อาจูตาลุกวาว แต่ท่านจ้าวหุบเขาถอนหายใจยาว...
“ศิษย์พี่...เดาว่าท่านคงรู้ดีอยู่แล้วว่าตามกฎบัญญัติของหุบเขาข้าควรให้ความช่วยเหลือทุกผู้ทุกคนอย่างเท่าเทียม” เขาวางห่อผ้าในมือลงบนโต๊ะเล็กใกล้มือ ราวกับไม่แยแสมันอีกต่อไป “ก่อนหน้านี้ คุณชายใหญ่สำนักคุ้มภัยสกุลซุน ซุนเย่ เพียงเพื่อรักษาอาการใบไม้บาด พ่อบ้านสกุลซุนถึงกับตีมูลค่าบาดแผลนั้นถึง
หนึ่งหมื่นตำลึงทอง...ในตอนนั้นเมื่อการรักษาเสร็จสิ้นสกุลซุนทุกคนก็รีบลงจากเขา ไม่มีผู้ใดคิดพักค้างผูกขาดเรือนพักรับรองแขกของหุบเขาแห่งนี้แม้แต่น้อย”เพียงได้ยินคำว่าใบไม้บาด อาจูก็นึกถึงฉากนองเลือดในบ่อน้ำร้อนขึ้นได้
เธอเหลียวมองจ้าวหุบเขาเดียวดายทันที...
ซือฝุ...ซือฝุเจ้าคะ...นี่อย่าบอกนะว่าท่านไปรักษาคนที่ตัวเองเป็นคน
ทำร้ายจนเลือกโชกเพียงเพื่อจะรีดไถเงินเขาอีกหนึ่งหมื่นตำลึงทอง...นอกจากนี้ ผู้ใดกัน สอนให้ท่านเรียกแผลเลือดทะลักเช่นนั้นว่าแผลใบไม้บาด? นี่ท่านจงใจเล่นลิ้นกวนประสาทผู้คนใช่หรือไม่?
ซือฝุผู้สุขุมยังคงกล่าวต่อไป “เพียงรักษาแผลใบไม้บาดยังมูลค่าสูงถึง
หนึ่งหมื่นตำลึงทอง แต่นี่ท่านต้องการยาถอนพิษถึงสิบสองชนิดทั้งยังต้องการพำนักในหุบเขา หากเป็นยาพิษสามัญก็แล้วไป แต่พิษจากเข็มแต่ละเล่มล้วนร้ายแรงถึงขั้นเพียงโดนสะกิดเบาๆ ก็สิ้นชีพ หากข้ารับสินน้ำใจจากท่านเพียง หนึ่งหมื่นตำลึงทอง จะเป็นธรรมต่อสำนักคุ้มภัยสกุลซุนได้อย่างไร”ไม่เพียงแต่อาจูเท่านั้นที่ตกตะลึง ดูเหมือนศิษย์ผู้พี่ของท่านจ้าวหุบเขาเองก็ตะลึงงันจนสีหน้าแข็งค้าง
“หนึ่งชนิดเท่านั้น” ท่านจ้าวหุบเขาผู้ทรงธรรมต่อรอง “เห็นแก่ที่ประมุขเซี่ยเคยเป็นศิษย์ร่วมสำนัก ทั้งยังเคยเป็นคนในหุบเขาแห่งนี้ ด้วยสินน้ำใจจำนวน
หนึ่งหมื่นตำลึงทองนี้ ข้าจะเลือกปรุงยาถอนพิษชนิดที่ร้ายแรงที่สุดในบรรดา เข็มพิษสิบสองเล่มนี้ให้ท่าน ในระหว่างเจ็ดวันที่รอยาถอนพิษชนิดนี้ ท่านและผู้ติดตามสามารถพักค้างในหุบเขานี้ได้โดยมีข้อแม้อยู่สองประการ”“ว่ามา” ประมุขเซี่ยตอบรับฉะฉาน
“ข้อแรก...ระหว่างอยู่ที่นี่ เรือนที่เข้าออกได้มีเพียงเรือนตะวันตก สถานที่อื่นนับเป็นเขตหวงห้าม เมื่อมาอาศัยอยู่ที่นี่ แม้จะได้ชื่อว่าเป็นแขก แต่ตัวข้านั้นต้องทุ่มเทเวลาและสติสัมปชัญญะในการค้นหายาแก้พิษ จึงไม่สะดวกจะดูแลผู้ใด ศิษย์ของข้าผู้นี้ก็ไม่ประสีประสาทั้งยังต้องอยู่ข้างกายคอยช่วยส่งของ ทดสอบตัวยา
ในแต่ละวันมีเวลาไม่มากนัก จึงต้องรบกวนพวกท่านให้จัดหาข้าวปลาอาหารกันเอง นอกจากที่พักแล้วจะไม่มีผู้ใดช่วยดูแลเรื่องอื่นเรื่องใดให้พวกท่านทั้งนั้น”แม้จะตะลึงงันเพราะเงื่อนไขอันเขี้ยวลากดินของท่านข้าวหุบเขา แต่เมื่อฟังถึงตรงนี้ อาจูก็อดสรรเสริญในใจไม่ได้
อา...เยี่ยมเจ้าค่ะ เสี่ยวจวี๋ฮวาเป็น(ลูกศิษย์)ของท่าน ห้ามให้ไปรับใช้ผู้อื่นผู้ใดทั้งสิ้น!
