Home / รักโบราณ / นางกลับมาเพื่อร่ำรวย / บทที่ 17 ฤดูเกี่ยวข้าว

Share

บทที่ 17 ฤดูเกี่ยวข้าว

last update Last Updated: 2025-08-20 21:46:50

วันเวลาผ่านเลยไปจากวันกลายเป็นหนึ่งเดือน ยามนี้สายลมปลายเดือนเปลี่ยนผิวทุ่งนาหน้าบ้านให้กลายเป็นสีทองอร่าม ลำต้นข้าวโน้มลงตามแรงน้ำหนักของรวงเมล็ดที่สุกงอม ท่ามกลางแสงอาทิตย์อุ่นอ่อนในยามเช้า เสียงเคียวเกี่ยวข้าวเสียดสีเบาๆ สะท้อนชัดอยู่กลางนา

หลี่โต๋วเปาค้อมตัวใช้เคียวไม้ด้ามสั้นในมือเกี่ยวรวงข้าวอย่างระมัดระวัง ท่วงท่าของเขาแม้ยังไม่คล่องแคล้วนัก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ มือทั้งสองที่แกร่งอยู่แล้วบัดนี้ยิ่งแกร่งขึ้นซึ่งเป็นผลจากการจับจอบ ขุดหลุม และหาบน้ำทุกวัน จนรอยด้านปรากฏชัดที่ฝ่ามือ

“เจ้าหนุ่มจากเมืองหลวง เจ้าน่ะก้าวหน้ากว่าที่ข้าเคยคิดไว้มากจริงๆ”

เสียงของท่านตาดังมาจากอีกฟากของแปลงข้าว ใต้หมวกฟางเก่าคร่ำ ดวงตาของชายชรายังสะท้อนความชื่นชมไม่เสื่อมคลาย

หลี่โต๋วเปาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วหัวเราะเบาๆ ชายหนุ่มย้อนนึกถึงตอนที่เขาอยู่ในตำแหน่งจอมพล ถ้าตอนนี้อยู่ในยุคจักรวรรดิ เขาคงสามารถสั่งคนให้ขุดหลุมปลูกข้าวได้เป็นพันหลุม แต่เพิ่งรู้ว่าสิ่งที่ยากที่สุด คือการเกี่ยวข้าวแค่เพียงมัดเดียว

“ฮ่าๆๆ เจ้ารู้วิธีปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งของชีวิต” ท่านตาหัวเราะชอบใจ พลางหาบฟ่อนข้าวมาวางลงใกล้ๆ หลานเขย

บนพื้นที่ริมคันนา ฉินอี้หนิงนั่งอยู่ข้างกระด้งไม้ไผ่กลม รอรับข้าวเปลือกจากชายทั้งสองเพื่อนำไปตากแดด หญิงสาวสวมเสื้อผ้าสีเขียวขี้ม้า พร้อมทั้งผูกชายผ้าไว้ที่เอวอย่างทะมัดทะแมง มือเรียวทำงานไม่หยุด ขณะมองสามีของตนด้วยแววตาลอบอมยิ้ม

หลี่โต๋วเปาเหลือบมองภรรยาตัวน้อยเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามบางอย่างกับนางเพื่อไม่ให้หญิงสาวต้องคิดอะไรฟุ้งซ่านคนเดียว

“น้องหญิง…เจ้าคิดว่าหากวันหนึ่งข้าปลูกข้าวไว้มากๆ จนพอให้คนทั้งหมู่บ้านกินได้ไม่หมด เราจะกลายเป็นเศรษฐีได้หรือไม่?”

