน นั่นเพราะเกรงกลัวในอำนาจและบารมีของผู้เป็นพ่อ เจิ้งเจี๋ย จี๋ชง และเหล่าทหาร องครักษ์รวมทั้งนางกำนัลทั้งหลายต่างแสดงความเคารพ "ในวังของข้า พวกเจ้ายังกล้าด่วนกระบี่กัน ทำไมเจ้าทั้งสองช่างกล้านัก ต่อหน้าข้าทาสบริวารยังกระทำเช่นนี้ " แววตาจ้องมองเขาทั้งคู่อย่างผิดหวัง ทำให้เขาทั้งสองรู้สึกผิดต่อการกระทำของตนเอง ถึงอย่างนั้นจี๋ชงก็ยังเก็บอาการขุ่นเคืองใจที่มีแต่เจิ้งเจี๋ย ก่อนจะเหลือบมองเสี่ยวเยาเล็กน้อย ในใจเขาไม่เคยสนใจผู้ใดมากกว่านางผู้นี้มาก่อน "ข้ามิบังอาจเสด็จพ่อ ข้าเพียงจะสั่งสอนคนของข้า แต่นายทหารผู้นี้ ดันเข้ามายุ่งวุ้นวาย ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ข้าเลยจะสั่งสอนเท่านั้น" จี๋ชงมองไปยังเสี่ยวเยา พร้อมส่งสัญญาณให้นาง สติปัญญาระดับนาง มีหรือที่เธอจะไม่เข้าใจ "โกหก! ข้ารู้นะว่าภายในใจท่านอ๋องเคียดแค้นข้า และท่านแม่ทัพ เพียงเพราะหน้าตาท่านแม่ทัพและข้า ดูสง่างามกว่าท่านมากนัก ท่านอิจฉาพวกเรา เลยคิดประลองยุทธ์กับท่านแม่ทัพ ผู้ที่ยอมออมมือให้ท่าน เพียงแต่ตอนนี้ท่านเกรงกลัวอำนาจบารมีที่ยิ่งใหญ่ของฝ่าบาท เลยโยนความผิดให้ข้า ผู้เป็นทหารชั้นผู้น้อยเท่านั้น..." 'เจ้าเล่ห์มาเจ้าเล่ห์กลับไม่โกง' นางคิดกลอุบายเอาตัวรอดยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว โดยไม่ทันได้สังเกตว่าเจิ้งเจี๋ยเผยยิ้มเล็กน้อยอย่างชื่นชมในความเจ้าเล่ห์ของนาง
'เปะ เปะ' เสียงปรบมือดังขึ้นจากด้านหลัง เผยให้เห็นบุรุษร่างสูงในชุดดำ ยิ้มเหี้ยมเกรียมให้เขาทั้งคู่อย่างกระหยิ่มใจไม่น้อย "หนูสองตัวติดกลับที่วางไว้จนได้ มันช่างอย่างง่ายดายตามที่ท่านอ๋องวางแผนไว้ มิมีผิด ฮ่าฮ่า" เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างพึงพอใจ นั้นดึงกระบี่คู่กายออกมา หมายจะฆ่าทั้งคู่ด้วยมือตนเอง "ยังมิใช่ตอนนี้" อ๋องจี่ชงเผยยิ้มมุมปากเล็กน้อย ".......""แต่หากเจ้าต้องการ ข้าอนุญาตให้เจ้าเลือกปลิดชีพคนใดคนหนึ่งได้!" แววตานิ่งเฉยไร้ความเมตตาเอ่ยขึ้น"เอาละ ข้าจะปลิดชีพผู้ใดก่อนดี เจ้า! หรือเจ้า! ฮ่าฮ่า ช่างสนุกเสียจริง" เฮ่ออี๋เพ่งมองคนทั้งคู่อย่างพิจารณาก่อนเหลือบมองอ๋องจี่ชงจิบสุราอย่างรื่นรมย์"ไม่คิดว่าวันนี้ ข้าจะจับหมารับใช้ตัวโปรดของเจ้าหมาป่าได้ หึหึ น่าขันเสียจริง"อ๋องจี่ชงเหลือบมองทั้งคู่เล็กน้อย เดินตรงมาหยุดนิ่งตรงหน้าลี่หวังก่อนจะเทน้ำสุราราดบนศีรษะเขาอย่างดูหมิ่น"อึก!" ลี่หวังทำได้เพียงกำมัดแน่นจนเล็กจิบเพื่อเก็บอาการแค้นเคืองไว้ในใจ"เจ้า!!" ลี่ซานตะโกนขึ้น ทว่าลี่หวังส่ายหน้าให้เขาเก็บอารมณ์ไว้ เพราะในตอนนี้ชีวิตตนทั้งคู่ได้แขวนอยู่บนเส้นด้ายเสียแล้ว"เจ้าทั้งคู่
ทุกอย่างเงียบสงัดลง เพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทาง จนแทบจะได้ยินเสียงลมพัดผ่านอย่างเหน็บหนาว แววตาเย็นชาของลี่หวังเพ่งมองทิศทางเบื้องหน้าอย่างจริงจัง ไม่มีแม้คำพูดสักคำเอ่ยออกมา เพราะรู้ดีว่าในใจนางตอนนี้ คงสับสนและเหนื่อยล้าเต็มที ท่าทางไร้ซึ่งเรี่ยวแรงแม้แต่จะเดินไปต่อ ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มสดใสบัดนี้กลับเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัดเจน ณ เวลานี้มีเพียงตัวนางเท่านั้นที่ต้องต่อสู้กับชะตากรรมที่ซับซ้อน ซึ่งไม่คาดคิดว่าในอดีตนางคือ เหมยหลิน ผู้ที่หลงรักเขาจนหมดใจ แต่ได้เพียงทุกข์จนตรอมใจกลับมาเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางจะทำอย่างไรต่อไป 'ฉันต้องแก้แค้นให้ตัวเอง หรือเผชิญหน้ากับเขาราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ่งตอนนี้เขาเหมือนจะรักเรามาก ควรให้อภัยดีไหม ทำไงดีเสี่ยวเหยา?' ความคิดต่างๆ นานาพรั่งพรูเข้ามาอย่างมิอาจหยุดยั้งไว้ได้"เฮ่อ..." นางถอนหายใจเพียงเบาๆ แววตาเศร้าอย่างชัดเจน"เสี่ยวเหยา เสี่ยวเหยา ข้ามาแล้ว...เอ๊ะ!" น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากเบื้องหลังนาง เป็นใครไม่ได้นอกจากสหายคนสนิท ในขณะที่ลี่หวังพินหน้ามองบุรุษผู้ไร้เดียงสา ดวงตาเขาเบิกกว้างเมื่อพบว่าคนผู้นั้นวิ่งตรงดิ่งมายังท
เวลาล่วงเลยผ่านไป ความเงียบสงบเข้ามาเยือนอีกครั้ง เสี่ยวเหยามิอาจพบหน้าเจิ้งเจี๋ยได้เต็มร้อย นางพยายามซ่อนตัวจากเขา ไม่มาปรนนิบัติรับใช้ข้างกายเหมือนดั่งเช่นเคย แม้บังเอิญพบเจอกันที่ใด นางก็เอาแต่หลีกหนีเขาทุกครั้งไป ราวกับว่าเขาสิ่งปฏิกูลที่น่ารังเกียจ สร้างความขุ่นเคืองใจให้เขาไม่น้อย ทว่ามิอาจทำการสิ่งใดได้ นางเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ไปก็เพราะตน