หลัวหยางรู้ดีว่างานแต่งนี้ยังไงก็หลีกหนีไม่ได้ เช่นนั้นไหนเลยเขาจะต้องมาต่อเถียงกับมารดาให้เสียเวลา ในเมื่อรู้ว่าเพียงมารดาแสร้งป่วยขึ้นมาเขาก็ต้องพ่ายแพ้ทุกครา ดังนั้นหากมารดาอยากจัดงานแต่งนี้โดยไว เขาก็จะสนองความต้องการของมารดา
ในเมื่องานแต่งนี้ต้องจัดแน่ ๆ แต่ไหนเลยหลัวหยางจะยอมจัดงานใหญ่โตให้เป็นเกียรติแก่ตระกูลหลิว เขาจึงคิดใช้ช่วงเวลาที่มารดากลับเมืองเกิด เพื่อไปงานครบรอบวันตายของท่านตา จัดงานแต่งครั้งนี้โดยไม่รอให้มารดากลับมาก่อน
หลัวหยางวางแผนให้แม่ทัพห่าวซวนไปรับตัวเจ้าสาวมายังเมืองหนานเหลียน และส่งม้าเร็วไปแจ้งกำหนดการล่วงหน้าที่เมืองหลิวผิง ว่าจะไปรับตัวเจ้าสาววันที่8ของเดือนหน้า โดยอ้างว่าเขาได้วางแผนการรบเอาไว้แล้ว ดังนั้นจึงมีเวลาว่างแค่ในช่วงเวลานี้เท่านั้น เพื่อไม่ให้งานแต่งเชื่อมสัมพันธ์ยืดเวลาไปนานหลายปี อีกทั้งจะได้ไม่เสียการใหญ่ที่จะยกทัพ จึงได้แต่รีบจัดงานแต่งนี้โดยเร็ว
ณ เมืองหลิวผิง
ม้าเร็วของหลัวหยางโหวใช้เวลาเพียง3วันก็เดินทางมาถึงเมืองหลิวผิง เมื่อหลิวตงได้รับสารก็รีบสั่งให้คนเตรียมทุกอย่างให้พร้อมเพื่อรอรับขบวนรับเจ้าสาว เพราะเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันขบวนรับเจ้าสาวก็จะมาถึง
10วันต่อมาขบวนรับเจ้าสาวก็มาถึงเมืองหลิวผิง ผู้คนในเมืองต่างตั้งหน้าตั้งตารอดูใบหน้าของหลัวหยางโหวที่ถูกขานนามว่า ‘ดรุณอหังการ’ และรอดูขบวนรับเจ้าสาวที่ยิ่งใหญ่ เพราะมีคนจากเมืองละแวกใกล้เคียงส่งข่าวมาว่า ขบวนสินสอดจากเมืองอันหยางใหญ่โตจนต้องใช้ทหารหลายพันนายเดินทางมาด้วย ทว่าเมื่อขบวนสินสอดเข้ามายังเมืองหลิวผิง ข่าวลือที่ชาวบ้านได้ยินมากลับไม่เป็นอย่างที่ทุกคนคาดหมาย
หลัวหยางโหวให้ห่าวซวนนำทหารคุ้มกันสินสอดไปยังเมืองหลิวผิงห้าพันนาย แต่ทว่ามิได้ให้ทหารเหล่านั้นมาส่งสินสอดอย่างที่ข่าวลือบอก แต่ให้มาตั้งทัพอยู่ไม่ห่างจากเมืองหลิวผิงเพื่อใช้ขู่ขวัญคนตระกูลหลิว
ส่วนขบวนส่งสินสอดและรับตัวเจ้าสาวนั้นมีเพียงห่าวซวนกับคนหาบสินสอดแค่สิบคนเท่านั้น แม้แต่คนบรรเลงดนตรีนำขบวนก็ไม่มี ส่วนสินสอดที่เหลือที่หลัวฮูหยินเตรียมมานั้น หลัวหยางกลับให้ห่าวซวนนำไปใช้เป็นค่าเดินทางไปกลับในครั้งนี้
เมื่อขบวนสินสอดเข้าเมืองมา ชาวบ้านไม่เพียงไม่ได้เห็นใบหน้าของหลัวหยางโหว แต่ทว่าขบวนสินสอดที่แห่เข้ามานั้นแทบจะไม่ต่างจากงานแต่งของชาวบ้านทั่วไปเลย ทำให้ชาวบ้านต่างผิดหวังกันทั่วหน้า และส่วนมากก็ไม่พอใจที่หลัวหยางโหวทำเช่นนี้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ด่าทอดังตลอดสองข้างทางที่ห่าวซวนนำขบวนสินสอดเข้ามายังเมืองหลิวผิง
เมื่อมาถึงที่ว่าการเมืองหลิวผิง ห่าวซวนก็ลงจากหลังม้า โดยมีหลิวตงนำเหล่าขุนนางมาต้อนรับ แต่ทว่าครั้นหลิวตงเห็นขบวนสินสอดที่เมืองอันหยางส่งมา ใบหน้าก็ขึ้นสีเลือดทันที ถึงเขาจะเป็นฝ่ายเสนอการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ในครั้งนี้ ทว่าอย่างไรเสียบุตรสาวของเขาก็เป็นถึงลูกเจ้าเมือง อย่างน้อยสินสอดก็ควรให้มากกว่านี้ เพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้กับบุตรสาวของเขา
