หลังเกี่ยวและตากข้าวจนเสร็จสรรพ ครอบครัวสกุลฉินก็เว้นช่วงเวลาสำหรับหยุดพักผ่อน ด้วยเพราะร่างกายที่ชราภาพของท่านตาท่านยาย พอทำงานไร่นานานเข้าจึงปวดเมื่อยมากกว่าปกติ
ส่วนหลี่โต๋วเปาและฉินอี้หนิงก็ใช้เวลาส่วนมากอยู่กับการดูแลสวนผัก ขึ้นเขาไปล่าสัตว์มาขาย และใช้เวลาร่วมกันในฐานะสามีภรรยา
ทว่าวันนี้ แขกผู้มาเยือนกลับเป็นอดีตขุนนางผู้ต้องสูญเสียบ้านให้หลี่โต๋วเปาอย่างสวี่อี้เจิน
“คารวะผู้อาวุโส”
เสียงทุ้มของหลี่โต๋วเปาเอ่ยช้าๆ ดวงตาเรียวคมสังเกตท่วงท่าการเดินของฝ่ายตรงข้าม รู้สึกคุ้นเคยนัก ทว่านี่ไม่ใช่ท่าทีของผู้อาวุโสสวี่อี้เจินที่เขาเคยประลองหมากล้อมด้วยอย่างแน่นอน
“เจ้าน่ะใช้ชีวิตได้ดี กลายเป็นผู้เยาว์ที่สร้างครอบครัวอบอุ่นจริงเชียว” ชายชรามองสำรวจทั่วทุกมุมบ้านราวกับไม่เคยเห็น ก่อนที่สายตาจะพลันมาหยุดลงที่ร่างบอบบางของฉินอี้หนิงซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นสาวงามเต็มตัวไปเสียแล้ว “โอ้~ นี่คือฉินอี้หนิงคนนั้นรึ…” ชายชรายิ้มอย่างสดใสพลางมองสำรวจใบหน้างามอย่างชื่นชม
“เชิญผู้อาวุโสสวี่นั่งพักก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะไปเอาชาอวิ๋นอู้ [1] ที่ได้จากภูเขาหลูซานมาให้” เสียงหวานกล่าวอย่างอ่อนโยน ขณะเดินหายเข้าไปในบ้าน
“ขอบใจหลานสะใภ้มาก ว่าแต่ชาอวิ๋นอู้นี่มันเป็นแบบใดหรือหลี่โต๋วเปา”
เพียงแค่การเรียกชื่อก็ยิ่งทำให้หลี่โต๋วเปามั่นใจมากขึ้นว่าฝ่ายตรงข้ามคงไม่ใช่คนที่นี่จริงๆ เพราะทุกคนในหมู่บ้านฮุ่ยฟางต่างรู้จักเขาในชื่อเว่ยหนี่ฉางเท่านั้น
“เป็นชาสีเขียวมรกตจากมณฑลเจียงซีขอรับ” ใบหน้าหล่อเหลายังคงสงบนิ่งขณะอธิบายต่อ “เนื่องจากเติบโตขึ้นบนพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึงแปดร้อยเมตร และมีหมอกลงหนาอยู่บ่อยๆ จึงได้รับชื่อนี้มา”
“พูดจารู้มากเช่นนี้ เจ้าใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้อย่างไรโดยไม่โดนสงสัย” ชายชราหัวเราะ
“วันนี้มีธุระอะไรก็พูดมาเถอะ” หลี่โต๋วเปากล่าวเบาๆ ฉับพลันที่ฉินอี้หนิงเดินกลับมาพร้อมชุดน้ำชาพอดี
