LOGINอาจูปรือหนังตาขึ้นอย่างเชื่องช้า พยายามเพ่งมองเงาร่างสง่าผ่าเผยในเครื่องแต่งกายสีน้ำเงินเข้ม ดูสูงส่ง
เสี้ยววินาทีนั้น แสงอาทิตย์ที่ส่องกระทบเปลือกตาบดบังให้มองเห็นใบหน้าคนเพียงคนเดียวในสายตาไม่ชัดนัก รู้เพียงแต่ว่าท่ามกลางรัศมีสีทองเรืองรอง เงาร่างตรงหน้านี้ดูเย็นชา
ร่างสง่าผ่าเผยในเครื่องแต่งกายสีน้ำเงินเข้มที่ดูเย็นชาร่างนี้ขยับนิ้วมือเรียวสวยรั้งผ้าม่านเข้าหาเสาเตียงแล้วจับมันพันเอาไว้อย่างเนิบช้า
เมื่อผ้าม่านถูกกำจัด แสงตะวันเจิดจ้าก็สาดเข้าปะทะ ทำเอาเธอตาพร่า
“รู้สึกตัวเสียที” น้ำเสียงเข้มขรึมทรงเสน่ห์ขับให้เงาร่างในสายตาเธอ
ดูสูงส่งเลิศลอยขึ้นอีกแปดส่วนอาจูเหม่อมองอยู่นาน นานจนม่านหมอกพร่ามัวจางหาย ทิ้งภาพ ‘คุณชาย’ ที่ดูหล่อเหลายิ่งกว่าพระเอกหนังจีนเรื่องไหนๆ ไว้แทนที่
“...เทพ...เทพบุตรชัดๆ...”
ถ้าไม่เคยพบเขาในสภาพนี้มาก่อน เธออาจเพ้อใส่หน้าเขาประมาณนี้
แต่เพราะเธอไม่ใช่แค่เคยพบเขามาก่อน แต่ยังตื่นขึ้นมาเจอเขาในสภาพแบบเดิมๆ แบบเดียวกันนี้มาแล้วถึงสองครั้ง ครั้งแรกคือตอนที่เธอเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาในโลกนี้ ครั้งที่สองคือตอนที่รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งหลังกินยาพิษร้ายแรงเข้าไป พอต้องมาพบกันในรูปแบบเดิมเป็นครั้งที่สาม นอกจากจะไม่ประทับใจแล้ว เธอยังอยากแค่นเสียงใส่เขาอีกว่า “สารรูปหลอกลวง!”
“เซียนเซิง[1]...” อาจูฝืนผุดลุกขึ้นจากเตียง ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าเบื้องหน้าร่างสูงสง่า เสี้ยววินาทีนั้น การฝืนลุกจากเตียงลงมานั่งคุกเข่าทำเอาคนเพิ่งรู้สึกตัวเจ็บแปลบจนน้ำตาเล็ด เพียงชั่วอึดใจ น้ำหยดหนึ่งก็ไหลร่วงรดแก้มนวลผิวบางใสโดยไม่ต้องเสแสร้ง
“เซียนเซิง...นี่ท่านยอมรับข้าเป็นศิษย์แล้วใช่ไหม” น้ำเสียงหวานๆ ฟังดูอ่อนแรงที่หลุดออกมาจากปากตัวเองทำเอาอาจูยังอดสงสารตัวเองไม่ได้ ได้แต่หวังว่าความน่าเวทนาระดับนี้จะช่วยสั่นสะเทือนหัวใจที่ทั้งเย็นชาและแข็งกระด้างยิ่งกว่าหินของผู้ชายตรงหน้าได้บ้าง
“ข้าบอกเจ้าแล้วว่าไม่ต้องการรับศิษย์ หากต้องการฝึกเดินลมปราณทะลวงจุด ให้ไปหาผู้อื่นเสีย” เขาบอกเน้นถ้อยเน้นคำ
อาจูหัวใจกระตุกวูบ รีบใช้ทักษะที่มั่นใจว่าถนัดที่สุดในชีวิต
“แต่...เซียนเซิง...ศิษย์ผู้นี้จะไปหาผู้ถึงพร้อมด้วยคุณธรรม ทั้งยังเชี่ยวชาญทั้งวรยุทธและการแพทย์อย่างท่านได้ที่ใด ในสายตาศิษย์ ผู้ที่จะเยียวยาร่างนี้ได้ ก็มีแต่ท่านเท่านั้น” ก็แน่ละสิ...ยาพิษชนิดไม่มียารักษาที่ข้ากินเข้าไปเป็นของท่าน ในเมื่อท่านเป็นคนคิดค้น กระทั่งท่านยังไม่มีปัญญารักษา แล้วหมอที่ไหนจะช่วยข้าได้ หึ!
