บางทีนะ...บางทีเธอก็อดสงสัยไม่ได้ว่าจ้าวหุบเขาผู้นี้รู้ดีทุกอย่าง เขาก็แค่แสร้งทำหน้าตายไปอย่างนั้นแหละ...
แต่ดูเหมือนศิษย์พี่ผู้นี้จะคุ้นชิน นางไม่เพียงไม่ถือสา ยังถือวิสาสะก้าวเข้ามารินน้ำชาให้ตัวเองด้วยท่าทีไม่แยแสต่อสิ่งใดอีกด้วย
เมื่อรินน้ำชาได้ครึ่งถ้วย ศิษย์พี่หญิงของท่านจ้าวหุบเขาก็ล้วงหยิบขวดยาที่ทำจากหยกขาวเนื้อดีออกจากสาบเสื้อ เปิดจุกไม้เทผงบางอย่างใส่ในถ้วย เขย่า จากนั้นก็รีบกรอกเข้าปากรวดเดียวราวกับกลัวว่าจะโดนใครยื้อแย่ง
เพียงดื่มชาผสมยาปริศนานั่นเข้าไปชั่วครู่ อาจารย์ป้าผู้นี้ก็คลายมือที่กำต้นแขนออก สีหน้าเองก็ดูผ่อนคลายลงหลายส่วน
“ซือฝุ...ยานั่น...” ลูกศิษย์อ่อนเยาว์ถามเสียงเบา น้ำเสียงหวานๆ เจือไว้ด้วยความตื่นเต้นตามประสาสาวน้อยสวยใสผู้ใฝ่รู้...
เอ...นั่นยาอะไรกันเจ้าคะซือฝุ ใช่ยายับยั้งอาการช้างตกมันหรือไม่ หืม?
...
อาจูส่ายหน้าให้กับความคิดนั้น
ไม่ได้...ไม่ได้...ถึงก่อนหน้านี้ อายุอานามเธอน่าจะห่างจากคุณป้า...เอ้ย อาจารย์ป้าผู้นี้ไม่มาก แต่ตอนนี้เธออยู่ในร่างสาวน้อยอายุ 14 15 จะแอบจิกกัด
ในใจว่าอย่างไรก็ต้องเกรงใจในความอาวุโสกว่าสักหน่อย...ในขณะที่อาจูกำลังทบทวนความเหมาะสมตามประสาคนดีมีคุณธรรม
อยู่นั้น ท่านจ้าวหุบเขาก็ชื่นชมศิษย์ผู้พี่ด้วยสีหน้าท่าทีนิ่งสนิทและน้ำเสียงที่ฟังดูสงบราบเรียบราวกับกำลังพูดประชด“ฝีมือการปรุงยาของท่านพัฒนาขึ้นอีกแล้ว”
ผู้มาเยือนฟังแล้วแค่นหัวเราะ “จ้าวหุบเขาให้เกียรติเกินไปแล้ว ยาต้านพิษขวดนี้เป็นยาที่ดีที่สุดของข้า แต่เกรงว่ายาพิษที่ดีที่สุดของท่านจะไม่ใช่ชนิดนี้กระมัง? ”
จ้าวหุบเขาเดียวดายนิ่งเฉย ไม่ต่อปากต่อคำ
“ท่านขึ้นหุบเขาครั้งนี้ด้วยเรื่องใด คงไม่ใช่แค่มาเฝ้าดูศิษย์ข้ากระมัง”
อุ๊ย...ตาย...
อาจูต้องข่มใจอย่างมาก ไม่ให้เผลอแสยะยิ้มเพราะคำถามนี้
เพราะอีกฝ่ายไม่ตอบ ท่านจ้าวหุบเขาจึงขยับริมฝีปากหยักสวยกล่าวต่อไป
“หากคุกคามคนของหุบเขา ข้าจำเป็นต้องลงมือกับท่าน ท่านรู้หรือไม่”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ลูกศิษย์คนงามก็ช้อนตาขึ้นมองไปยังอาจารย์ป้า
อีกครั้ง ดวงตาจวี๋ฮวาในยามนี้ดูคล้ายขอลุแก่โทษ แต่ในใจกลับลิงโลดอย่างที่สุดฟังไว้ซะ...เขาเลือกฉัน!