ฉินอี้หนิงยิ้มน้อยๆ เมื่อได้ฟังความคิดของผู้เป็นสามี “เป็นความคิดที่น่าสนใจมากเจ้าคะท่านพี่” นางกล่าวอย่างอ่อนโยน

เห็นหลานสาวส่งเสริมหลานเขย ท่านตาจึงแสร้งหยิบฟ่อนฟางโยนไปทางหลี่โต๋วเปาเบาๆ แล้วจึงหัวเราะหึๆ

“ตอนนี้เจ้าปลูกข้าวให้มันรอดก่อนเถอะ อย่าเพิ่งฝันว่าจะกลายเป็นเศรษฐี” พอกล่าวจบท่านตาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนลั่นบริเวณอีกครั้ง ก่อนที่เสียงของท่านยายจะแทรกขึ้นระหว่างเสียงลมที่ไล้ไปตามรวงข้าว

“สองคนนี้ ท่าจะเถียงกันจนข้าวสุกเลยกระมัง!”

ครั้นเมื่อแดดคล้อย และงานเช้าลุล่วง แรงงานสามคนก็หาบข้าวกลับบ้าน เพราะฤดูเกี่ยวข้าวในปีนี้ มีแรงแขนของชายหนุ่มจากต่างแดนที่มาลงมือร่วมกับคนเฒ่า บรรยากาศระหว่างการเกี่ยวข้าวจึงมีเสียงหัวเราะมากกว่าความเหน็ดเหนื่อย

ฉินอี้หนิงรับหน้าที่เข้าครัว นางเตรียมอาหารรองท้องให้ทั้งสามเป็นขนมแป้งย่างที่มีไส้เป็นผัดเนื้อใส่ถั่วฝักยาว ก่อนที่หญิงสาวจะหายตัวเข้ามาทำกับข้าวอย่างอื่นไว้เป็นมื้อเย็นของวันนี้

อาหารฝีมือฉินอี้หนิงแม้จะมีสูตรมาจากวังหลวงแต่ก็พิถีพิถันสู้คนครัวในรั้ววังไม่ได้ ทว่าความอร่อยของวัตถุดิบที่สดใหม่ย่อมทำให้รสมือของนางกลายเป็นที่ชื่นชอบของคนในบ้าน

เพราะวันนี้เป็นวันเกี่ยวข้าว อาหารและสุราจึงต้องมากเป็นพิเศษ

เนื้อหมูส่วนซี่โครงชั้นดีถูกฉินอี้หนิงนำมาหมักและนึ่งในไหดินเผา ขณะที่ด้านนอกเรือน ท่านตาฉินกงจื่อกำลังทำเนื้อแพะเสียบเหล็กย่างชิ้นใหญ่ โดยมีท่านยายคอยหั่นเป็นชิ้นๆ ให้กิน

ระหว่างที่หญิงชราลงใบมีด มันแพะที่ถูกย่างก็หยดลงมาตามใบมีดเรียกน้ำลายของผู้รอให้ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ทั้งชั้นไขมันแพะสีขาวที่แทรกอยู่ระหว่างเนื้อ ทั้งหนังที่กรอบ และเนื้อนุ่มๆ เพียงใส่เครื่องปรุงที่เป็นพริกแห้งป่นซึ่งผสมน้ำซอสรสหวานเล็กน้อย ความอร่อยก็ซึมเข้าเนื้อแม้ไม่ต้องใส่ยี่หร่าแล้ว

ฉินอี้หนิงเคยกินอาหารชนิดนี้มาสามถึงสี่ครั้ง รสชาติของมันหอมนุ่มอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว

หญิงสาวละความสนใจจากด้านนอก เพื่อมาทำเนื้อลิ้นจี่ [1] ต่อ มือเรียวสวยหั่นเนื้อหมูไม่ติดมันให้เป็นรูปกากบาท แล้วจึงหั่นเป็นชิ้นเฉียงๆ คล้ายการบากเพื่อให้ได้ความกว้างและความลึกเท่าๆ กัน จากนั้นก็นำไปทอดด้วยไฟอ่อนๆ แล้วม้วนมันให้มีลักษณะเป็นลูกลิ้นจี่ ปิดท้ายด้วยการใช้น้ำส้มสายชูหมัก น้ำตาล ซีอิ๊ว น้ำมันงา แป้ง และเครื่องปรุงรสอื่นๆ ในการปรุงรส