ยังไม่นับอีกว่าตอนนี้เธออยู่ในร่างเด็กสาวความจำเสื่อม ไร้ญาติขาดมิตร นอกจากเงินถุงที่เขาทิ้งไว้ให้ก็ไม่มีของมีค่าอะไรติดตัวเลยสักชิ้น ร่างกายอ่อนแอไม่เป็นวรยุทธ
ในโลกยุคโบราณที่ท่านบุรุษสูงส่งเทียมเมฆา ชีวิตสตรีต่ำต้อยกว่าเศษหญ้า แถมยังมีการแบ่งชนชั้นทางสังคม ต่อให้เด็กสาวรูปลักษณ์งดงามโดดเด่นชนิดนี้ไม่โดนจับไปขาย หรือโดนบังคับให้ไปเป็นอนุของคนบ้ากามชั่วช้า เกิดระหว่างเดินทางไปนั่นมานี่ดันจับพลัดจับผลูอาการกำเริบขึ้นมากะทันหัน แล้วหาใครมาช่วยเดินลมปราณทะลวงจุดให้ไม่ได้ ผลลัพธ์ก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น
เพราะฉะนั้น...เกาะติดตานี่ไว้นี่แหละ ทางออกที่ดีที่สุด!
อย่างน้อยก่อนหน้านี้เขาก็ช่วยชีวิตเธอไว้ ทั้งยังยอมเสียเวลาขลุกตัวอยู่ในวัดร้างเพื่อรักษาเธอตั้งเป็นเดือนๆ โดยที่ไม่ได้ทำอะไรนอกลู่นอกทางกับร่างงามล่มเมืองไร้สติ สาวๆ ขาวๆ หอมๆ แถมยังมีหน้าอกหน้าหน้าใจอวบอึ๋มเกินอายุร่างนี้แม้แต่น้อย ล่าสุดก็ยังช่วยอุ้มคนหมดสติอย่างเธอข้ามหุบเหวมานอนพักรักษาตัวบนเตียงอุ่นๆ วัดจากเรื่องนี้ อย่างน้อยๆ คนคนนี้ก็น่าจะเป็นผู้ชายมีศักดิ์ศรีและมีมโนธรรมอยู่มาก เอ่อ...ถ้าไม่นับเรื่องที่เขายืนกรานจะเซย์บ๊ายบาย[2] ปฏิเสธที่จะรักษาอดีตคนไข้ทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอดันไปกินยาที่เขามอบให้เก็บไว้ใช้ปกป้องตัวเองแทนที่จะกินยาที่เตรียมไว้ให้ใช้รักษาอาการปวดศีรษะ...เรื่องที่ทอดทิ้งเด็กสาวความจำเสื่อมที่โดนพิษร้ายแรงไว้กลางป่าเพียงลำพัง แล้วก็เรื่องที่ปล่อยให้สาวน้อยน่าสงสารคนหนึ่งนั่งคุกเข่าตั้งหลายชั่วยามน่ะนะ...
หลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดตาหน้านิ่งก็ขยับริมฝีปากเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเนิบช้า “คุณธรรมรึ? ข้าเพียงช่วยรักษาตอบแทนที่ช่วยหลั่งเลือดเลี้ยงหญ้าแสงจันทร์โลหิตเท่านั้น”
ห๊ะ?
หญ้าบ้าบออะไรกัน แล้วหลั่งเลือดอะไร จำไม่เห็นได้สักนิด!
คงเพราะเห็นเธอทำหน้าเหมือนไม่ยอมเข้าใจ จ้าวหุบเขาเดียวดายจึงช่วยขยายความให้ด้วยสีหน้าราบเรียบไร้อารมณ์อย่างที่สุด
“หนึ่งเดือนก่อน ข้ามีความจำเป็นต้องใช้สมุนไพรหายากชนิดหนึ่ง จึงต้องลงไปค้นหาถึงภายนอกหุบเขา ค้นหาอยู่หลายวัน ในที่สุดก็พบสมุนไพรที่ต้องการกอใหญ่เติบโตอยู่ข้างร่างไร้สติของสตรีชุดเขียวครามผู้หนึ่ง...ซึ่งก็คือเจ้า กล่าวได้ว่า ยามนั้นหากไม่ได้โลหิตหล่อเลี้ยงหญ้าชนิดที่ว่าไว้ ตัวข้าจ้าวหุบเขาผู้นี้ก็คงไม่ได้ตัวยาสำคัญที่ต้องการ” เขายังคงค่อยๆ เอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ในเมื่อเอามาก็ต้องจ่ายไป ข้าเพียงตอบแทนคุณด้วยคุณเท่านั้น”
อาจูกำลังร้อนใจ ห่วงความปลอดภัยและความสุขสบายในชีวิต ไม่มีแก่ใจจะฟังประโยคยืดยาวพวกนั้นสักเท่าไหร่ จับใจความสั้นๆ ได้แค่ว่าเขาพยายามจะบอกปัด
ฮึ่ย...! ใครจะยอมถอดใจง่ายๆ กันล่ะ!