“ข้อที่สอง...” ท่านจ้าวหุบเขาจ้องลึกลงในดวงตาศิษย์พี่ผู้มาเยือน “หากประมุขเซี่ยและผู้ติดตามจะอยู่ที่นี่ ก็ต้องกินยาชนิดนี้” จ้าวหุบเขาหลี่ล้วงหยิบขวดกระเบื้องเคลือบออกมาจากสาบเสื้อ ใช้ลมปราณซัดขวดเล็กๆ ขวดนั้นส่งไปยังศิษย์ผู้พี่
เมื่ออีกฝ่ายเปิดจุกเทเม็ดยาออกมา ท่านจ้าวหุบเขาก็อธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบดังเช่นก่อนหน้า
“นี่คือยาพิษสลายวรยุทธ์ที่ข้าเพิ่งคิดค้นขึ้น”
“ยาพิษ...สลายวรยุทธ์?! ”
“ขอประมุขเซี่ยจงวางใจ ยาชนิดนี้จะสลายวรยุทธ์ที่ท่านมีเพียงชั่วคราวเท่านั้น ทันทีที่ได้รับยาถอนพิษ วรยุทธ์ที่ท่านมีก็จะกลับสู่สภาวะเดิมทุกประการ”
“ตำหนักพันพิษมีกิจธุระให้สะสางไม่น้อย หากมีเหตุจำเป็น ต้องออกนอกหุบเขา ประมุขค่ายพรรคที่ไร้วรยุทธ์เช่นข้าจะยังขยับแข้งขยับขากระทำสิ่งใดได้? ” นางอุทธรณ์
“ประมุขเซี่ยไม่จำเป็นต้องกังวลจนเกินไป หากประมุขเซี่ยมีเหตุจำเป็น หรือหากจ้าวหุบเขาเช่นข้าต้องออกไปสะสางธุระใด ประมุขเซี่ยสามารถขอรับยาถอนพิษไปได้ทุกครั้ง”
สรุปก็คือ นอกจากตอนอาศัยอยู่ในหุบเขาจะห้ามหือห้ามอือแล้ว จะเข้าหรือออกจากหุบเขาแต่ละครั้งก็ล้วนต้องบอกให้รู้
จุ๊ๆๆ อาจูได้ยินแล้วลอบส่งเสียงจิ๊จ๊ะกับตัวเองในใจ
ที่แท้แล้วท่านจ้าวหุบเขาผู้นี้ก็ระเบียบจัดช่างคิดไม่น้อย...
ดูเหมือนเซี่ยซูเหยาเองก็เดารูปการณ์ได้เหมือนกัน
“แล้วหากข้าไม่กิน”
“สิ่งที่ข้าพูดออกไปแล้วย่อมผูกมัดเป็นเงื่อนไข หากท่านไม่ยอมทำตามเงื่อนไข ข้าก็ไม่อาจรับทองหมื่นตำลึงและคิดค้นยาถอนพิษให้ท่านได้เช่นกัน”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พอฟังถึงตรงนี้ ศิษย์ผู้พี่ของท่านจ้าวหุบเขาก็ตวัดสายตาอันคมกริบจ้องมองมา...
