“แม่ทัพน้อย ท่านใจเย็นก่อน” หลิวตงเอ่ยกับห่าวซวนก่อนจะหันไปทางแม่ทัพลี่หม่าแล้วเอ่ยเสียงแข็ง “เจ้ากลับไปค่ายทหารเดี๋ยวนี้”
ที่หลิวตงต้องรีบเอ่ยห้ามนั้น เพราะท่าทีที่ไม่กลัวของห่าวซวนทำให้เขาเกิดความข้องใจ เนื่องจากแม่ทัพของหลัวหยางโหวพาคนเข้าเมืองมาเพียง10คนเท่านั้น แต่ห่าวซวนกลับชักดาบออกมาหมายจะสู้กับแม่ทัพของเขาอย่างไม่เกร็งกลัว บวกกับคำพูดเหยียดหยามที่ท้าทายความอดกลั้นของเขาหลายครั้ง ทำให้หลิวตงสงสัยว่ายามนี้อาจมีคนของหลัวหยางโหวแอบแฝงเข้ามาในเมืองหลิวผิงแล้วก็เป็นได้
หากเกิดต่อสู้กันจริงเกรงว่าหลัวหยางโหวจะใช้ข้ออ้างนี้ยุติการแต่งงานที่หลัวฮูหยินตอบตกลงเอาไว้ และยกทัพมาตีเมืองหลิวผิงโทษฐานที่กล้าลงมือกับแม่ทัพที่เมืองอันหยางส่งมารับตัวเจ้าสาว
“แต่” ลี่หม่ามองหน้าเจ้าเมืองหลิวผิงก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปด้วยความโกรธ
“แม่ทัพน้อยอย่าได้ถือโทษโกรธแม่ทัพลี่หม่าเลย เขาเพียงไม่เข้าใจสถานการณ์เท่านั้น เรื่องทรัพย์สินเงินทองหาได้สำคัญกับเมืองหลิวผิงของเราไม่ ในเมื่อสองตระกูลผูกสัมพันธ์กันแล้ว ย่อมต้องเห็นอกเห็นใจโอนอ่อนให้กันเป็นธรรมดา”
ถึงจะถูกหยาบศักดิ์ศรีแต่หลิวตงก็ได้แต่อดกลั้นเอาไว้ เพราะต่อให้ยามนี้ในเมืองหลิวผิงไม่มีคนของหลัวหยางโหวแฝงตัวอยู่ แต่ด้วยทหารของหลัวหยางโหวที่อยู่นอกเมืองตอนนี้ หากเกิดการต่อสู้กันจริง ก็ยังมิแน่ว่าเมืองหลิวผิงจะสามารถชนะได้หรือไม่ เพราะยามนี้ทหารที่ประจำการในเมืองหลิวผิงส่วนหนึ่งได้ไปช่วยชาวบ้านอพยพภัยน้ำท่วม อีกส่วนหนึ่งก็ถูกเกณฑ์ไปช่วยทำที่พักให้ชาวบ้านที่ลี้ภัย ดังนั้นยามนี้ทหารในเมืองหลิวผิงจึงเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่ง และความสามารถในด้านการต่อสู้ก็ยังเป็นรองทหารของหลัวหยางโหวอยู่มาก หลิวตงจึงไม่อาจเสี่ยงทำการใด ๆ ได้
“ท่านเจ้าเมืองช่างรู้สถานการณ์ดีเสียจริง เช่นนั้นก็ดีข้าจะได้ไม่ต้องทำในสิ่งที่ลำบากใจ”
ห่าวซวนเองก็รู้ว่าที่เขาเอ่ยมานั้นเป็นการหยามศักดิ์ศรีของอีกฝ่ายมากเพียงใด แต่นั่นไม่ทำให้เขารู้สึกละอายใจเท่ากับการที่ยกสินสอดมาน้อยนิด เพียงเพื่อต้องการทำลายชื่อเสียงหญิงงามล้มเมืองของบุตรสาวเจ้าเมืองหลิวผิง เพราะข่าวลือเรื่องความงามที่หาผู้ใดเปรียบจนมีเจ้าเมืองหลายเมืองส่งทูตมาสู่ขอ โดยยินยอมยกดินแดนบางส่วนให้เป็นสินสอด ทว่าทูตเหล่านั้นกลับถูกเจ้าเมืองหลิวผิงปฏิเสธกลับไปทุกครา แต่บัดนี้ธิดาของเจ้าเมืองหลิวผิงกลับออกเรือนไปด้วยสินสอดที่เทียบเท่ากับบุตรสาวชาวบ้านทั่วไปจะได้รับ
