และแล้วเพียงไม่กี่ลมหายใจหลังจากที่หลงอินกับเผยไจ่เหวินควบม้านำหน้าฟางเซียวไป เสียงอาวุธที่ลอยแหวกอากาศมาก็ดังขึ้นจากด้านหลังของแม่ทัพหนุ่ม ลูกธนูที่เสียดสีกับอากาศพุ่งมาด้วยความเร็วแตกแขนงเป็นสี่สาย ทว่ากลับโดนดาบของฟางเซียวฟาดกระเด็นไปยังทิศทางต่าง ๆ ไม่ถูกเป้าหมายแม้แต่เพียงดอกเดียวเพียงเสียงดาบปะทะกับลูกธนูดังขึ้น เผยไจ่เหวินกับหลงอินก็กระตุกบังเหียนให้ม้าชะลอความเร็วลง จนในที่สุดม้าของทั้งสองคนก็หยุดวิ่งเผยไจ่เหวินหันมามองฟางเซียวด้วยความกังวลว่าบุรุษอายุน้อยกว่าอาจจะได้รับบาดเจ็บ หรืออาจถึงขั้นพ่ายแพ้จนเสียชีวิต เพราะคนที่ติดตามพี่ชายต่างมารดาของเขามานั้น เป็นคนที่ถูกฝึกมาพร้อมกับทหารที่คอยคุ้มกันเจ้าเมืองอันป๋อ ดังนั้นคนที่ติดตามเผยสิงเวยมาจึงมีความสามารถไม่น้อยเลยทีเดียวเมื่อซูเย่หันมาเห็นเผยไจ่เหวินกับหลงอินไม่ควบม้าตามเขามา ชายหนุ่มจึงตะโกนดังสุดเสียง “คุณชายไม่ต้องเป็นห่วงแม่ทัพฟางเซียวหรอก พวกเราไปรอท่านแม่ทัพที่โรงเตี๊ยมด้านหน้ากันเถอะ อย่าอยู่เป็นภาระของท่านแม่ทัพเลย”“แต่ว่า แม่ทัพฟางเซียวคนเดียวจะต้านพี่ใหญ่ได้เช่นไร” เผยไจ่เหวินตอบกลับลูกน้องของตนเองทันควันฟางเซีย
ฟางเซียวรอให้อีกฝ่ายโต้ตอบ ทว่ากลับไร้วี่แวว เขาจึงได้กล่าวต่อ “ในเมื่อเผยฮูหยินส่งคุณชายใหญ่มาดูแลคุณชายรอง เช่นนั้นพวกเราก็เดินทางกลับเมืองอันหยางพร้อมกันเถอะ” เพียงกล่าวจบแม่ทัพอายุน้อยก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ พร้อมเดินตรงไปยังประตูห้อง โดยไม่รอคำตอบจากพี่น้องตระกูลเผยสีหน้าที่เคร่งขรึมของฟางเซียว ทำให้ทุกคนรู้ว่าคำพูดนี้มิใช่ประโยคเชื้อเชิญ ที่จะให้ทุกคนเดินทางไปยังเมืองอันหยางพร้อมกันกับเขา ทว่ามันคือคำสั่งที่ทุกคนต้องทำตามชายฉกรรจ์ที่ยืนขวางประตูห้องอยู่ พอได้เห็นแววตาของฟางเซียว ก็รีบเบี่ยงตัวหนีพร้อมเปิดประตูให้แม่ทัพอายุน้อยเดินออกไปทันทีครั้นแม่ทัพหนุ่มย่างก้าวเท้าเดินพ้นประตูไปยืนอยู่ที่หน้าห้องแล้ว แต่ว่าเขากลับยังไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้ใดเดินตามออกมา จึงเกรงว่าเผยไจ่เหวินกับพวกพ้อง จะถูกเผยสิงเวยข่มขู่ ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าห้องจึงหันหน้ากลับมามองคนที่อยู่ภายในห้อง“พวกท่านพี่น้องจะรอให้ท่านโหวมาเชิญไปเมืองอันหยางอย่างนั้นหรือ? หรือว่าจะให้คนของข้ามาช่วยพาพวกท่านไปกันเล่า”เพียงฟางเซียวกล่าวจบซูเย่ก็รีบสะกิดหลงอินกับเผยไจ่เหวินทันที เพราะเขาเชื่อว่าที่แม่ทัพของหลัวหยางโห