เอ๊ะเอ๋...นี่ข้าทำอันใดผิดไปเจ้าคะ อาจารย์ป้า เหตุใดจึงถลึงตามองข้าเช่นนี้???
อาจูจ้องมองใบหน้าสตรีอ่อนเยาว์ที่จับประคองหญิงชราอยู่อีกฝั่ง ยิ่งมองก็ยิ่งพลอยรู้สึกชื่นชมลูกสะใภ้คนดีของแม่เฒ่า ทั้งยังรู้สึกว่าใบหน้านางดูงดงามตรึงตาตรึงใจพาให้อยากถลาเข้าไปกอดเรียวขาใต้ชุดสีเขียวเข้มขับผิวที่น่าจะเรียวงามไม่แพ้ท่อนแขนกลมกลึงนั่น เอาหน้าถูไถ เรียกนางว่าเจี่ยเจีย[1]คนดีสักหลายๆ คำอา...นี่คงเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจตามธรรมชาติของ “โฉมงามกลางป่าเขา” ที่คนเขาว่ากันละมั้ง...ยิ่งมองอาจูก็ยิ่งอยากจะทรุดตัวลงนั่งราบไปกับพื้นเสียเดี๋ยวนี้ขณะแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ชื่นชมกันไปมา ท่านจ้าวหุบเขาก็จัดเตรียมสมุนไพรที่ต้องใช้ไว้ให้ครบถ้วนดีแล้ว“แม้จะเคยล้มป่วยด้วยโรคชนิดนี้มาก่อนก็ไม่แน่ว่าร่างกายจะต้านทานโรคได้เสมอไป หากมีไข้เมื่อไหร่ สมควรรีบไปตรวจรักษาทันที” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยสั้นๆ“เซียนเหยียนทราบแล้ว...” สะใภ้สกุลสวีเอ่ยเสียงแผ่ว ฟังดูดึงดูดใจอย่างบอกไม่ถูก “เซียนเหยียนขอบคุณเซียนเซิงที่มีใจเมตตา”ยิ่งนางเปิดปากพูดออกมา อาจูก็ยิ่งละสายตาจากริมฝีปากทรงเสน่ห์บนใบหน้าขาวผ่องไม่ได้ท่านจ้
“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอ อาการอาเป่าของพวกเราย่ำแย่มากหรือไม่!” หญิงชราสูงอาวุโสที่สุดในบ้านผุดลุกจากเก้าอี้ทันทีที่จ้าวหุบเขาหลี่ละสายตาจากเด็กตัวจ้อยบนเตียงเตา[1]บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ห่างจากบ้านหลังอื่นๆ จนเกือบจะเรียกได้ว่าตั้งอยู่นอกตัวหมู่บ้าน...หญิงชราผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ก็คือแม่เฒ่าสวีนักปลุกปั่นนั่นเองเห็นแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ทำท่าจะเดินเข้าไปดูทายาทตัวน้อย อาจูรีบปราดเข้าช่วยศรีสะใภ้รูปร่างอ้อนแอ้นเหมือนหนึ่งจะปลิวลมของครอบครัวสกุลสวีประคองหญิงชรา เจตนาที่แท้จริงคือรั้งไว้ “ท่านป้าอย่าได้เข้าใกล้นัก ระยะนี้พวกท่านจะติดโรคระบาดจากอาเป่าได้ง่าย”กระทั่งตอนนี้ ขณะตรวจรักษาโรคระบาด ท่านจ้าวหุบเขาก็ยังให้ลูกศิษย์เพียงยืนดูอยู่ห่างๆ เหมือนเมื่อครั้งอยู่ในวัดร้างไม่มีผิด เสี่ยวจวี๋ฮวาที่ว่างงานจึงกลายร่างเป็นเจ้าหน้าที่ญาติผู้ป่วยสัมพันธ์ รับหน้าที่คอยกันไม่ให้พวกเขาเข้าไปรบกวนการรักษาโดยปริยายท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองมือลูกศิษย์ที่จับประคองเจ้าบ้านเล็กน้อย ชั่วขณะนั้น ดวงตาคู่คมเจือร่องรอยไม่ชอบใจ“ตุ่มหนองพวกนี้ดูแย่ลงก็จริง ทว่าเป็นอาการตามปกติของโรค” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยเรียบๆ
สตรีแซ่เซี่ยยังคงบอกเล่าสถานการณ์ด้วยตนเองอีกครู่ใหญ่ อาจูเห็นท่านหมอยุคเก่าแก่โบราณสองคนพูดคุยกันก็ปั้นหน้าสงบเสงี่ยมยืนฟังด้วยความสนใจ สองหูฟังไป สองตาก็ลอบจับสังเกตศิษย์พี่หญิงของท่านจ้าวหุบเขา ต่อให้ส่วนหนึ่งในใจจะค่อยๆ คล้อยตามว่าครั้งนี้อาจารย์ป้าหน้าเด็กอาจมาด้วยเจตนาดีจริงๆ ลางสังหรณ์บางอย่างในใจกลับไม่ยอมหายไปเสียทีอาจารย์ป้าผู้นี้...มาดีจริงๆ น่ะรึ?อาจูอยากจะยกมือขึ้นนวดขยับ ยิ่งคิดว่าพักนี้ต้องระมัดระวังไม่ให้เผลอใช้ใบหน้าเด็กๆ นี่ขมวดคิ้วสร้างริ้วรอยจนใบหน้าแก่ก่อนวัยก็ยิ่งกว่าหนักอกหนักใจช่างเถอะ ถึงยังไงที่นี่ก็ต้องการแรงงาน...จังหวะอาจารย์ป้ากวาดตามองผ่านมา เสี่ยวจวี๋ฮวาคลี่ยิ้มอ่อนหวานเจิดจ้ายิ่งกว่าผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งนางงามจักรวาล ทว่าอีกฝ่ายกลับมองผ่านเลยไปท่าทีนี้ช่วยให้อาจูสบายใจขึ้นเล็กน้อยถ้าเซี่ยอะไรสักอย่างเหยาๆ นางนี้ทำถึงขั้นคลี่ยิ้มให้ ศิษย์หลานตาดำๆ อย่างจวี๋ฮวาคงไม่แคล้วต้องเกาะติดอาจารย์ทั้งวันทั้งคืน เพื่อป้องกันสตรีคลั่งรักผู้หนึ่งย่องมาบีบคอตอนหลับหรือซัดเข็มพิษเล่มโตลอบสังหารแล้ว...
จู่ๆ ความสลดหดหู่ปนโกรธเกรี้ยวก็พวยพุ่งขึ้นในใจคนฟัง กระทั่งอาจูเองยังกำหมัดแน่น ยากจะสงบอารมณ์เป็นตอนนี้เอง ที่อาจูรู้สึกถึงเหงื่อเย็นชื้นบนฝ่ามือตัวเองท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองลูกศิษย์เล็กน้อย ก่อนหันกลับมาผ่าลำไส้ทั้งหมด ตรวจสอบของเสียตกค้างอย่างละเอียด จากนั้นหันกลับไปตรวจดูเล็บมือและเล็บเท้าซ้ำอีกหน“ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นแล้วจริงๆ” ท่านจ้าวหุบเขาสรุปสั้นๆประมุขสมาพันธ์ผู้ต้องแบกรับเรื่องนี้ฟังแล้วยิ่งขบกรามแน่นจนขึ้นสัน“สารเลวพวกนั้นช่างระมัดระวังรอบคอบเกินไปแล้ว”“เรื่องนั้นยังไม่แน่นอนนัก” ท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองเชือกที่คนร้ายใช้มัดร่างเด็กเอาไว้ เอ่ยไม่ดังไม่เบา “ประมุขเยว่คงไม่ทันสังเกตว่าเทียนเฉาตอนล่างมีวัฒนธรรมการฟั่นเชือกแตกต่างจากพื้นที่อื่นเล็กน้อย...พวกนั้นจะจงใจทิ้งร่องรอยหรือไม่ได้ตั้งใจก็ช่าง ถ้าอย่างไรลองสืบสาวจากเชือกพวกนี้ดู ไม่แน่ว่าอาจช่วยเหลือได้ไม่มากก็น้อย”สีหน้าเยว่เทียนฟงดูดีขึ้นเล็กน้อย“ศพเหม็นเน่ามากแล้ว ฝังให้ลึกๆ แทนการเผาจะดีกว่า...น้ำใน
