กลับมาที่สถานการณ์ในปัจจุบัน…
สิ้นเสียงเหี้ยมกับประโยคไร้มารยาทนั้น เมื่อหลี่หยางหนิงอันหันไปสบสายตากับอีกฝ่าย สิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นไม่ใช่เพียงใบหน้าที่ดูคล้ายเขาราวกับแกะ แต่เป็นโทสะและความเหี้ยมเกรียมในแบบที่เขารู้จักดี
“เจ้ากล้ามาก ที่มาแตะต้องภรรยา และแตะต้องลูกของข้า” เสียงของหลี่โต๋วเปานิ่งงัน แต่ทุ้มต่ำจนเหมือนจะสามารถสะเทือนผนังหินของตำหนักได้อย่างง่ายดาย
หลี่หยางหนิงอันเลิกคิ้วเล็กน้อย “ข้ากำลังจะสั่งให้หมอหลวงเอาเด็กในท้องนางออกพอดี แต่เพราะต้องพักฟื้นร่างกายนาน เลยคิดว่าจะพาขึ้นเตียงทั้งที่ยังท้อง คงให้อารมณ์แปลกใหม่ไม่น้อย” ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจงใจยั่วโมโหฝ่ายนั้น “เช่นนั้นเจ้าคงคิดจะฆ่าข้าสินะ?”
ชายหนุ่มในชุดซอมซ่อสีเทาไม่ตอบ มือข้างหนึ่งยกขึ้นช้าๆ ดวงตาของเขาเรืองแสงวาบสีฟ้าอความารีนแผ่วเบา คล้ายกระจกจักรวาลที่สามารถสะท้อนแรงโน้มถ่วงให้ย้อนคืนได้
ฉับพลันที่อากาศรอบตัวเริ่มสั่นสะเทือน แรงกดดันไร้รูปประหนึ่งกำปั้นพลังจิตกระแทกเข้าที่กลางอกของจักรพรรดิหนุ่มหลี่หยางหนิงอัน จนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นป้องกันอันตรายที่มองไม่เห็น
“อย่าคิดว่าต่อจากนี้เจ้ายังจะสามารถอยู่หายใจได้อีก…” เสียงของหลี่โต๋วเปาดังลอดไรฟัน สีหน้ากร้าวราวกับเทพแห่งการล้างแค้น แรงพลังจิตระดับ S+ กระหน่ำใส่ทุกอณูในตำหนัก ราวกับโลกทั้งใบกำลังถล่มลง
แต่แล้ว…
“หลี่โต๋วเปา! หยุดเดี๋ยวนี้!!!”
เสียงเข้มทรงอำนาจดังมาจากด้านหลังชายหนุ่ม เมื่อหันไปจึงพบว่าเป็นดอกเตอร์หลี่เฮ้าถง ที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าแท่นบูชากลางตำหนักด้วยสีหน้าที่เหนื่อยหอบและคล้ายจะเป็นลมอยู่รอมร่อ
ชายวัยกลางคนก้าวเท้าเข้ามาอย่างมั่นคง แม้ผนังจะสั่นสะเทือน แม้แรงจิตจะบีบอากาศจนแหลกละเอียด แต่สายตาของชายในชุดทดลองสีขาวสะอาดกลับแน่วแน่ยิ่งกว่าผู้ใด
หลี่โต๋วเปาชะงัก หายใจแรง แต่มือยังไม่ลดจากการทำร้ายฝ่ายตรงข้าม
“พอได้แล้ว” ดอกเตอร์หลี่เฮ้าถงกล่าวย้ำ
“ไม่…เขาทำร้ายเมียผม ลูกของผม!!” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างมาดร้าย
“แต่เขาคือบรรพบุรุษของท่านนะครับท่านประธานหลี่” ดอกเตอร์หลี่เฮ้าถงพยายามชี้แจงถึงเหตุผลที่สำคัญ “และเขาคือจักรพรรดิองค์แรกแห่งราชวงศ์หลี่ที่ท่านประธานสืบสายเลือดมาโดยตรง”
