หลังพูดประโยคนี้ อาจูแทบอยากล้มตัวลงกรี้ดอัดหมอน หรือไม่ก็หลบมุมไปตบเข่าตัวเองสักฉาด
ได้ใจแม่มาก ได้ใจแม่มากกก ทำดีมาก ดีมากๆ ค่ะลูกสาว!
...ในใจกรี้ดกร้าดไป ภายนอกก็แสร้งทำสีหน้าสับสนปนหวั่นไหวเล็กน้อย
เสี่ยวจวี๋ฮวาไม่รอให้ซือฝุตอบรับหรือปฏิเสธ ร่างงดงามใต้แสงจันทร์ยกมือขึ้นปิดปาก พร้อมกับส่งเสียง “อ๊ะ...” ราวกับเพิ่งหลุดพูดสิ่งที่คิด ขณะเดียวกันดวงตาดอกท้อก็เบิกกว้างขึ้นอย่างไร้เดียงสา “ดะ..ดึกมากแล้ว คืนนี้อากาศเย็น ซือฝุโปรดรักษาตัวด้วย” หลังพูดประโยคที่ฟังดูโง่งม ร่างเล็กๆ ก็รีบกอดกระชับตัวเองแน่น แล้วพาร่างอ้อนแอ้นบอบบางวิ่งกลับเรือนพักไปทั้งอย่างนั้น
...
หึหึ...เธอไม่รู้หรอกว่าจ้าวหุบเขาผู้นั้นจะคิดอย่างไร รู้เพียงแต่ตอนนี้เสี่ยวจวี๋ฮวาได้ทำตัวเป็นนางเอกนิยายรักใสใสไปหนึ่งยก ทั้งยังไม่ต้องทนเดินทอดน่องตากลมหนาวไปอีกอย่างต่ำก็ราวๆ สิบห้านาที
สิบห้านาที...สิบห้านาทีเชียวนะ!
อากาศหนาวตั้งขนาดนี้ ขืนเดินทอดน่องตากลมอีกแค่ห้านาทีก็ตัวแข็งเป็นเนื้อไก่ในช่องแช่กันพอดี!
จ้าวหุบเขาเดียวดายมองแผ่นหลังเด็กสาวที่เมื่อครู่ยังเนื้อตัวสั่นเทาหนักราวกับหนาวเหน็บจนขาแข้งแทบแข็งแล้ว ก็เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
เขายังคงก้าวขาเดินต่อไปอย่างไม่เร่งรีบ กว่าจะถึงโถงรับแขกที่เรือนหลักจึงใช้เวลาไปอีกมากกว่าหนึ่งเค่อ
ทันทีที่ร่างในชุดสีขาวสะอาดปรากฏตัวในโถง คนที่นั่งกุมแผลรอมาเกือบหนึ่งชั่วยามก็รีบฝืนลุกขึ้นยืนทั้งที่ใบหน้าดูซีดเซียวคล้ายคนป่วยที่พร้อมจะหมดสติลงทุกเมื่อ
“จ้าวหุบเขา...” แขกหน้าหยกรีบเอ่ยทัก
“นายน้อยซุนยังไม่กลับไปอีกหรือ”
คำถามสั้นๆ จากจ้าวหุบเขา ทำเอาใบหน้าที่ซีดเซียวอยู่แล้วซีดจางลงอีกแปดส่วน ชายชราที่ยืนเยื้องไปเบื้องหลัง “นายน้อยซุน” เห็นดังนั้นจึงก้าวขาออกมาประสานมือคารวะท่านเจ้าบ้าน พร้อมเอ่ย
“จ้าวหุบเขาโปรดเมตตา คุณชายใหญ่นั้นหาได้มีเจตนาร้าย ขอจ้าวหุบเขาได้โปรดละเว้นสักครั้ง...”
แทนที่จะตอบอะไรสักคำ ท่านจ้าวหุบเขาเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ประธานอย่างเชื่องช้า ทุกท่วงท่ากิริยาล้วนเอื่อยเฉื่อยจนผู้คนอึดอัด แต่ไม่มีใครกล้ากล่าวแทรก
เขาวาดมือไปทางกาน้ำชา เพียงเท่านั้นนายน้อยตระกูลซุนก็รีบส่งสายตาไปยังผู้ติดตามรายที่ยืนอยู่ใกล้ปั้นชามากที่สุด
ผู้ติดตามผิวคร้ามแดดในชุดสีดำสนิทดูรัดกุม รีบก้าวขึ้นไปรินน้ำชาให้เจ้าของคฤหาสน์ทันที
จ้าวหุบเขารับถ้วยชาโดยไม่พูดอะไร เขาค่อยๆ หลับตาลง จิบกำซาบความอุ่นร้อนอันหอมหวนอย่างใจเย็น
เมื่อต้องเผชิญกับปฏิกิริยาเช่นนี้ ผู้ที่สูงอายุที่สุดในโถงก็ได้แต่เหลียวมองมือนายน้อยของตนด้วยความหนักใจ...
บาดแผลนายน้อยช่างน่ากลัวนัก เพียงรอยตัดเดียวกลับตัดผ่านเส้นเลือดทำร้ายเส้นเอ็น นี่ก็ผ่านมาหนึ่งชั่วยามแล้ว แต่แม้จะห้ามเลือดอย่างไร เลือดนายน้อยซุนก็ไม่ยอมหยุดไหล ทำได้เพียงใช้ยาห้ามเลือดสูตรของสกุลซุนควบคู่กับการสกัดจุดห้ามเลือดเพื่อยืดเวลาให้คุณชายใหญ่เท่านั้น ไม่ต้องบอกก็เดาได้ว่าจ้าวหุบเขาผู้นี้จะต้องใช้ยาหรือพิษบางอย่างลงไป โลหิตจึงไม่ยอมหยุดไหลเช่นนี้
คนเราจะเสียเลือดในกายได้มากมายเท่าไหร่กัน? หากจ้าวหุบเขายังนิ่งดูดาย ไม่เพียงต้องพิการ เห็นทีคุณชายใหญ่คง...