มองจากที่ไกลดูเหมือนใกล้ แต่เมื่อต้องเดินเท้ากันจริงๆ แล้ว บ่อพักน้ำตีนผาที่ว่านี้ กลับอยู่ห่างจากเขตที่พักอาศัยไม่น้อยยิ่งเดินเข้าใกล้ กลิ่นเน่าเหม็นรุนแรงก็ยิ่งโดดออกจากกลิ่นปศุสัตว์ ตอกย้ำให้ผู้มาเยือนตระหนักว่าในบ่อพักน้ำมีศพเด็กคนหนึ่งนอนแช่อยู่จริงๆ“ตรงนั้นขอรับ” องครักษ์ผู้รับหน้าที่นำทางรีบชี้เป้า “ศพโดนผูกไว้กับหลักไม้หลังพงหญ้านั่น”อาจูยกแขนเสื้อขึ้นปิดจมูกอีกชั้น แทบไม่อยากหายใจ เพียงก้าวขาเดินกันต่อไปแค่ไม่กี่ก้าว กลิ่นเน่าเหม็นชวนคลื่นเหียนแฝงกลิ่นสาบคล้ายโคลนก็ลอยมาเตะจมูก ทำเอาชาวบ้านหลายคนที่ตามมาดูต้องโก่งคออาเจียนกันอีกหน แม้แต่คนของเยว่เทียนฟงก็ยังหน้าเขียวหน้าดำ บรรยากาศคุกรุ่นที่เพิ่งจะสงบลงคล้ายถูกแทนที่ด้วยกระแสอารมณ์วิตกกังวลและหวาดผวาบ่อพักน้ำแห่งนี้มีขนาดกว้างยาวเพียงด้านละราวๆ สามถึงสี่วา หากไม่นับเรื่องกลิ่นที่โชยคลุ้งและฟองสีขาวบนผิวน้ำ ก็ยังนับได้ว่าที่นี่ดูสะอาดตา ไร้วี่แววศพเด็กที่ว่า ทั้งอย่างนั้นตำแหน่งที่ผู้นำทางเดินไปหาก็เป็นตำแหน่งที่พงหญ้าสูงท่วมศีรษะ เหมาะแก่การซุกซ่อนข้าวของเป็นอย่างยิ่ง
“มีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ!” ทันทีที่ได้ยินว่ามีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ พวกชาวบ้านในลานพลันหน้าเผือดสี หลังจากส่งต่อประโยคสั้นๆ ประโยคนี้เพียงชั่วครู่ หญิงชาวบ้านจำนวนไม่น้อยถึงขั้นโก่งคออาเจียน ที่ดูคล้ายคนเจ็บไข้ได้ป่วยกันอยู่แล้วก็ยิ่งดูเหมือนคนล้มป่วยยิ่งขึ้นสวรรค์! เกิดโรคระบาดก็แย่แล้ว ต้นคลองส่งน้ำเข้าหมู่บ้านยังมีศพแช่อีกรึ!“ท่านประมุข หรือว่าศพนั่นจะเป็นตัวก่อโรค!” ชาวบ้านชายที่รูปร่างกำยำที่สุดในกลุ่มถามเสียงเครือ ดวงตาแดงก่ำบนใบหน้าอิดโรยเหมือนพร้อมจะหลั่งน้ำตาออกมาทุกเมื่อ “เช่นนั้นพวกเราทุกคน...”“ต้องรอตรวจโรคกันก่อนจึงจะบอกได้” ท่านประมุขผู้ถูกถาม ตอบเสียงขรึม “ระหว่างนี้บอกให้ทุกคนเลิกแตะต้องน้ำจากคลองส่งน้ำนั่น หากจำเป็นต้องนำมาใช้ ต้องต้มให้นานๆ หน่อยถึงจะดี” รับมือกับโรคระบาดชนิดนี้มานาน เยว่เทียนฟงเองก็ได้พื้นความรู้ติดตัวมาไม่น้อยเหมือนกัน“จ้าวหุบเขา เชิญ&rdquo