ชายชราในชุดผ้าแพรเนื้อดี ย้อมสีกรมครามคล้ายสีของท้องฟ้าหลังฝน จึงต้องเปลี่ยนเรื่องคุย เขาจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยดวงตาลุ่มลึกแฝงรอยยิ้มมุมปาก รอยยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความครุ่นคิดและความเอ็นดูผสมกันอย่างแยบยล
“คนหนุ่มเช่นเจ้ามีความสามารถอย่างที่ข้าไม่เคยเห็นในหมู่บ้านนี้มาก่อน” สวี่อี้เจินกล่าวขณะลูบเคราสีขาวบางของตนเบาๆ
“ทั้งความคิดว่องไว แววตานิ่งสงบ ท่วงท่าการเดินของเจ้าก็ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา แต่เจ้ากลับวางตัวถ่อมตน ไม่ถือดีต่อผู้ใด ข้ามองเห็นความแตกต่างนั้นจากครั้งแรกที่เจ้าเดินเข้ามาใต้ต้นหลิวในสวนของข้า”
หลี่โต๋วเปาเพียงยิ้มรับเล็กน้อย ไม่เอ่ยถ้อยคำโอ้อวดใดต่อ
“ไม่ใช่เรื่องยากที่จะอ่อนน้อมต่อผู้ที่ควรเคารพหรอกขอรับ”
“แม้เจ้าจะไม่เคยเรียนรู้การค้าขายอย่างจริงจัง แต่ในการประลองหมากเมื่อตอนนั้น เจ้ากลับใช้แผนการเดินหมากเหมือนเจรจาต่อรองในตลาดท้องพระคลัง…” สวี่อี้เจิน (ตัวปลอม) หัวเราะแผ่วเบา พลางคิดถึงภาพคำลวงและคำสั่งของหลี่โต๋วเปาที่ทำให้เขาต้องเดินพลาดและกลายเป็นลูกไก่ในกำมือของเจ้าหลานชายผู้นี้ “เจ้าหลอกล่อให้ข้าติดกับ หลอกให้ข้าทำงานให้จนข้าเหนื่อยเกือบตาย แล้วยังมีหน้ามากล่าวว่าเจ้าไม่เชี่ยวชาญอีกหรือ?”
“ข้าเพียงมองให้เหมือนการอ่านใจคนในสนามรบน่ะขอรับ ผู้ใดมีความสามารถด้านใด ก็ส่งมอบงานนั้นให้เขาไป”
ชายชราพยักหน้าช้าๆ ก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ตอนนี้ข้าเกิดปัญหาเล็กน้อย หากเจ้าเต็มใจ…ข้ามีเพื่อนอยู่ในแคว้นทางใต้ซึ่งมีเส้นทางการค้าทางทะเล เจ้าสามารถติดตามข้าไปยังเมืองท่าแห่งนั้นได้ ข้าจะมอบตั๋วสินค้าให้เจ้าหนึ่งฉบับ ให้เจ้าเริ่มค้าขายจากสิ่งเล็กๆ ก่อน” พอกล่าวถึงตรงนี้อดีตขุนนางเฒ่าก็มองไปที่ฉินอี้หนิงเล็กน้อย “หากเจ้าทำสำเร็จ เราค่อยมาว่ากันต่อเกี่ยวกับเรื่องการขยายกิจการในหมู่บ้านฮุ่ยฟาง”
ดวงตาของหลี่โต๋วเปาเปล่งประกายบางอย่างที่ชายชรามีโอกาสได้เห็นแค่เพียงวูบเดียว มันคือความกระตือรือร้นอันเต็มไปด้วยคำถาม นัยน์ตานั้นราวกับจะตะโกนออกมาว่า เกิดอะไรขึ้นกับธุรกิจของเขาในยุคจักรวรรดิอวกาศ? หรือมีการประชุมหารือในธุรกิจใหม่?
