หนึ่งสัปดาห์หลังจากงานศพของนลิน ในมุมมืดของห้องอาหารหรูในโรงแรมใจกลางเมือง โต๊ะสำหรับแขกคนสำคัญสองคนถูกจัดไว้อย่างพิถีพิถัน
แชนเดอเลียร์คริสตัลเหนือศีรษะเปล่งประกายระยิบระยับ ส่องผ่านโต๊ะอาหารที่คลุมด้วยผ้าขาวสะอาดไร้ที่ติ แสงไฟสลัวสีทองอบอุ่นสะท้อนแก้วไวน์แดงที่ตั้งอยู่บนโต๊ะอย่างประณีต เสียงดนตรีเปียโนดังคลอเบาๆ เสียงหัวเราะของคนสองคนแทบจะกลืนหายไปกับเสียงกระซิบจากโต๊ะรอบข้าง
ชายหนุ่มในสูทดำเรียบหรูนั่งอยู่ที่โต๊ะนั้น เขายิ้มบางๆ ด้วยท่าทางผ่อนคลาย ขณะรินไวน์ให้หญิงสาวซึ่งนั่งฝั่งตรงข้าม
มีนาอยู่ในชุดราตรีสีมรกต สีหน้าทอประกายพึงพอใจ เธอยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ แสยะยิ้มสาสมใจออกมาอย่างไม่คิดจะเก็บซ่อนสีหน้าไว้อีก
“สมบูรณ์แบบ” พีระกระซิบเบาๆ น้ำเสียงเผยความเหี้ยมเกรียม “ทุกอย่างเข้าที่ พ่อของเธอก็เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุจริงๆ”
“ดี” มีนายิ้ม ยกแก้วชูขึ้นตรงหน้าอีกฝ่าย “ต่อไปก็แค่รอเอกสารโอนหุ้นกับทรัพย์สินทั้งหมด เธอไม่มีพินัยกรรมใหม่อยู่แล้วใช่มั้ย?”
“ไม่มี” เขายิ้มอย่างมั่นใจ
“ฉันตรวจแล้ว เธอยังใช้พินัยกรรมเดิม ที่ระบุว่าฉันเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ทั้งหมดในกรณีเธอเสียชีวิตก่อนแต่งตั้งทายาท”
เสียงแก้วไวน์ชนกันเบาๆ ดังขึ้น มีนาส่ายศีรษะ แสร้งทำทีทอดถอนใจ
“ดีจังเลยนะ... ความรักนี่มันทำให้คนตาบอดจริงๆ”
พีระยิ้มรับราวกับภาคภูมิใจนักหนา เขาหยิบซองเอกสารออกมาวางบนโต๊ะอย่างเยือกเย็น นิ้วมือเคาะลงบนนั้นสองสามครั้ง สร้างจังหวะให้คู่สนทนาตื่นเต้นตาม
ในซองนั้น คือเอกสารการโอนทรัพย์สินทั้งหมดของนลิน
ทั้งคฤหาสน์ บ้านพักตากอากาศ บัญชีเงินฝาก หุ้นในบริษัท รวมถึงที่ดินอีกหลายแปลงที่พ่อเธอเคยซื้อไว้ให้
และไม่ใช่เพียงเท่านั้น
ด้วยความรู้สึกผิดที่เจ้าสัวประเสริฐมีต่อลูกสาว เขาทำได้เพียงชดเชยมันให้กับลูกเขยของตนแทน
มันเป็นเพราะความเชื่อใจ และเป็นการตอบแทนความรักที่อีกฝ่ายมีให้แก่ลูกสาวของเขา
พีระกลายเป็นรองประธานบริษัทในพริบตา มีสิทธิ์ในการตัดสินใจทุกอย่างเทียบเท่ากับนลินในสมัยที่เธอยังอยู่
รอยยิ้มมุมปากผุดขึ้นช้าๆ ในขณะที่พีระเปิดอ่านเอกสารหน้าแล้วหน้าเล่าอย่างใจเย็น เขาไม่ได้ยิ้มเพราะดีใจ แต่เป็นเพราะรู้ว่าเกมนี้... เขาชนะตั้งแต่ก่อนจะเริ่ม
เสียงแก้วไวน์ชนกันดังขึ้นอีกครั้ง บรรยากาศระหว่างทั้งคู่ช่างดูรื่นเริง
การฉลองในคำคืนนี้เป็นการฉลองให้แก่ตำแหน่งใหม่ของเขา ฉลองให้แก่แผนการที่ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์
ชายหนุ่มไม่มีแม้แต่ความรู้สึกผิด ไม่มีกระทั่งเศษเสี้ยวของความเสียใจ ในดวงตาคู่สวยที่นลินเคยหลงรัก มีเพียงความพึงพอใจที่สามารถคว้าทุกสิ่งทุกอย่างมาไว้ในกำมือ
ชื่อเสียง บริษัท เงินทอง ทั้งยังได้ตัดขาดจากผู้หญิงน่ารำคาญที่เขาไม่เคยรัก จะมีอะไรในโลกดีไปกว่านี้ได้อีก
“อีกไม่นาน บริษัทนี้ก็จะกลายเป็นของคุณแล้วค่ะ”
✤
และในมุมหนึ่งของโต๊ะอาหารนั้น เงาของนลินยืนมองสองคนตรงหน้าด้วยดวงตาแน่นิ่ง
เธอไม่ได้ร้องไห้อีกแล้ว ไม่มีคำถาม ไม่มีคำขอความรัก มีเพียงความเงียบ... ที่หนักแน่นกว่าเดิม
เธอเห็นภาพทุกอย่าง เห็นรอยยิ้มที่พีระไม่เคยให้เธอ เห็นคำพูดที่เขาเคยหลอกใช้ในตอนจีบมาใช้ซ้ำอีกครั้งกับมีนา แม้แต่คำว่า “ผมโชคดีที่มีคุณ” ก็ยังเหมือนเดิม