ประโยคสำคัญในน้ำเสียงนั้นทำให้ฉินอี้หนิงตกตะลึง ร่างบางสั่นเทิ่มน้อยๆ คราแรกไม่อาจรับความจริงได้ แต่ทว่าความรักที่นางมีต่อหลี่โต๋วเปาย่อมมีค่ามากกว่า เพราะเขาคือคนที่เห็นคุณค่าในตัวนาง และอยู่เคียงข้างนางในฐานะพ่อของลูก
“หากท่านประธานฆ่าเขา! ระบบสายเลือดจะล่มสลาย ประวัติศาสตร์จะเปลี่ยน อาณาจักรของท่านประธานจะไม่มีวันเกิด และภรรยาของท่าน ก็อาจไม่มีวันได้พบท่านในยุคนี้ หรือแม้แต่เพียงเศษเสี้ยววินาทีเดียวพวกท่านก็จะไม่อาจมีร่วมกัน”
ดวงตาเรียวคมไหววูบ ร่างของหลี่โต๋วเปาเริ่มหยุดการใช้พลังลง ขณะที่ลมหายใจเริ่มสะดุดน้อยๆ ราวกับในหัวของเขา มีทั้งจักรวาลที่กำลังหมุนย้อนกลับด้วยความจริงเพียงประโยคเดียว นั่นคือเขาจะหายตัวไปหากไม่มีชายชั่วนามว่าหลี่หยางหนิงอันคนนี้
“แต่เขากำลังจะข่มเหงผู้หญิงที่ผมรัก…” เสียงของชายหนุ่มสั่น “ถ้าผมมาไม่ทัน ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง บางทีเขาอาจจะ…อาจจะทำลายลูกของผม…”
ดอกเตอร์หลี่เฮ้าถงก้าวเข้ามา วางมือลงบนไหล่ของหลานชายราวกับต้องการปลอบประโลม
“หากเขาตายสกุลหลี่ก็จะหายไปตลอดการ นั่นแหละคือเหตุผลที่ท่านประธานต้องหยุด เพื่อเด็กในท้องของนายหญิง และเพื่อความทรงจำต่างๆ ที่หล่อหลอมความรักของพวกท่านทั้งสองให้มาถึงจุดนี้”
ดวงตาของโต๋วเปาสั่นระริก ในหัวมีแต่ภาพของฉินอี้หนิงที่ยิ้มให้เขาภายใต้แสงจันทร์ในคืนวันแต่งงาน มือที่ยกค้างกลางอากาศเริ่มค่อยๆ ลดลงอย่างช้าๆ
ฉินอี้หนิงหรือก็คือหรันฝูหรงรีบวิ่งเข้าไปคว้าแขนแกร่งไว้ ดวงตากลมสวยของนางแดงก่ำเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรโต๋วเปา พอเถอะนะ ถ้าหากว่าการทำแบบนั้นมันจะทำให้ท่านต้องหายไป ฮึก ข้าไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ…”
“อี้หนิง เจ้าก็ได้ยินแล้ว…ข้ากับชายที่เจ้าเกลียดมีสายเลือดเดียวกัน รวมทั้งเด็กในท้องของเจ้า” เสียงทุ้มพึมพำอย่างหมดหนทาง “ในครรภ์ของเจ้ามีสายเลือดสกุลหลี่ ข้าขอโทษจริงๆ ที่ไม่ได้บอกความจริง แต่ข้าก็พร้อมที่จะชดใช้ให้เจ้าด้วยความตาย”
“ข้าไม่เอาเจ้าค่ะ!” หญิงสาวส่ายศีรษะรัวแรง “ต่อให้ท่านจะมีสายเลือดของสกุลหลี่ที่ข้าเกลียดชัง แต่ถ้าหากคนสกุลหลี่คนนั้นเป็นท่านข้าก็ไม่รู้สึกเกลียดเช่นนั้นอีกแล้ว อย่าไปจากข้านะเจ้าคะ ท่านให้สัญญากับข้าแล้วในวันแต่งงาน ฮึก ท่านจะอยู่กับข้าจนแก่เฒ่า จำได้หรือไม่?”