“เฮ้อ~ การมีคู่ค้ามาเพิ่มมันก็มีทั้งดีทั้งเลว เจ้าว่าจริงหรือไม่” ชายชราจึงเลือกที่จะเป็นฝ่ายเกริ่นขึ้นก่อน อย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้มีเหตุการณ์บานปลาย “แต่มันก็ช่วยเพิ่มช่องทางให้เราได้กระจายอภิสิทธิบางอย่างจากข้าบกพร่องเล็กๆ ของพวกเขา”
“เป็นเรื่องนั้นนี่เอง…”
ความเงียบงันของคนที่รอคอยโอกาสเช่นนี้มานานแสนนาน ทำให้ชายชราเผลอถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ร่างสูงของหลี่โต๋วเปาลุกขึ้น ก่อนค้อมกายเล็กน้อย
“ข้าขอบคุณผู้อาวุโสที่ให้โอกาส”
สวี่อี้เจินหัวเราะอีกครั้ง ก่อนยื่นพัดกระดาษในมือให้ฝ่ายตรงข้าม
“จำไว้…โลกใบนี้ไม่ได้กว้างสำหรับคนที่มองฟ้าแค่เหนือหลังคา อย่ากลัวการออกเดินทาง และอย่าลืมกลับมาหาคนที่ต้องอยู่รอเจ้าพร้อมแบกภาระอันหนักอึ้ง”
ทั้งวิธีการพูดและความรู้สึกที่ดูคุ้นเคยถูกเฉลยไว้บนพัดนั้น เพราะมันมีตัวอักษรเล็กๆ ที่เขียนไว้ว่าสวัสดีครับท่านประธานหลี่ ผมเองดอกเตอร์หลี่เฮ้าถง
“เช้ามืดของวันพรุ่งใช่หรือไม่” ก่อนที่ชายชราจะลุกขึ้นยืน อยู่ๆ เสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้น
“อะไร? เจ้าหมายถึง…”
“วันที่ข้าต้องออกเดินทางไปกับท่าน” หลี่โต๋วเปารีบขัดเมื่อฝ่ายตรงข้ามอาจทำให้สถานการณ์ต้องเปลี่ยนไป
“ใช่…ข้าจะเอารถม้ามารับเจ้าที่นี่ รบกวนเวลาแค่เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น” กล่าวจบก็ลุกขึ้นยืน พร้อมทั้งหันไปหาฉินอี้หนิงเพื่อบอกลาหญิงสาว “ข้าขอตัวก่อนนะแม่นางฉิน”
“ข้าไปส่งนะเจ้าคะผู้อาวุโสสวี่”
“ไม่ต้องๆ ข้ามีสาวใช้มาด้วย แถมใบหน้าก็งดงามไม่แพ้เจ้าหรอกนะ”
กล่าวจบชายชราก็เดินจากไปพร้อมสาวใช้สี่คน ทิ้งไว้เพียงคำถามมากมายในใจของฉินอี้หนิง และความกลัวว่าเรื่องบางอย่างอาจกำลังจะเกิดขึ้น…
ฉินอี้หนิงหันมาทางหลี่โต๋วเปา ใบหน้างามฉายชัดว่ามีคำถามอยู่ภายในใจ ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยถาม นางก็ถูกชายหนุ่มพุ่งเข้ามากอดไว้เสียก่อน ใบหน้าหล่อเหลาซุกอยู่บนไหล่เล็กราวกับคนที่ไม่อยากห่างกันไปไหน ขณะที่อ้อมกอดอุ่นเริ่มขยับแน่นขึ้นเรื่อยๆ
เขาจำเป็นต้องโกหกนางอีกครั้ง…
ฉินอี้หนิงลูบแผ่นหลังกว้างเพื่อปลอบโยน “มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
“น้องหญิง…ข้า” พอจะพูดออกไป ก็คล้ายกับว่ามีก้อนอะไรบางอย่างมาตันอยู่ในลำคอ ทว่าพอมีมือเรียวอุ่นของภรรยาตัวน้อยคอยกอดประคอง หลี่โต๋วเปาจึงมีความกล้าที่จะพูดต่อ “ข้าต้องออกไปหาเงินที่แคว้นทางใต้ มันจะเป็นโอกาสดีที่เราจะได้เริ่มต้นสร้างฐานะ ข้าอยากเตรียมทุกอย่างไว้เพื่อลูกของเรา”