“คนแซ่หลัวจะหยามกันเกินไปแล้วกระมัง มิเพียงไม่มาด้วยตนเอง แต่ยังมอบสินสอดให้เพียงเท่านี้อีก” แม่ทัพลี่หม่าที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดเอ่ยด้วยน้ำเสียงเดือดดาล
ห่าวซวนได้ยินผู้อื่นพูดถึงผู้เป็นนายก็หันไปมองทันที เหล่าขุนนางเมื่อเห็นแม่ทัพของหลัวหยางโหวใช้สายตากวาดมองก็รีบหลบตาหนีอย่างรวดเร็ว เพราะไม่เพียงผู้ที่มาจะเป็นแม่ทัพคนสนิทของหลัวหยางโหว แต่ด้วยรูปลักษณ์ของห่าวซวนที่ดวงตากลมโตดุดัน หนวดเครารุงรัง รูปร่างสูงใหญ่ร่างกายกำยำ สีผิวน้ำตาลเข้มใบหน้านิ่งเฉย ทำให้ห่าวซวนกลายเป็นคนที่คาดเดาความรู้สึกได้ยาก เหล่าขุนนางจึงต่างพากันไม่กล้าสบตา เพราะไม่รู้ว่าเขากำลังคิดเช่นไรอยู่ คงมีเพียงลี่หม่ากับหลิวตงเท่านั้นที่มิได้หลบตาห่าวซวน
เมื่อห่าวซวนมองดูเหล่าขุนนางที่มาต้อนรับเสร็จแล้วก็หันมามองหลิวตง ก่อนเอ่ยเสียงดังกังวาน หมายให้ทุกคนที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้นได้ยิน
“ท่านโหวบอกว่าหลายปีมานี้ออกรบมาหลายครั้ง เสบียงและเงินทองในคลังร่อยหรอไปมาก และอีกไม่นานก็จะยกทัพไปยังเมืองฟางตงเพื่อสังหารเจ้าเมืองฟางตง แก้แค้นที่แต่ก่อนเคยอาศัยช่วงท่านโหวยังเยาว์วัย และเมืองอันหยางมีเพียงหลัวฮูหยินเป็นผู้นำ ยกทัพมารุกรานหลายครั้ง ดังนั้นหากยามนี้ท่านเจ้าเมืองหลิวผิงอยากแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ สินสอดที่เมืองอันหยางจะมอบให้ได้ก็คงมีเพียงเท่านี้ หากท่านเจ้าเมืองคิดว่าน้อยเกินไป จะยกเลิกงานแต่งนี้ก็ย่อมได้”
ถึงห่าวซวนจะเอ่ยเสียงราบเรียบ ใบหน้านิ่งเฉยไร้อารมณ์ แต่ทว่าคำพูดกลับทั้งข่มขู่และเหยียบหยาบอีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง
“นี่เจ้า...” ลี่หม่าตวาดเสียงดังพร้อมชี้นิ้วไปยังห่าวซวน แต่ทว่ายังมิทันจะได้พูดอันใดต่อ ขุนนางคนหนึ่งก็รีบยกมือขึ้นปิดปากเขาเอาไว้
ถึงลี่หม่าจะแผดเสียงด้วยอารมณ์โกรธมากเพียงใด แต่ห่าวซวนกลับมิได้แสดงความรู้สึกอันใดออกมาแต่น้อย ใบหน้าของเขายังคงนิ่งเฉยไร้ความรู้สึก
“ตกลงท่านเจ้าเมืองยินดีจะรับสินสอดนี้หรือไม่ แต่ก่อนท่านตัดสินใจข้าต้องขอบอกท่านเจ้าเมืองเอาไว้เสียก่อน ท่านโหวของข้าบอกว่าเขาหาใช่บุรุษใจกว้างนัก หากครั้งนี้ไม่รับก็ไม่มีครั้งหน้าแล้ว” สีหน้าท่าทางยามเอ่ยของห่าวซวนเย็นชา ราวกับเขาไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา
ในใจของหลิวตงรู้สึกไม่พอใจในท่าทีและคำพูดของห่าวซวนยิ่งนัก แต่เขาทำได้เพียงข่มอารมณ์ไว้ในใจเท่านั้น เพราะเขาเป็นฝ่ายไปขอผูกไมตรีนี้เอง และดูจากการที่หลัวหยางโหวส่งทหารมามากถึงเพียงนี้ ก็ไม่แน่ว่าหากเขาไม่ยินยอมรับสินสอดในครั้งนี้ ทัพของหลัวหยางโหวที่อยู่ไม่หากจากเมืองหลิวผิงมากนัก อาจบุกเข้าโจมตีเมืองหลิวผิงโดยที่เขาไม่อาจตั้งตัว
เพียงได้ยินคำพูดของห่าวซวน ลี่หม่าก็สลัดขุนนางร่างบอบบางที่ปิดปากของเขาเอาไว้ออกไปทันที พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
“เจ้าจะเหิมเกริมไปแล้ว เจ้าพูดจาเช่นนี้มิคิดจะมีชีวิตกลับไปแล้วใช่หรือไม่?”