พอได้ยินดังนั้น พลังจิตของชายหนุ่มจึงค่อยๆ สลายไปราวหมอกที่จางหาย ฝ่ายหลี่หยางหนิงอันกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง แต่ยังหัวเราะในลำคอ อาจเพราะภาคภูมิใจในตัวสายเลือดของเขา หรือไม่ก็หัวเราะให้กับสถานการณ์อันเหลือเชื่อที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้
“ก็คิดอยู่ว่าทำไมหน้าตาเราสองคนถึงได้ดูคล้ายกันนัก ที่แท้เจ้าก็เป็นสายเลือดที่ข้าหลงเหลือไว้”
ดอกเตอร์หลี่เฮ้าถงขยับแว่นให้เข้าที่เล็กน้อย “ครับ…ฝ่าบาท เอ่อ บรรพบุรุษสกุลหลี่”
ทั้งหมดทั้งมวลที่พูดออกไป แน่นอนว่าหลี่หยางหนิงอันจงใจปั่นประสาทคู่รักคู่นี้เล่นเท่านั้น และมันก็ได้ผลเกินคาดทีเดียว เพราะมันทำให้ทรราชผู้เบื่อชีวิตจำเจอย่างเขา ได้พบบางอย่างที่น่าสนใจจากยุคสมัยอันไกลโพ้น
“เช่นนั้นเล่าให้ฟังหน่อยสิว่าในยุคของเจ้าขะ…”
ตุบ…
กล่าวยังไม่ทันจบร่างสูงของชายหนุ่มในชุดสีดำปักลายมังกรทองอย่างประณีตก็ล้มฟุบลงบนพื้นด้วยเทคโนโลยีบางอย่างในมือของดอกเตอร์หลี่เฮ้าถง
“ลบความทรงจำน่ะ ฮ่าๆๆ” ชายวัยกลางคนหัวเราะแห้งๆ ก่อนหันไปมองหลานชายเพียงคนเดียว “นี้เป็นโอกาสดีที่จะใช้ตัดสินใจ ว่าจะจบความสัมพันธ์ลง หรือจะพานายหญิงกลับไปที่ยุคจักรวรรดิ”
…..
“ถ้าหากนายหญิงตกลงที่จะไป ผมก็จะสร้างสถานการณ์ปลอมๆ ตามที่ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ในยุคหลัง นั่นคือทำให้ชื่อขององค์หญิงหรันฝูหรงตายหายไปจากยุคนี้ ด้วยฝีมือของฮ่องเต้หลี่หยางหนิงอัน”
สิ้นข้อเสนอของดอกเตอร์หลี่เฮ้าถง ภายในตำหนักก็ตกอยู่ในความเงียบ
“อี้หนิง…” เสียงของหลี่โต๋วเปาเอ่ยแผ่วเบาแต่ชัดเจน
หญิงสาวหันมองเขา ดวงตากลมสวยฉายแววอ่อนล้าเล็กๆ หากแต่ยังเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นไม่เสื่อมคลาย
“ที่นั่น…คือในยุคสมัยของข้า เป็นจักรวรรดิที่ห่างจากที่นี่ไปไกลเกินกว่าที่เจ้าจะนึกฝัน แต่หากเจ้าต้องการ…มันจะกลายเป็นบ้านที่ดีและปลอดภัยที่สุดของเราสองคน”
ชายหนุ่มก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้น พลางยื่นมือมาแตะบนมือบางของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน
“เจ้าอยากไปกับข้าหรือเปล่า อี้หนิง ถ้าไป…เราจะได้เริ่มต้นใหม่ อยู่กันอย่างสงบ อยู่ในโลกที่ไม่มีผู้ใดพรากเจ้าไปจากข้าได้อีก”
หญิงสาวนิ่งไปเล็กน้อย ริมฝีปากของนางเม้มเข้าหากัน มือที่สัมผัสชายหนุ่มเริ่มสั่นเบาๆ แต่แล้วก็กลับมั่นคงขึ้นเมื่อปลายนิ้วของเขากระชับมือของนางแน่นขึ้น คล้ายต้องการให้นางเชื่อมั่นในตัวเขา