หากข่าวนี้แพร่ออกไป ไม่รู้ว่าเจ้าเมืองหลิวผิงจะถูกเหล่าคนที่เคยมาสู่ขอบุตรสาวเยาะเย้ยถากถางมากเพียงใด และแม่นางน้อยที่จะต้องแต่งงานกับหลัวหยางโหวจะรับไหวหรือไม่ที่จะถูกนินทาด้วยเรื่องนี้ แต่ทว่าห่าวซวนก็มิอาจขัดคำสั่งของผู้เป็นนายได้ เขาจึงได้แต่ทำตามและทำให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้ผู้เป็นนายผิดหวัง
เรื่องที่เกิดขึ้นขณะที่ต้อนรับขบวนสินสอดดังสะพัดแพร่ไปทั่วภายในค่ำคืนเดียว แม้แต่หญิงสาวที่เก็บตัวอยู่แต่ในจวนเจ้าเมืองก็รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ข่าวนี้ทำให้ประชาชนเมืองหลิวผิงเห็นใจหลิวหลิงลี่ และทราบซึ้งในความเสียสละของนาง อีกทั้งยังชื่นชมเจ้าเมืองหลิวผิงที่ยอมทำทุกอย่าง และอดทนอดกลั้นเพื่อชาวเมืองหลิวผิงอีกด้วย
วันต่อมา
วันนี้หลิวหลิงลี่ต้องออกเรือนลาจากครอบครัวไปแล้ว ทั้งจวนประดับประดาด้วยผ้าและกระดาษสีแดงทั้งด้านในและด้านนอกจวน ชาวเมืองต่างพร้อมใจแต่งกายด้วยชุดใหม่เพื่อส่งธิดาของท่านเจ้าเมืองออกเรือน
หลิวหลิงลี่ตื่นแต่เช้ารุ่งอาบน้ำ รอบกายนางถูกรุมล้อมด้วยสาวรับใช้ที่มาช่วยกันแต่งตัวแต่งหน้าทำผม เมื่อแต่งองค์ทรงเครื่องครบถ้วนทุกอย่างแล้ว สาวรับใช้ที่มาล้อมรอบอยู่ต่างเอ่ยปากชมในความงามที่โดดเด่นจนสะดุดตา ผิวที่ขาวราวหิมะ เมื่อถูกเติมแต่งด้วยสีชาดทาปากทาแก้ม ก็ทำให้ดวงหน้าดุจบุปผาที่กำลังเบ่งบาน เสื้อผ้าแพรพรรณชั้นดีกับเครื่องประดับล้ำค่าเสริมให้หลิวหลิงลี่สวยสง่าหาใดเปรียบ
หลังจากสาวรับใช้ที่มาช่วยแต่งตัวให้หลิวหลิงลี่ออกจากห้องไป เหนี่ยวเหนี่ยวสาวใช้คนสนิทก็รีบมาเอ่ยความในใจของนางทันที
“คุณหนูข้าอยากไปกับท่าน คุณหนูพาข้าไปด้วยเถอะเจ้าค่ะ”
“เหนียวเหนี่ยว เจ้ายังมีท่านยายที่กำลังป่วยให้เจ้าต้องดูแล และอีกอย่างข้ายังไม่รู้ว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ไหนเลยจะพาเจ้าที่ข้ารักและเอ็นดูราวน้องสาวไปลำบากได้”
เดิมทีหลิวหลิงลี่ก็ไม่อยากเอาเหนี่ยวเหนี่ยวไปเผชิญความลำบากด้วย แล้วยิ่งได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้หญิงสาวยิ่งมิต้องการให้สาวใช้คนสนิทไปร่วมชะตากรรมอันโหดร้ายกับนาง
“แต่...”