ไม่สิ ต้องบอกว่าสิ่งที่เขาปฏิบัติกับเธอ คือสิ่งเดียวกับที่เขาปฎิบัติต่อมีนานไม่ผิดเพี้ยน
ความรักที่พีระมอบให้นลินนั้นเป็นของจริงแท้แน่นอน แต่นั่นไม่ได้มีไว้เพื่อเธอ มันเป็นความรักที่เขามอบให้กับบุคคลที่อยู่เบื้องหลังแผนการต่างหาก
ความอ่อนโยนทั้งหมดเหล่านั้น... คือสิ่งที่เขามอบให้มีนานผ่านเธอก็เท่านั้น
ความจริงที่ได้รู้มันน่าเจ็บแค้นจนนลินเผลอกำมือแน่น แน่นเสียจนหากวิญญาณยังมีเลือดเนื้อ เล็บคมของหญิงสาวคงได้จิกเนื้อตัวเองจนเลือดอาบ
มองหญิงชั่วชายเลวที่ดื่มฉลองกันอย่างมีความสุข ดวงตาของนลินแดงก่ำด้วยความคั่งแค้น
เธอจะต้องแก้แค้นให้ได้
ต่อให้เธอตายไปแล้ว ก็อย่าหวังว่าคนพวกนี้จะได้สมบัติของเธอไปแม้แต่แดงเดียว
✤
ดึกสงัดคืนนั้น สายลมหยุดเคลื่อนไหว บรรยากาศวังเวงกว่าทุกทีจนน่าขนลุก
แรงอาฆาตแค้นของนลินสูงพอที่จะปลุกบางสิ่งที่ไม่สมควรปลุกให้ตื่นขึ้นมา
ติ๊ก... ต๊อก… ติ๊ก... ต๊อก...
เสียงนาฬิกาโบราณดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด ในบ้านพ่อของเธอ เข็มของนาฬิกาที่ควรจะตายไปนานแล้วขยับช้าๆ ในความเงียบงัน ดังสะท้อนก้องอยู่ภายในห้อง
เข็มยาวเริ่มเคลื่อนไปช้าๆ จนตรงกับเลขสิบสอง เสียงตีของนาฬิกาดังกังวาน ทิ้งหางเสียงสะท้อนยาวน่าขนลุกเหมือนดั่งระฆังในโบสถ์ร้าง
และวิญญาณของนลิน ก็หายวับไปกับสายลมเย็นยามค่ำคืน
ในต่างจังหวัดที่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร เด็กสาวคนหนึ่งสะดุ้งตื่นกลางดึก ลินดา หอบหายใจแรง ร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ ดวงตาสับสนอย่างคนที่เพิ่งตื่นจากความฝันมันเป็นฝันที่แสนประหลาด ยาวนานและเต็มไปด้วยความทรงจำ ราวกับเป็นสิ่งเกิดขึ้นจริงในชีวิตของเธอแต่มันไม่ใช่ความทรงจำของเธอภาพของงานแต่ง ภาพของชายคนหนึ่งที่จูบมือเธอใต้แสงเทียน ภาพชีวิตคู่อันแสนสุข และภาพสุดท้าย...แสงจ้าของไฟหน้ารถที่สาดสว่างจนทุกสิ่งเบื้องหน้ากลายเป็นสีขาวโพลนเสียงอุบัติเหตุ พร้อมเสียงหัวเราะของใครบางคนลินดากุมขมับ หายใจหอบ น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว“นี่มัน... ความฝันอะไร...” เธอกระซิบแต่เสียงในหัวกลับตอบมาแผ่วเบา“ไม่ใช่ความฝัน... นี่คือความทรงจำของฉัน”ในชั่ววินาทีนั้น ดวงวิญญาณของนลินได้ประสานรวมกับลินดาเป็นหนึ่งเดียวกันราวกับควรเป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่แรก“ลินดา เธอจะช่วยฉันแก้แค้นได้ไหม”✤ลินดา นั่งเหม่อลงมองมือของตัวเองในกระจกเงาบานเล็ก เธอจำได้แม่นถึงสัมผัสของแหวนวงหนึ่งที่เคยสวมอยู่ตรงนิ้วนางข้างซ้ายแต่ตอนนี้ ไม่มีอะไรเลยต่อให้หลักฐานทุกอย่างจะบอกชัดว่าเธอคือลินดา และยังคงเป็นลินดาคนเดิม แต่สิ่งต่างๆ ที
“ช่วยฉัน แล้วเธอจะได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมี ลินดา”น้ำเสียงนั้นดุจดังเสียงกระซิบของปีศาจ...เสียงกระซิบจากห้วงนรกอันมืดมิดมันเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและอาฆาตแค้น ปะปนกันจนเธอไม่สามารถระบุอารมณ์ภายในนั้นได้รู้แต่เพียงว่ามันกระทบใจของเธออย่างแรง รุนแรงมากเสียจนเธอไม่สามารถสะกดกลั้นความรู้สึกไว้ได้อีกลินดาเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า หยาดน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาที่เหม่อลอย เอ่ยคำตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงไม่ต่างจากกำลังละเมอ“ฉันตกลง”สิ้นคำนั้น