จึงฝืนใจนิ่งเฉย รอแผนการคืนความยุติธรรมให้นาง ดั่งที่วางไว้สำเร็จ เมื่อนั้นตนจะลงโทษนางให้สาสมที่ทำให้ตนคะนึงหาอย่างอดทนอดกลั้นแทบจะตายเสียให้ได้ ทางด้านอ๋องจี๋ชงผู้ซึ่งเฝ้ามองเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ไม่ห่าง อีกทั้งคอยสั่งให้เหล่าทหารจับตามองนางทุกฝีก้าว ครั้นเมื่อสบโอกาสจึงหยิบยื่นไมตรีให้นาง เพียงหวังว่าในช่วงเวลาที่นางจะซาบซึ้งใจ เป็นหนทางเดียวที่ตนสามารถเข้าไปแทนที่ของเจิ้งเจี๋ยได้ ดวงตาเจ้าเล่ห์เพ่งมองสตรีผู้งดงาม ในชุดนางกำนัลชั้นผู้น้อยอย่างหลงใหล กลับมาครั้งนี้นางมิต้องปกปิดตัวตนอีกต่อไป ดวงตาสวยเพ่งมองเงาตนเองในน้ำ ด้วยท่าทางเหม่อเลย ภายในใจครุ่นคิดว่าจะทำเช่นไรกับชีวิตต่อไป"เจ้าดูซูบผอมลงไปมาก มีเรื่องอะไรให้ครุ่นคิด บอกข้าได้หรือ
ค่ำคืนมีเพียงเมฆดำบดบังแสงเรืองทองของจันทราจนหมดสิ้น เป็นค่ำคืนอันเปล่าเปลี่ยวอย่างน่าหวาดหวั่น แม้มองไปในทิศทางใดก็มีแต่ความเงียบสงัด หลงเหลือไว้เพียงแสงสว่างอันริบหรี่ของเปลวเพลิงเพื่อส่องทาง เพราะเส้นทางที่นางกำนัลผู้นั้นว่าไว้ มิได้ซับซ้อนอย่างที่คิด เพียงไม่กี่เวลาร่างบางหยุดนิ่งตรงประตูบานหนึ่งที่ทำด้วยแผ่นไม้หนา ดูเก่าแก่ตั้งสง่าเป็นจุดศูนย์กลางของกำแพง ด้านในมันช่างน่าค้นหาเสียจริงแอ๊ดดดด!...แกร็บ บานประตูเปิดเองอย่างง่ายดาย เหมือนเชื้อเชิญนาง เสี่ยวเหยาไม่เพียงแต่ไม่สงสัยใดๆ อีกทั้งยังไร้ความหวาดกลัว ถึงไม่รู้ว่าทางข้างหน้านี้มีสิ่งใดซ่อนอยู่ และต้องเจอกับอะไรก็ตามก็ไม่มีอะไรที่น่าหวาดกลัวไปกว่าความทรงจำของเหมยหลินที่พรั่งพรูเข้ามา ดวงตาคู่สวยถูกสะกดด้วยสวนดอกโบตั๋นสีขาวสลับแดงบานสะพรั่งไปทั่ว แม้จะถูกความมืดบดบัง ทว่าก็มิอาจบดบังความงามไว้ได้เลย" เอ๊ะ! เหมือนเคยเห็นดอกไม้เช่นนี้ ที่ไหนมาก่อน" นางเพ่งมองอย่างพินิจทบทวนความจำของตน คลับคล้ายว่าเจอดอกไม้ที่ใดกัน กลับต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินน้ำเสียงคุ้นเคยของใครผู้หนึ่ง"เจ้ามาทำอันใดที่นี่!!""ท่านกูกู!!""ข้าเอง เจ้าคิดว่าเ