หน้าตาเมื่อปรุงเสร็จจะเป็นเนื้อหมูนุ่มเด้งสีแดง พอชิมแล้วให้รสชาติออกเปรี้ยวหวานก็เป็นอันมาถูกทาง ฉินอี้หนิงนำหมูลิ้นจี่วางเรียงบนจานให้คล้ายพวงลิ้นจี่ ก่อนหั่นพริกหวานสีเขียวมาใช้ตกแต่งเป็นส่วนใบ แล้วจึงยกไปตั้งไว้บนโต๊ะในครัว

อาหารอีกสองชนิดคือน้ำแกงเนื้อตุ๋น และน้ำแกงไก่ตุ๋นซานหวงเซิน [2] หม้อดินทั้งสองใบฟุ้งกำจายไปด้วยกลิ่นหอมของเนื้อตุ๋นและเนื้อไก่

พอทุกอย่างในครัวเสร็จสิ้น ท่านยายก็เข้ามาช่วยยกหมูลิ้นจี่ออกไป พร้อมทั้งให้บุรุษอีกสองคนเข้ามาช่วยยกหม้อดินทั้งสองใบ แน่นอนว่าเป็นหลี่โต๋วเปาและท่านตาฉินกงจื่อที่มายก ส่วนฉินอี้หนิงมีหน้าที่เพียงถือถ้วยและหม้อข้าวเท่านั้น

ทุกคนกินข้าวกันอย่างพร้อมหน้า ถ้วยที่ได้รับความนิยมที่สุดคือน้ำแกงไก๋ตุ๋นซานหวงเซิน เพราะในท้องไก่ที่สุกจนเปื่อยแล้วนั้น เต็มไปด้วยโสมแก่ พุทรา กับเนื้อเกาลัด ตัวน้ำแกงก็กินกับข้าวได้คล่องคอพอดี เหมาะกับวันเหนื่อยๆ วันนี้อย่างยิ่ง

 

 

[1] เนื้อลิ้นจี่เป็นอาหารแบบดั้งเดิมและมีชื่อเสียงในฝูโจว ผูเถียนฯ ในมณฑลฝูเจี้ยน

[2] ซานหวงเซิน หมายถึงโสมคน ซึ่งเติบโตอยู่บนเขาตามธรรมชาติ

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • นางกลับมาเพื่อร่ำรวย   บทที่ 21 ทวงคืนภรรยาที่ถูกพรากไป (จบบริบูรณ์)

    กลับมาที่สถานการณ์ในปัจจุบัน…สิ้นเสียงเหี้ยมกับประโยคไร้มารยาทนั้น เมื่อหลี่หยางหนิงอันหันไปสบสายตากับอีกฝ่าย สิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นไม่ใช่เพียงใบหน้าที่ดูคล้ายเขาราวกับแกะ แต่เป็นโทสะและความเหี้ยมเกรียมในแบบที่เขารู้จักดี“เจ้ากล้ามาก ที่มาแตะต้องภรรยา และแตะต้องลูกของข้า” เสียงของหลี่โต๋วเปานิ่งงัน แต่ทุ้มต่ำจนเหมือนจะสามารถสะเทือนผนังหินของตำหนักได้อย่างง่ายดายหลี่หยางหนิงอันเลิกคิ้วเล็กน้อย “ข้ากำลังจะสั่งให้หมอหลวงเอาเด็กในท้องนางออกพอดี แต่เพราะต้องพักฟื้นร่างกายนาน เลยคิดว่าจะพาขึ้นเตียงทั้งที่ยังท้อง คงให้อารมณ์แปลกใหม่ไม่น้อย” ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจงใจยั่วโมโหฝ่ายนั้น “เช่นนั้นเจ้าคงคิดจะฆ่าข้าสินะ?”ชายหนุ่มในชุดซอมซ่อสีเทาไม่ตอบ มือข้างหนึ่งยกขึ้นช้าๆ ดวงตาของเขาเรืองแสงวาบสีฟ้าอความารีนแผ่วเบา คล้ายกระจกจักรวาลที่สามารถสะท้อนแรงโน้มถ่วงให้ย้อนคืนได้ฉับพลันที่อากาศรอบตัวเริ่มสั่นสะเทือน แรงกดดันไร้รูปประหนึ่งกำปั้นพลังจิตกระแทกเข้าที่กลางอกของจักรพรรดิหนุ่มหลี่หยางหนิงอัน จนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นป้องกันอันตรายที่มองไม่เห็น“อย่าคิดว่าต่อจากนี้เจ้ายังจะสามารถอยู่หายใจได้อีก…”