สายลมแรงก็พุ่งปะทะร่างของหญิงสาวจนเธอแทบล้มลงไปกับพื้น ทั้งที่เธออยู่ในบ้านที่ปิดประตูหน้าต่างสนิทแต่ลินดากลับไม่นึกสงสัยเธอรับรู้ได้ว่าเธอกลายเป็นหนึ่งเดียวกับนลินโดยสมบูรณ์✤ก้าวแรกของแผนการคือการที่เธอต้องหาวิธีใกล้ชิดกับอดีตสามีมากที่สุดและช่างบังเอิญเหลือเกินที่พ่อของเธอได้ตระเตรียมเส้นทางนั้นเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้วการประกาศรับพนักงานใหม่ ช่างเหมาะสมกับสถานการณ์ของลินดาในตอนนี้อย่างที่สุดหลังจากเตรียมตัวหลายสัปดาห์ หญิงสาวร่างสูงระหงก็มาหยุดยืนอยู่หน้าอาคารสูงกลางกรุงเทพ บนมือถือแฟ้มใบสมัครงานของบริษัทจิราธิวัฒน์กรุ๊ปไว้มั่นลินดาสวมเสื้
หลังจากการสัมภาษณ์ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ลินดาก็ได้รับสายโทรศัพท์จากบริษัท เธอถูกรับเข้าทำงานตามที่คาด“ยินดีต้อนรับเข้าสู่จิราธิวัฒน์กรุ๊ปค่ะ”น้ำเสียงสุภาพของพนักงานฝ่ายบุคคลดังมาตามสาย ลินดายิ้มกว้างแม้อีกฝ่ายจะมองไม่เห็น เอ่ยขอบคุณตอบกลับไปโดยที่หัวใจเต้นรัวจนแทบกระดอนออกจากอกแม้จะคาดการณ์ถึงผลลัพธ์ได้ตั้งแต่แรก ทว่าแผนการที่ดำเนินไปอย่างราบรื่นก็ทำให้เธอมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกความตื่นเต้นของเธอคล้ายจะส่งต่อไปยังคนที่อยู่ปลายสายได้ เสียงของอีกฝ่ายจึงเจือไปด้วยความเอ็นดู ขณะอธิบายตำแหน่งงานให้เธอฟังคร่าวๆ“คุณได้เข้าทำงานในฝ่ายธุรการค่ะ...”✤คืนนั้น ลินดานอนไม่หลับหญิงสาวนั่งอยู่ลำพังบนระเบียงหอพักเก่าๆ ที่เธอเช่ามาด้วยเงินอันน้อยนิดที่มีอยู่สายลมกลางคืนพัดผ่านเส้นผมของเธอเบาๆ แม้เวลาจะล่วงเข้าสู่ตีหนึ่ง แต่แสงไฟก็ยังสว่างจ้าอยู่ริมถนน รถยังคงแล่นผ่านไปมาตลอดเวลา รอบกายเต็มไปด้วยเสียงเครื่องยนต์ และเสียงคนพูดคุยดังแว่วมาที่ไกลๆนี่คือบรรยากาศของเมืองหลวงที่นลินแสนคุ้นเคยแต่เมื่อเทียบกับความเงียบสงบในต่างจังหวัดซึ่งลินดาอยู่มาทั้งชีวิต มันกลับให้ความรู้สึกที่ทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นอ
รอยยิ้มใสซื่อของหญิงสาวช่างดูบริสุทธิ์จนพีระถึงกับเหม่อลอยไปครู่หนึ่งชั่ววูบนั้นเขาเผลอนำมันไปเทียบเคียงกับรอยยิ้มในความทรงจำของเขา...รอยยิ้มบางเบาอันแสนไร้เดียงสาของอดีตภรรยามันไม่ใช่รอยยิ้มที่ฉาบไว้ด้วยมารยา ไม่ได้เร้นซ่อนเล่ห์กล หรือปรุงแต่งให้ดูงดงามจนเกินจริง ทว่ามันคือรอยยิ้มที่บริสุทธิ์เสียจนทำให้บรรยากาศรอบกายคล้ายจะหยุดนิ่งไปในพริบตานั้นรอยยิ้มของคนที่มองเขาเป็นโลกทั้งใบเมื่อเห็นว่าชายร่างสูงดูชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มของลินดาก็ยิ่งกดลึกวันนี้เธอตั้งใจแต่งตัวให้เรียบง่ายเป็นพิเศษ แต่งหน้าเพียงเบาบาง เส้นผมผูกเป็นหางม้าเรียบร้อย ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีสิ่งใดโดดเด่นหากแต่นั่นคือความโดดเด่นหญิงสาวรู้จักรสนิยมของคนตรงหน้าดี เธอรู้ว่าสไตล์นี้ไม่ใช่สไตล์ที่เขาชอบเธอไม่ได้แต่งตัวมาเพื่อพีระแต่แต่งมาเพื่อหญิงสาวอีกคนที่ก้าวตามมาต่างหากมีนาหรี่สายตามองพนักงานใหม่อย่างสำรวจ พึงพอใจไม่น้อยที่อีกฝ่ายเป็นแค่สาวชาวบ้านหน้าจืดๆ คนหนึ่ง“ยินดีต้องรับเข้าทำงานวันแรกนะคะคุณลินดา”เลขานุการสาวแย้มรอยยิ้มเหนือกว่า ก้าวเดินตามรองประธานเข้าไปในห้องส่วนตัวสำหรับผู้บริหาร ท่ามกลางสา