หญิงสาวหัวเราะเบาๆ เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกแย่ๆ
“ท่านพี่…ท่านคิดเร็วเกินไปแล้ว เรายังไม่มีลูกเจ้าค่ะ หากท่านไม่อยากไป ท่านก็ไม่จำเป็นต้องไป”
เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังมาจากคนตัวโต ก่อนที่เขาจะอุ้มนางขึ้นไว้ในอ้อมแขนแล้วพาเข้าไปในบ้าน ประตูทางเข้าที่ถูกผู้เป็นสามีล็อกทำให้ฉินอี้หนิงเกิดความสงสัย ทว่าพอถูกวางลงบนเตียง แล้วถูกคนตัวโตตามมาทาบทับ ฉินอี้หนิงจึงหมดคำถามที่จะถามออกไป
“ท่านจะทำอะไร? ยังไม่ค่ำเลย” มือเล็กพยายามผลักอกของคนที่กำลังออดอ้อนนางด้วยการซุกไซร้บนจุดต่างๆ “มันจั๊กจี้ ฮ่าๆๆ”
“แล้วใครกำหนดว่าต้องทำลูกแค่ตอนกลางคืนอย่างเดียว” ใบหน้าหล่อเหลาคลอเคลียอยู่บนพวงแก้มนุ่ม “ตอนกลางวันเราก็ทำมาแล้ว…”
เมื่อเสื้อผ้าถูกถอดออกจนหมด สองร่างก็แนบชิดกัน มือใหญ่จับเรียวขางามให้แยกออก ก่อนโถมกายเข้าไปสอดประสานกับความอบอุ่นของภรรยาอย่างเอาแต่ใจ บทรักในครั้งนี้เต็มไปด้วยความรุนแรงและการเอาเปรียบ ร่างของฉินอี้หนิงถูกจับพลิกไปมา ในขณะที่ผู้คุมเกมคือคนที่สุขสมที่สุด
นางอดทนจนกระทั่งคนตัวโตไปถึงจุดหมาย ร่างใหญ่ที่กำลังหอบหายใจ ทิ้งตัวทับลงมาบนเนิ่นอกนุ่มอย่างอ่อนแรง ฉินอี้หนิงทำเพียงลูบศีรษะของเขาเพื่อปลอบประโลม
“เจ้าตัวหอมจัง…” ใบหน้าหล่อเหลาเอ่ยขณะที่ยังหลับตาพริ้ม
มือเรียวสวยเช็ดเหงื่อบนใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามอย่างอ่อนโยน
“ท่านจะไปจริงๆ ใช่มั้ย”
“เรียกว่าจำเป็นจะต้องไปดีกว่า” คราวนี้ชายหนุ่มเลือกจะพลิกตัวไปอยู่ด้านล่าง เพื่อให้ร่างบอบบางได้นอนทับอยู่ด้านบนตัวเขา “ข้าทำเจ้าเจ็บรึเปล่า” เขาเอ่ยเสียงอ่อน พลางดึงผ้าห่มขึ้นคลุมทับร่างขาวนวล
“เจ็บ…วันนี้ท่านทั้งเอาเปรียบ แถมยังรังแกข้าไม่หยุด” เสียงหวานบ่นอุบอิบ
“ขอโทษ” เสียงทุ้มอิดออดเบาๆ ขณะลูบแผ่นหลังเนียนสวย “แค่พอคิดว่าต้องห่างจากเจ้าไปไกล ข้าก็เลยเป็นเช่นนี้”
“ข้าเข้าใจท่าน ที่จริง…หลายวันมานี้ข้ารู้สึกแปลกๆ เจ้าค่ะ บางทีอาจจะ…” หญิงสาวเงียบเสียงไว้แค่นั้น ถึงนางกับหลี่โต๋วเปาจะมีค่คืนร่วมกันทุกวัน แต่ฉินอี้หนิงก็ไม่กล้าฟันธงว่าตนตั้งครรภ์หรือไม่ ด้วยเพราะอาการและความเปลี่ยนแปลงยังไม่เด่นชัดเท่าใด อย่างน้อยในวันพรุ่งก็ควรจะไปให้ท่านหมอในหมู่บ้าน หรือท่านตาฉินตรวจดูจนแน่ชัด
“วันพรุ่งข้าจึงจะไปหาท่านตา ได้ผลเช่นไรข้าจะส่งข่าวไปหานะเจ้าคะ”
พออยู่ในท่าทางนัวเนียกันเช่นนี้ ร่างกำยำก็อดไม่ได้ที่จะล่วงล้ำนางอีก