“เจ้าคิดว่าทำได้อย่างนั้นหรือ?” ห่าวซวนตอบกลับพร้อมกับชักดาบออกมาทันที
ประตูเมืองหนานเหลียนกองทัพทหารของเมืองอันหยางบวกกับกองทัพทหารของเมืองหนานเหลียนบางส่วน ตั้งทัพที่นอกประตูเมืองเรียบร้อยพร้อมเดินทางไปทำศึกในครั้งนี้ เวลานี้นายทหารทุกคนรอเพียงแม่ทัพใหญ่ทั้งสามกับกุนซือและหลัวหยางโหวมานำทัพเท่านั้น กองทัพร่วมแสนนายก็จะเคลื่อนกองกำลังไปยังเมืองฟางตงทันทีหลังจากหลัวหยางโหวได้เอ่ยฝากฝังขุนนางที่จะเดินทางมารับตำแหน่งเจ้าเมือง กับเหล่าขุนนางและแม่ทัพของเมืองหนานเหลียนเสร็จแล้ว หลัวหยางก็ขึ้นหลังม้าพร้อมที่จะนำทัพออกจากเมืองทว่าเพียงผู้นำทัพขึ้นหลังม้า กลับมีรถม้าคันหนึ่งพยายามจะเข้ามาใกล้กลุ่มเหล่าขุนนางที่หลัวหยางโหวเพิ่งหารือไป แต่โชคดีที่ทหารสกัดรถม้าคันนั้นเอาไว้เสียก่อน“พวกเจ้ากล้าขวางรถม้าของฮูหยินท่านโหวอย่างนั้นหรือ?” ฟางเซียวที่ขี่ม้าตามมาทีหลัง เอ่ยเสียงแข็งกร้าวดังกังวาน เมื่อเห็นว่ามีทหารมาล้อมรถม้าของหลิวหลิงลี่เอาไว้เพียงได้ยินว่าคนข้างในคือ ‘ฮูหยินของท่านโหว’ เหล่าทหารก็ลดอาวุธลงอย่างรวดเร็วหลัวหยางโหวรวมถึงผู้ติดตามทั้งสี่คนที่จะไปออกรบกับเขาที่เมืองฟา
หลังจากที่หลิวหลิงลี่ตัดสินใจทำตามแผนการของจงเอ่า หญิงรับใช้อายุมากกว่าก็ให้เสี่ยวหลี่ไปเลือกชุดสีชมพูอ่อน พร้อมเครื่องประดับไม่กี่ชิ้นให้ผู้เป็นนายหญิง ส่วนสตรีอายุมากที่สุดเป็นคนลงมือแต่งหน้าให้กับหลิวหลิงลี่ด้วยตนเองจงเอ่าจงใจแต่งหน้าให้หลิวหลิงลี่ราวกับคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ หญิงรับใช้แต่งแต้มสีปากให้นายหญิงด้วยสีชมพูอ่อน ก่อนใช้ผงแป้งทาทับลงเล็กน้อย ให้ริมฝีปากซีดลงอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะเขียนคิ้วเป็นขั้นตอนสุดท้ายเมื่อแต่งตัวแต่งหน้าเสร็จแล้ว หญิงรับใช้ทั้งสองก็รีบพาหลิวหลิงลี่ไปขึ้นรถม้าเพื่อจะไปส่งหลัวหยางโหวที่ประตูเมืองหนานเหลียน แต่ทว่ากลับถูกฟางเซียวรั้งเอาไว้“ฮูหยินจะไปไหนขอรับ” ฟางเซียวเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นหลิวหลิงลี่โดยไม่มีสิ่งใดปิดบังใบหน้า ความงามของนางสมกับคำเล่าที่เขาได้ยินมาจากแม่ทัพห่าวซวนหลิวหลิงลี่มองหน้าฟางเซียวด้วยความงุนงง เพราะนางมิเคยเห็นหน้าของบุรุษผู้นี้มาก่อน เนื่องจากปกติหลัวหยางโหวจะส่งห่าวซวนมาตลอด“ท่านนี้คือแม่ทัพฟางเซียวเจ้าค่ะ” เสี่ยวหลี่เห็นสีหน้าของหลิว