หลังจากเริ่มงานเพียงไม่กี่วัน ลินดาก็เริ่มซึมซับจังหวะชีวิตใหม่ในเมืองหลวงและปรับตัวได้อย่างดีเยี่ยม เธอเรียนรู้งานอย่างรวดเร็ว และเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงานและรุ่นพี่ในแผนกอย่างไม่ยากเย็นใบหน้านิ่งสงบของเธอซ่อนความคิดซับซ้อนเอาไว้ภายใต้แววตาอ่อนโยนเสมอทุกเช้า ลินดาจะเดินเข้าบริษัทพร้อมใบหน้าสดใส ท่าทางเรียบร้อยไร้พิษภัยในสายตาคนอื่นแต่ในมือของเธอซ่อนสมุดโน้ตเล่มเล็กไว้เสมอ สมุดเล่มนั้นไม่ได้มีแค่ข้อความจดงาน แต่เป็นบันทึกส่วนตัวที่เธอใช้เก็บข้อมูลของพีระและมีนา คู่รักที่ครั้งหนึ่งเคยพรากทุกอย่างไปจากเธอหลังเลิกงาน วันแล้ววันเล่า เธอจะนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นานกว่าปกติ อ้างว่ากำลังศึกษาระบบงานใหม่ แต่ในความจริงแล้ว ลินดากำลังเข้าถึงข้อมูลภายในบริษัทอย่างเงียบเชียบเธอเริ่มจากแฟ้มโครงสร้างองค์กร ไล่เรียงรายชื่อผู้บริหาร ทีมงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับโปรเจกต์ใหญ่ที่พีระดูแล รวมถึงตรวจสอบการเซ็นอนุมัติเอกสารย้อนหลังในระบบออนไลน์ และจดชื่อคนที่มักมีชื่อแนบกับเอกสารของพีระบ่อยครั้งลงสมุดเงียบๆในทุกวัน ตัวอักษรใหม่ๆ จะค่อยๆ ถูกเติมเต็ม...ราวกับแผนการที่กำลังค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่าง✤ยามค
หลายวันผ่านไปอย่างเงียบเชียบ ลินดา ‘บังเอิญ’ พบกับพีระในร้านกาแฟบ่อยครั้งจนน่าแปลกใจเธอยังคงสั่งเมนูเดิม ใส่ไซรัปครึ่งปั๊มลงในอเมริกาโน่เย็นอย่างที่ตัวเองไม่ชอบเลยสักนิดแต่เธอรู้ดี...คนที่ชอบอะไรเหมือนๆ กัน มักจะดึงดูดเข้าหากันได้อย่างง่ายดายเหมือนกับพีระที่เริ่มเป็นฝ่ายแอบมองเธอก่อนบ้างแล้วและนั่นคือสัญญาณให้เธอเริ่มการกระทำขั้นถัดไป✤ในวันนี้ ลินดายืนรอที่หน้าเคาน์เตอร์ร้านกาแฟในตึกสำนักงานใหญ่ของบริษัทเช่นเดิมกลิ่นหอมกรุ่นของเมล็ดกาแฟคั่วบดลอยอบอวลปะปนไปกับเสียงพูดคุยของพนักงานที่ยืนต่อคิวกันยาวเหยียด เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนดูหน้าจอเหมือนกำลังเช็คข้อความอย่างไร้จุดหมาย ทว่าสายตากลับจับจ้องไปยังชื่อที่บาริสต้ากำลังเขียนบนสติ๊กเกอร์แก้วอย่างไม่ละสายตาหญิงสาวนิ่งรออย่างใจเย็น รอจังหวะที่เครื่องชงหยุดทำงาน ก่อนจะเห็นพนักงานวางแก้วสองใบเรียงกันตรงหน้าอเมริกาโน่เย็นสองแก้ว แก้วหนึ่งไม่ใส่น้ำตาล และอีกแก้วที่ใส่ไซรัปครึ่งปั๊ม ชื่อของเขาและของเธอสะกดอยู่บนสติ๊กเกอร์อย่างชัดเจนเธอก้าวเข้าไปช้าๆ ราวกับไม่ได้คิดอะไร สายตายังคงแสร้งจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์ ก่อนที่มือเรียวจะยกแก้วขึ้นอ
หลังจากเข้าทำงานได้ไม่นาน ลินดาก็พิสูจน์ตัวเองผ่านผลงานหลายชิ้นอย่างเงียบๆเธอเรียนรู้งานรวดเร็ว ช่างสังเกต และจดจำรายละเอียดได้แม่นยำ แม้แต่พนักงานรุ่นพี่ที่เคยทำงานมานานยังอดเอ่ยปากชมไม่ได้“ลินดา นี่เธอเก็บข้อมูลลูกค้าได้ละเอียดกว่าพี่อีกนะ”“ใช่สิ เธอทำสรุปรายงานเร็วแล้วก็เนี๊ยบมาก ไม่ต้องให้แก้แทบเลย”คำชมที่ได้ยินบ่อยๆ บ่งบอกว่าเธอกลายเป็นคนที่เพื่อนในทีมไว้วางใจให้รับผิดชอบงานสำคัญมากขึ้นทีละขั้นพีระเองก็สังเกตเธอมากขึ้นเช่นกัน จากที่มักมาวนเวียนอยู่ที่ฝ่ายเอกสาร ทั้งที่ไม่มีเรื่องสำคัญให้ผู้บริหารระดับสูงอย่างเขาจะต้องแวะมาที่นี่ด้วยตัวเองชายหนุ่มมักหาข้ออ้างที่จะเดินผ่านโต๊ะของลินดา ในบางครั้งก็จะเหลือบมองแฟ้มงานของเธออยู่บ่อยๆ เห็นแล้วก็อดจะนึกชื่นชมไม่ได้รายงานของลินดานั้นจะมีลักษณะเฉพาะตัว ทั้งกระชับ เข้าใจง่าย และวางข้อมูลอย่างเป็นระบบ เป็นเอกลักษณ์ในแบบที่เห็นก็จำได้ในทันที“งานนี้เธอเป็นคนสรุปใช่ไหม” รองประธานหนุ่มเอ่ยขึ้นในที่ประชุมวันหนึ่ง ขณะพลิกเอกสารตรวจดูลินดาพยักหน้า “ค่ะ ดิฉันรวบรวมข้อมูลจากฝ่ายวิจัยและสถิติเอง แล้วเรียบเรียงใหม่เพื่อให้อ่านง่ายขึ้นค่ะ”ชายห
