หนึ่งเดือนกับอีกสามสัปดาห์ที่หลี่โต๋วเปายังไม่กลับมา ฉินอี้หนิงนั่งจิบชากุหลาบอยู่ที่ชายเรือนสกุลฉิน ลมยามบ่ายพัดกรูจากทิศตะวันออก พาเอาใบไผ่ที่ลู่ลมอยู่บนเนินเตี้ยหล่นเกลื่อนทั่วลาน
ทว่าเสียงกีบม้านับสิบและฝีเท้าเกราะเหล็กที่ดังกึกก้องยิ่งกว่าเสียงพายุ กลับทำให้หมู่บ้านฮุ่ยฟางที่เคยเงียบงัน เกิดความสนันหวั่นไหวราวกับมีเงามรณะเคลื่อนเข้ามาปกคลุมทั่วผืนดิน
รถม้าขนาดใหญ่สลักลายมังกรดำขอบทอง เคลื่อนมาหยุดลงบริเวณหน้าบ้านสกุลฉิน ก่อนที่บรรดาทหารสวมเกราะดำประทับตราจักรพรรดิหลี่จะวิ่งเข้ามารายล้อมรอบบ้านเอาไว้ ตามมาด้วยเสียงแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งตวาดดังแทรกเสียงใบไม้ปลิว
“เรามารับตัวหรันฝูหรง สตรีอายุสิบเก้าหนาวที่ซ่อนตัวในหมู่บ้านแห่งนี้!”
ท่านตาฉินที่กำลังสานกระด้งไม้ไผ่รีบก้าวออกมาจากเรือน ร่างชราภาพฝืนฝ่าแนวทหารเข้ามาขวาง
“ขออภัยด้วย ที่นี่ไม่มีใครชื่อเช่นนั้นหรอกขอรับ ข้าไม่รู้จัก! ส่วนสตรีที่อายุสิบเก้า ที่นี่ก็มีเพียงบ้านสกุลหลาน สกุลซ่ง สกุลกั๋ว และหลานสาวของข้า…นางชื่อฉินอี้หนิง”
แม่ทัพผู้นั้นกระตุกยิ้มมุมปาก พร้อมทั้งจ้องมองฉินอี้หนิงอย่างเย้ยหยัน
“เช่นนั้นข้าก็มาถูกแล้วล่ะ เพราะนามเดิมของนางก็คือหรันฝูหรง องค์หญิงลำดับที่สิบสามของราชสกุลหรันที่ถูกล้างบางไปเมื่อห้าปีก่อน!”
กล่าวจบแม่ทัพผู้นั้นก็กระชากแผ่นประกาศราชโองการขึ้นอ่าน
“ฮ่องเต้หลี่หยางหนิงอัน ทรงมีพระบัญชาให้นำตัวนางกลับวังหลวงเพื่อลงโทษ ฐานหลบหนีราชบัญญัติ และจะถูกส่งเข้าตำหนักในรอพิธีแต่งตั้งขึ้นเป็นพระสนมในพระองค์”
ท่านยายฉินอี้เอินผงะเมื่อได้ฟังพระราชโองการฉบับนั้น มือเหี่ยวย่นคว้ามือฉินอี้หนิงไว้อย่างสั่นเทา ทว่าไม่อาจปล่อยหลานสาวเพียงคนเดียวให้ถูกจับไปเผชิญชะตานั้นได้
ฉินอี้หนิงพยายามฝืนไม่ให้ร่างกายของนางสั่น ดวงหน้างามเริ่มซีดเผือด ร่างกายภายใต้ผ้าฝ้ายเรียบง่ายนั้น ท้องของนางกำลังป่องออกอย่างเห็นได้ชัด…บุตรตัวน้อยที่หล่อเลี้ยงอยู่ในครรภ์กำลังดิ้นไหว อาจเพราะเขาสัมผัสได้ว่ามารดากำลังเผชิญกับสถานการณ์อันตรายต่อชีวิต
“ทะ ท่านแม่ทัพ ท่านอย่าพานางไปเลยนะเจ้าคะ…นางกำลังตั้งครรภ์อยู่! พวกท่านกล้าหรือที่จะพรากแม่จากลูกในครรภ์เช่นนี้ หากระหว่างทางนางเกิดเป็นอะไรขึ้นมา พวกท่านจะรับผิดชอบอย่างไรไหว!”
ทหารสองนายก้าวเท้าเข้ามา ใบหน้าเหี้ยมเกรียมไม่มีวี่แววของความเมตตาแฝงอยู่เลยสักนิด ก่อนจะยื่นแขนมากระชากแขนหญิงสาวอย่างไม่คิดถนอม หมายฉุดออกจากเรือนอย่างโหดร้าย
“นางคือกบฏราชวงศ์เก่า ต่อให้ตายไปก็ไม่มีใครมีความผิด อีกทั้งในราชโองการก็ไม่ได้กล่าวถึงการรักษาครรภ์ของใครทั้งสิ้น! ยิ่งขัดขืนก็ยิ่งมีความผิด เพราะเป็นกบฏต่อราชสำนัก!”