ครั้ง ทว่าบทรักคราวนี้เป็นไปอย่างเชื่องช้า และเต็มไปด้วยความทะนุถนอม“น้องหญิง ข้าขอไปจัดการเรื่องค้าขายแค่เพียงหนึ่งเดือน เมื่องานในฝั่งทางนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าจะรีบกลับมาหาเจ้าทันที” มือใหญ่สอดประสานกับมือเรียวสวยทั้งสองข้าง ขณะที่นางนั่งคร่อมอยู่ด้านบนแก่นกายใหญ่
เมื่อบทรักใกล้ถึงฝั่ง หลี่โต๋วเปาพลันเร่งจังหวะเอวสอบจนเกิดเสียงหยาบโลนคล้ายเป็นเสียงของเหลวที่อยู่ภายในโพรงนุ่ม แม้แต่ฉินอี้หนิงที่ทนรับไม่ไหวก็ถึงกับทรุดตัวลงอย่างหมดท่า
“อื้อ…” เสียงหวานครางไม่ได้ศัพท์ ยามเมื่อถูกจัดท่าทางให้นอนตะแคงข้าง จนท่อนเอ็นใหญ่สามารถเข้าไปลึกถึงผนังมดลูก
“ระหว่างที่รอ เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ” เสียงทุ้มเอ่ยกระเส่า สองแขนกอดรัดร่างงามเข้ามาแนบอก ก่อนจะครางออกมาเมื่อหยาดน้ำอุ่นถูกปลดปล่อยใส่ภายในช่องทางรักเป็นรอบที่สอง ท่อนเอ็นแข็งขืนขยับเข้าออกอีกสองสามครั้งคล้ายต้องการมั่นใจว่าน้ำเชื้อของเขาจะไม่ไหลออกมาเปื้อนหน้าขาเรียวสวย
ฉินอี้หนิงลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ไม่นานหลี่โต๋วเปาก็ตามมานอนหนุนตัก พร้อมทั้งใช้สองแขนโอบรอบเอวคอดแน่น ราวกับกลัวว่านางจะหนีหายจากเขา
“วันนี้ข้าจะนอนกอดเจ้าให้อิ่ม” เสียงทุ้มกล่าวอย่างจริงจัง จนฉินอี้หนิงอดไม่ได้ที่จะขำออกมาเบาๆ
“ต้องตื่นมากินข้าวเย็นด้วยนะเจ้าคะ เพราะวันนี้ข้าตั้งใจทำสุยจู่โร่ว [2] กับน้ำแกงไป่เหอ [3] ตุ๋นเม็ดบัวไว้ให้ท่านบำรุงร่างกาย”
“อื่ม…” เสียงทุ้มครางเบาๆ “ต้องอร่อยมากแน่ เพราะเจ้าเป็นผู้ทำ”
“เจ้าค่ะ” ใบหน้างามยิ้มรับ “ท่านนอนพักสักนิดเถอะ”
“ข้าจะกลับมาพร้อมเงินทองและเกียรติยศ” เขาพึมพำขณะหลับตา
“ท่านพี่…ไม่ว่าท่านจะตัดสินใจอย่างไร ข้าก็เชื่อว่าท่านสามารถทำได้” นางว่าพลางใช้มือลูบเรือนผมของฝ่ายตรงข้ามอย่างอ่อนโยน และเต็มไปด้วยความรัก “ข้าจะตั้งใจเฝ้ารอการกลับมาของท่าน อยู่ที่บ้านของเรานะเจ้าคะ”
ไม่นานหลี่โต๋วเปาก็เข้าสู่ห้วงนิทรา ยามนี้ชายหนุ่มสามารถหายใจเข้าออกได้อย่างผ่อนคลาย เพราะเขาสบายใจเหลือเกินที่ได้อยู่กับนาง สตรีผู้เป็นรักแท้เพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของเขา…
[1] ชาหลูซานอวิ๋นอู้ หรือ ชาอวิ๋นอู้ (ชาเมฆหมอก) เป็นชาเขียวที่มีมาแต่โบราณ กลิ่นหอมอ่อนๆ เดิมผลิตในราชวงศ์ฮั่น ต่อมาจึงถูกจัดให้เป็นชาบรรณาการ
[2] เป็นอาหารตำรับเสฉวน ใช้เนื้อสันไร้มันหั่นเป็นชิ้นขนาดพอดีคำ หมักให้นุ่ม ต้มในน้ำปรุงรสเผ็ดตำรับเสฉวน โดยมีผักรองจาน เช่น ผักกาดขาว หรือ ผักกวางตุ้ง และถั่วงอก เพราะช่วยลดความเผ็ดได้ดี