“วันนี้ผมจะประกาศแต่งตั้งผู้ช่วยส่วนตัวคนใหม่”ในการประชุมกรรมการบริหาร รองประธานหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นทางการทว่าชัดเจนเสียงฮือเบาๆ ดังขึ้นในห้อง หลายคนหันไปกระซิบกันใครๆ ต่างก็รู้ว่านับตั้งแต่พีระขึ้นมาเป็นรองประธาน ชายหนุ่มยังไม่เคยแต่งตั้งผู้ช่วยมาก่อนเลย แม้จะมีคนคอยเตือนอยู่ตลอดก็ตามข้างกายของเขามีเพียงมีนาผู้เป็นเลขาคนสนิทเท่านั้นแต่ครั้งนี้... เงาร่างของหญิงสาวที่บางคนรู้จักดีกลับปรากฎอยู่ข้างกายเขา“เธอคือลินดา เจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรการของบริษัทเรา ผมสังเกตการทำงานของเธอมาตั้งแต่เธอเริ่มเข้ามาทำงานแล้ว ผมมั่นใจว่าเธอสามารถรับหน้าที่นี้ได้ดี”เพียงจบประโยคนั้น เสียงปรบมือก็ดังขึ้นทั่วห้องประชุมแม้จะมีสายตาที่มองมาลินดาด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้รับความไว้วางใจจากผู้บริหารรวดเร็วขนาดนี้ แต่หลายคนก็ตบมือให้ด้วยความเต็มใจ เพราะต่างก็เห็นลินดาขยันขันแข็งและทุ่มเทให้กับงานอย่างจริงจังมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงานจนถึงวันนี้ หญิงสาวไม่เคยปฏิเสธงานแม้แต่งานเดียว ไม่เคยโวยวายเรื่องความเหนื่อยล้า และเรียนรู้ระบบภายในบริษัทได้อย่างรวดเร็วราวกับมืออาชีพที่สั่
“คุณเชื่อผมจริงๆ เหรอครับ”พีระเอ่ยเสียงพร่า ดวงตาเปล่งประกายวูบไหว ขณะยื่นมือมากุมมือเธอไว้แน่น“ฉันเชื่อคุณค่ะ”เสียงของลินดานุ่มนวล ราบเรียบ แต่แฝงไปด้วยความอบอุ่นที่ทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนได้รับการปลอบโยนเธอกุมมือเขาตอบเบาๆ ส่งผ่านความเชื่อมั่นอันบริสุทธิ์ให้เขาผ่านนิ้วมือที่สอดประสานกันชั่ววินาทีนั้น บางสิ่งบางอย่างในใจของพีระพลันสั่นไหว ราวกับว่าคำพูดของเขาไม่ได้เป็นการเสแสร้งอีก... หากแต่เป็นความรู้สึกที่แท้จริงชายหนุ่มชะงักงัน เขาพลันตระหนักได้ว่าเขาตกหลุมรักลินดาเข้าแล้วจริงๆลินดาคล้ายไม่รับรู้ความเปลี่ยนแปลงนี้ของชายหนุ่ม สีหน้าของเธอยังเชื่อมั่นและเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย นำพาความอบอุ่นและปลอดภัยแผ่กระจายไปสู่ชายอีกคนผ่านฝ่ามือที่สอดประสานกันพีระเหม่อลอยไปชั่วขณะ ปลายนิ้วของเขาสั่นเล็กน้อยขณะไล้หลังมือของเธอ ราวกับกลัวว่าสัมผัสนั้นจะหลุดลอยไปในวินาทีนั้น ชายหนุ่มเชื่ออย่างสนิทใจว่าลินดาคือคนเดียวที่เขาเชื่อใจได้เขาโน้มตัวเข้ามาอีกนิด ใกล้เสียจนลมหายใจของทั้งคู่แทบประสานกัน เหมือนอยากยึดเอาความอบอุ่นนั้นเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ดวงตาที่เคยคมกริบเต็มไปด้วยความอ้อนวอน ความต้