“ข้า…” เสียงของนางเบาหวิว “ข้าอยากไปกับท่าน”
ดวงตาทั้งสองสบกันนิ่ง มันยาวนานพอจะยืนยันได้ว่าคำตอบนั้นไม่ได้เกิดจากแรงชักนำใดๆ นอกจากหัวใจของนางเอง
“แต่ขอข้ากลับไปลาท่านตาท่านยายก่อนนะเจ้าคะ” นางพูดต่อด้วยรอยยิ้มบาง ฉับพลันที่น้ำตาใสจะเอ่อคลอขึ้นมาบางๆ “ข้าจากพวกท่านมาโดยไม่ทันได้บอกลา ข้ากลัวพวกท่านจะเป็นห่วงจนล้มป่วย อีกอย่างข้าไม่อาจให้อะไรในชีวิตหลุดลอยไปอีก…แม้แต่คำว่าขอบคุณ”
หลี่โต๋วเปายกมือเรียวสวยของฝ่ายตรงข้ามขึ้นมาแนบแก้ม
“ได้สิ…เพราะข้าทำผิดต่อเจ้า ทำผิดต่อคนของเจ้า ข้าก็อยากบอกลาพวกท่านให้เรียบร้อยเช่นกัน จะได้ไม่มีสิ่งใดให้ติดค้างในใจอีก” เขายิ้ม “เพราะต่อจากนี้ พวกท่านจะได้รู้ว่าเราไม่ได้ตายจากไป เพียงแต่ออกไปเริ่มต้นชีวิตกันใหม่ในอีกฟากหนึ่งของจักรวาลเท่านั้น”
“….”
สุดท้ายหญิงสาวก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ชายหนุ่มจึงค่อยๆ โน้มตัวเข้าใกล้นาง ก่อนจะกระซิบถ้อยคำบางอย่าง
“ข้ารักเจ้า”
ฉินอี้หนิงเบิกตาน้อยๆ ริมฝีปากของนางสั่นระริก นางไม่ตอบในทันที มีเพียงลมหายใจที่ขาดห้วงเล็กน้อย ก่อนเสียงแผ่วเบาของนางจะดังขึ้น
“ข้าก็รักท่านเช่นกัน”
เพียงเท่านั้น เสียงในหัวของชายหนุ่มก็เงียบลง เขาไม่พูดอะไรต่อ เพียงแค่โน้มหน้าลงไปจุมพิตบนกลางหน้าผากของนางอย่างแผ่วเบา
จูบนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อยืนยันความรู้สึก แต่เพื่อสัญญาว่าเขาจะไม่มีวันทิ้งนางไปไหนไกลอีกเด็ดขาด
และในวินาทีนั้น…ชายหนุ่มจากอนาคตก็กอดภรรยาตัวน้อยไว้แนบอก เป็นการกอดที่แน่นที่สุดในชีวิต ราวกับจะสื่อว่าเขาจะไม่มีวันยอมให้ใครมาพรากนางไปอีกครั้ง
ลานหินหน้าบ้านสกุลฉิน เมื่อสองร่างเดินทางกลับมาถึง เสียงฝีเท้าแผ่วเบา ที่คุ้นหูก็ทำให้ชายชราซึ่งนั่งจิบชาอยู่ที่โต๊ะไม้ใต้ชายคาจำต้องรีบเงยหน้าขึ้นมอง ฝ่ายท่านยายซึ่งเพิ่งวางชะลอมผ้าในมือพลันหยุดนิ่ง หันไปสบตากับหลานสาวผู้เป็นดังดวงใจทั้งน้ำตา
“ท่านตา…ท่านยาย…” เสียงของฉินอี้หนิงสั่นไหวเล็กน้อย นางเดินเข้าไปใกล้ คุกเข่าลงเบื้องหน้าคนทั้งสอง “หนิงเอ๋อร์กลับมาได้อย่างปลอดภัยเพราะหลี่โต๋วเปา เพียงแต่วันนี้ หนิงเอ๋อร์จะมากล่าวคำลาพวกท่านทั้งสองเจ้าค่ะ”
แม้ไม่มีเสียงร้องไห้ แต่น้ำตาหยาดหนึ่งพลันกลิ้งลงบนขอบแก้มของท่านยาย