“ผู้มีคุณธรรมอย่างไรก็คือผู้มีคุณธรรม ผู้ดีจริงแท้ย่อมไม่อวดอ้าง...แม้ท่านจะพูดเช่นไร ตัวตนของท่านที่เป็นเช่นนี้ ก็ช่างสูงส่งยิ่งนัก...” อาจูบีบเสียงให้เล็กลง น้ำเสียงที่ชวนให้นึกถึงเสียงพิณและน้ำผึ้งป่าจึงฟังดูยิ่งกว่านุ่มนวลอ่อนหวาน
เพื่อความน่าประทับใจ เธอพยายามเค้นน้ำตาให้หลั่งออกมาคลอเคล้าสองตา ดูชื่นชม ศรัทธา และจริงใจ
“หรือชาวบ้านกลุ่มที่พาเจ้ามาที่ปากทางเข้าหุบเขา ไม่ได้บอกว่าพวกเขาล้วนเรียกข้าว่าอะไร”
บอกสิ ถ้าพวกเขาไม่ยั้งปาก แน่นอนว่าต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าท่านน่ะ ทั้งชั่วโฉด โหดเหี้ยม ใจดำ แถมยังงกเป็นที่สุด!
แน่นอนว่าเธอหวังจะพึ่งเขา จึงไม่อาจตอบแบบนี้ได้...
“ผู้อื่นพูดถึงท่านไว้มากมายเพียงใดแล้วอย่างไร ท่านจิตใจดีมีคุณธรรมแค่ไหน ในใจศิษย์ผู้นี้ย่อมรู้ดีเป็นที่สุด...” อาจูจ้องลึกลงในดวงตาคู่คมด้วยแววตาแบบเดียวกับลูกหมาหิวโซกำลังอ้อนวอนขออาหาร
หงิง~
“ได้โปรด...ก่อนหน้านี้เป็นท่านที่ช่วยชีวิตศิษย์ไว้ ศิษย์จึงมีชีวิตรอดมาได้ราวปาฏิหาริย์ ตั้งแต่แรกนั่น ในเมื่อท่านคิดจะให้ชีวิตแล้ว ใยมิสงเคราะห์คนยากให้ตลอดรอดฝั่ง” เพราะกลัวสะดิ้งไม่พอ อาจูกะพริบตาแถมให้อีกสองปริบ ก่อนจะเอ่ยต่อไป “ศิษย์สูญเสียความทรงจำ ไร้ญาติขาดมิตร รู้เพียงว่าในอกมีความคับแค้นใจใหญ่หลวงที่ยังไม่ได้สะสาง ศิษย์ยังไม่อยากตายทั้งๆ ที่จำตัวเองไม่ได้เช่นนี้...” เรื่องที่เจ้าของร่างนี้ดูเหมือนจะมีความคับแค้นใจ เธอพูดจริง แต่เรื่องช่วยสะสางให้บ้าบออะไรนั่น ไม่ได้อยู่ในหัวเธอเลยสักนิด
เหอะ...แก้แค้นบ้าบออะไรกัน เกิดเป็นคน ฟ้าอุตส่าห์ประทานชีวิตมาให้ แค่เอาตัวให้รอดใช้ชีวิตให้ดีก็พอแล้ว เธอไม่ใช่พวกยึดติดกับอดีต จบนะ
จ้าวหุบเขาเดียวดายใช้ดวงตาคู่คมจ้องมองเธออยู่ครู่ใหญ่ เนิ่นนานนัก เจ้าของร่างที่ดูสูงส่งเย็นชาราวเทพเซียนก็ขยับริมฝีปากอีกหน “พิษชนิดนี้ร้ายแรงสำหรับผู้ฝึกยุทธและผู้มีธาตุทั้งห้า[3]ในร่างกายไม่สมดุลย์ ไม่ส่งผลต่อคนทั่วไปมากนัก ในเมื่อร่างกายแข็งแรงดีแล้ว เหตุใดต้องทรมานตนเอง หาเรื่องใส่ตัว”
อาจูฟังแล้วตัวแข็งค้าง จู่ๆ ก็อยากจะยกนิ้วกลางใส่คนตรงหน้า
มารดามันเถอะ! อะไรคือไม่ส่งผล! ก็ตอนนั้นท่านไม่ได้บอกข้าแบบนี้นี่!
อะไรคือ “ร่างกายนี้ต้องพิษร้ายแรง นับแต่นี้ต้องระวังรักษาตัวให้มาก หากอาการกำเริบให้รีบไหว้วานผู้ฝึกลมปราณสักคนช่วยทะลวงจุดให้ มิฉะนั้นอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต” อะไรคือแค่กินยาเข้าไปชั่วอึดใจเดียวเลือดกำเดาก็ไหล เป็นลมล้มพับ เล่นพูดมาแค่นี้ เล่นร่างกายออกอาการตั้งขนาดนี้ ข้าก็นึกว่าตัวเองใกล้ตายเต็มทีแล้วนะสิ!
อาจูลอบกัดริมฝีปากแน่น ยิ่งนึกถึงความลำบากจากการเดินเท้าขึ้นเขาและความเจ็บจนชาเมื่อตอนนั่งคุกเข่าตากอากาศเย็นจัดก็โกรธจนอยากจะร้องไห้ แต่หลังจากใช้เวลาชั่งตวงวัดอยู่หนึ่งวินาทีเต็มก็ตัดสินใจปล่อยเลยตามเลย
ถึงอย่างไร การมีที่ซุกหัวนอนก็สำคัญ...