  • นางกลับมาเพื่อร่ำรวย   บทที่ 20 ไม่ให้อดีตซ้ำรอยเดิม

    หนึ่งเดือนกับอีกสามสัปดาห์ที่หลี่โต๋วเปายังไม่กลับมา ฉินอี้หนิงนั่งจิบชากุหลาบอยู่ที่ชายเรือนสกุลฉิน ลมยามบ่ายพัดกรูจากทิศตะวันออก พาเอาใบไผ่ที่ลู่ลมอยู่บนเนินเตี้ยหล่นเกลื่อนทั่วลานทว่าเสียงกีบม้านับสิบและฝีเท้าเกราะเหล็กที่ดังกึกก้องยิ่งกว่าเสียงพายุ กลับทำให้หมู่บ้านฮุ่ยฟางที่เคยเงียบงัน เกิดความสนันหวั่นไหวราวกับมีเงามรณะเคลื่อนเข้ามาปกคลุมทั่วผืนดินรถม้าขนาดใหญ่สลักลายมังกรดำขอบทอง เคลื่อนมาหยุดลงบริเวณหน้าบ้านสกุลฉิน ก่อนที่บรรดาทหารสวมเกราะดำประทับตราจักรพรรดิหลี่จะวิ่งเข้ามารายล้อมรอบบ้านเอาไว้ ตามมาด้วยเสียงแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งตวาดดังแทรกเสียงใบไม้ปลิว“เรามารับตัวหรันฝูหรง สตรีอายุสิบเก้าหนาวที่ซ่อนตัวในหมู่บ้านแห่งนี้!”ท่านตาฉินที่กำลังสานกระด้งไม้ไผ่รีบก้าวออกมาจากเรือน ร่างชราภาพฝืนฝ่าแนวทหารเข้ามาขวาง“ขออภัยด้วย ที่นี่ไม่มีใครชื่อเช่นนั้นหรอกขอรับ ข้าไม่รู้จัก! ส่วนสตรีที่อายุสิบเก้า ที่นี่ก็มีเพียงบ้านสกุลหลาน สกุลซ่ง สกุลกั๋ว และหลานสาวของข้า…นางชื่อฉินอี้หนิง”แม่ทัพผู้นั้นกระตุกยิ้มมุมปาก พร้อมทั้งจ้องมองฉินอี้หนิงอย่างเย้ยหยัน“เช่นนั้นข้าก็มาถูกแล้วล่ะ เพราะนามเ