[3] ไป่เหอ คือเหง้าลิลลี่ มีรสหวาน ฤทธิ์เย็น สรรพคุณใช้บำรุงปอด และทำให้จิตใจสงบ ขับพิษร้อน เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบทานอาหารทอด หรือสูบบุหรี่มากเกินไป
กลับมาที่สถานการณ์ในปัจจุบัน…สิ้นเสียงเหี้ยมกับประโยคไร้มารยาทนั้น เมื่อหลี่หยางหนิงอันหันไปสบสายตากับอีกฝ่าย สิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นไม่ใช่เพียงใบหน้าที่ดูคล้ายเขาราวกับแกะ แต่เป็นโทสะและความเหี้ยมเกรียมในแบบที่เขารู้จักดี“เจ้ากล้ามาก ที่มาแตะต้องภรรยา และแตะต้องลูกของข้า” เสียงของหลี่โต๋วเปานิ่งงัน แต่ทุ้มต่ำจนเหมือนจะสามารถสะเทือนผนังหินของตำหนักได้อย่างง่ายดายหลี่หยางหนิงอันเลิกคิ้วเล็กน้อย “ข้ากำลังจะสั่งให้หมอหลวงเอาเด็กในท้องนางออกพอดี แต่เพราะต้องพักฟื้นร่างกายนาน เลยคิดว่าจะพาขึ้นเตียงทั้งที่ยังท้อง คงให้อารมณ์แปลกใหม่ไม่น้อย” ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจงใจยั่วโมโหฝ่ายนั้น “เช่นนั้นเจ้าคงคิดจะฆ่าข้าสินะ?”ชายหนุ่มในชุดซอมซ่อสีเทาไม่ตอบ มือข้างหนึ่งยกขึ้นช้าๆ ดวงตาของเขาเรืองแสงวาบสีฟ้าอความารีนแผ่วเบา คล้ายกระจกจักรวาลที่สามารถสะท้อนแรงโน้มถ่วงให้ย้อนคืนได้ฉับพลันที่อากาศรอบตัวเริ่มสั่นสะเทือน แรงกดดันไร้รูปประหนึ่งกำปั้นพลังจิตกระแทกเข้าที่กลางอกของจักรพรรดิหนุ่มหลี่หยางหนิงอัน จนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นป้องกันอันตรายที่มองไม่เห็น“อย่าคิดว่าต่อจากนี้เจ้ายังจะสามารถอยู่หายใจได้อีก…”
หนึ่งเดือนกับอีกสามสัปดาห์ที่หลี่โต๋วเปายังไม่กลับมา ฉินอี้หนิงนั่งจิบชากุหลาบอยู่ที่ชายเรือนสกุลฉิน ลมยามบ่ายพัดกรูจากทิศตะวันออก พาเอาใบไผ่ที่ลู่ลมอยู่บนเนินเตี้ยหล่นเกลื่อนทั่วลานทว่าเสียงกีบม้านับสิบและฝีเท้าเกราะเหล็กที่ดังกึกก้องยิ่งกว่าเสียงพายุ กลับทำให้หมู่บ้านฮุ่ยฟางที่เคยเงียบงัน เกิดความสนันหวั่นไหวราวกับมีเงามรณะเคลื่อนเข้ามาปกคลุมทั่วผืนดินรถม้าขนาดใหญ่สลักลายมังกรดำขอบทอง เคลื่อนมาหยุดลงบริเวณหน้าบ้านสกุลฉิน ก่อนที่บรรดาทหารสวมเกราะดำประทับตราจักรพรรดิหลี่จะวิ่งเข้ามารายล้อมรอบบ้านเอาไว้ ตามมาด้วยเสียงแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งตวาดดังแทรกเสียงใบไม้ปลิว“เรามารับตัวหรันฝูหรง สตรีอายุสิบเก้าหนาวที่ซ่อนตัวในหมู่บ้านแห่งนี้!”ท่านตาฉินที่กำลังสานกระด้งไม้ไผ่รีบก้าวออกมาจากเรือน ร่างชราภาพฝืนฝ่าแนวทหารเข้ามาขวาง“ขออภัยด้วย ที่นี่ไม่มีใครชื่อเช่นนั้นหรอกขอรับ ข้าไม่รู้จัก! ส่วนสตรีที่อายุสิบเก้า ที่นี่ก็มีเพียงบ้านสกุลหลาน สกุลซ่ง สกุลกั๋ว และหลานสาวของข้า…นางชื่อฉินอี้หนิง”แม่ทัพผู้นั้นกระตุกยิ้มมุมปาก พร้อมทั้งจ้องมองฉินอี้หนิงอย่างเย้ยหยัน“เช่นนั้นข้าก็มาถูกแล้วล่ะ เพราะนามเ