เพราะดวงตาคู่งามจับจ้องไปที่อาจารย์ป้า อาจูจึงสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังกำหมัดแน่นจนน่ากลัวว่านางจะเผลอทำกระดูกมือตัวเองแหลก ริมฝีปาก
สีแดงเลือดนกคู่นั้นเองก็เม้มแน่นสนิทจนแทบจะเป็นเส้นตรง“หลี่หยาง เจ้ามันวิปริตไปแล้ว! รู้หรือไม่ยามนี้ผู้อื่นพูดถึงจ้าวหุบเขาเดียวดายเช่นไร!”
“ผู้อื่นพูดเช่นไรแล้วนับเป็นกงการใดของข้า” ท่านจ้าวหุบเขายังคงตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยราวกับว่าไม่ใช่เรื่องของตนเองแม้แต่น้อย
ความไม่แยแสสายตาผู้คนระดับนี้...แม้แต่อาจูยังอยากจะย่อกายคาราวะ
โธ่...ซือฝุเจ้าขา ท่านไม่อยากรู้แต่ข้าอยากรู้นะเจ้าคะ ท่านจะถามนาง
สักหน่อยว่าคนเขาพูดกันอย่างไรก็ไม่ได้เลยรึ?อาจูอยากจะอ้าปากถามแทนท่านจ้าวหุบเขา แต่ก็กลัวโดนอาจารย์ป้ากล่าวหาว่าพูดสอด...
“ศิษย์พี่ หากท่านไม่มีธุระอันใด...” ท่านจ้าวหุบเขาตัดบท ดูเย็นชา
“ใครว่าข้าไม่มี! ” สตรีผู้คล้ายจะไม่ยอมจากหุบเขาไปง่ายๆ โต้เสียงขุ่น
นางตวัดหางตาคมกริบมองสตรีอ่อนเยาว์ผู้โดนปกป้องไว้เบื้องหลังเจ้าบ้าน จากนั้นก็ตวัดสายตากลับไปยังชายเพียงคนเดียวในวงสนทนา แล้วโยนห่อผ้าดิบ
สีขาวเปรอะคราบสีแดงเกรอะกรังกลิ่นคาวคลุ้งให้เขา “ในห่อผ้านี้มีเข็มอาบพิษร้ายแรงอยู่สิบสองชนิด แต่ละชนิดล้วนแตกต่างกัน ข้าต้องการยาแก้ของพิษที่อาบอยู่บนเข็มทั้งสิบสองเล่มนี้”ท่านจ้าวหุบเขาเปิดห่อผ้าดูอย่างไม่กลัวเกรง เขาเพ่งสายตาดูครู่หนึ่งก็
ปิดห่อผ้าลง “หากท่านต้องการยาถอนพิษสิบสองชนิดนี้ ข้าก็ยินดีช่วยเหลือ เพียงแต่หุบเขานั้นมีกฎ...”นางตัดบทคำพูดประโยคนั้นด้วยการหยิบจี้หยกทรงกระบอกอันเล็กๆ ที่ห้อยคอไว้ต่างเครื่องประดับขึ้นเป่ายาวๆ หนึ่งครั้ง ไม่กี่อึดใจ บุรุษสี่คนซึ่งแต่งกายด้วยชุดสีเขียวเข้มที่ตัดเย็บเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วก็แบกหีบไม้ขนาดใหญ่มา
ร่อนลงตรงหน้าโถงรับแขกด้วยวิชาตัวเบาอันเลิศล้ำ เสียงยามชายเหล่านี้วางหีบไม้ แม้จะไม่ได้ดังสักเท่าใด แต่ก็พอจะบอกได้ว่าภายในหีบน่าจะอัดแน่นด้วยโลหะบางอย่างซึ่งมีน้ำหนักไม่เบาเพียงนางเหลียวสบตาชายแบกหีบคนหน้าซ้าย ชายคนนั้นก็รีบขยับกายเปิดฝาหีบอย่างรู้หน้าที่
เมื่อฝาหีบเปิดอ้า แสงสีทองก็พวยพุ่งออกมา ทำเอาอาจูถึงขั้นตาพร่า
นะ...นี่มัน...หรือว่า...
“หนึ่งหมื่นตำลึงทอง” สตรีเจ้าของหีบเอ่ยเสียงเรียบ “ทั้งหมดนี้รวมถึงค่า
ที่พักของข้าและผู้ติดตามในระหว่างรอยาแก้พิษสิบสองชนิดนั่น”หนึ่งหมื่นตำลึงทอง!!!