  • นางกลับมาเพื่อร่ำรวย   บทที่ 19 ความวุ่นวายในยุคจักรวรรดิอวกาศ

    ยุคจักรวรรดิอวกาศ ภายในสถานีวิจัยหลักของตระกูลหลี่ ชั้นบัญชาการพลังงานควอนตัม ความวุ่นวายกำลังเกิดขึ้นเมื่อคนที่หายตัวไปกลับเข้ามาสั่งงานจนกองพะเนิน“โธ่เอ๋ย…ครั้งแรกผมก็นึกว่าท่านประธานหลี่ของเราหลุดเข้าไปอยู่ในปฏิกรณ์ชีวภาพจนแยกโมเลกุลไม่ออกเสียแล้ว ที่แท้…ก็แค่ติดภรรยาเท่านั้น”ร่างสูงของหลี่โต๋วเปายืนพิงกรอบประตู มือซุกกระเป๋าเสื้อโค้ตสีเทาเรียบทว่าหรูหรา ไม่มีคำเถียงใด มีเพียงรอยยิ้มมุมปากที่เจือแววอ่อนโยนบางอย่าง…คล้ายไม่คิดปฏิเสธความจริงข้อนั้น“ก็แค่ใช้เวลาให้คุ้มกับชีวิตบ้าง คุณต้องลองไปปลูกฟักทองดูสักครั้งสิ แล้วจะเข้าใจว่าทุกเช้าในทุ่งหมอกนั้นมีค่ามากกว่างานวิจัยที่เขียนมาพันปีเสียอีก”หลี่เฮ้าถงกลอกตาเล็กน้อยขณะมองหลายชายเพียงคนเดียว ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ“อา…ฟักทองยังไม่เท่าไร แต่ถ้าประธานหลี่ของเราหายหน้าไปอีกสามเดือน ผมอาจจะกลับเข้าไปลักพาตัวภรรยาของท่านมาขังไว้ที่นี่แทน แล้วให้ท่านประธานเข้าออกห้องทดลองตลอดยี่สิบชั่วโมงเสียเลย”“แบบนั้นก็เป็นความคิดที่ดีนะ” หลี่โต๋วเปาพึมพำ พร้อมกับหยิบซาลาเปาไส้เห็ดหอมออกมาจากถุงเล็กๆ ในมือ ก่อนจะยื่นให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่รีบร้อน “ข

  • นางกลับมาเพื่อร่ำรวย   บทที่ 18 ข้อเสนอปลอมๆ จากขุนนางสวี่

    หลังเกี่ยวและตากข้าวจนเสร็จสรรพ ครอบครัวสกุลฉินก็เว้นช่วงเวลาสำหรับหยุดพักผ่อน ด้วยเพราะร่างกายที่ชราภาพของท่านตาท่านยาย พอทำงานไร่นานานเข้าจึงปวดเมื่อยมากกว่าปกติส่วนหลี่โต๋วเปาและฉินอี้หนิงก็ใช้เวลาส่วนมากอยู่กับการดูแลสวนผัก ขึ้นเขาไปล่าสัตว์มาขาย และใช้เวลาร่วมกันในฐานะสามีภรรยาทว่าวันนี้ แขกผู้มาเยือนกลับเป็นอดีตขุนนางผู้ต้องสูญเสียบ้านให้หลี่โต๋วเปาอย่างสวี่อี้เจิน“คารวะผู้อาวุโส”เสียงทุ้มของหลี่โต๋วเปาเอ่ยช้าๆ ดวงตาเรียวคมสังเกตท่วงท่าการเดินของฝ่ายตรงข้าม รู้สึกคุ้นเคยนัก ทว่านี่ไม่ใช่ท่าทีของผู้อาวุโสสวี่อี้เจินที่เขาเคยประลองหมากล้อมด้วยอย่างแน่นอน“เจ้าน่ะใช้ชีวิตได้ดี กลายเป็นผู้เยาว์ที่สร้างครอบครัวอบอุ่นจริงเชียว” ชายชรามองสำรวจทั่วทุกมุมบ้านราวกับไม่เคยเห็น ก่อนที่สายตาจะพลันมาหยุดลงที่ร่างบอบบางของฉินอี้หนิงซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นสาวงามเต็มตัวไปเสียแล้ว “โอ้~ นี่คือฉินอี้หนิงคนนั้นรึ…” ชายชรายิ้มอย่างสดใสพลางมองสำรวจใบหน้างามอย่างชื่นชม“เชิญผู้อาวุโสสวี่นั่งพักก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะไปเอาชาอวิ๋นอู้ [1] ที่ได้จากภูเขาหลูซานมาให้” เสียงหวานกล่าวอย่างอ่อนโยน ขณะเดินหายเข้าไป