“หลานสาวของข้าไม่เคยคิดเอาตัวไปยุ่งกับเมืองหลวง นางไม่ใช่กบฏ!” ท่านตาตะโกนลั่น “นางก็แค่เด็กสาวผู้หนึ่งที่อยากมีชีวิตสงบสุขอย่างคนธรรมดา! หากพวกเจ้ามีใจเป็นมนุษย์ ก็จงกลับไปเสีย!”
“ชีวิตธรรมดาเช่นนั้นเป็นไปไม่ได้สำหรับสายเลือดโสมมของตระกูลหรัน!” เสียงของท่านแม่ทัพผู้นั้นดังกึกก้อง สะท้อนถึงแรงอาฆาตของจักรพรรดิผู้เป็นนายออกมาอย่างชัดเจน สมแล้วที่หลี่หยางหนิงอันผู้นั้นเป็นทรราชที่ชิงราชสมบัติด้วยคมดาบและไฟสงคราม
ฉินอี้หนิงก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว มือเรียวสั่นเทา แตะที่หน้าท้องของตนเบาๆ เพื่อหมายจะหาที่ยึดเกาะทางจิตใจ
“ข้ากำลังจะเป็นแม่คน…ท่านจะทำเช่นนี้จริงหรือเจ้าคะ?”
“เจ้าเป็นเพียงเศษเลือดของราชวงศ์เก่าที่ไม่ควรเหลือรอดมาตั้งแต่แรก” แม่ทัพผู้นั้นพูดด้วยเสียงเย็นชา “ฮ่องเต้คงไม่ยอมเก็บเลือดเนื้อของศัตรูไว้แน่”
ฉับพลันที่ทหารอีกคนเดินเข้ามากล่าวต่อ “ฝ่าบาทไม่ต้องการให้สตรีจากสกุลหรันมีชีวิตอยู่บนแผ่นดินนี้ หากไม่ใช่บนเตียงของพระองค์ ฮ่าๆๆ”
ท่านยายร้องไห้โฮ ก่อนสิ้นสติทรุดตัวล้มลงกับพื้น เป็นเหตุให้ท่านตาต้องรีบเข้าไปกอดประคอ
“ข้าขออ้อนวอนพวกเจ้า ได้โปรด…เห็นแก่เด็กในท้องของนาง หรือไม่ก็เห็นแก่คนแก่ๆ อย่างพวกข้าทั้งสองคน”
ทว่าเสียงสะอื้นไม่มีน้ำหนักใดในสายตาของผู้รับราชโองการ สุดท้าย ร่างของฉินอี้หนิงก็ถูกลากออกจากเรือนสกุลฉินไปอย่างไม่ใยดี ทั้งที่นางยื้อแขนไว้กับขื่อประตู จนฝุ่นดินติดแก้มนวลและเปื้อนไปกับรอยน้ำตา
“ท่านตา ท่านยาย ไม่ต้องห่วงข้า พวกท่านอย่าเอาชีวิตมาเสี่ยงยุ่งกับข้าเลยเจ้าค่ะ ขอยอมไปแต่โดยดี ขอเพียงพวกท่านได้อยู่อย่างปลอดภัย”
เสียงหวีดร้องนั้นปักลึกลงในอกของคนทั้งหมู่บ้าน ชาวบ้านหลายคนที่มามุงดูเริ่มร่ำไห้โดยไม่รู้ตัว ทั้งสงสารคนท้องอย่างนางที่ต้องมาเจอชะตาชีวิตเช่นนี้ และสงสารตายายสกุลฉินที่ต้องสูญเสียหลานสาวสุดที่รักไป
ทว่าก่อนที่รถม้าจะปิดประตูสนิท…ดวงตาของหญิงสาวยังคงหันกลับไปที่เรือนของหลี่โต๋วเปา ที่ซึ่งนางเคยอาศัยอยู่กับคนรัก และที่ซึ่งนางเคยได้ร่วมอภิรมย์ ได้ยินเสียงหัวเราะของชายที่เธอเฝ้ารอ
แม้นับจากวันนี้เป็นต้นไป…จะไม่มีสิ่งใดเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
หมู่บ้านฮุ่ยฟางตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่ต่ำกว่าสามร้อยลี้
ขบวนทหารจึงต้องใช้เวลาเดินทางอย่างต่ำคือห้าวัน แน่นอนว่าระหว่างนั้นฉินอี้หนิงได้รับเพียงน้ำเปล่าและอาหารหยาบอย่างแป้งย่างแข็งๆ วันละหนึ่งชิ้นเท่านั้น
หญิงสาวนั่งพิงผนังรถม้าอย่างเหมอลอย สิ่งที่ทำให้นางยังอยากมีชีวิตอยู่ก็คือลูกในครรภ์ และหลี่โต๋วเปาผู้ที่ทิ้งนางไปที่ใดก็ไม่อาจทราบได้ เพียงแต่นางยังอยากพบหน้าเขา อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสงบร่วมกับเขาเพียงคนเดียว
วันนี้คือวันที่เท่าใดไม่อาจทราบได้…
เสียงกลองประโคมจากหอประตูหน้าวังดังกึกก้องยามสาย ท้องฟ้าปราศจากเมฆ แต่แดดก็ไม่อาจทำให้ร่างที่อยู่ในเกี้ยวผ้าไหมสีแดงเข้มรู้สึกร้อนเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวนั่งนิ่งคล้ายรูปสลัก ริมฝีปากเม้มแน่น ดวงตาเหม่อลอยมองลอดม่านบางไปยังภาพซ้อนเลือนของผู้คนสองข้างทางที่ล้วนเงียบงันราวกับต้องมนตร์สะกดให้กลายเป็นหิน
ฉินอี้หนิง…ไม่สิ เพราะนางคือหรันฝูหรง ธิดาองค์สุดท้ายในสกุลหรัน สกุลที่ถูกจักรพรรดิหลี่หยางหนิงอันฆ่าล้างโคตรจนไม่เหลือแม้แต่เงา
มือทั้งสองที่ในอดีตเคยถือพู่กันอย่างสง่างาม บัดนี้กลับถูกมัดด้วยผ้าไหมสีแดงผืนยาว อันสื่อถึงของกำนัลแห่งโชคลาภที่ถูกส่งเข้าตำหนักราตรีตามคำสั่งของฮ่องเต้ทรราชผู้นั้น
เกี้ยวหยุดลงตรงลานหินกว้างเบื้องหน้าตำหนัก ก่อนที่หน้าประตูสองบานจะถูกเปิดช้าๆ พร้อมกลิ่นหอมบางอย่างที่คล้ายยาหม้อร้อนๆ โจมตีเข้าจมูก
หรันฝูหรงถูกพยุงลงจากเกี้ยวโดยหญิงรับใช้ในวัง นางพยายามไม่สบตาใคร เพราะหากมอง…นางอาจจะเห็นแววสมเพช หรือสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นมนั่นคือแววตาสาแก่ใจของใครบางคน
“ฝ่าบาทรับสั่งไม่ให้ผู้ใดขัดขืน” เสียงขันทีผู้หนึ่งกระซิบเบาๆ ข้างหูของหญิงสาว พลางยื่นผ้าไหมคลุมบ่าให้นางอย่างไม่กล้าสบตา
หรันฝูหรงก้าวเข้าสู่โถงใหญ่ แสงแดดถูกกรองผ่านกระจกหยกใสจนดูคล้ายแสงจันทร์บนผืนน้ำ ทุกย่างก้าวนั้นหนักอึ้ง ราวกับถูกถ่วงไว้ด้วยเสียงหัวใจของบุตรในครรภ์ที่เต้นระรัวไม่ยอมหยุด
เมื่อนางเดินเข้ามาถึงหน้าตำหนักชั้นในสุด บานประตูไม้ฉลุลายมังกรก็ถูกเปิดออกช้าๆ และเงาของจักรพรรดิหลี่หยางหนิงอัน ก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นใต้แสงเทียนสิบสองดวง
พระพักตร์นั้นหล่อเหลาจนสะเทือนใจ แต่ยามที่แววตาของพระองค์สบกับดวงตาของนาง มันกลับทำให้ลมหายใจของหรันฝูหรงเย็นเฉียบไปจนถึงปลายเท้า
ใช่…
เพราะใบหน้าของชายหนุ่มตรงหน้า…มีรูปลักษณ์ละม้ายคล้ายกับหลี่โต๋วเปาราวกับถูกหล่อออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน นัยน์ตาคู่นั้น ดวงหน้าอันคมคาย เส้นผมยาวสลวยประดุจแพรไหม แม้แต่สันจมูกก็ช่างคล้ายคลึงยิ่งนักล
หากแต่นัยน์ตาของคนตรงหน้าเป็นสีดำขลับ…เต็มไปด้วยความเย็นชาราวกับหิมะบนเทือกเขาทางเหนือที่ไม่เคยละลาย บางคราก็ดูราวกับเปลวเพลิงที่ไร้แสงอบอุ่น มีเพียงเปลวร้อนลุกไหม้ที่พร้อมกลืนกินทุกสรรพสิ่ง
คล้ายมากถึงแปดในสิบส่วน ทว่าคนตรงหน้านางกลับไร้ซึ่งความอ่อนโยนแม้เพียงปลายนิ้ว ซึ่งต่างกับสามีเพียงคนเดียวของนางที่รักนางจนสุดหัวใจ
“หึ…โครงหน้างามล้ำเช่นเจ้าเองหรือที่ทำให้เหล่าขุนนางเก่าหลบซ่อนไว้ไม่บอกใคร”
เสียงของจักรพรรดิหลี่หยางหนิงอันไม่ได้ดังกึกก้องนัก แต่กลับเต็มไปด้วยอำนาจกดทับบางอย่าง
“ลูกหลานสกุลหรันที่ยังเหลือรอด เจ้าคือของขวัญจากสวรรค์ที่ข้ารอคอยมานาน…หรันฝูหรง” เสียงทุ้มต่ำของทรราชดังก้องขึ้นในความเงียบ “เจ้าหนีข้ามาได้นานพอแล้ว คืนนี้…เจ้าจะไม่มีวันหนีข้าได้อีก”
“ฝ่าบาท ทรงปล่อยหม่อมฉันไปเถอะเจ้าค่ะ”
“เรียกฝ่าบาทรึ? หึ คนป่าเถื่อนอย่างเจ้าเคารพข้าด้วยหรือ”
“…..”