ยุคจักรวรรดิอวกาศ ภายในสถานีวิจัยหลักของตระกูลหลี่ ชั้นบัญชาการพลังงานควอนตัม ความวุ่นวายกำลังเกิดขึ้นเมื่อคนที่หายตัวไปกลับเข้ามาสั่งงานจนกองพะเนิน“โธ่เอ๋ย…ครั้งแรกผมก็นึกว่าท่านประธานหลี่ของเราหลุดเข้าไปอยู่ในปฏิกรณ์ชีวภาพจนแยกโมเลกุลไม่ออกเสียแล้ว ที่แท้…ก็แค่ติดภรรยาเท่านั้น”ร่างสูงของหลี่โต๋วเปายืนพิงกรอบประตู มือซุกกระเป๋าเสื้อโค้ตสีเทาเรียบทว่าหรูหรา ไม่มีคำเถียงใด มีเพียงรอยยิ้มมุมปากที่เจือแววอ่อนโยนบางอย่าง…คล้ายไม่คิดปฏิเสธความจริงข้อนั้น“ก็แค่ใช้เวลาให้คุ้มกับชีวิตบ้าง คุณต้องลองไปปลูกฟักทองดูสักครั้งสิ แล้วจะเข้าใจว่าทุกเช้าในทุ่งหมอกนั้นมีค่ามากกว่างานวิจัยที่เขียนมาพันปีเสียอีก”หลี่เฮ้าถงกลอกตาเล็กน้อยขณะมองหลายชายเพียงคนเดียว ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ“อา…ฟักทองยังไม่เท่าไร แต่ถ้าประธานหลี่ของเราหายหน้าไปอีกสามเดือน ผมอาจจะกลับเข้าไปลักพาตัวภรรยาของท่านมาขังไว้ที่นี่แทน แล้วให้ท่านประธานเข้าออกห้องทดลองตลอดยี่สิบชั่วโมงเสียเลย”“แบบนั้นก็เป็นความคิดที่ดีนะ” หลี่โต๋วเปาพึมพำ พร้อมกับหยิบซาลาเปาไส้เห็ดหอมออกมาจากถุงเล็กๆ ในมือ ก่อนจะยื่นให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่รีบร้อน “ข
หลังเกี่ยวและตากข้าวจนเสร็จสรรพ ครอบครัวสกุลฉินก็เว้นช่วงเวลาสำหรับหยุดพักผ่อน ด้วยเพราะร่างกายที่ชราภาพของท่านตาท่านยาย พอทำงานไร่นานานเข้าจึงปวดเมื่อยมากกว่าปกติส่วนหลี่โต๋วเปาและฉินอี้หนิงก็ใช้เวลาส่วนมากอยู่กับการดูแลสวนผัก ขึ้นเขาไปล่าสัตว์มาขาย และใช้เวลาร่วมกันในฐานะสามีภรรยาทว่าวันนี้ แขกผู้มาเยือนกลับเป็นอดีตขุนนางผู้ต้องสูญเสียบ้านให้หลี่โต๋วเปาอย่างสวี่อี้เจิน“คารวะผู้อาวุโส”เสียงทุ้มของหลี่โต๋วเปาเอ่ยช้าๆ ดวงตาเรียวคมสังเกตท่วงท่าการเดินของฝ่ายตรงข้าม รู้สึกคุ้นเคยนัก ทว่านี่ไม่ใช่ท่าทีของผู้อาวุโสสวี่อี้เจินที่เขาเคยประลองหมากล้อมด้วยอย่างแน่นอน“เจ้าน่ะใช้ชีวิตได้ดี กลายเป็นผู้เยาว์ที่สร้างครอบครัวอบอุ่นจริงเชียว” ชายชรามองสำรวจทั่วทุกมุมบ้านราวกับไม่เคยเห็น ก่อนที่สายตาจะพลันมาหยุดลงที่ร่างบอบบางของฉินอี้หนิงซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นสาวงามเต็มตัวไปเสียแล้ว “โอ้~ นี่คือฉินอี้หนิงคนนั้นรึ…” ชายชรายิ้มอย่างสดใสพลางมองสำรวจใบหน้างามอย่างชื่นชม“เชิญผู้อาวุโสสวี่นั่งพักก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะไปเอาชาอวิ๋นอู้ [1] ที่ได้จากภูเขาหลูซานมาให้” เสียงหวานกล่าวอย่างอ่อนโยน ขณะเดินหายเข้าไป