“ทั้งเรื่องการยักยอกค่าก่อสร้าง การปลอมแปลงยอดเช่า และเรื่องบริษัทภายนอกที่ตรวจสอบไม่ได้...”พีระสูดหายใจลึก มองเธอด้วยสายตาสั่นไหว เขาเอ่ยเบาๆ ดั่งคนสารภาพบาป“ถ้าเกิดว่า... ทุกอย่างนั้น ผมทำจริงๆ ล่ะครับลินดา”ลินดาชะงักงัน ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างคนที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ยินคำพูดนี้เธอไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะพูดอะไรแบบนี้ตรงๆ ราวกับไม่ต้องการแก้ตัว ไม่ต้องการหลีกเลี่ยง ไม่แม้แต่จะปกปิดพีระหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะที่ไม่ถึงดวงตา และในชั่วขณะหนึ่ง เขาดูเหมือนชายหนุ่มธรรมดาๆ ที่เหนื่อยล้าอย่างเหลือเกิน“ลินดา... คุณคงคิดว่าผมเลวมากใช่ไหม” เสียงเขาแผ่วเบา เต็มไปด้วยความเจ็บปวดหญิงสาวเงียบงันไปครู่หนึ่ง ริมฝีปากเม้มแน่น ดวงตาของเธอฉายแววสับสน ราวกับกำลังต่อสู้กับความรู้สึกผิดชอบชั่วดีภายในใจหญิงสาวผู้ใช้ชีวิตอย่างซื่อตรงและบริสุทธิ์มาโดยตลอด เมื่อต้องมารับฟังเรื่องผิดกฎหมายผิดศีลธรรมเช่นนี้ ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องมีท่าทีสับสนเช่นนี้สีหน้าของเธอหนักอึ้ง อึดอัดกับความลับที่ไม่คิดว่าจะได้ล่วงรู้จนแทบหายใจไม่ออกเธอรู้ว่าตัวเองต้องแสดงออกอย่างไร และขณะเดียวกันก็รู้ว่าพีระกำลังจับตามองเธออยู่
ลินดาวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะของรองประธานหนุ่มอย่างใส่ใจพีระยิ้มอ่อน ยื่นมือไปรับแก้วกาแฟที่เธอยื่นให้ กลิ่นหอมกรุ่นลอยขึ้นมาแตะจมูก แต่มากกว่ากลิ่นกาแฟ คือความรู้สึกอุ่นใจที่ได้เห็นลินดาอยู่ข้างเขาในเวลานี้“ขอบคุณนะ” เขาพึมพำเบาๆ ยกกาแฟขึ้นจิบลิ้นรับรู้รสชาติความหวานที่เพิ่มมาจากปกติเล็กน้อยที่ลินดาเติมให้อย่างใส่ใจ เธอรู้ดีว่าคนที่กำลังเครียดนั้นต้องการน้ำตาลมากกว่าปกติ นั่นยิ่งทำให้พีระรู้สึกอบอุ่นในอกจนแทบจะลืมความเครียดไปได้ทั้งหมดลินดานั่งลงตรงข้ามกับเขา กวาดสายตาไปยังแฟ้มเอกสารที่ยังเปิดค้างอยู่บนโต๊ะอย่างรวดเร็วแต่แนบเนียน สังเกตเห็นตัวเลข รายงาน และหมายเหตุสีแดงที่น่าเจ็บปวดพร่างพราวอยู่เต็มไปหมด“ฉันได้ยินข่าวลือบ้างแล้วค่ะ...” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลปนเป็นห่วง ดวงตาเศร้าลงอย่างสะท้อนใจ “คุณพีระไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ”พีระถอนหายใจยาว ความห่วงใยอันบริสุทธิ์จากเธอทำให้เขารู้สึกราวกับสามารถปล่อยวางน้ำหนักที่กดทับหัวใจลงได้ครึ่งหนึ่ง ชายหนุ่มโน้มตัวไปข้างหน้า มืออีกข้างคว้าเธอมากุมไว้แน่น“โชคดีที่ฉันยังมีเธออยู่” เสียงของเขาติดสั่นเล็กน้อย ทว่าเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น “ฉันไม่รู้จ
อีกด้านหนึ่งในฝั่งของพีระ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลังจากปิดประตูห้องเข้ามา คำนินทาที่ลอดผ่านหูเมื่อครู่ทำเอาเขาหมดอารมณ์จะออกมาหากาแฟกินทันทีชายหนุ่มเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานอย่างหนักใจ มือกำสัญญาเช่าโครงการ Aurora เอาไว้แน่นจนหน้ากระดาษยับย่นเมื่อลับตาคน ภาพลักษณ์ที่ดูน่าสงสารมลายหายไปในพริบตา แววตาที่อ่อนล้าเมื่อครู่ฉายความโกรธจัดจนแทบควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่เขากวาดสายตาไปยังแฟ้มสีดำที่วางอยู่ตรงหน้า มันคือเอกสารลับจากแผนกตรวจสอบภายในที่เขาเพิ่งได้มาเมื่อคืนที่ผ่านมา ภายในนั้นระบุข้อสงสัยที่มีต่อเขาอย่างชัดเจน และเขาไม่สามารถแก้ต่างให้ตัวเองได้เลย“บัดซบ!”พีระทุบหมัดลงกับโต๊ะเสียงดังปัง กระดาษแฟ้มกระเด็นหล่นกระจัดกระจาย เขาเหยียดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม ใบหน้าเคร่งเครียดจนเส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบๆตั้งแต่ข่าวลือเริ่มแพร่กระจาย พีระรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทุกอย่างถูกจัดฉากมาอย่างดี เหมือนกับวางแผนล่วงหน้าไว้แล้วและเขาสงสัยอยู่ลึกๆ ว่าเบื้องหลังมีใครบางคนกำลังชักใยอยู่ใครบางคนที่รู้จักโครงการ Aurora ดีพอจะเล่นงานเขาได้คนที่รู้ช่องโหว่เล็กๆ น้อยๆ ทุกอย่าง รู้ทุกสิ