“นับตั้งแต่วันที่เจ้าก้าวเข้ามาในเรือนนี้ ยายก็รู้ว่าเราคงเก็บเจ้าไว้กับเราตลอดไปไม่ได้ แต่ในใจก็ยังไม่อยากให้วันนี้มาถึง” หญิงชรากล่าวเสียงแผ่ว มือที่หยาบกร้านจากการเย็บผ้า ยื่นไปลูบศีรษะนางเบาๆ ด้วยความรัก “ไปเถอะลูก ไปในที่ที่เจ้าจะมีอนาคต มีอ้อมแขนที่สามารถปกป้องเจ้าได้ทั้งชีวิต”
คำพูดและการบอกลาที่แสนจริงจัง ทำให้ฉินอี้หนิงร้องไห้มากขึ้นเรื่อยๆ
หลี่โต๋วเปาเดินเข้ามาคุกเข่าเคียงข้างภรรยา เขาค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อม
“ท่านตาท่านยาย ข้ามีความจริงที่จะต้องบอกพวกท่าน แท้จริงแล้วข้าเป็นคนสกุลหลี่ มีนามว่าหลี่โต๋วเปา ข้าเป็นแมวสีขาวตัวนั้น ถึงแม้จะปิดบังแต่ข้าก็ขอสัญญาว่าจะดูแลฉินอี้หนิงเป็นอย่างดี”
ท่านตาจ้องเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจเบาๆ แล้วลูบไหล่ชายหนุ่มช้าๆ
“เจ้าไม่ใช่เพียงหลานเขยธรรมดาอีกต่อไปแล้วโต๋วเปา เพราะตอนนี้เจ้าก็เป็นดั่งบุตรชายของข้า…ข้าขอฝากให้เจ้าดูแลหนิงเอ๋อร์ให้ดี อย่าให้นางต้องมีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว”
“ขอรับ”
จากนั้นทั้งสองก็เงยหน้ามองรอบเรือนอย่างเชื่องช้า มองดอกหญ้าที่ไหวเอนในสวน ลานหินที่เคยมีเงาของคนทั้งสี่ร่วมวงกินข้าวทอดยาวข้างเคียงกัน รอยเท้าที่สลักไว้ใต้พุ่มไม้ ทุกสิ่งในที่นี่ล้วนกลายเป็นความทรงจำที่ดีที่สุด
ฉินอี้หนิงซบลงที่ไหล่ของท่านยาย น้ำเสียงหวานของนางยังคงอ่อนนุ่ม
“หนิงเอ๋อร์จะหาโอกาสกลับมาหาพวกท่านทั้งสองนะเจ้าค่ะ…ไม่ว่าที่นั่นจะไกลแค่ไหนก็ตาม”
ท่านยายกอดนางแน่น ไม่มีถ้อยคำใดถูกพูดออกมาอีก นอกจากอ้อมแขนที่สั่นเล็กน้อยของหญิงชรา
ใต้คานไม้ ผ้าแดงที่เคยแขวนไว้ในวันแต่งงานยังคงพลิ้วไสวไปตามแรงลม วันนี้ เป็นวันที่หลานสาวแห่งเรือนสกุลฉิน ได้เติบใหญ่จนพร้อมโบยบินออกไปด้วยตนเองแล้ว
และในขณะที่ร่างของคนหนุ่มสาวทั้งสองเดินออกจากอาณาเขตบ้านสกุลฉิน ทิ้งไว้เพียงเงาของคนชราสองคนนั่งนิ่งใต้แสงแดดเย็นย่ำ เสียงของท่านตาก็ดังขึ้นเบื้องหลังอย่างแผ่วเบา
“เดินทางปลอดภัยนะ…หลานสาวเพียงคนเดียวของข้า”
กลับมาที่สถานการณ์ในปัจจุบัน…สิ้นเสียงเหี้ยมกับประโยคไร้มารยาทนั้น เมื่อหลี่หยางหนิงอันหันไปสบสายตากับอีกฝ่าย สิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นไม่ใช่เพียงใบหน้าที่ดูคล้ายเขาราวกับแกะ แต่เป็นโทสะและความเหี้ยมเกรียมในแบบที่เขารู้จักดี“เจ้ากล้ามาก ที่มาแตะต้องภรรยา และแตะต้องลูกของข้า” เสียงของหลี่โต๋วเปานิ่งงัน