วันเวลาผ่านเลยไปจากวันกลายเป็นหนึ่งเดือน ยามนี้สายลมปลายเดือนเปลี่ยนผิวทุ่งนาหน้าบ้านให้กลายเป็นสีทองอร่าม ลำต้นข้าวโน้มลงตามแรงน้ำหนักของรวงเมล็ดที่สุกงอม ท่ามกลางแสงอาทิตย์อุ่นอ่อนในยามเช้า เสียงเคียวเกี่ยวข้าวเสียดสีเบาๆ สะท้อนชัดอยู่กลางนาหลี่โต๋วเปาค้อมตัวใช้เคียวไม้ด้ามสั้นในมือเกี่ยวรวงข้าวอย่างระมัดระวัง ท่วงท่าของเขาแม้ยังไม่คล่องแคล้วนัก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ มือทั้งสองที่แกร่งอยู่แล้วบัดนี้ยิ่งแกร่งขึ้นซึ่งเป็นผลจากการจับจอบ ขุดหลุม และหาบน้ำทุกวัน จนรอยด้านปรากฏชัดที่ฝ่ามือ“เจ้าหนุ่มจากเมืองหลวง เจ้าน่ะก้าวหน้ากว่าที่ข้าเคยคิดไว้มากจริงๆ”เสียงของท่านตาดังมาจากอีกฟากของแปลงข้าว ใต้หมวกฟางเก่าคร่ำ ดวงตาของชายชรายังสะท้อนความชื่นชมไม่เสื่อมคลายหลี่โต๋วเปาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วหัวเราะเบาๆ ชายหนุ่มย้อนนึกถึงตอนที่เขาอยู่ในตำแหน่งจอมพล ถ้าตอนนี้อยู่ในยุคจักรวรรดิ เขาคงสามารถสั่งคนให้ขุดหลุมปลูกข้าวได้เป็นพันหลุม แต่เพิ่งรู้ว่าสิ่งที่ยากที่สุด คือการเกี่ยวข้าวแค่เพียงมัดเดียว“ฮ่าๆๆ เจ้ารู้วิธีปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งของชีวิต” ท่านต
หลังผ่านพ้นค่ำคืนของการร่วมหอ ร่างงามก็ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกแกร่งไม่ไปไหน หลี่โต๋วเปาไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะกว่าเขาจะเสร็จกิจแต่ละรอบก็ใช้เวลานานเสียจนตัวเขาเริ่มนอนไม่หลับ ได้แต่กอดฉินอี้หนิงไว้ ขณะมองใบหน้าขาวนวลในยามนิทราบนโต๊ะข้างเตียงมีกะละมังไม้ใส่น้ำอุ่นที่เริ่มจะเย็นชืด พร้อมด้วยผ้าขาวที่ถูกใช้แล้ววางพาดอยู่ แน่นอนว่าเป็นหลี่โต๋วเปาที่นำมันมาเพื่อเช็ดผิวกายให้ภรรยาตัวน้อย อาจเพราะเขาไม่ได้ปลดปล่อยตนเองมานานหลายปี เจ้าของเหลวสีขาวขุ่นเหล่านั้น จึงมีมากเสียจนอาจทำให้ฉินอี้หนิงนอนหลับแบบไม่สบายตัวนัก ซึ่งในฐานะผู้กระทำ เขาจึงต้องทำความสะอาดให้นางทุกครั้งแพขนตาหนาที่เริ่มขยับน้อยๆ ทำให้หลี่โต๋วเปาอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจุมพิตบนเปลือกตาของนาง ไล่เรื่อยลงไปจนถึงหน้าอกนุ่มที่เต็มไปด้วยร่องรอยสีกุหลาบฉินอี้หนิงที่เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมา เผลอทำหน้าอิดออดน้อยๆ เมื่อส่วนล่างของนางมันทั้งบวมและเจ็บระบมอย่างที่ไม่เคยเป็น ค่ำคืนเข้าหอนี้ผ่านไปอย่างยากลำบากจริงๆ ยิ่งเมื่อผู้เป็นสามีไม่ยอมจบดังที่ควรเป็นใต้ผ้าห่มมีบางอย่างขยับอยู่ เคลื่อนจากหน้าอกสู่ส่วนล่างอย่างเชื่องช้า ทว่าทุกการสัมผัสล้วนเต็มไป