คนอยากฝากตัวเข้าเป็นศิษย์อาศัยดวงตาที่แดงก่ำจากอารมณ์โกรธกรุ่น จ้องลึกลงในตาท่านจ้าวหุบเขา ถามเสียงสั่นสะท้านเหมือนลูกนกปีกหัก “ศิษย์ไร้ที่ไป ไม่รู้ว่าในอนาคตต้องเผชิญเรื่องเลวร้ายใดหรือไม่ วันนี้เคราะห์ดีได้เซียนเซิงเมตตาช่วยดูแลจนร่างกายดีขึ้นแล้ว แล้วในอนาคตเล่า...หากถึงคราวตกทุกข์ได้ยากร่างกายเกิดอ่อนแอลงกะทันหันจะทำอย่างไร”
เขาเองก็จ้องลึกลงในตาเธอเช่นกัน “ความหมายก็คือ...หากมีความเสี่ยงที่ร่างกายจะอ่อนแอลงจนพิษกำเริบ ก็ขอเสี่ยงฝึกฝนลมปราณเพื่อให้สามารถช่วยเดินลมปราณทะลวงจุดให้ตนเองในยามคับขัน”
อาจูเลือกใช้ดวงตาเว้าวอนฉายแววมุ่งมั่นแทนคำตอบ
“ยาพิษชนิดนี้นับเป็นหนึ่งในบรรดายอดยาพิษ แม้แต่ข้าซึ่งเป็นผู้คิดค้นก็ยังหาวิธีรักษาไม่ได้ ทำได้เพียงช่วยปรุงยาต้านและใช้ลมปราณช่วยบรรเทายามอาการกำเริบ ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาค้นคว้าอีกกี่ปี จึงจะพบยาแก้พิษ”
อาจูรีบพยักหน้าหงึก รับคำ “ศิษย์ย่อมเข้าใจดี...”
“หากคิดจะอยู่ที่นี่ จนกว่าจะพบวิธีถอนพิษออกจากร่าง นับแต่นี้เจ้า
ไม่อาจออกจากหุบเขาไปที่ใดทั้งนั้น ต่อให้วันหนึ่งความทรงจำเกิดฟื้นคืน หากไม่หายดี ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้ากลับไปสะสางเรื่องใด พูดเช่นนี้แล้วยังอยากเข้าหุบเขา ให้ข้าเป็นผู้ช่วยระงับอาการ สอนเดินลมปราณทะลวงจุดอีกหรือไม่?”หมายความว่าถ้าถอนพิษไม่ได้ก็ต้องติดแหง็กอยู่ที่นี่กับตานี่ไปจนตายงั้นเรอะ?
อาจูชั่งน้ำหนักเรื่องนี้ในหัวทันที
เรื่องแก้แค้นบ้าบออะไรนั่นเธอไม่สนใจตั้งแต่แรกแล้ว แต่เรื่องติดแหง็กอยู่ในหุบเขานี่สิ...
เธอมันพวกขี้เบื่อ อยู่ไม่ติดที่ ในยุคสมัยที่จากมาเธอไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ที่ไหนได้นานเกินสามเดือนเลยสักครั้ง จริงอยู่ที่ว่าปกติแล้วเธอจะใช้ชีวิตเรียบง่าย วันๆ เอาแต่เก็บตัวนั่งแต่งนิยายป๊อกๆ แป๊กๆ ตามประสานักเขียนกำลังมีไฟ อยู่ในบ้านน้อยหอยสังข์ที่เยาวราช แต่ถ้าไม่ได้หนีจากความจำเจไปเที่ยวต่างประเทศหรือต่างจังหวัดสักปีละสามสี่หน เธอจะทนไม่ไหว
แต่ว่าตอนนี้เธอไม่ใช่อาจูคนเดิม
นี่ไม่ใช่ร่างเธอ...ยุคสมัยนี้ก็ไม่ใช่ยุคสมัยของเธอ
ตั้งแต่เกิดและใช้ชีวิตมาร่วมยี่สิบห้าปี ถึงแม้เธอจะชื่อเมษา เป็นคนไทยเชื้อสายจีน เกิดและโตในย่านที่ครึกครื้นที่สุดของเยาวราช แต่ตอนนี้เธอกลายเป็นสาวน้อยจีนโบราณสารร่างบอบบางบ่งบอกยี่ห้อคุณหนูน้อยๆ ในห้องหอ จากประสบการณ์ในการอ่านนิยายจีนแนวทะลุมิติข้ามเวลามาตั้งเป็นกุรุส เด็กสาวหน้าตาสะสวยผิวพรรณดีที่น่าจะเกิดและโตในตระกูลใหญ่ไม่มีวันตกระกำลำบากจนต้องเหลือตัวคนเดียวง่ายๆ แบบนี้แน่ เว้นเสียแต่ว่าเจ้าหล่อนจะโดนปองร้ายโดยใครสักคนที่อันตรายพอตัว พอเอาเรื่องนี้มาวิเคราะห์รวมกับเรื่องที่อิตาจ้าวหุบเขานี่ไปเก็บเธอได้ในสภาพตกเขาใกล้ตาย กับเรื่องที่เด็กนี่เหมือนจะมีความแค้นยิ่งใหญ่ที่เค้นสมองนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่ เธอก็ยิ่งกว่าแน่ใจ
ถ้าหอบสังขารต้องพิษรอวันกำเริบเดินเร่ร่อนไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องโดนคนที่อยากให้เจ้าของร่างนี้ตายตามล่าฆ่าล้างจนอยู่ไม่เป็นสุขแน่ๆ
ที่นี่มีหลังคาคุ้มหัว มีข้าวปลาอาหาร มีหมอ แถมยังไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครข้ามหุบเหวที่ทั้งกว้างทั้งลึกมาทำร้าย...ในเมื่อที่นี่ดีถึงขนาดนี้ ตราบใดที่ยังไม่มีวรยุทธ ปกป้องตัวเองไม่ได้ ทนติดแหง็กอยู่ในหุบเขากับตานี่ไปก่อนก็ไม่เลว อย่างน้อยเบื่อๆ ขึ้นมาก็ยังมีหน้าหล่อๆ หุ่นแซ่บๆ ให้ดูแก้เซ็ง...