“เจ้าเชื่อข้า ดูแลท่านยายของเจ้าให้ดี หากวันหน้าชีวิตของข้าราบรื่นดีจะมารับเจ้าไปอยู่ด้วย” ถึงหลิวหลิงลี่จะพอทำนายดวงชะตาของตนเองได้คร่าว ๆ แต่นางก็ยังหวังว่าชีวิตของนางจะมีปาฎิหารทำให้หลัวหยางโหวคลายทิฐิในใจลงได้
“คุณหนูจะต้องมารับข้าจริง ๆ นะเจ้าคะ ไม่หลอกข้าแน่นะคุณหนู” เหนี่ยวเหนี่ยวถามซ้ำเพื่อความแน่ใจ
หลิวหลิงลี่จับแก้มทั้งสองข้างของหญิงสาวไว้ก่อนจะบีบเบา ๆ อย่างเอ็นดู
“แน่นอน ไม่หลอกเจ้าแน่นอน” ‘หากข้ามีชีวิตที่ดีจะมารับเจ้าแน่นอน’ ประโยคหลังหลิวหลิงลี่ได้แต่เอ่ยในใจ ก่อนจะยิ้มบาง ๆ ให้สาวรับใช้คนสนิท
“เช่นนั้นตอนที่ข้ายังไม่ได้อยู่ข้างกายท่าน คุณหนูจะต้องดูแลตัวเองให้ดี ๆ นะเจ้าคะ” เหนี่ยวเหนี่ยวเอ่ยเสียงเศร้า ดวงตาของนางคลอไปด้วยน้ำใส นางเงยหน้าขึ้นเพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมาในวันงานมงคลของผู้เป็นนาย
เมื่อถึงฤกษ์มงคลหลิวหลิงลี่ก็ถูกหญิงรับใช้อาวุโสห้อมล้อมส่งตัวเจ้าสาวไปยังห้องโถงด้านหน้า โดยมีผู้เป็นบิดารอคอยอยู่ที่นั่นแต่กลับไร้เงาของน้องชาย
ถึงหลิวเลี่ยงลี่จะเข้าใจจุดประสงค์ในการแต่งงานครั้งนี้ดีแล้ว แต่ก็ยังทำใจที่จะส่งพี่สาวอันเป็นที่รักไปไม่ได้ ยิ่งได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เขายิ่งกลัวว่าตนเองจะหักห้ามใจไม่ได้ จนทำให้การแต่งงานครั้งนี้มีปัญหา จึงไม่ได้อยู่ส่งพี่สาวออกเรือน
สามวันต่อมาถึงจะรู้เรื่องจากคำสารภาพของบุรุษชุดดำทั้งสามคนแล้ว แต่หลัวหยางโหวมิได้สั่งให้จัดการอันใดกับบุรุษชุดดำทั้งสามคน เพราะในใจของเขาตอนนี้เพียงอยากหาหลิวหลิงลี่ให้พบเสียก่อน เพราะเขาไม่อยากเสียเวลาสักเสี้ยวนาทีไปกับเรื่องใดก่อนที่จะหานางเจอตลอดสามวันที่ผ่านมาหลัวหยางโหวออกคำสั่งให้คนของตนค้นหาทุกตรอกซอกมุมในเมืองหัวหมิงและเมืองอันหยาง แม้แต่เขาก็ออกตามหาอย่างไม่คิดพักผ่อน เพื่อหาหลิวหลิงลี่กับเผยไจ่เหวินให้เจอ แต่ทว่ากลับไร้วี่แวว แม้แต่คนสนิทของคุณชายรองตระกูลเผยก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยจนเฉินอี้เหรินส่งคนให้มาตามหลัวหยางโหวกลับจวน เพราะจากที่นางได้ยินคนกลับมารายงาน ทำให้ผู้เป็นมารดากลัวว่าบุตรชายของตนจะเกิดเป็นอันใดขึ้นมาก่อนที่จะหาลูกสะใภ้เจอเมื่อเป็นคำสั่งจากมารดาหลัวหยางจึงไม่อาจขัดได้ แต่ถึงอย่างนั้นบุรุษหนุ่มเจ้าเมืองอันหยางก็ยังคงให้คนของตนค้นหาต่อไป ส่วนตัวเขานั้นกลับมาที่จวนตระกูลหลัว พร้อมกับเรียกห่าวซวนกลับมาด้วย เพราะหลัวหยางโหวไม่คิดจะปล่อยคนที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ไปแม้เพียงคนเดียว จึงได้เรียกแม่ทัพห่าวซวนกลับมาเพื่อเตรียมกำลังพลส่วนทางด้านเสี่ยวหลี่กับจงเอ่าสาม
“ท่านเบาเสียงลงหน่อย นายหญิงยังสบายดีอยู่” เสี่ยวหลี่เอ่ยเสียงเบา ๆ แต่คนฟังได้ยินชัดเจนจงเอ่าหยุดดิ้นทันที ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความดีใจ “เจ้าไม่ได้หลอกข้าใช่หรือไม่?”เสี่ยวหลี่พยักหน้าตอบก่อนจะนั่งลงที่เดิม จงเอ่ารีบนั่งลงข้าง ๆ สาวใช้อายุน้อยกว่า เสี่ยวหลี่จึงถือโอกาสที่ฟางเซียวไม่อยู่รีบเล่าเรื่องทั้งหมดให้จงเอ่าฟัง ครั้นสตรีอายุมากกว่าได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ทั้งสองจึงร่วมกันวางแผนว่าจะออกไปจากจวนตระกูลหลัวเมื่อใดดี เพราะหากออกไปยามนี้ก็จะดูน่าสงสัยเกินไปเมื่อทั้งสองตกลงกันว่าก่อนน้องชายของหลิวหลิงลี่จะกลับเมืองหลิวผิง สาวใช้ทั้งสองจะขอหลัวฮูหยินออกจากจวน และแบ่งเงินให้คนรับใช้ในเรือนตะวันตกก่อนออกจากจวน ตามที่หลิวหลิงลี่ได้บอกเอาไว้ แต่ตอนนี้สิ่งที่พวกนางต้องทำคือนำเงินไปให้สำนักคุ้มกันสินค้า เพื่อส่งไปให้เผยไจ่เหวินตามที่หญิงสาวจากเมืองหลิวผิงสั่งเอาไว้ทางด้านฟางเซียวเมื่อเขามาถึงลานกว้างที่บุรุษชุดดำนั่งคุกเข่าอยู่ ก็ไม่รอช้าที่จะถามพวกเขาถึงคนที่อยู่เบื้องหลัง เมื่อชายชุดดำทั้งสามมิยอมเอ่ยอันใด แม่ทัพหนุ่มก็ไม่คิดถามให้เสียเวลา เขาเดินไปหยิบแส้ขึ้นมา ก่อนจะออกแรงตวัดข
หลังจากเผยไจ่เหวินแยกทางกับหลิวหลิงลี่เขาได้เดินทางอ้อมกลับไปยังเมืองอันหยาง ทว่าเขามิได้เข้าไปด้านในเมืองด้วยตนเอง คุณชายรองตระกูลเผยเพียงส่งหลงอินเข้าไปในเมืองอันหยางเพื่อแจ้งข่าวให้ไป๋ฉินหลันได้รู้ ส่วนเผยไจ่เหวินนั้นได้ส่งข่าวให้กับพี่ชายต่างมารดาด้วยนกพิราบทว่าหลงอินเข้าเมืองไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ต้องรีบกลับออกมา เมื่อเขาพบว่าจวนรับรองที่ไป๋ฉินหลันพักอยู่นั้นถูกคนของจวนหลัวควบคุมเอาไว้ อีกทั้งบริเวณใกล้ ๆ กับโรงเตี๊ยมที่เขากับเผยไจ่เหวินเคยพักอยู่นั้นก็เต็มไปด้วยทหารของหลัวหยางโหวเมื่อเผยไจ่เหวินได้ยินหลงอินเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นภายในเมืองอันหยาง เขาก็ไม่รอช้าที่จะเดินทางไปยังเมืองหยวนสุ่ยตามที่หลิวหลิงลี่ได้บอกเอาไว้ เพราะก่อนหน้านี้ในใจของเขายังคงมีความหวังอยู่เล็ก ๆ ว่าสตรีจากเมืองหลิวผิงจะคาดเดาเรื่องที่ญาติผู้น้องของเขาคิดจะโยนความผิดทุกอย่างมาให้เขาแต่เพียงผู้เดียวผิดพลาดไป แต่ยามนี้เขารู้แล้วว่าหลิวหลิงลี่มีความรู้ไม่ต่างจากบิดาของนางเลย ที่อ่านสถานการณ์ได้ดียิ่งนักในขณะที่รถม้าของเผยไจ่เหวินกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองหยวนสุ่ย บุรุษหนุ่มได้เปิดผ้าม่านหน้าต่างของรถม้าออก เ
ในเมื่อเฉินอี้เหรินมั่นใจเต็มสิบส่วนแล้วว่าหลิวหลิงลี่มิได้เป็นอันใด สตรีวัยกลางคนจึงคิดว่าหากนางยังสอบสวนต่อไปก็ไม่ได้อันใดขึ้นมา อีกทั้งเพราะความตกใจบวกกับความกังวลที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้นางรู้สึกอ่อนแรงเป็นอย่างมาก สตรีวัยกลางคนจึงได้ทีปลีกตัวกลับเรือนไปพักผ่อน“เช่นนั้นฝากแม่ทัพฟางเซียวจัดการคนชุดดำเหล่านั้นด้วย หากพวกมันปากแข็งมิยอมสารภาพ เจ้าจะใช้วิธีการใดก็ตามใจเจ้า ขอเพียงได้คำตอบจากพวกมันมาให้ข้าก็พอ”เฉินอี้เหรินเอ่ยกับแม่ทัพอายุน้อย นางรู้ดีว่าถึงฟางเซียวจะอายุน้อยที่สุดในบรรดาแม่ทัพของบุตรชายทั้งหมด แต่ทว่ายามประจันหน้ากับศัตรู ฟางเซียวก็โหดเหี้ยมได้ไม่แพ้แม่ทัพคนอื่น ๆ เลย“ขอรับ ข้าจะไม่ทำให้ฮูหยินผิดหวังขอรับ” ฟางเซียวตอบพร้อมประสานมือเฉินอี้เหรินยิ้มให้แม่ทัพอายุน้อยก่อนจะหลุบตาลงต่ำ มองดูไป๋ฉินหลัน แล้วผินหน้าไปหาสาวใช้วัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างตนเอง“อ้ายเหลียน ประเดี๋ยวเจ้าให้คนจัดห้องให้ ‘บุตรีเจ้าเมืองอันป๋อ’ ในจวนหลัวด้วย หากยังไม่อาจจับคนร้ายได้ ก็ให้นางอยู่ที่นี่ไปสักพัก” เฉินอี้เหรินจงใจเอ่ยเน้นตรงบุตรีเจ้าเมืองอันป๋อ เพื่อให้ไป๋ฉินหลันได้รู้ว่ายามนี้นางได้ขีด