วันต่อมาหลัวหยางโหวไปยังค่ายทหารตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เพื่อสั่งให้กองทหารเตรียมตัวเคลื่อนกำลังพลออกจากเมืองหนานเหลียนไปสมทบกับกองกำลังทหารที่จะบุกโจมตีเมืองฟางตง ทั้งที่เดิมทีเขาคิดจะเคลื่อนทัพในอีกสามวันข้างหน้า เพราะจะรอให้ขุนนางจากเมืองอันหยางที่เขาเลือกให้เป็นเจ้าเมืองหนานเหลียนมาถึงเสียก่อนสาเหตุที่เขาออกจากเมืองหนานเหลียนเร็วกว่ากำหนด เป็นเพราะเขาอยากหลบหน้าสตรีแซ่หลิว เนื่องจากเมื่อคืนนี้ หลัวหยางโหวนอนไม่หลับแทบทั้งคืน เพราะเพียงแค่เขาหลับตาลงก็เห็นใบหน้าของนางลอยมา ต่อให้สาเหตุอาจมาจากฤทธิ์สุรา แต่การไม่พบหน้าของหลิวหลิงลี่ในยามนี้คงดีต่อใจเขามากกว่าการไปรบกับเมืองฟางตงครั้งนี้ หลัวหยางโหวมิได้ให้แม่ทัพน้อยฟางเซียวตามทัพไปด้วย แต่กลับให้หนุ่มน้อยคุ้มกันหลิวหลิงลี่กลับไปยังเมืองอันหยาง เพื่อให้นางไปรับหน้ามารดาของเขาที่จะกลับมาจากเมืองเฉิน หลังจากเขากลับมาจากเมืองฟางตง มารดาของเขาก็คงจะสงบใจลงไปได้ไม่มากก็น้อยส่วนเมืองหนานเหลียนแห่งนี้ หลัวหยางโหวเห็นว่าคืนที่เขาฉลองกับเหล่าทหาร เหล่าขุนนางกับเหล่าทหารของเมืองหนานเหลียนก็ไม่มีทีท่าจะตลบหลังเขา ดังนั้น
หญิงสาวที่มักนอนต่างที่ไม่ค่อยหลับ แต่วันนี้กลับนอนหลับสนิทราวกับที่นี่คือห้องนอนของตนเอง นั่นอาจเป็นเพราะกลิ่นกายของบุรุษเจ้าของห้องที่ติดอยู่บนเตียงนอน ที่ทำให้สตรีอาภรณ์แดงรู้สึกผ่อนคลายปลอดภัย นางจึงนอนหลับได้สนิททั้งที่มิใช่เตียงนอนของตน จนไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเปิดประตูเพียงหลัวหยางโหวก้าวเท้าเข้ามาภายในห้องหอก็ต้องพบเจอกับความผิดหวัง เพราะที่เขาหวังไว้นั้นคือภาพที่หญิงสาวนั่งรอเขาเข้ามาในห้องหอจนร่างกายเกิดเหน็บชา หรือไม่ก็เห็นเจ้าสาวของเขานั่งร้องห่มร้องไห้ เนื่องจากถูกเขาเหยียบหยามที่จัดงานแต่งให้นางไม่สมฐานะแต่ทว่าภาพที่เขาได้เห็นอยู่ในตอนนี้ กลับเป็นภาพที่หญิงสาวชุดสีแดงนอนตะแคงหลับตาสนิทอย่างไร้ความกังวลใด ๆ ราวกับนางต่างหากที่ไม่ได้อยากร่วมหอกับเขา ดังนั้นเขาจะมาหรือไม่มาก็หาใช่เรื่องสำคัญสำหรับนางไม่หลัวหยางโหวก้าวเท้ายาวเข้าไปใกล้เตียงนอน ก่อนจะเอื้อมมือไปจับแขนเสื้อของสตรีที่นอนอยู่บนเตียงแล้วออกแรงกระตุกเบา ๆ สองสามทีด้วยแรงดึงชายแขนเสื้อทำให้หญิงสาวรู้สึกตัวแต่ทว่านางก็ยังมิยอมตื่น นางหมุนตัวหนีเข้าไปด้านในของเตียง แต่ทว่ามีหรือบุร