แต่ทุ้มต่ำจนเหมือนจะสามารถสะเทือนผนังหินของตำหนักได้อย่างง่ายดายหลี่หยางหนิงอันเลิกคิ้วเล็กน้อย “ข้ากำลังจะสั่งให้หมอหลวงเอาเด็กในท้องนางออกพอดี แต่เพราะต้องพักฟื้นร่างกายนาน เลยคิดว่าจะพาขึ้นเตียงทั้งที่ยังท้อง คงให้อารมณ์แปลกใหม่ไม่น้อย” ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจงใจยั่วโมโหฝ่ายนั้น “เช่นนั้นเจ้าคงคิดจะฆ่าข้าสินะ?”ชายหนุ่มในชุดซอมซ่อสีเทาไม่ตอบ มือข้างหนึ่งยกขึ้นช้าๆ ดวงตาของเขาเรืองแสงวาบสีฟ้าอความารีนแผ่วเบา คล้ายกระจกจักรวาลที่สามารถสะท้อนแรงโน้มถ่วงให้ย้อนคืนได้ฉับพลันที่อากาศรอบตัวเริ่มสั่นสะเทือน แรงกดดันไร้รูปประหนึ่งกำปั้นพลังจิตกระแทกเข้าที่กลางอกของจักรพรรดิหนุ่มหลี่หยางหนิงอัน จนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นป้องกันอันตรายที่มองไม่เห็น“อย่าคิดว่าต่อจากนี้เจ้ายังจะสามารถอยู่หายใจได้อีก…”
หนึ่งเดือนกับอีกสามสัปดาห์ที่หลี่โต๋วเปายังไม่กลับมา ฉินอี้หนิงนั่งจิบชากุหลาบอยู่ที่ชายเรือนสกุลฉิน ลมยามบ่ายพัดกรูจากทิศตะวันออก พาเอาใบไผ่ที่ลู่ลมอยู่บนเนินเตี้ยหล่นเกลื่อนทั่วลานทว่าเสียงกีบม้านับสิบและฝีเท้าเกราะเหล็กที่ดังกึกก้องยิ่งกว่าเสียงพายุ กลับทำให้หมู่บ้านฮุ่ยฟางที่เคยเงียบงัน เกิดความสนันหวั่นไหวราวกับมีเงามรณะเคลื่อนเข้ามาปกคลุมทั่วผืนดินรถม้าขนาดใหญ่สลักลายมังกรดำขอบทอง เคลื่อนมาหยุดลงบริเวณหน้าบ้านสกุลฉิน ก่อนที่บรรดาทหารสวมเกราะดำประทับตราจักรพรรดิหลี่จะวิ่งเข้ามารายล้อมรอบบ้านเอาไว้ ตามมาด้วยเสียงแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งตวาดดังแทรกเสียงใบไม้ปลิว“เรามารับตัวหรันฝูหรง สตรีอายุสิบเก้าหนาวที่ซ่อนตัวในหมู่บ้านแห่งนี้!”ท่านตาฉินที่กำลังสานกระด้งไม้ไผ่รีบก้าวออกมาจากเรือน ร่างชราภาพฝืนฝ่าแนวทหารเข้ามาขวาง“ขออภัยด้วย ที่นี่ไม่มีใครชื่อเช่นนั้นหรอกขอรับ ข้าไม่รู้จัก! ส่วนสตรีที่อายุสิบเก้า ที่นี่ก็มีเพียงบ้านสกุลหลาน สกุลซ่ง สกุลกั๋ว และหลานสาวของข้า…นางชื่อฉินอี้หนิง”แม่ทัพผู้นั้นกระตุกยิ้มมุมปาก พร้อมทั้งจ้องมองฉินอี้หนิงอย่างเย้ยหยัน“เช่นนั้นข้าก็มาถูกแล้วล่ะ เพราะนามเ