“ความจริงข้าน้อยก็พอจะจำคำสนทนาของนายหญิงกับหัวหน้าโจรผู้นั้นได้รางๆ นะเจ้าคะ แต่ไม่รู้ว่าที่ได้ยินมานั้นใช่เรื่องจริงหรือไม่” เสี่ยวหลี่แสร้งเอ่ยตอบหลัวฮูหยิน“เจ้าได้ยินมาเช่นไร ไหนลองเล่ามาให้ข้าฟังหน่อยซิ” เฉินอี้เหรินเอ่ยถามด้วยความอยากรู้“ตอนที่ข้าน้อยสลบอยู่ได้ยินนายหญิงเอ่ยถามโจรผู้นั้นว่าต้องการอันใดถึงทำเช่นนี้ หากเป็นเงินทองนายหญิงจะให้เท่าที่พวกเขาต้องการ แต่คนผู้นั้นกลับบอกว่าเขาไม่ต้องการอันใด เพียงแค่อยากสังหารนายหญิงเพื่อให้เจ้านายของพวกเขาได้ขึ้นมาเป็นนายหญิงของจวนหลัวแทนเจ้าค่ะ”เสี่ยวหลี่จำได้ว่าคนที่ใส่ชุดดำบนเขาฮุ่ยหมิงเป็นคนของเผยสิงเวย และระหว่างที่นางเดินทางกลับมาที่จวน สาวใช้อายุน้อยเห็นว่าคนเหล่านั้นถูกจับได้แล้ว หากเป็นไปตามที่หลิวหลิงลี่คาดเดาเอาไว้จริง ๆ คนเหล่านั้นจะต้องใส่ความเผยไจ่เหวินอย่างแน่นอน ต่อให้ไป๋ฉินหลันจะอ้างว่าญาติผู้พี่ของตนเป็นคนบ้าตัณหา พอเห็นรูปโฉมของหลิวหลิงลี่จึงได้คิดเรื่องบ้า ๆ เช่นนี้ขึ้นมา แต่มีหรือหลัวฮูหยินจะเชื่อคำแก้ต่างของสตรีจากเมืองอันป๋อทั้งหมด เมื่อได้ยินสิ่งที่นางได้พูดไปเมื่อครู่เสี่ยวหลี่มิได้คาดหวังว่าหลัวฮูหยินจะต้อ
ถึงไป๋ฉินหลันจะรู้สึกเจ็บแค้นที่ถูกสาวใช้ข้างกายของเฉินอี้เหรินต่อว่า แต่นางก็ไม่อาจตอบโต้ได้ หญิงสาวทำได้เพียงแต่ตอบคำถามของหลัวฮูหยินที่ยังค้างอยู่“ท่านป้าคงเคยได้ยินชื่อเสียงของพี่รองมาแล้ว เช่นนั้นก็คงรู้ว่าพี่รองเป็นคนเช่นไร เขาบอกหลานว่าเมืองอันหยางยามนี้เจริญขึ้นมาก จึงอยากมาเปลี่ยนบรรยากาศและเปิดหูเปิดตา และบังเอิญพี่รองรู้ว่าหลานก็มาที่เมืองอันหยางเช่นกัน จึงได้แวะมาหาหลานที่เรือนรับรอง”“แล้วตอนนี้คุณชายรองเผยอยู่ที่ใดเจ้าคะ” จางอ้ายเหลียนรู้ว่าเฉินอี้เหรินคงอยากรู้จึงได้เอ่ยถามแทน“ข้าเองก็ไม่รู้เจ้าค่ะ ครั้งก่อนที่เจอกัน พี่รองบอกว่าเขาพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมแถวย่านหอคณิกา ข้าจึงไม่ได้ถามต่อเจ้าค่ะ” ไป๋ฉินหลันเอ่ยตอบจางอ้ายเหลียนด้วยน้ำเสียงนอบน้อม“เจ้าไปแจ้งพ่อบ้านให้พาคนไปตามหาคุณชายรองเผยที่โรงเตี๊ยมแถวย่านหอคณิกา หากพบคุณชายรองเผยแล้วให้เชิญคุณชายมาที่จวน” จางอ้ายเหลียนเอ่ยสั่งสาวใช้ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆหลังจากที่สาวใช้ผู้นั้นออกไปทำตามคำสั่งของจางอ้ายเหลียน สาวใช้อีกคนก็เดินเข้ามารายงานกับเฉินอี้เหริน“ฮูหยินเจ้าคะ แม่ทัพฟางเซียวได้พาเสี่ยวหลี่กลับมาที่จวนแล้วเจ้าค่ะ ทว่านา