“เซียนเซิง...ไม่สิ...นับแต่นี้ข้าควรเรียกท่านว่าซือฝุ[4]” ลูกศิษย์คนใหม่
เอ่ย แววตาเต็มตื้น “ซือฝุ...นับตั้งแต่เรียกท่านว่าซือฝุ...หากท่านไม่อนุญาต ชาตินี้ทั้งชาติข้าจะไม่มีวันแยกจากท่านอีกแล้ว” เอ๊ะทำไมฟังดูแปลกๆอาจูมุ่นหัวคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย สงสัยว่าควรพูดจาแก้ไขอะไรหรือไม่
แต่พอใช้ตรรกะแบบอาจูอาจูวัดแล้วก็คิดเอาเองว่าคำพูดนี้หมายความว่าเธอจะติดตามรับใช้ซือฝุด้วยความกตัญญูไปจนสุดหล้าฟ้าเหลือง...อา...ช่างฟังดูเป็นเด็กสาวผู้มีใจกตัญญู น่ารักใคร่เอ็นดูจริงๆ
ใช่แล้ว! เธอเป็นสาวน้อยจิตใจใสซื่อบริสุทธิ์นะ!
หลังจากยืนมองเธอเงียบๆ อีกครู่ใหญ่ ในที่สุด จ้าวหุบเขาเดียวดายก็ถอนหายใจยาว
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้”
Yes!
“ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนต้องมีชื่อเรียก หากไม่มีชื่อเรียกคงจะไม่สะดวกนัก” เขามองหน้าเธอคล้ายจะถามว่า อยากจะให้ข้าเรียกว่าอย่างไร?
ชื่อเรอะ? อาจูเผลอย่นหัวคิ้วเข้าหากันอีกหน
นี่ถ้าเอาชื่อเซียวเหล่งนึ่ง[5] หรือหลิวอี้เฟย[6]มาใช้ จะเป็นอะไรไหม?
คนหลงยุคสลัดความคิดฟุ้งซ่านเหล่านั้น คลานเข่าขยับเข้าใกล้ท่านจ้าวหุบเขาอีกเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นสบตาคู่คม
“ศิษย์ความจำเสื่อม ไร้ชื่อเรียก ซือฝุเป็นผู้ช่วยชีวิตทั้งยังรับไว้เป็นศิษย์ ถ้าอย่างไร ขอซือฝุโปรดเมตตา...”
“จวี๋ฮวา[7]” เขาตัดบทสั้นๆ
ห๊ะ? ดอกๆ อีกแล้ว!
อาจูเซ็งสุดขีด ในบรรดาชื่อสตรีในนิยายจีนๆ ที่เธอเคยอ่านมา ชื่อบ้าบออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับดอกไม้นับเป็นชื่อที่โหลที่สุด แต่ในเมื่อ “ซือฝุ” เป็นคนตั้งให้ ครั้นจะไม่ใช้ก็คงดูเสียมารยาท...
เอาวะ ดอกก็ดอก!
อย่างน้อยๆ ก็ได้เป็นดอกเบญจมาศเลยนะ! ดอกเบญจมาศเป็นสัญลักษณ์ของความสุข ความมั่นคง และความอุดมสมบูรณ์ยังไงล่ะ!
เธอพยายามนึกถึงความหมายที่ดีงามของดอกเบญจมาศ มากกว่าชื่อหนังเรื่อง Curse of the Golden Flower หนังจีนย้อนยุคที่พูดถึงราชวงศ์ราชวงศ์หนึ่งและดอกเบญจมาศ ที่โดนเว็บไซต์วิจารณ์หนังเอามาแปลชื่อเป็นภาษาไทยซะเสียหายว่า “คำสาปดอกทอง”
...
ว่าแต่...
“ซือฝุเจ้าขา ศิษย์ใคร่ขอถาม เหตุใดจึงต้องเป็น ‘จวี๋ฮวา’ ”
ทำไมไม่เป็นเหลียนฮวา[8] หลันฮวา[9] หรือเหมยฮวา?[10] เป็นเพราะท่านเห็นว่าตัวตนของข้าดูสูงค่าและอยากให้มีชีวิตที่ดี สุขสมบูรณ์ เหมือนความหมายของดอกเบญจมาศ อะไรทำนองนั้นใช่ไหม?