“ข้าฆ่าหรันผิงเจิ้งบิดาเจ้า…ก็เพราะเขาอ่อนแอเกินไป”
ถ้อยคำเยียบเย็นถูกกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบไร้แววสำนึก เป็นน้ำเสียงของผู้ชายที่ใช้การสังหารเป็นตรรกะ และใช้ไฟสงครามเป็นคำอธิบาย
“บิดาของเจ้าเชื่อมั่นในคำว่าสันติมากเกินไป…แถมยังหูเบาเดินตามสนมต้อยๆ ขณะที่ดินแดนนี้มันกำลังถูกฉีกออกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยคำว่าความอยุติธรรม” เสียงทุ้มเริ่มเล่าเรื่องช้าๆ ในขณะที่เหล่าบ่าวไพร่เรียงแถวกันเดินออกจากภายในตำหนัก “สันติจึงไม่ต่างอะไรกับฝันของคนโง่ อีกทั้งความลังเลของเขาก็ทำให้ตระกูลหลงที่โฉดชั่วนั่นมีอำนาจในมือมากขึ้น บัลลังก์แทบกลายเป็นของคนชั่ว ข้าไม่อาจทนยืนอยู่ข้างคนเช่นบิดาเจ้าได้อีกต่อไป”
แววตาของจักรพรรดิทรราชเปล่งรังสีคลุ้มคลั่งบางอย่าง
“ข้าเดินขึ้นบัลลังก์มังกรด้วยเลือดเพื่อให้โลกหยุดหมุนตามใจพวกขุนนางสกุลหลง ข้ารวบอำนาจเพื่อความสงบของดินแดนนี้ ไม่ใช่เพื่อรักษาความดีงามของพวกสตรีในวังหลัง!”
หรันฝูหรงกำมือแน่น ดวงตาของนางแดงเรื่อ ไม่ใช่เพราะแค้น แต่เพราะหวาดกลัวในสิ่งตรงหน้า
“แล้วตระกูลของข้าเล่า? ท่านฆ่าทุกคนในครอบครัวของข้า ทำลายแม้แต่หญิงชราและเด็กทารก นั่นก็เพื่อคำว่าสันติภาพของท่านหรือ!?”
พระเนตรคู่นั้นมืดดำขึ้นชั่วพริบตา “เพราะหากมีเชื้อสายสกุลหรันหลงเหลือ แคว้นนี้ก็จะไม่มีวันหยุดนิ่ง พวกเจ้าย่อมได้โอกาสลุกขึ้นมาเป็นหุ่นเชิดของพวกขุนนางอีกครั้ง ข้าไม่ต้องการปล่อยรากฐานของปัญหาไว้”
ฉินอี้หนิงก้มหน้าลงเล็กน้อย เพราะดูเหมือนชะตากรรมของนางจะวนเวียนมาตายอยู่ในวังหลังจริงๆ
“แต่เจ้าต่างออกไป…”
ชายหนุ่มยื่นมือมาลูบพวงแก้มสีขาวนวลของนางเบาๆ
“เจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของสกุลหรัน ทว่าเกิดมาสมบูรณ์กว่าความอ่อนแอของบิดาเจ้านัก แววตาเจ้ามีทั้งไฟและน้ำแข็ง เจ้ารอดจากการไล่ล่าได้นานถึงสิบกว่าปี นั่นคือชะตากรรมที่ทำให้ข้าสนใจ…”
“…..”