ยุคจักรวรรดิอวกาศ ภายในสถานีวิจัยหลักของตระกูลหลี่ ชั้นบัญชาการพลังงานควอนตัม ความวุ่นวายกำลังเกิดขึ้นเมื่อคนที่หายตัวไปกลับเข้ามาสั่งงานจนกองพะเนิน“โธ่เอ๋ย…ครั้งแรกผมก็นึกว่าท่านประธานหลี่ของเราหลุดเข้าไปอยู่ในปฏิกรณ์ชีวภาพจนแยกโมเลกุลไม่ออกเสียแล้ว ที่แท้…ก็แค่ติดภรรยาเท่านั้น”ร่างสูงของหลี่โต๋วเปายืนพิงกรอบประตู มือซุกกระเป๋าเสื้อโค้ตสีเทาเรียบทว่าหรูหรา ไม่มีคำเถียงใด มีเพียงรอยยิ้มมุมปากที่เจือแววอ่อนโยนบางอย่าง…คล้ายไม่คิดปฏิเสธความจริงข้อนั้น“ก็แค่ใช้เวลาให้คุ้มกับชีวิตบ้าง คุณต้องลองไปปลูกฟักทองดูสักครั้งสิ แล้วจะเข้าใจว่าทุกเช้าในทุ่งหมอกนั้นมีค่ามากกว่างานวิจัยที่เขียนมาพันปีเสียอีก”หลี่เฮ้าถงกลอกตาเล็กน้อยขณะมองหลายชายเพียงคนเดียว ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ“อา…ฟักทองยังไม่เท่าไร แต่ถ้าประธานหลี่ของเราหายหน้าไปอีกสามเดือน ผมอาจจะกลับเข้าไปลักพาตัวภรรยาของท่านมาขังไว้ที่นี่แทน แล้วให้ท่านประธานเข้าออกห้องทดลองตลอดยี่สิบชั่วโมงเสียเลย”“แบบนั้นก็เป็นความคิดที่ดีนะ” หลี่โต๋วเปาพึมพำ พร้อมกับหยิบซาลาเปาไส้เห็ดหอมออกมาจากถุงเล็กๆ ในมือ ก่อนจะยื่นให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่รีบร้อน “ข
หลังเกี่ยวและตากข้าวจนเสร็จสรรพ ครอบครัวสกุลฉินก็เว้นช่วงเวลาสำหรับหยุดพักผ่อน ด้วยเพราะร่างกายที่ชราภาพของท่านตาท่านยาย พอทำงานไร่นานานเข้าจึงปวดเมื่อยมากกว่าปกติส่วนหลี่โต๋วเปาและฉินอี้หนิงก็ใช้เวลาส่วนมากอยู่กับการดูแลสวนผัก ขึ้นเขาไปล่าสัตว์มาขาย และใช้เวลาร่วมกันในฐานะสามีภรรยาทว่าวันนี้ แขกผู้มาเยือนกลับเป็นอดีตขุนนางผู้ต้องสูญเสียบ้านให้หลี่โต๋วเปาอย่างสวี่อี้เจิน“คารวะผู้อาวุโส”เสียงทุ้มของหลี่โต๋วเปาเอ่ยช้าๆ ดวงตาเรียวคมสังเกตท่วงท่าการเดินของฝ่ายตรงข้าม รู้สึกคุ้นเคยนัก ทว่านี่ไม่ใช่ท่าทีของผู้อาวุโสสวี่อี้เจินที่เขาเคยประลองหมากล้อมด้วยอย่างแน่นอน“เจ้าน่ะใช้ชีวิตได้ดี กลายเป็นผู้เยาว์ที่สร้างครอบครัวอบอุ่นจริงเชียว” ชายชรามองสำรวจทั่วทุกมุมบ้านราวกับไม่เคยเห็น ก่อนที่สายตาจะพลันมาหยุดลงที่ร่างบอบบางของฉินอี้หนิงซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นสาวงามเต็มตัวไปเสียแล้ว “โอ้~ นี่คือฉินอี้หนิงคนนั้นรึ…” ชายชรายิ้มอย่างสดใสพลางมองสำรวจใบหน้างามอย่างชื่นชม“เชิญผู้อาวุโสสวี่นั่งพักก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะไปเอาชาอวิ๋นอู้ [1] ที่ได้จากภูเขาหลูซานมาให้” เสียงหวานกล่าวอย่างอ่อนโยน ขณะเดินหายเข้าไป