ถ้าจำไม่ผิด ทอง 1 ตำลึง เท่ากับทองหนัก 4 บาท เพราะฉะนั้น หนึ่งหมื่นตำลึงทองก็หมายถึงสร้อยทองหนักเส้นละบาทจำนวนสี่หมื่นเส้น...
สี่หมื่นเส้น!!!
แม่เจ้าโว้ยยย
อาจูแทบอยากจะกรี้ดให้ภูเขาถล่มแผ่นดินสะเทือน
นี่มันค่ายาบ้าบออะไรกัน! ทำไมอาชีพหมอเถื่อนมันถึงได้ร่ำรวยขนาดนี้!!!
อาจูจ้องมองใบหน้าสตรีอ่อนเยาว์ที่จับประคองหญิงชราอยู่อีกฝั่ง ยิ่งมองก็ยิ่งพลอยรู้สึกชื่นชมลูกสะใภ้คนดีของแม่เฒ่า ทั้งยังรู้สึกว่าใบหน้านางดูงดงามตรึงตาตรึงใจพาให้อยากถลาเข้าไปกอดเรียวขาใต้ชุดสีเขียวเข้มขับผิวที่น่าจะเรียวงามไม่แพ้ท่อนแขนกลมกลึงนั่น เอาหน้าถูไถ เรียกนางว่าเจี่ยเจีย[1]คนดีสักหลายๆ คำอา...นี่คงเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจตามธรรมชาติของ “โฉมงามกลางป่าเขา” ที่คนเขาว่ากันละมั้ง...ยิ่งมองอาจูก็ยิ่งอยากจะทรุดตัวลงนั่งราบไปกับพื้นเสียเดี๋ยวนี้ขณะแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ชื่นชมกันไปมา ท่านจ้าวหุบเขาก็จัดเตรียมสมุนไพรที่ต้องใช้ไว้ให้ครบถ้วนดีแล้ว“แม้จะเคยล้มป่วยด้วยโรคชนิดนี้มาก่อนก็ไม่แน่ว่าร่างกายจะต้านทานโรคได้เสมอไป หากมีไข้เมื่อไหร่ สมควรรีบไปตรวจรักษาทันที” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยสั้นๆ“เซียนเหยียนทราบแล้ว...” สะใภ้สกุลสวีเอ่ยเสียงแผ่ว ฟังดูดึงดูดใจอย่างบอกไม่ถูก “เซียนเหยียนขอบคุณเซียนเซิงที่มีใจเมตตา”ยิ่งนางเปิดปากพูดออกมา อาจูก็ยิ่งละสายตาจากริมฝีปากทรงเสน่ห์บนใบหน้าขาวผ่องไม่ได้ท่านจ้
“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอ อาการอาเป่าของพวกเราย่ำแย่มากหรือไม่!” หญิงชราสูงอาวุโสที่สุดในบ้านผุดลุกจากเก้าอี้ทันทีที่จ้าวหุบเขาหลี่ละสายตาจากเด็กตัวจ้อยบนเตียงเตา[1]บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ห่างจากบ้านหลังอื่นๆ จนเกือบจะเรียกได้ว่าตั้งอยู่นอกตัวหมู่บ้าน...หญิงชราผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ก็คือแม่เฒ่าสวีนักปลุกปั่นนั่นเองเห็นแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ทำท่าจะเดินเข้าไปดูทายาทตัวน้อย อาจูรีบปราดเข้าช่วยศรีสะใภ้รูปร่างอ้อนแอ้นเหมือนหนึ่งจะปลิวลมของครอบครัวสกุลสวีประคองหญิงชรา เจตนาที่แท้จริงคือรั้งไว้ “ท่านป้าอย่าได้เข้าใกล้นัก ระยะนี้พวกท่านจะติดโรคระบาดจากอาเป่าได้ง่าย”กระทั่งตอนนี้ ขณะตรวจรักษาโรคระบาด ท่านจ้าวหุบเขาก็ยังให้ลูกศิษย์เพียงยืนดูอยู่ห่างๆ เหมือนเมื่อครั้งอยู่ในวัดร้างไม่มีผิด