“อย่างนี้นี่เอง แต่ข้าว่าหากเผยฮูหยินกับคุณชายใหญ่เผย เป็นห่วงคุณชายรองเผยจริง ๆ ก็ควรจะอบรมและเข้มงวดกับคุณชายรองเผยให้มากกว่านี้ และหากยังไม่สามารถปรับเปลี่ยนนิสัยของคุณชายรองได้ ก็ควรจะกักตัวเขาไว้ให้เขาได้สำนึกผิดแล้วค่อยปล่อยเขาออกมาจากจวน มิใช่ให้เงินให้ทองคุณชายรองเผยมาสำเริงสำราญเช่นนี้มิใช่หรือ?” ฟางเซียวใช้น้ำเสียงเชิงตำหนิแม่ทัพหนุ่มรู้อยู่แก่ใจว่าเผยสิงเวยตั้งใจเอ่ยให้เขาคิดว่าเผยไจ่เหวินเป็นคนเจ้าสำราญ เพื่อให้ตนเองได้รับบทพี่ชายที่แสนดี และเผยฮูหยินก็จะได้รับบทเป็นสตรีที่ใจกว้างรักใคร่บุตรของอนุราวกับบุตรของตนเอง เขาจึงตั้งใจพูดออกไปเช่นนี้ เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าเขาหาได้เป็นลาโง่ที่จะหลอกได้ง่าย ๆแม่ทัพอายุน้อยพูดจบก็หรี่ตามองหน้าอีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าเผยสิงเวยดูท่าจะยังไม่ยอมรับว่าตนกับมารดานั้นหาได้รักใคร่หวังดีกับเผยไจ่เหวินไม่ และยังทำท่าราวกับกำลังหาคำแก้ต่างให้ตนเองดูดี โดยหาได้คิดไม่ว่าผู้อื่นจะรู้ทัน‘คุณชายใหญ่เผยนะ คุณชายใหญ่เผย ท่านกำลังคิดว่าท่านฉลาด หรือท่านกำลังคิดว่าข้าโง่มากกันแน่’ ฟางเซียวเอ่ยในใจ เพราะยังไม่อยากเอ่ยให้อีกฝ่ายได้รู้ตัวมากนัก ว่ายามนี้แ
เมื่อมาถึงประตูหน้าห้องที่เผยไจ่เหวินพักอยู่ คุณชายใหญ่ตระกูลเผยก็ยืนปรับสีหน้าของตนเองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะมองไปยังคนที่ตามตนมา แล้วใช้สายตาพร้อมสะบัดหน้าเล็กน้อยสั่งให้ผู้ติดตามเคาะประตูตรงหน้าครั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น คนที่นั่งอยู่ภายในห้องก็หันไปยังประตูห้องเป็นสายตาเดียวกัน“เจ้าเป็นใคร มีเรื่องอันใดถึงมารบกวนพวกข้า” หลงอินเป็นผู้เอ่ยถาม“น้องรอง ข้าเอง” เผยสิงเวยเอ่ยเสียงราบเรียบนิ่งสงบ เหมือนปกติที่เคยพูดกับน้องชายต่างมารดาเพียงคนด้านในได้ยินเสียงก็รู้ทันทีว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูเป็นผู้ใด สีหน้าของเผยไจ่เหวิน ซูเย่ หลงอินแทบไม่ต่างกัน พวกเขาทั้งตกใจทั้งกังวลที่อยู่ดี ๆ เผยสิงเวยก็หาพวกเขาเจอครั้นฟางเซียวที่ก่อนหน้านี้นั่งสนทนาอยู่กับเผยไจ่เหวิน ได้เห็นสีหน้าของคนทั้งสาม บวกกับคำแทนตนเองของคนข้างนอก ก็พอจะทำให้ฟางเซียวเดาได้ว่า บุรุษที่มาเยือนนั้นเป็นใคร และเหตุใดคนทั้งสามจึงมีสีหน้าเช่นนี้‘ช่างมาได้จังหวะเสียจริง’ แม่ทัพหนุ่มยกยิ้มขณะที่คิดในใจจากที่ฟางเซียวได้พูดคุยกับซูเย่ก่อนที่จะมาที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ ทำให้เขารู้ว่าการมาของเผยสิงเวยในครั้งนี้ คงไม่ได้มาดีเป็นแน่ และด้วย