“เจ้าจะให้กำเนิดบุตรของข้า เพื่อไถ่บาปแทนบิดาของเจ้า และให้ข้ามีเหตุผลพอจะสงบศึกครั้งสุดท้ายในชีวิตที่กำลังรู้สึกผิดนี้”
หรันฝูหรงเบี่ยงหน้าหนี หยาดน้ำตาไหลลงจากขอบตาอย่างไร้เสียง
“ข้าไม่มีวันยอมให้บุตรของข้า ต้องเกิดจากความเกลียดชัง ความแค้น และอำนาจอันบิดเบี้ยวแบบท่านเด็ดขาด!”
ประโยคนั้นทำให้ฝ่ายตรงข้ามหัวเราะในลำคออย่างน่าขนลุก
“ความรักอาจทำให้คนอ่อนแอ แต่สายเลือด…มันทรยศใครไม่ได้”
เขาขยับเข้าใกล้ มือที่เต็มไปด้วยเลือดในอดีตต้องการจะไขว่คว้านางเข้ามากอด หากแต่ในวินาทีนั้นเอง เสียงบางอย่างดังขึ้นจากด้านหลัง ประตูตำหนักแง้มออก พร้อมเสียงเย็นเฉียบของผู้มาใหม่…
“เก็บมือนั่นลงไปซะ ก่อนที่ข้าจะหักมันทิ้งทั้งสองข้าง”
เสียงทุ้มต่ำที่แม้ไม่ตะโกน แต่กลับดังชัดเจนในหัวใจของฉินอี้หนิง
ย้อนกลับไปห้าวันหลังจากที่ฉินอี้หนิงถูกพาตัวไป
ในที่สุดหลี่โต๋วเปาก็กลับมาเหยียบลานหินเล็กๆ หน้าบ้านในชนบทของเขากับฉินอี้หนิงอย่างเงียบงัน
ทว่าบรรยากาศที่อยู่ตรงหน้ากลับทำให้หัวใจของชายหนุ่มรู้สึกแปลกๆ เพราะในบ้านหลังนี้ไม่มีรอยเท้า ไม่มีกลิ่นอาหาร ไม่มีเสียงหัวเราะของหญิงสาวที่เขาเฝ้าฝันถึงในทุกค่ำคืน
“อี้หนิง…” ชื่อของนางหลุดออกมาจากริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว “อี้หนิง!!!” เสียงทุ้มตะโกนหาภรรยาเพียงคนเดียว ทว่าภายในบ้านกลับว่างเปล่า
“ฉินอี่หนิงเจ้าอยู่ที่ไหน!”
หลี่โต๋วเปาพยายามสงบสติอารมณ์ เพราะคิดว่าการที่เขาหายไปนานจนเกือบถึงสองเดือน อาจทำให้ฉินอี้หนิงเหงาจนกลับไปอยู่ที่บ้านสกุลฉิน ทางเลือกเดียวของชายหนุ่มจึงเป็นการเดินกลับไปบ้านหลังนั้น
เพียงไม่กี่ก้าวจากประตูบ้าน เขาก็เห็นท่านตาฉินนั่งพิงเสาเรือนอย่างอ่อนแรง ดวงตาขุ่นมัวเต็มไปด้วยรอยเหนื่อยล้า แต่ยังจ้องตรงมาที่เขาเหมือนจะเฆี่ยนตีเขาด้วยสายตา
“เจ้า…” เสียงแหบพร่านั่นแทบจะตะโกนออกมา “เจ้าบ้า! เจ้ากลับมาอะไรเอาตอนนี้!!!”
เสียงของชายชราสะท้อนผ่านลมหายใจที่แห้งผาก ก่อนที่น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าจะไหลออกมาไม่ขาดสาย
“ท่านตา ภรรยาของข้าเล่า อี้หนิงนางหายไปไหน”
“ข้าต้องเป็นฝ่ายถามมากกว่าเจ้าหายไปไหนมา…”
หลี่โต๋วเปาไม่เอ่ยตอบในทันที เขาเพียงยืนอยู่นิ่งๆ คิ้วเข้มขมวดมุ่นราวกับมีบางอยากวางหนักอยู่ในอก หรือบางทีอาจมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น
“เจ้าหายไปเกือบเดือน…รู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น!?” เสียงของท่านตาเอ่ยอีกครั้ง ก่อนใช้ไม้เท้ากระแทกพื้นอย่างแรง
“…..”
“เมื่อสี่วันก่อนมีทหารจากเมืองหลวงมาลากตัวหลานสาวข้าไป!”
“…..”
“เป็นเรื่องเมื่อคราวที่สกุลหรันถูกกวาดล้าง เพราะนางคือหรันฝูหรงที่หนีรอดมาอยู่กับข้า แต่เจ้าฮ่องเต้นั่นกลับส่งคนมาลากนาง…ภรรยาเจ้าและเลือดเนื้อในครรภ์นางไป!”
“ท่านว่าอะไรนะ…”
“เสี่ยวหนิงตั้งท้องลูกของเจ้าได้สี่เดือนแล้ว เจ้าได้ยินหรือไม่!!?”