ข่าวลือเริ่มแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและเงียบงันแววตาที่เคยมองพีระด้วยความชื่นชมเริ่มเปลี่ยนเป็นความสงสัยและไม่ไว้วางใจ เสียงกระซิบกระซาบดังอยู่ทั่วทุกมุมในบริษัท ไม่เว้นแม้แต่มุมชงกาแฟเล็กๆ ใกล้ห้องของรองประธานหนุ่มเอง“เธอได้ยินมารึยัง” เสียงพนักงานหญิงคนหนึ่งก้มหน้ากระซิบเบาๆ มือที่ถือแก้วกาแฟสั่นด้วยความตื่นเต้น“เรื่องนั้นน่ะเหรอ” เพื่อนร่วมงานมีสีหน้าเหมือนจะรู้อยู่แล้วครึ่งหนึ่ง หญิงสาวคนแรกที่เปิดประเด็นรีบพยักหน้าทันที เธอลดเสียงลงจนแทบเป็นเสียงลมหายใจ กระซิบกับเพื่อนอย่างลับๆ“ใช่ โครงการ Aurora ที่เพิ่งเปิดตัวปีที่แล้วนั่นน่ะ... ว่ากันว่าเงินค่าก่อสร้างมันสูงผิดปกตินะ แถมการบริหารยังส่องเค้าทุจริตด้วย”“แต่โครงการนั้นมันไปได้สวยมากเลยนี่ ฉันเห็นทีมที่รับผิดชอบได้โบนัสเพียบเลยนะปีก่อน” พนักงานอีกคนโผล่มาร่วมวงสนทนา ท่าทางไม่รู้อะไรเอาเสียเลยจนเพื่อนร่วมงานต้องส่ายหัว“สวยแค่ตัวเลขน่ะสิ ฉันได้ยินว่าคณะกรรมการตรวจสอบแล้วว่ายอดเช่าก็สูงผิดปกติ แถมยังมีเรื่องบริษัทภายนอกที่ตรวจสอบไม่ได้ด้วย”เสียงหายใจดังเฮือกเบาๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนที่อีกเสียงหนึ่งจะเปรยขึ้นมาอย่างลังเล“จริ
หลังจากเตรียมการมาหลายเดือน ลินดาก็ได้ข้อมูลหลักฐานสำคัญมาครบถ้วนหญิงสาวไม่ได้รีบร้อนลงมือ เธอรู้ดีว่าหากเธอเริ่มลงมือเปิดโปงเมื่อไหร่ มันจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น และพีระจะรอบคอบรัดกุมมากขึ้นเธอจึงรอ รอจังหวะที่ไม่มีใครสังเกตเห็น รอจนกว่าจะมั่นใจว่าทางรอดทุกทางของพีระจะถูกปิดสนิท ไม่มีทางให้เขาดิ้นหลุดได้แม้แต่นิดเดียวและเมื่อถึงตอนนั้น เธอจะค่อยๆ กัดกร่อนเขาจากภายในอย่างเชื่องช้า เงียบเชียบ และไร้ร่องรอยจนกว่าทุกอย่างจะถล่มลงมา... อย่างไม่มีทางซ่อมแซมได้อีก✤และโอกาสเธอรอก็มาถึงในเวลาไม่นานนัก เมื่อพีระมอบหมายให้เธอดูแลโครงการสำคัญของเขา คอมมูนิตี้มอลล์ในย่านสุขุมวิท ซึ่งวางแผนไว้ว่าเป็นคอมมูนิตี้มอลล์สไตล์รีสอร์ต ซึ่งประกอบด้วยร้านค้าแฟชั่นแบรนด์ดัง ร้านอาหารฟิวชั่น คาเฟ่ พื้นที่อีเวนต์กลางแจ้ง และฟิตเนสแบบครบวงจรมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เธอจะต้องดึงข้อมูลจากโครงการก่อนหน้านี้มาใช้ในการอ้างอิงข้อมูลที่ขัดแย้งกันปรากฏหราอยู่บนเอกสารราคาค่าก่อสร้างและตกแต่งสูงเกินกว่าราคาประเมินของโครงการปัจจุบันเสียอีก ทั้งๆ ที่ค่าวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างแพงขึ้นทุกปีหญิงสาวตีสีหน้ายุ่งยากขณ