หลัวหยางโหวจัดการเช็ดตัวให้หลิวหลิงลี่เสร็จแล้ว ก็จัดแจงตนเองก่อนจะเดินออกมาจากห้อง แล้วปล่อยให้หญิงสาวได้พักผ่อนสักพักก่อนจะออกเดินทางกลับเมืองอันหยางเพียงหลัวหยางโหวเดินออกมานอกห้องได้เพียงครู่เดียว ชายหนุ่มที่นอนอยู่ในห้องถัดจากห้องเดิมของชายขับเกวียนก็เดินออกมาจากห้อง เพราะเขาได้ยินเสียงเปิดประตูจากห้องของผู้เป็นนายจึงได้เดินออกมาดูหลัวหยางโหวหันใบหน้าไปยังประตูห้องที่เปิดออกมาเล็กน้อย พร้อมกับใช้หางตามองคนที่เดินออกมาจากห้อง เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด ชายหนุ่มก็หันหน้ากลับมาที่เดิมพร้อมมองลงไปยังชั้นล่างของโรงเตี๊ยม ก่อนจะเอ่ยถามเรื่องที่ตนเองได้สั่งแม่ทัพอายุน้อยไว้ก่อนหน้านี้แม่ทัพฟางเซียวเล่าเรื่องทุกอย่างที่ได้ยินมาจากปากของชายเจ้าของรถม้าทั้งสองให้หลัวหยางโหวฟังอย่างละเอียด ครั้นบุรุษหนุ่มเจ้าเมืองอันหยางรู้ว่าเป็นคนที่จางอ้ายเหลียนสาวรับใช้ข้างกายของมารดาส่งมาก็ประหลาดใจไม่น้อย แต่เพียงไม่กี่ลมหายใจความแปลกใจนั้นก็หายไป เมื่อชายหนุ่มคิดขึ้นมาได้ว่า มารดาของเขาหาใช่สตรีทั่วไปไม่ ไม่เช่นนั้นก็คงคุมขุนนาง และดูแลเมืองอันหยางในช่วงที่บ้านเมืองกำลังระส่ำระสาย ให้กลับมาอยู่ในสภาพปก
หลัวหยางโหวดึงนิ้วมือของตนเองที่มีน้ำใส ๆ เคลือบอยู่ออกจากช่องทางรัก ก่อนจะแทรกแท่งเอ็นร้อนเข้าไปแทนที่ แก่นกลางกายของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวรู้สึกอึดอัด“อืม….”หลิวหลิงลี่ครางออกมาเบา ๆ ก่อนจะใช้มือยันหน้าท้องแข็งเป็นลอนของเขาเอาไว้ ทว่านางหาได้จะขัดขืนไม่ นางเพียงรู้สึกเจ็บปนจุกจึงอยากให้เขาค่อย ๆ ดันของสงวนอันใหญ่โตเข้ามาอย่างช้า ๆบุรุษหนุ่มกัดฟันแน่นเพื่อข่มความปรารถนาเอาไว้ แล้วค่อย ๆ ขยับสะโพกส่งแท่งเอ็นของเขาเข้าไปในโพรงรักของหญิงสาว เพื่อไม่ให้นางรู้สึกเจ็บจุกมากจนเกินไปนักปากบางเม้นเข้าหากันแน่นจนกลายเป็นสีซีดด้วยขนาดที่ใหญ่โตของเขา หลัวหยางโหวไม่คิดเร่งรีบจนทำให้หญิงสาวใต้ร่างต้องรู้สึกเจ็บ เขาอดทนรอกระทั่งหญิงสาวเริ่มปรับตัวได้ แล้วจึงค่อย ๆ ขยับเข้าออกช่องทางรักไปมาอย่างช้า ๆ ไม่นานจังหวะการขับเคลื่อนก็เพิ่มความเร็วขึ้น สะโพกของชายหนุ่มกระแทกเข้าหาคนใต้ร่างจนนางหลุดเสียงร้องครวญครางออกมาหลิวหลิงลี่เปล่งเสียงครางออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เสียงครางหวานของนางเพิ่มแรงฮึกเหิมให้กับชายหนุ่มมากกว่าเดิม เขาดึงความใหญ่โตออกมาจนเกือบจะหลุดจากความคับแน่น จากนั้นจึงกระแทกตอกย้ำเข้าไปจนสุ