ประโยคคำตอบนั้นทำให้โลกในอกของหลี่โต๋วเปารู้สึกเหมือนระเบิดสูญญากาศที่กำลังดูดกลืนทุกสรรพเสียง ใบหน้าเขายังคงเรียบเฉย…
เฉยจนดูผิดปกติ
แต่ใครจะรู้บ้างว่าภายในนั้น กลไกบางอย่างได้เริ่มต้นทำงานแล้ว
ชายหนุ่มก้าวออกจากลานหินอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง ทำเพียงเดินตรงไปยังเสาสัญญาณที่เขาฝังไว้หลังบ้าน ปลายนิ้วสัมผัสคริสตัลพลังงานเรืองแสง ก่อนกระซิบคำสั่ง
“เปิดจุดขนย้าย ล็อกพิกัด…วังหลวง”
ไม่นานต่อจากนั้น แสงสีฟ้าเรืองรองก็ทอขึ้นรอบกายสูงกำยำ ขณะที่เสียงคำรามภายในใจดังขึ้นอย่างเงียบงัน ไม่มีใครมีสิทธิ์แย่งตัวนางและลูกไปจากเขาได้…แม้จะเป็นจักรพรรดิแห่งแผ่นดินนี้ก็ตาม
กลับมาที่สถานการณ์ในปัจจุบัน…สิ้นเสียงเหี้ยมกับประโยคไร้มารยาทนั้น เมื่อหลี่หยางหนิงอันหันไปสบสายตากับอีกฝ่าย สิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นไม่ใช่เพียงใบหน้าที่ดูคล้ายเขาราวกับแกะ แต่เป็นโทสะและความเหี้ยมเกรียมในแบบที่เขารู้จักดี“เจ้ากล้ามาก ที่มาแตะต้องภรรยา และแตะต้องลูกของข้า” เสียงของหลี่โต๋วเปานิ่งงัน แต่ทุ้มต่ำจนเหมือนจะสามารถสะเทือนผนังหินของตำหนักได้อย่างง่ายดายหลี่หยางหนิงอันเลิกคิ้วเล็กน้อย “ข้ากำลังจะสั่งให้หมอหลวงเอาเด็กในท้องนางออกพอดี แต่เพราะต้องพักฟื้นร่างกายนาน เลยคิดว่าจะพาขึ้นเตียงทั้งที่ยังท้อง คงให้อารมณ์แปลกใหม่ไม่น้อย” ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจงใจยั่วโมโหฝ่ายนั้น “เช่นนั้นเจ้าคงคิดจะฆ่าข้าสินะ?”ชายหนุ่มในชุดซอมซ่อสีเทาไม่ตอบ มือข้างหนึ่งยกขึ้นช้าๆ ดวงตาของเขาเรืองแสงวาบสีฟ้าอความารีนแผ่วเบา คล้ายกระจกจักรวาลที่สามารถสะท้อนแรงโน้มถ่วงให้ย้อนคืนได้ฉับพลันที่อากาศรอบตัวเริ่มสั่นสะเทือน แรงกดดันไร้รูปประหนึ่งกำปั้นพลังจิตกระแทกเข้าที่กลางอกของจักรพรรดิหนุ่มหลี่หยางหนิงอัน จนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นป้องกันอันตรายที่มองไม่เห็น“อย่าคิดว่าต่อจากนี้เจ้ายังจะสามารถอยู่หายใจได้อีก…”
หนึ่งเดือนกับอีกสามสัปดาห์ที่หลี่โต๋วเปายังไม่กลับมา ฉินอี้หนิงนั่งจิบชากุหลาบอยู่ที่ชายเรือนสกุลฉิน ลมยามบ่ายพัดกรูจากทิศตะวันออก พาเอาใบไผ่ที่ลู่ลมอยู่บนเนินเตี้ยหล่นเกลื่อนทั่วลานทว่าเสียงกีบม้านับสิบและฝีเท้าเกราะเหล็กที่ดังกึกก้องยิ่งกว่าเสียงพายุ กลับทำให้หมู่บ้านฮุ่ยฟางที่เคยเงียบงัน เกิดความสนันหวั่นไหวราวกับมีเงามรณะเคลื่อนเข้ามาปกคลุมทั่วผืนดินรถม้าขนาดใหญ่สลักลายมังกรดำขอบทอง เคลื่อนมาหยุดลงบริเวณหน้าบ้านสกุลฉิน ก่อนที่บรรดาทหารสวมเกราะดำประทับตราจักรพรรดิหลี่จะวิ่งเข้ามารายล้อมรอบบ้านเอาไว้ ตามมาด้วยเสียงแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งตวาดดังแทรกเสียงใบไม้ปลิว“เรามารับตัวหรันฝูหรง สตรีอายุสิบเก้าหนาวที่ซ่อนตัวในหมู่บ้านแห่งนี้!”