แทนคำตอบ ซือฝุผู้หล่อเหลาทว่าดูสุขุมเย็นชาอย่างร้ายกาจปรายตามองทอดออกไปด้านนอกหน้าต่าง
ด้วยความอยากรู้ อาจูถือวิสาสะลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้อยเชื่องช้า เบนหน้ามองตามสายตาซือฝุที่เพิ่งตกได้มาด้วยกิริยาสงบไว้สง่าดุจสุภาพชน
ที่ด้านนอกหน้าต่างนั่น...มีดอกเบญจมาศเบ่งบานอยู่เต็มไปหมด
“วัชพืชพวกนี้แพร่พันธุ์เร็ว เติบโตง่าย ตายยาก ถึงตัดทิ้งเผาทำลายก็ยังงอกขึ้นมาใหม่ได้เรื่อยๆ ข้าเห็นแล้วรำคาญนัก”
คนเพิ่งได้ชื่อใหม่ว่า “จวี๋ฮวา” ฟังแล้วกัดฟันกรอด แต่ยังฝืนยิ้มตอบอย่างโลกสวยที่สุดในชีวิต
“อา...เติบโตง่ายตายยาก...ช่างเป็นชื่อที่ดีนัก”
หางตาเธอเห็นท่านจ้าวหุบเขาปากกรรไกรเหลียวมองมา จึงเสแสร้งแกล้งจ้องมองดอกเบญจมาศด้านนอกหน้าต่างแล้วคลี่ยิ้มงดงามทำตาเป็นประกายยิ่งขึ้น ทั้งที่ในใจลอบด่าเขาตั้งไม่รู้กี่คำ...
[1] 先生(เซียนเซิง) คำว่า先(เซียน) หมายถึง ก่อน 生(เซิง) หมายถึง เกิด รวมแล้ว 先生จึงหมายถึงผู้ที่เกิดก่อน หรือแปลได้ว่า “ผู้อาวุโส” ในตอนแรกใช้เป็นคำเรียกปัญญาชนอย่างให้เกียรติ ต่อมาใช้เป็นคำเรียกครูอาจารย์ ในปัจจุบันคำนี้หมายถึงคุณผู้ชาย
[2] say bye bye
[3] จีนมีความเชื่อเรื่องพลังจักรวาลอันประกอบไปด้วยธาตุ ไม้ ไฟ ดิน โลหะ และน้ำ ตามความเชื่อนี้ ร่างกายมนุษย์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลย่อมต้องมีธาตุทั้งห้าเป็นองค์ประกอบ ในด้านการแพทย์จึงมีการนำเอาหลักธาตุต่างๆ มาใช้อธิบายกลไกการทำงานในร่างกาย
[4] 师父(shīfu) หมายถึง Master อาจเทียบเคียงภาษาไทยได้ว่า “อาจารย์” แต่จะมีลักษณะเฉพาะ คือ เป็นอาจารย์ในลักษณะวิชาชีพ วิทยายุทธ เป็นต้น
[5] ชื่อนางเอกนิยายกำลังภายในชื่อดังเรื่องมังกรหยก
[6] ชื่อในวงการของนางเอกจีนที่สวยน่ารัก ดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา มีชื่อจริงว่า หลิวซีเหมยจื่อ
[7] 菊花เบญจมาศ
[8] 莲花 ดอกบัว
[9] 兰花 ดอกกล้วยไม้
[10] 梅花 ดอกเหมย หรือดอกบ๊วย
อาจูเอนร่างพิงขอบบ่อ ทำตัวประหนึ่งกำลังนอนแช่สระสปา ปล่อยให้ชิ้นส่วนสมุนไพรแห้งทำหน้าที่ต่าง “ตัวอักษรศีลธรรม” ตัวหนังสือตัวโตๆ ที่พวกคนทำหนังสือการ์ตูนในบ้านเมืองอันเคร่งครัดในหลักศีลธรรมจรรยาชอบใช้ปิดทับภาพโป๊อล่างฉ่าง เพื่อลดระดับความโป๊เปลือยให้เหลือแค่ระดับกำลังวาบหวิว ไม่ชวนให้คนอ่านรู้สึกสยิวในอารมณ์เกินพอดีท่ามกลางเสียงน้ำหยดลงกระทบผิวน้ำเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ร่างอ้อนแอ้นในบ่อเหลียวมองเจ้างูเผด็จการที่ขดตัวอยู่ชิดผนังถ้ำ ภาพงูร่างใหญ่ขดตัวนิ่งสนิท แถมยังฟุบหัวลงคล้ายกำลังหลับฝันหวาน มองไม่เห็นลูกตา ทำเอาคนเพิ่งทำสมาธิสร้างจุดศูนย์รวมจักระมาทั้งคืนพลันนึกได้ว่าตัวเองยังไม่ได้นอนอา...ในเมื่องูอย่างเจ้ายังนอนทำท่าเอื่อยเฉื่อยอยู่ได้ทั้งวัน ข้าแอบงีบสักพัก คงไม่เป็นไรกระมัง?ด้วยตรรกะประเภท “เจ้าทำได้ ข้าก็ต้องทำได้” อาจูจึงถือโอกาสแอบงีบในบ่อน้ำ มันเสียเลย มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียง “ครืด” ยาวๆ ดังขึ้นหนึ่งครั้งพอขยี้ตามองหาอาจารย์กำมะลอ ก็ทันเห็นเพียงปลายหางสีดำสนิทเคลื่อนผ่านช่องประตูที่เธอก็เพิ่งจะรู้นี่แหละว่า