หลังจากทั้งสองเริ่มต้นคบกัน พีระแทบจะไม่ปิดบังความสัมพันธ์ของเขากับลินดาเลยด้วยซ้ำ ราวกับว่าเขาตั้งใจประกาศให้โลกรู้ว่ามีเธออยู่ข้างกายอย่างภาคภูมิใจยิ่งหลังจากที่มีนาจับได้ถึงความสัมพันธ์ลับๆ นี้ ชายหนุ่มก็ยิ่งไม่มีความจำเป็นต้องเก็บงำอีกต่อไป พฤติกรรมที่เคยพอมีความเกรงใจบ้างในช่วงแรกๆ กลับกลายเป็นความเปิดเผยอย่างโจ่งแจ้ง จับมือกันในที่ทำงาน ออกไปทานข้าวด้วยกันอย่างไม่ปิดบัง ส่งสายตาให้กันอย่างคนรักที่ไม่แคร์สายตาใครตอนนี้ ทุกคนในบริษัทแทบจะรู้กันเกือบหมดแล้วว่าลินดาคือคนรักคนใหม่ของรองประธานหนุ่มและนั่นก็กลายเป็นข้อได้เปรียบอย่างไม่น่าเชื่อสำหรับลินดาในการสืบหาหลักฐานหญิงสาวนั่งลงที่หน้าแล็ปท็อปในห้องพักส่วนตัว ดวงตาส่องประกายเยือกเย็นเมื่อเปิดไฟล์ข้อมูลที่เธอรวบรวมมาอย่างละเอียดลึกซึ้ง ความเคลื่อนไหวภายในบริษัทเริ่มเผยรอยร้าวและช่องโหว่ให้เธอสอดแทรกเข้าไปได้มากขึ้นเรื่อยๆ ความไว้ใจที่พีระมีต่อเธอ กลายเป็นกุญแจที่ไขประตูหลายบานที่เคยปิดตายลินดาได้รหัสผ่านบางส่วนจากฝ่ายการเงิน ผ่านการพูดคุยที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัย และด้วยความใกล้ชิดกับพีระ เธอยังสามารถเข้าถึงข้อมูลที่มีเพียงคนไม่ก
ช่วงเวลาหลังเลิกงานในเย็นวันหนึ่ง ลินดาก้าวออกจากลิฟต์ในตึกจอดรถ มือบางกอดแฟ้มเอกสารแนบอกอย่างเคย ตั้งใจจะเดินออกไปเพื่อไปขึ้นรถเมล์กลับบ้านตามปกติพลันสายตาของเธอก็เห็นพีระ ชายหนุ่มยืนพิงรถคันหรูของเขาอยู่ตรงนั้น ราวกับรอเธอโดยเฉพาะท่าทีของเขาดูสบายๆ ทว่าในแววตากลับเต็มไปด้วยความตั้งใจแน่วแน่ เขาไม่ได้มาเพราะเรื่องงาน แต่เพราะเธอ“กลับด้วยกันไหมครับ” น้ำเสียงนุ่มลึกเอ่ยทัก พร้อมรอยยิ้มที่ทำให้ผู้หญิงหลายคนในบริษัทนี้ใจอ่อนมาแล้วนักต่อนักลินดาชะงักไปเล็กน้อย แสร้งทำท่าลังเล สีหน้าของเธอเอียงอาย ก่อนจะยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้า“ค่ะ... ถ้าไม่รบกวน”“รบกวนอะไรกันล่ะครับ ผมเต็มใจต่างหาก” พีระหัวเราะเบาๆ เปิดประตูรถฝั่งผู้โดยสารให้เธออย่างสุภาพ ลินดาก้าวขึ้นไปอย่างสงบโดยไม่แสดงพิรุธแม้แต่น้อยเสียงเพลงแจ๊สจากวิทยุหน้ารถดังเบาๆ คลอในบรรยากาศ ฝ่ามือของลินดาวางบนตักอย่างเรียบร้อย ท่าทีของเธออ่อนโยนไม่ต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมาแต่พีระรู้ดี ว่าเธอมีบางอย่างที่ทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปได้เลยตั้งแต่วันแรกที่เจอ“วันนี้...เหนื่อยไหมครับ” พีระเอ่ยถามขณะจับพวงมาลัยด้วยมือข้างเดียว“ไม่เท่าไหร่ค่ะ งานเยอะ
พีระเริ่มรู้สึกถึงความตึงเครียดที่แทรกซึมระหว่างเขากับมีนาไม่ว่าจะเป็นท่าทางของเธอที่แข็งกระด้างขึ้น หรือบทสนทนาที่มักเต็มไปด้วยคำถามที่ฟังดูเหมือนการจับผิดทุกครั้งที่พยายามอธิบาย เขากลับพบว่า คำพูดของตัวเองดูเหมือนจะกลายเป็นข้อแก้ตัวในสายตามีนาเสมอ“คุณกับลินดาไปกันถึงขั้นไหนแล้วล่ะ”มีนาพูดขึ้นกลางมื้อค่ำที่ควรจะอบอวลด้วยความรักน้ำเสียงของเธอนิ่ง แต่น้ำหนักของคำพูดนั้นเหมือนมีดกรีดลงกลางใจเขาพีระวางส้อมลงอย่างเหนื่อยใจ เขาไม่ได้โกรธ แต่รู้สึกท้อแท้เหลือเกิน“มีนา...” เขาเอ่ยเสียงเบา “ลินดาเป็นผู้ช่วยที่ดีมาก เธอช่วยงานผมเยอะจริงๆ เราก็คุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ”เขาเลือกที่จะอธิบายด้วยเหตุผลอย่างใจเย็น คล้ายไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรผิดเลยสักนิด มีนาพลันเบือนหน้าหนี ปิดกั้นตัวเองอย่างชัดเจนบรรยากาศรอบตัวเย็นเยียบ จนพีระรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่กำลังนั่งอยู่ตรงข้ามคนรักความเหนื่อยล้าเกาะกุมใจเขาอย่างช้า ๆเขาไม่อยากทะเลาะ ไม่อยากทำร้ายหัวใจใครแต่ก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแค่การทำงานกับลินดาถึงกลายเป็นปัญหาใหญ่โตได้ขนาดนี้และยิ่งมีนามีท่าที่เฉยชา เขาก็เริ่มคิดถึงรอยยิ้มของลินดา