ท่านตาฉินที่กำลังสานกระด้งไม้ไผ่รีบก้าวออกมาจากเรือน ร่างชราภาพฝืนฝ่าแนวทหารเข้ามาขวาง“ขออภัยด้วย ที่นี่ไม่มีใครชื่อเช่นนั้นหรอกขอรับ ข้าไม่รู้จัก! ส่วนสตรีที่อายุสิบเก้า ที่นี่ก็มีเพียงบ้านสกุลหลาน สกุลซ่ง สกุลกั๋ว และหลานสาวของข้า…นางชื่อฉินอี้หนิง”แม่ทัพผู้นั้นกระตุกยิ้มมุมปาก พร้อมทั้งจ้องมองฉินอี้หนิงอย่างเย้ยหยัน“เช่นนั้นข้าก็มาถูกแล้วล่ะ เพราะนามเ
ยุคจักรวรรดิอวกาศ ภายในสถานีวิจัยหลักของตระกูลหลี่ ชั้นบัญชาการพลังงานควอนตัม ความวุ่นวายกำลังเกิดขึ้นเมื่อคนที่หายตัวไปกลับเข้ามาสั่งงานจนกองพะเนิน“โธ่เอ๋ย…ครั้งแรกผมก็นึกว่าท่านประธานหลี่ของเราหลุดเข้าไปอยู่ในปฏิกรณ์ชีวภาพจนแยกโมเลกุลไม่ออกเสียแล้ว ที่แท้…ก็แค่ติดภรรยาเท่านั้น”ร่างสูงของหลี่โต๋วเปายืนพิงกรอบประตู มือซุกกระเป๋าเสื้อโค้ตสีเทาเรียบทว่าหรูหรา ไม่มีคำเถียงใด มีเพียงรอยยิ้มมุมปากที่เจือแววอ่อนโยนบางอย่าง…คล้ายไม่คิดปฏิเสธความจริงข้อนั้น“ก็แค่ใช้เวลาให้คุ้มกับชีวิตบ้าง คุณต้องลองไปปลูกฟักทองดูสักครั้งสิ แล้วจะเข้าใจว่าทุกเช้าในทุ่งหมอกนั้นมีค่ามากกว่างานวิจัยที่เขียนมาพันปีเสียอีก”หลี่เฮ้าถงกลอกตาเล็กน้อยขณะมองหลายชายเพียงคนเดียว ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ“อา…ฟักทองยังไม่เท่าไร แต่ถ้าประธานหลี่ของเราหายหน้าไปอีกสามเดือน ผมอาจจะกลับเข้าไปลักพาตัวภรรยาของท่านมาขังไว้ที่นี่แทน แล้วให้ท่านประธานเข้าออกห้องทดลองตลอดยี่สิบชั่วโมงเสียเลย”“แบบนั้นก็เป็นความคิดที่ดีนะ” หลี่โต๋วเปาพึมพำ พร้อมกับหยิบซาลาเปาไส้เห็ดหอมออกมาจากถุงเล็กๆ ในมือ ก่อนจะยื่นให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่รีบร้อน “ข
หลังเกี่ยวและตากข้าวจนเสร็จสรรพ ครอบครัวสกุลฉินก็เว้นช่วงเวลาสำหรับหยุดพักผ่อน ด้วยเพราะร่างกายที่ชราภาพของท่านตาท่านยาย พอทำงานไร่นานานเข้าจึงปวดเมื่อยมากกว่าปกติส่วนหลี่โต๋วเปาและฉินอี้หนิงก็ใช้เวลาส่วนมากอยู่กับการดูแลสวนผัก ขึ้นเขาไปล่าสัตว์มาขาย และใช้เวลาร่วมกันในฐานะสามีภรรยาทว่าวันนี้ แขกผู้มาเยือนกลับเป็นอดีตขุนนางผู้ต้องสูญเสียบ้านให้หลี่โต๋วเปาอย่างสวี่อี้เจิน“คารวะผู้อาวุโส”เสียงทุ้มของหลี่โต๋วเปาเอ่ยช้าๆ ดวงตาเรียวคมสังเกตท่วงท่าการเดินของฝ่ายตรงข้าม รู้สึกคุ้นเคยนัก ทว่านี่ไม่ใช่ท่าทีของผู้อาวุโสสวี่อี้เจินที่เขาเคยประลองหมากล้อมด้วยอย่างแน่นอน“เจ้าน่ะใช้ชีวิตได้ดี กลายเป็นผู้เยาว์ที่สร้างครอบครัวอบอุ่นจริงเชียว” ชายชรามองสำรวจทั่วทุกมุมบ้านราวกับไม่เคยเห็น ก่อนที่สายตาจะพลันมาหยุดลงที่ร่างบอบบางของฉินอี้หนิงซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นสาวงามเต็มตัวไปเสียแล้ว “โอ้~ นี่คือฉินอี้หนิงคนนั้นรึ…” ชายชรายิ้มอย่างสดใสพลางมองสำรวจใบหน้างามอย่างชื่นชม“เชิญผู้อาวุโสสวี่นั่งพักก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะไปเอาชาอวิ๋นอู้ [1] ที่ได้จากภูเขาหลูซานมาให้” เสียงหวานกล่าวอย่างอ่อนโยน ขณะเดินหายเข้าไป