  • นางกลับมาเพื่อร่ำรวย   บทที่ 17 ฤดูเกี่ยวข้าว

    วันเวลาผ่านเลยไปจากวันกลายเป็นหนึ่งเดือน ยามนี้สายลมปลายเดือนเปลี่ยนผิวทุ่งนาหน้าบ้านให้กลายเป็นสีทองอร่าม ลำต้นข้าวโน้มลงตามแรงน้ำหนักของรวงเมล็ดที่สุกงอม ท่ามกลางแสงอาทิตย์อุ่นอ่อนในยามเช้า เสียงเคียวเกี่ยวข้าวเสียดสีเบาๆ สะท้อนชัดอยู่กลางนาหลี่โต๋วเปาค้อมตัวใช้เคียวไม้ด้ามสั้นในมือเกี่ยวรวงข้าวอย่างระมัดระวัง ท่วงท่าของเขาแม้ยังไม่คล่องแคล้วนัก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ มือทั้งสองที่แกร่งอยู่แล้วบัดนี้ยิ่งแกร่งขึ้นซึ่งเป็นผลจากการจับจอบ ขุดหลุม และหาบน้ำทุกวัน จนรอยด้านปรากฏชัดที่ฝ่ามือ“เจ้าหนุ่มจากเมืองหลวง เจ้าน่ะก้าวหน้ากว่าที่ข้าเคยคิดไว้มากจริงๆ”เสียงของท่านตาดังมาจากอีกฟากของแปลงข้าว ใต้หมวกฟางเก่าคร่ำ ดวงตาของชายชรายังสะท้อนความชื่นชมไม่เสื่อมคลายหลี่โต๋วเปาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วหัวเราะเบาๆ ชายหนุ่มย้อนนึกถึงตอนที่เขาอยู่ในตำแหน่งจอมพล ถ้าตอนนี้อยู่ในยุคจักรวรรดิ เขาคงสามารถสั่งคนให้ขุดหลุมปลูกข้าวได้เป็นพันหลุม แต่เพิ่งรู้ว่าสิ่งที่ยากที่สุด คือการเกี่ยวข้าวแค่เพียงมัดเดียว“ฮ่าๆๆ เจ้ารู้วิธีปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งของชีวิต” ท่านต

  • นางกลับมาเพื่อร่ำรวย   บทที่ 16 หนึ่งยามในคืนวสันต์ มีค่าดั่งพันทอง

    หลังผ่านพ้นค่ำคืนของการร่วมหอ ร่างงามก็ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกแกร่งไม่ไปไหน หลี่โต๋วเปาไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะกว่าเขาจะเสร็จกิจแต่ละรอบก็ใช้เวลานานเสียจนตัวเขาเริ่มนอนไม่หลับ ได้แต่กอดฉินอี้หนิงไว้ ขณะมองใบหน้าขาวนวลในยามนิทราบนโต๊ะข้างเตียงมีกะละมังไม้ใส่น้ำอุ่นที่เริ่มจะเย็นชืด พร้อมด้วยผ้าขาวที่ถูกใช้แล้ววางพาดอยู่ แน่นอนว่าเป็นหลี่โต๋วเปาที่นำมันมาเพื่อเช็ดผิวกายให้ภรรยาตัวน้อย อาจเพราะเขาไม่ได้ปลดปล่อยตนเองมานานหลายปี เจ้าของเหลวสีขาวขุ่นเหล่านั้น จึงมีมากเสียจนอาจทำให้ฉินอี้หนิงนอนหลับแบบไม่สบายตัวนัก ซึ่งในฐานะผู้กระทำ เขาจึงต้องทำความสะอาดให้นางทุกครั้งแพขนตาหนาที่เริ่มขยับน้อยๆ ทำให้หลี่โต๋วเปาอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจุมพิตบนเปลือกตาของนาง ไล่เรื่อยลงไปจนถึงหน้าอกนุ่มที่เต็มไปด้วยร่องรอยสีกุหลาบฉินอี้หนิงที่เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมา เผลอทำหน้าอิดออดน้อยๆ เมื่อส่วนล่างของนางมันทั้งบวมและเจ็บระบมอย่างที่ไม่เคยเป็น ค่ำคืนเข้าหอนี้ผ่านไปอย่างยากลำบากจริงๆ ยิ่งเมื่อผู้เป็นสามีไม่ยอมจบดังที่ควรเป็นใต้ผ้าห่มมีบางอย่างขยับอยู่ เคลื่อนจากหน้าอกสู่ส่วนล่างอย่างเชื่องช้า ทว่าทุกการสัมผัสล้วนเต็มไป

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status