ทางด้านเสี่ยวเหยา ที่ยืนสง่าด้วยความหวาดหวั่น ท่ามกลางหมอกหนาบดบังดวงตา สัมผัสได้ถึงความว่างเปล่าในห้วงอันมืดมิด ไร้สิ่งอื่นใด ที่แห่งนี้คงเป็นห้วงความฝันที่นางมโนขึ้น หรือลางบอกเหตุอันใดกันแน่"เสี่ยวเหยา" น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกแต่กลับคุ้นเคย แว่วดังมาแต่ไกล แต่มิอาจจับทิศทางของที่มาได้เลย นางมิอาจรู้ได้ว่าเหตุใดถึงฝันถึงผู้ที่มิเคยให้คำตอบใดๆ กับนาง"ฉันรู้ว่าเป็นเธอ เหมยหลินออกมาคุยกันดีๆ ได้ไหม ทำไมถึงต้องเป็นฉันเท่านั้นที่เป็นฝ่ายดิ้นรนต่อสู้เพียงเพื่อหาคำตอบ ทั้งที่ไม่ได้ทำผิดสักหน่อยแต่กลับต้องมารับเคราะห์กรรมเช่นนี้ ช่างไม่ยุติธรรม ทะลุมิติแบบใดกัน? ต้องมาหาคำตอบ ยากกว่าการทำข้อสอบในมหาลัยเสียอีก เฮ่อ...กรรมของฉันจริงๆ""....."แม้แต่ในห้วงความฝัน นางมิอาจหยุดพร่ำบ่น หรือคาดเดาสิ่งใดได้เลย ทุกอย่างมืดสนิทไปทุกด้าน มีเพียงสิ่งเดียว นั่นคือถามออกไปตรงๆ แม้จะเป็นเพียงความฝันก็ตาม'แน่ะ! ยังเงียบภาษาสมัยใหม่คงไม่รู้เรื่องสิน่ะ! ' นางคิดในใจ"ท่านพี่ใช่ไหม ท่านต้องการให้ข้าทำเช่นไร พูดมาได้เลย ข้ายินดีช่วยเหลือท่านทุกอย่าง" นางเอ่ยขึ้น เพราะมีสติพอจะรู้ได้ว่าไม่ใช่ความฝันธรรมดา และ
ดวงตาคมเพ่งมองไปรอบบริเวณสำนัก เสียงกระบี่ที่เคยดังกังวานไปทั่วป่าไผ่ บัดนี้กลับมีเพียงเสียงจิ้งหรีดร่ำร้อง เมื่อครั้นลมหนาวมาเยือน กลิ่นหอมอ่อนๆ อบอวลไปทั่วบริเวณสำนักที่รายล้อมไปด้วยภาพอันงดงามมิเคยลืมเลือนจากห้วงความทรงจำของเขาได้เลย ร่างสูงย่างก้าวอย่างสุขุม มือหนาผลักบานประตูจวนที่ปิดตายเปิดออกอย่างง่ายดาย ทุกสิ่งยังคงเดิม แม้กระทั่งกลิ่นดอกโบตั๋นยังคงหอมตลบอบอวลไปทั่วห้องไม่เคยเปลี่ยนแปลงราวกับว่ายังมีผู้คนอาศัย สร้างความประหลาดใจให้เขา เหตุใดทุกอย่างยังเหมือนเดิม สิ่งของเครื่องใช้ยังคงจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย "ห้องนอนผู้ใดกัน หรือว่ามีคนอาศัยอยู่ที่นี่" เสียงใสเอ่ยขึ้น เจิ้งเจี๋ยครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ"เจ้ารู้ไหมว่าที่แห่งนี้ มันอันตรายเพียงใด?""มีท่านอยู่ ข้าจะกลัวอะไร ปลอดภัยหายห่วงอยู่แล้ว!""อึก... เจ้านี่มันช่างดื้อด้านเสียจริง!"'นั้นไงยิงธนูหมัดใจแล้วหนึ่ง กล้าพูดได้ไงเสี่ยวเหยาเอ่ย ดูแก้มเขาซิ! แดงระเรื่อราวกับลูกท้อเชียว' ทว่าตรงกันข้ามกับเจิ้งเจี๋ยคิดว่านางเป็นสตรีที่ไร้เดียงสา แต่กับเจ้าเล่ห์ใช่น้อย ถึงกระนั้