วันเวลาผ่านเลยไปจากวันกลายเป็นหนึ่งเดือน ยามนี้สายลมปลายเดือนเปลี่ยนผิวทุ่งนาหน้าบ้านให้กลายเป็นสีทองอร่าม ลำต้นข้าวโน้มลงตามแรงน้ำหนักของรวงเมล็ดที่สุกงอม ท่ามกลางแสงอาทิตย์อุ่นอ่อนในยามเช้า เสียงเคียวเกี่ยวข้าวเสียดสีเบาๆ สะท้อนชัดอยู่กลางนาหลี่โต๋วเปาค้อมตัวใช้เคียวไม้ด้ามสั้นในมือเกี่ยวรวงข้าวอย่างระมัดระวัง ท่วงท่าของเขาแม้ยังไม่คล่องแคล้วนัก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ มือทั้งสองที่แกร่งอยู่แล้วบัดนี้ยิ่งแกร่งขึ้นซึ่งเป็นผลจากการจับจอบ ขุดหลุม และหาบน้ำทุกวัน จนรอยด้านปรากฏชัดที่ฝ่ามือ“เจ้าหนุ่มจากเมืองหลวง เจ้าน่ะก้าวหน้ากว่าที่ข้าเคยคิดไว้มากจริงๆ”เสียงของท่านตาดังมาจากอีกฟากของแปลงข้าว ใต้หมวกฟางเก่าคร่ำ ดวงตาของชายชรายังสะท้อนความชื่นชมไม่เสื่อมคลายหลี่โต๋วเปาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วหัวเราะเบาๆ ชายหนุ่มย้อนนึกถึงตอนที่เขาอยู่ในตำแหน่งจอมพล ถ้าตอนนี้อยู่ในยุคจักรวรรดิ เขาคงสามารถสั่งคนให้ขุดหลุมปลูกข้าวได้เป็นพันหลุม แต่เพิ่งรู้ว่าสิ่งที่ยากที่สุด คือการเกี่ยวข้าวแค่เพียงมัดเดียว“ฮ่าๆๆ เจ้ารู้วิธีปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งของชีวิต” ท่านต
หลังผ่านพ้นค่ำคืนของการร่วมหอ ร่างงามก็ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกแกร่งไม่ไปไหน หลี่โต๋วเปาไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะกว่าเขาจะเสร็จกิจแต่ละรอบก็ใช้เวลานานเสียจนตัวเขาเริ่มนอนไม่หลับ ได้แต่กอดฉินอี้หนิงไว้ ขณะมองใบหน้าขาวนวลในยามนิทราบนโต๊ะข้างเตียงมีกะละมังไม้ใส่น้ำอุ่นที่เริ่มจะเย็นชืด พร้อมด้วยผ้าขาวที่ถูกใช้แล้ววางพาดอยู่ แน่นอนว่าเป็นหลี่โต๋วเปาที่นำมันมาเพื่อเช็ดผิวกายให้ภรรยาตัวน้อย อาจเพราะเขาไม่ได้ปลดปล่อยตนเองมานานหลายปี เจ้าของเหลวสีขาวขุ่นเหล่านั้น จึงมีมากเสียจนอาจทำให้ฉินอี้หนิงนอนหลับแบบไม่สบายตัวนัก ซึ่งในฐานะผู้กระทำ เขาจึงต้องทำความสะอาดให้นางทุกครั้งแพขนตาหนาที่เริ่มขยับน้อยๆ ทำให้หลี่โต๋วเปาอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจุมพิตบนเปลือกตาของนาง ไล่เรื่อยลงไปจนถึงหน้าอกนุ่มที่เต็มไปด้วยร่องรอยสีกุหลาบฉินอี้หนิงที่เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมา เผลอทำหน้าอิดออดน้อยๆ เมื่อส่วนล่างของนางมันทั้งบวมและเจ็บระบมอย่างที่ไม่เคยเป็น ค่ำคืนเข้าหอนี้ผ่านไปอย่างยากลำบากจริงๆ ยิ่งเมื่อผู้เป็นสามีไม่ยอมจบดังที่ควรเป็นใต้ผ้าห่มมีบางอย่างขยับอยู่ เคลื่อนจากหน้าอกสู่ส่วนล่างอย่างเชื่องช้า ทว่าทุกการสัมผัสล้วนเต็มไป