ท่ามกลางเสียงประกาศของกุนซือที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินงาน หลิวหลิงลี่เดินไปอย่างไม่ช้าไม่เร็วโดยมีเสี่ยวหลี่กับจงเอ่าคอยนำทาง นางเดินมาหยุดฝีเท้าที่ด้านหน้าของบุรุษหนุ่มชุดแดงหลัวหยางโหวเมื่อเห็นสตรีที่มาจากตระกูลของศัตรูเดินมาหยุดที่หน้าของตนเอง ก็ใช้สายตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะเชิดหน้าใส่นาง ถึงเจ้าบ่าวผู้เย่อหยิ่งจะทำเมินใส่สตรีชุดเจ้าสาว ทว่าในใจเขากลับยอมรับว่ารูปร่างของนางเย้ายวนใจบุรุษได้ดี และเมื่อหลิวหลิงลี่มายืนใกล้ ๆ ก็ยิ่งทำให้เขาเห็นว่านางตัวเล็กและบอบบางต่างจากเขามากเพียงใดหลิวหลิงลี่ที่ได้เห็นหลัวหยางโหวเป็นครั้งแรกก็รู้สึกไม่พอใจกับสายตาที่เขามองมานัก แต่ต้องยอมรับว่าเขาเป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม คิ้วคมจมูกเป็นสันรับกับใบหน้า รูปกายสูงกำยำ หัวไหล่ผายหน้าอกกว้างดูองอาจ เสียแต่สายตาที่ดูดุดันและท่าทางเหยียดหยามผู้อื่นทำให้ใบหน้าดูเย็นชาไม่น่าเข้าหาเมื่อจบพิธียิบย่อยแล้วก็มาถึงพิธีผูกเงื่อนผม ผู้ติดตามตัดปอยผมของเจ้าบ่าวเจ้าสาวมาผูกเข้าด้วยกัน เสร็จแล้วทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างกล่าวแสดงความยินดีเมื่อเสร็จพิธีการทั้งหมดที่ห้องโถง หลิวหลิงล
นายทหารทุกคนต่างพากันร้องเฮอย่างดีอกดีใจจนดังกึกก้องทั่วค่ายทหาร ก่อนจะลุกขึ้นโค้งตัวพลางกล่าวขอบคุณหลัวหยางโหวพร้อมกันเสียงดังแต่เพียงช่วงไม่กี่ลมหายใจทุกคนต่างเงียบเสียงลง ราวกับว่าตอนนี้ในค่ายทหารไร้ผู้คน เมื่อทุกคนเห็นหลัวหยางโหวก้มหน้าลงมองพื้น แต่ทว่าเพียงครู่เดียวเขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วรินสุราลงพื้นพลางกล่าวอย่างโศกเศร้า“สุรานี้ข้าขอใช้คารวะเหล่าสหายทหารที่สูญเสียจากการทำศึกอันยาวนานที่ผ่านมา ที่ยอมเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องแผ่นดินและผู้คนที่อยู่เบื้องหลัง”เมื่อผู้เป็นนายกล่าวจบทุกคนต่างพากันรินสุราตามหลัวหยางโหว และก้มหน้าเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อไว้อาลัยให้ผู้ล่วงลับ ก่อนที่ท่านกุนซือจะเดินมายืนอยู่ด้านข้างหลัวหยางโหว และกล่าวกับทุกคนที่อยู่ในค่าย“เราระลึกถึงผู้ที่จากไปได้ แต่อย่าจมอยู่กับความเศร้าโศกนานนัก ไม่เช่นนั้นจะทำผิดต่อผู้ที่เสียสละชีวิตเพื่อปกป้องเรา ดังนั้นพวกเราควรใช้ชีวิตให้ดี มีความสุขให้มาก เพื่อทำให้ผู้ล่วงลับจากไปอย่างสงบสุข”ทุกคนที่ได้ยินต่างพยักหน้าเนิบนาบรับรู้ ท่านกุนซือจึงหันไปมองหลัวหยางโหว เพรา