วันเวลาผ่านเลยไปจากวันกลายเป็นหนึ่งเดือน ยามนี้สายลมปลายเดือนเปลี่ยนผิวทุ่งนาหน้าบ้านให้กลายเป็นสีทองอร่าม ลำต้นข้าวโน้มลงตามแรงน้ำหนักของรวงเมล็ดที่สุกงอม ท่ามกลางแสงอาทิตย์อุ่นอ่อนในยามเช้า เสียงเคียวเกี่ยวข้าวเสียดสีเบาๆ สะท้อนชัดอยู่กลางนาหลี่โต๋วเปาค้อมตัวใช้เคียวไม้ด้ามสั้นในมือเกี่ยวรวงข้าวอย่างระมัดระวัง ท่วงท่าของเขาแม้ยังไม่คล่องแคล้วนัก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ มือทั้งสองที่แกร่งอยู่แล้วบัดนี้ยิ่งแกร่งขึ้นซึ่งเป็นผลจากการจับจอบ ขุดหลุม และหาบน้ำทุกวัน จนรอยด้านปรากฏชัดที่ฝ่ามือ“เจ้าหนุ่มจากเมืองหลวง เจ้าน่ะก้าวหน้ากว่าที่ข้าเคยคิดไว้มากจริงๆ”เสียงของท่านตาดังมาจากอีกฟากของแปลงข้าว ใต้หมวกฟางเก่าคร่ำ ดวงตาของชายชรายังสะท้อนความชื่นชมไม่เสื่อมคลายหลี่โต๋วเปาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วหัวเราะเบาๆ ชายหนุ่มย้อนนึกถึงตอนที่เขาอยู่ในตำแหน่งจอมพล ถ้าตอนนี้อยู่ในยุคจักรวรรดิ เขาคงสามารถสั่งคนให้ขุดหลุมปลูกข้าวได้เป็นพันหลุม แต่เพิ่งรู้ว่าสิ่งที่ยากที่สุด คือการเกี่ยวข้าวแค่เพียงมัดเดียว“ฮ่าๆๆ เจ้ารู้วิธีปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งของชีวิต” ท่านต
หลังผ่านพ้นค่ำคืนของการร่วมหอ ร่างงามก็ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกแกร่งไม่ไปไหน หลี่โต๋วเปาไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะกว่าเขาจะเสร็จกิจแต่ละรอบก็ใช้เวลานานเสียจนตัวเขาเริ่มนอนไม่หลับ ได้แต่กอดฉินอี้หนิงไว้ ขณะมองใบหน้าขาวนวลในยามนิทราบนโต๊ะข้างเตียงมีกะละมังไม้ใส่น้ำอุ่นที่เริ่มจะเย็นชืด พร้อมด้วยผ้าขาวที่ถูกใช้แล้ววางพาดอยู่ แน่นอนว่าเป็นหลี่โต๋วเปาที่นำมันมาเพื่อเช็ดผิวกายให้ภรรยาตัวน้อย อาจเพราะเขาไม่ได้ปลดปล่อยตนเองมานานหลายปี เจ้าของเหลวสีขาวขุ่นเหล่านั้น จึงมีมากเสียจนอาจทำให้ฉินอี้หนิงนอนหลับแบบไม่สบายตัวนัก ซึ่งในฐานะผู้กระทำ เขาจึงต้องทำความสะอาดให้นางทุกครั้งแพขนตาหนาที่เริ่มขยับน้อยๆ ทำให้หลี่โต๋วเปาอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจุมพิตบนเปลือกตาของนาง ไล่เรื่อยลงไปจนถึงหน้าอกนุ่มที่เต็มไปด้วยร่องรอยสีกุหลาบฉินอี้หนิงที่เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมา เผลอทำหน้าอิดออดน้อยๆ เมื่อส่วนล่างของนางมันทั้งบวมและเจ็บระบมอย่างที่ไม่เคยเป็น ค่ำคืนเข้าหอนี้ผ่านไปอย่างยากลำบากจริงๆ ยิ่งเมื่อผู้เป็นสามีไม่ยอมจบดังที่ควรเป็นใต้ผ้าห่มมีบางอย่างขยับอยู่ เคลื่อนจากหน้าอกสู่ส่วนล่างอย่างเชื่องช้า ทว่าทุกการสัมผัสล้วนเต็มไป