เสี่ยวจวี๋ฮวาที่ว่างงานจึงกลายร่างเป็นเจ้าหน้าที่ญาติผู้ป่วยสัมพันธ์ รับหน้าที่คอยกันไม่ให้พวกเขาเข้าไปรบกวนการรักษาโดยปริยายท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองมือลูกศิษย์ที่จับประคองเจ้าบ้านเล็กน้อย ชั่วขณะนั้น ดวงตาคู่คมเจือร่องรอยไม่ชอบใจ“ตุ่มหนองพวกนี้ดูแย่ลงก็จริง ทว่าเป็นอาการตามปกติของโรค” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยเรียบๆ
สตรีแซ่เซี่ยยังคงบอกเล่าสถานการณ์ด้วยตนเองอีกครู่ใหญ่ อาจูเห็นท่านหมอยุคเก่าแก่โบราณสองคนพูดคุยกันก็ปั้นหน้าสงบเสงี่ยมยืนฟังด้วยความสนใจ สองหูฟังไป สองตาก็ลอบจับสังเกตศิษย์พี่หญิงของท่านจ้าวหุบเขา ต่อให้ส่วนหนึ่งในใจจะค่อยๆ คล้อยตามว่าครั้งนี้อาจารย์ป้าหน้าเด็กอาจมาด้วยเจตนาดีจริงๆ ลางสังหรณ์บางอย่างในใจกลับไม่ยอมหายไปเสียทีอาจารย์ป้าผู้นี้...มาดีจริงๆ น่ะรึ?อาจูอยากจะยกมือขึ้นนวดขยับ ยิ่งคิดว่าพักนี้ต้องระมัดระวังไม่ให้เผลอใช้ใบหน้าเด็กๆ นี่ขมวดคิ้วสร้างริ้วรอยจนใบหน้าแก่ก่อนวัยก็ยิ่งกว่าหนักอกหนักใจช่างเถอะ ถึงยังไงที่นี่ก็ต้องการแรงงาน...จังหวะอาจารย์ป้ากวาดตามองผ่านมา เสี่ยวจวี๋ฮวาคลี่ยิ้มอ่อนหวานเจิดจ้ายิ่งกว่าผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งนางงามจักรวาล ทว่าอีกฝ่ายกลับมองผ่านเลยไปท่าทีนี้ช่วยให้อาจูสบายใจขึ้นเล็กน้อยถ้าเซี่ยอะไรสักอย่างเหยาๆ นางนี้ทำถึงขั้นคลี่ยิ้มให้ ศิษย์หลานตาดำๆ อย่างจวี๋ฮวาคงไม่แคล้วต้องเกาะติดอาจารย์ทั้งวันทั้งคืน เพื่อป้องกันสตรีคลั่งรักผู้หนึ่งย่องมาบีบคอตอนหลับหรือซัดเข็มพิษเล่มโตลอบสังหารแล้ว...
จู่ๆ ความสลดหดหู่ปนโกรธเกรี้ยวก็พวยพุ่งขึ้นในใจคนฟัง กระทั่งอาจูเองยังกำหมัดแน่น ยากจะสงบอารมณ์เป็นตอนนี้เอง ที่อาจูรู้สึกถึงเหงื่อเย็นชื้นบนฝ่ามือตัวเองท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองลูกศิษย์เล็กน้อย ก่อนหันกลับมาผ่าลำไส้ทั้งหมด ตรวจสอบของเสียตกค้างอย่างละเอียด จากนั้นหันกลับไปตรวจดูเล็บมือและเล็บเท้าซ้ำอีกหน“ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นแล้วจริงๆ” ท่านจ้าวหุบเขาสรุปสั้นๆประมุขสมาพันธ์ผู้ต้องแบกรับเรื่องนี้ฟังแล้วยิ่งขบกรามแน่นจนขึ้นสัน“สารเลวพวกนั้นช่างระมัดระวังรอบคอบเกินไปแล้ว”“เรื่องนั้นยังไม่แน่นอนนัก” ท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองเชือกที่คนร้ายใช้มัดร่างเด็กเอาไว้ เอ่ยไม่ดังไม่เบา “ประมุขเยว่คงไม่ทันสังเกตว่าเทียนเฉาตอนล่างมีวัฒนธรรมการฟั่นเชือกแตกต่างจากพื้นที่อื่นเล็กน้อย...พวกนั้นจะจงใจทิ้งร่องรอยหรือไม่ได้ตั้งใจก็ช่าง ถ้าอย่างไรลองสืบสาวจากเชือกพวกนี้ดู ไม่แน่ว่าอาจช่วยเหลือได้ไม่มากก็น้อย”สีหน้าเยว่เทียนฟงดูดีขึ้นเล็กน้อย“ศพเหม็นเน่ามากแล้ว ฝังให้ลึกๆ แทนการเผาจะดีกว่า...น้ำใน