หลี่หยางกวาดสายตาคะเนจากมุมสูง ทดลองทิ้งก้อนหินก้อนใหญ่ลงไปแบบเดียวกับหีบไม้เมื่อครู่ เมื่อสังเกตเห็นว่าก้อนหินตกกระทบพุ่มกิ่งไม้ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้พุ่มกิ่งไม้อื่นๆ อีกหลายกิ่ง ก็แตะปลายเท้า ไต่ลงไปยังบริเวณนั้นทันทีบนพุ่มกิ่งไม้ไม่มีร่างลูกศิษย์มากปัญหา แต่ยังมีเศษผ้าจากชายกระโปรงนางติดค้างคากิ่งไม้แห้งๆ กิ่งหนึ่งไม่ผิดแน่...ด้วยเหตุผลบางอย่าง นางพลัดตกลงมาที่นี่ร่างกายนางไม่ได้ติดค้างอยู่บนนี้ ไม่ได้ลอยอยู่ในน้ำ ไม่ได้นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นเย็นชืดด้านล่างเช่นนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือ...นางยังมีชีวิตอยู่แต่เป็นที่ไหน?หลี่หยางดีดปลายเท้าไต่กลับลงไปในหุบเหวอีกครั้งหุบเหวแห่งนี้เป็นสถานที่ปิดตายอย่างแท้จริง แม้กินอาณาเขตกว้างขวางพอใช้ แต่ก็นับเป็นหุบเหวลับที่มีเพียงคนของหุบเขาเดียวดายที่อาจพบเห็น ทั่วทุกทิศไร้ทางออก หากร่วงหล่นลงไปแล้ว เด็กสาวไร้วรยุทธผู้หนึ่งก็มีแต่จะต้องพยายามปีนป่ายกลับขึ้นมาด้วยกำลังของตนเองเท่านั้นวัดจากพละกำลังของร่างกายนั้นและประสบการณ์กา
เหนือหน้าผาสูงชันเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียวอ่อนโปร่งสวย...ร่างในชุดสีน้ำเงินเข้มยืนตระหง่านจ้องมองหีบไม้ใบใหญ่ร่วงลงสู่ก้นเหวลึกสุดหยั่ง สีหน้านิ่งเรียบดูเย็นชา ชวนให้นึกถึงรูปสลักน้ำแข็งพันปีไม่รอจนได้ยินเสียงหีบที่ตนเพิ่งโยนลงไปร่วงลงกระทบผืนน้ำ หลี่หยางดีดปลายเท้ากระโดดลงหน้าผา อาศัยพุ่มไม้และก้อนหินที่ลดหลั่นลงมาเป็นชั้นๆ ช่วยพยุง ทุกการเคลื่อนไหวดูคล่องแคล่ว ราวกับเคยทำแบบนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนไม่นานนัก ร่างสง่างามก็ไต่ลงมาถึงก้นเหวเวลานี้หีบไม้ร่วงลงในน้ำเรียบร้อยแล้วดูเหมือนตอนตกกระแทกผิวน้ำจะรุนแรงเกินไป ฝาหีบจึงเปิดอ้า ปลดปล่อยทองคำจำนวนหนึ่งให้ดำดิ่งลงสู้ก้นสระสีมรกตอย่างอิสระเสรี สระน้ำก้นเหวที่มีคราบตะไคร้ขึ้นตามหินก้นสระจนขับให้น้ำสีใสสะท้อนแสงแดดเปล่งประกายสีเขียว พลันดูคล้ายมีประกายสีทองเรืองรองเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มองแล้วดูคล้ายอัญมณีที่ส่องประกายใต้แสงแดดหลี่หยางเมินเฉยต่อภาพงดงามนั้น สาวเท้าเข้าหาเนินหินใหญ่โตใต้ผาบริเวณที่แสงสีทองจากสระน้ำส่องกระทบ คุกเข่าลงคำนับสามครั้ง ก่อนปลดขวดน้ำเต้าบรรจุสุราสาลี่ที่เอวออกมารินราดรดด้