มองจากที่ไกลดูเหมือนใกล้ แต่เมื่อต้องเดินเท้ากันจริงๆ แล้ว บ่อพักน้ำตีนผาที่ว่านี้ กลับอยู่ห่างจากเขตที่พักอาศัยไม่น้อยยิ่งเดินเข้าใกล้ กลิ่นเน่าเหม็นรุนแรงก็ยิ่งโดดออกจากกลิ่นปศุสัตว์ ตอกย้ำให้ผู้มาเยือนตระหนักว่าในบ่อพักน้ำมีศพเด็กคนหนึ่งนอนแช่อยู่จริงๆ“ตรงนั้นขอรับ” องครักษ์ผู้รับหน้าที่นำทางรีบชี้เป้า “ศพโดนผูกไว้กับหลักไม้หลังพงหญ้านั่น”อาจูยกแขนเสื้อขึ้นปิดจมูกอีกชั้น แทบไม่อยากหายใจ เพียงก้าวขาเดินกันต่อไปแค่ไม่กี่ก้าว กลิ่นเน่าเหม็นชวนคลื่นเหียนแฝงกลิ่นสาบคล้ายโคลนก็ลอยมาเตะจมูก ทำเอาชาวบ้านหลายคนที่ตามมาดูต้องโก่งคออาเจียนกันอีกหน แม้แต่คนของเยว่เทียนฟงก็ยังหน้าเขียวหน้าดำ บรรยากาศคุกรุ่นที่เพิ่งจะสงบลงคล้ายถูกแทนที่ด้วยกระแสอารมณ์วิตกกังวลและหวาดผวาบ่อพักน้ำแห่งนี้มีขนาดกว้างยาวเพียงด้านละราวๆ สามถึงสี่วา หากไม่นับเรื่องกลิ่นที่โชยคลุ้งและฟองสีขาวบนผิวน้ำ ก็ยังนับได้ว่าที่นี่ดูสะอาดตา ไร้วี่แววศพเด็กที่ว่า ทั้งอย่างนั้นตำแหน่งที่ผู้นำทางเดินไปหาก็เป็นตำแหน่งที่พงหญ้าสูงท่วมศีรษะ เหมาะแก่การซุกซ่อนข้าวของเป็นอย่างยิ่ง
“มีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ!” ทันทีที่ได้ยินว่ามีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ พวกชาวบ้านในลานพลันหน้าเผือดสี หลังจากส่งต่อประโยคสั้นๆ ประโยคนี้เพียงชั่วครู่ หญิงชาวบ้านจำนวนไม่น้อยถึงขั้นโก่งคออาเจียน ที่ดูคล้ายคนเจ็บไข้ได้ป่วยกันอยู่แล้วก็ยิ่งดูเหมือนคนล้มป่วยยิ่งขึ้นสวรรค์! เกิดโรคระบาดก็แย่แล้ว ต้นคลองส่งน้ำเข้าหมู่บ้านยังมีศพแช่อีกรึ!“ท่านประมุข หรือว่าศพนั่นจะเป็นตัวก่อโรค!” ชาวบ้านชายที่รูปร่างกำยำที่สุดในกลุ่มถามเสียงเครือ ดวงตาแดงก่ำบนใบหน้าอิดโรยเหมือนพร้อมจะหลั่งน้ำตาออกมาทุกเมื่อ “เช่นนั้นพวกเราทุกคน...”“ต้องรอตรวจโรคกันก่อนจึงจะบอกได้” ท่านประมุขผู้ถูกถาม ตอบเสียงขรึม “ระหว่างนี้บอกให้ทุกคนเลิกแตะต้องน้ำจากคลองส่งน้ำนั่น หากจำเป็นต้องนำมาใช้ ต้องต้มให้นานๆ หน่อยถึงจะดี” รับมือกับโรคระบาดชนิดนี้มานาน เยว่เทียนฟงเองก็ได้พื้นความรู้ติดตัวมาไม่น้อยเหมือนกัน“จ้าวหุบเขา เชิญ&rdquo