กระนั้นจ้าวเหว่ยซงก็ไม่คิดว่าบุรุษที่พุ่งทะยานนำหน้าตนจะเป็นผู้คิดอ่านเรียบง่ายเช่นนั้น นอกจากนี้ แม้ตำหนักพันพิษจะเป็นค่ายพรรคมารก็ใช่ว่าจะยินยอมรับงานจากผู้ใดโดยง่าย ยิ่งเรื่องเข้ารับใช้แผ่นดินหนึ่งแผ่นดินใดด้วยแล้ว นับว่าผิดวิสัยพรรคมารอันเย่อหยิ่งที่ก่อร่างสร้างตัวอยู่ในสถานที่ที่รายรอบด้วยทะเลทรายอันแห้งแล้ง ปกครองตนเองเสมือนหนึ่งชนเผ่าอิสระย่อมๆ ชนเผ่าหนึ่งก็ไม่ปานรองแม่ทัพจ้าวสงสัยยิ่งนัก ว่า “กุนซือหวาง” ผู้พุ่งทะยานนำหน้าด้วยแววตามั่นอกมั่นใจถึงเพียงนั้น ไปเอาความเชื่อมั่นเช่นนี้มาจากที่ใดขณะกระโดดข้ามหุบเหวเคียงกัน จ้าวเหว่ยซงอดออกปากถามไม่ได้“กุนซือหวาง...ท่านมีวิธีทำให้ประมุขตำหนักพันพิษยอมช่วยเหลือฝ่ายเราอย่างนั้นรึ?”“เรื่องนั้นยังไม่แน่นอนนัก เพียงแต่ข่าวลือพวกนั้นช่างน่าสนใจยิ่ง” หวางมู่ตอบตามตรงนอกจากข่าวเล่าลือเรื่องลูกศิษย์ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นสตรีของจ้าวหุบเขา กับเรื่องนายน้อยสกุลซุน ยังมีเรื่องที่ประมุขตำหนักพันพิษมาพำนักที่นี่อยู่อีกเรื่องจากข่าวสารที่พวกเขาได้รับ...ก่อนหน้าที่พวกเ
ท่ามกลางความเงียบงัน กุนซือหน้าหยกเอ่ยเสียงไม่ดัง ไม่เบา “จ้าวหุบเขาผู้นั้น ดูจะเร่งรีบเกินไปหน่อยหรือไม่...?” หวางมู่ยกมือจับคางตัวเองเบาๆ “เจ้าว่าคนผู้นั้นรีบร้อนถึงเพียงนั้นเพราะเหตุใด เพราะอยากรีบออกตามหาดรุณีน้อยในข่าวลืออย่างนั้นรึ?”ก่อนหน้านี้ ผู้คนในโรงเตี๊ยมใกล้ลานชุมนุมชาวยุทธไม่ไกลจากหุบเขา ล้วนพูดถึงสตรีเยาว์วัยผู้หนึ่งซึ่งจ้าวหุบเขาเดียวดายประกาศไว้ว่า“หากผู้ใดพบเห็นสตรีเช่นที่กล่าวถึงและพาตัวนางกลับมาส่งโดยปลอดภัย หรือแม้จะมีข่าวสารใดมอบให้แม้เพียงนิด ก็จะมอบรางวัลให้อย่างงาม”เมื่อเข้าไปสอบถามจึงพบว่า แม้จะบรรยายรูปลักษณ์และอุปนิสัยตลอดจนกิริยาอาการของนางละเอียดนัก จ้าวหุบเขาผู้นี้กลับไม่ยอมทิ้งภาพเขียนใบหน้านางเอาไว้สักฉบับแม้ต่อมาจะมีชาวบ้านหาของป่าที่เคยพบหน้านางพยายามชี้แนะศิลปินผู้ผ่านทางให้ทดลองวาดภาพจำลองจากความทรงจำ จ้าวหุบเขารู้เข้า ไม่เพียงไม่รู้สึกขอบคุณยังบุกทำลายภาพเขียนเหล่านั้นและสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดวาดรูปนางทั้งสิ้น ผู้คนจึงได้แต่ส่ายหน้าแล้วพูดกันลับหลังว่า "ท่านจ้าวหุบเขาช่างห
“จ้าวหุบเขาช่างเข้าใจพูดจานัก”“ข้าล้วนคิดใคร่ครวญตามถ้อยคำกุนซือหวางทั้งสิ้น”ฝีปากของจ้าวหุบเขาผู้นี้... รองแม่ทัพเห็นท่าจะไม่ดี รีบเอาตัวเข้าแทรกการสนทนาบรรยากาศตึงมึนนี้อย่างทันท่วงที “ที่จ้าวหุบเขาเอ่ยมานั้นชอบแล้ว เมื่อพิจารณาตามถ้อยคำกุนซือหวาง หุบเขาเดียวดายก็ยากจะนับว่าอยู่ในอาณาจักรหนึ่งอาณาจักรใดจริงๆ” เขาประสานมือคารวะเจ้าของสถานที่ กิริยายิ่งกว่านอบน้อมหากคนอื่นๆ ณ ที่นี่ใบหน้าดำคล้ำเหมือนเปื้อนหมึก สีหน้าท่านรองแม่ทัพในยามนี้ก็ดำคล้ำและแข็งเกร็งราวกับแท่งหมึกเลยทีเดียว“ท่านจ้าวหุบเขา” จ้าวเหว่ยซงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม จริงจัง “บิดาข้านั้นเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านยิ่งนัก ตัวข้าเองที่ได้ยินชื่อเสียงท่านมาร่วมสิบปีก็ศรัทธาในตัวท่านเหลือจะกล่าว หากชาตินี้ไม่อาจร่วมรบก็คงได้แต่เสียใจที่ไร้วาสนา...”“รองแม่ทัพช่างเจรจายิ่งนัก เสียแต่ที่เรื่องการทหารดูจะเหลือบ่ากว่าแรงจนเกินไป อีกทั้งตัวข้ายังไม่มีเวลามากพอจะอยู่ฟัง หากพวกท่านมีธุระเท่านี้ เห็นทีจ้าวหุบเขาเช่นข้าต้องขอตัว&rd