คิดถึงตรงนี้ ชายชราก็กำหมัดแน่น ประสานมือคารวะอีกครั้ง
“ท่านจ้าวหุบเขา นายน้อยซุนเย่ของพวกเรานั้นนับเป็นความหวังเดียว
ของสกุลซุน ขอจ้าวหุบเขาโปรดเมตตาช่วยต่อเส้นเอ็นและมอบยาแก้พิษโลหิต ไม่แข็งตัวด้วยเถิด หากท่านยอมช่วย แม้ค่ารักษาจะแพงสักปานใด บ่าวผู้นี้ก็จะไปนำมามอบให้ท่าน”จ้าวหุบเขาลดถ้วยชาในมือลงอย่างเชื่องช้า เขาเงยหน้าขึ้นมองชายชราด้วยแววตาคล้ายกำลังมองตัวโง่งมตัวหนึ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ต่างจากก่อนหน้า
“ขอถามพ่อบ้านสกุลซุน...ทั่วทั้งแผ่นดินนี้มีข้าเป็นหมออยู่ผู้เดียวหรือ ไม่สิ อันที่จริงแล้วข้าเชี่ยวชาญเรื่องพิษมากกว่าช่วยชีวิตคนเสียด้วยซ้ำ เขาต้องการหมอ ให้มานั่งรอข้าเช่นนี้จะได้ประโยชน์อันใด” จ้าวหุบเขาเดียวดายเบนสายตาไปยังซุนเย่บ้าง “ตัวท่านเองก็ไม่ใช่เด็กเล็กไม่รู้ความ โดนใบไม้บาดแล้วไยไม่รู้จักไปรักษา คิดจะรั้งอยู่ที่นี่รอตำหนิใบไม้หุบเขาข้าหรือ”
ตำหนิ ใบไม้ หุบเขาข้า!
ซุนเย่และผู้ติดตามทุกคนล้วนมุมปากกระตุกโดยมิได้นัดหมาย
ชะ ชายผู้นี้! เห็นได้ชัดว่าสาเหตุที่ใบไม้คมกริบจนตัดเส้นเลือดและเส้นเอ็นได้นั้นเป็นเพราะเขา เขายังมีหน้ามาพูดจาเรื่อยเจื้อยด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อยราวกับว่าคุณชายใหญ่สำนักคุ้มภัยสกุลซุนอันโด่งดังบาดเจ็บหนักเพราะโดนใบไม้ทำร้าย
ช่างไร้ยางอาย...คนผู้นี้ช่างพูดจาไร้ยางอายได้หน้าตายนัก!
แม้จะคิดตรงกัน แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าโต้แย้งชายผู้สวมเพียงเสื้อตัวในบางๆ เพียงตัวเดียวผู้นี้
จ้าวหุบเขาวางถ้วยชาในมือลงพร้อมกับปรายตามองหนึ่งในกลุ่มผู้ติดตามนายน้อยซุน เขารอให้ผู้ติดตามรายนั้นเติมน้ำชาลงในถ้วยจนเต็ม จึงค่อยเริ่มกล่าวต่อไป
“บ้านมีกฎบ้าน หุบเขามีกฎของหุบเขา ข้าเคยบอกชัดเจนแล้วว่าสิ่งใดทำได้ สิ่งใดทำไม่ได้ คืนนี้นายน้อยซุนคึกคะนองถึงขั้นบุกรุกเข้าในพื้นที่ที่ข้า
ไม่อนุญาต เห็นได้ชัดว่าท่านไม่พร้อมจะทำตามกฎระเบียบของสถานที่ เช่นนี้แล้ว ข้าคงช่วยท่านรักษาอาการโดนใบไม้บาดนั่นไม่ได้”ซุนเย่ระบายลมหายใจอย่างยากลำบาก ร่างที่ดูบอบบางสะโอดสะองดุจสตรีก้มหน้าลงต่ำด้วยความละอาย “หากข้ารู้ว่าท่านไม่ได้อยู่ที่นี่เพียงลำพัง ข้าไหนเลยจะบังอาจกระทำการไม่คิดหน้าคิดหลังถึงเพียงนั้น”
พ่อบ้านสกุลซุนรีบกล่าวเสริม “ถูกแล้ว ถูกแล้ว หากสกุลซุนของพวกเรารู้ว่าท่านจ้าวหุบเขาแต่งภรรยา พวกเรามีหรือจะไม่ส่งของกำนัลมาอวยพร” พ่อบ้านฝืนคลี่ยิ้มงดงาม สว่างไสว “จริงสิ เช่นนั้นเอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้สตรีที่ท่านให้พวกเราจัดหามาในวันนี้ เพื่อใช้ชำระหนี้สินค่าที่พักของพวกเราเหล่าผู้ติดตาม บ่าวผู้นี้จะจัดเปลี่ยนให้เป็นของชั้นเลิศชนิดที่องค์หญิงมองแล้วยังต้องตาพร่า นอกจากนี้ พวกเรายังยินดีมอบไข่มุกราตรีและโสมพันปีที่เพิ่งได้มาให้ฮูหยินใช้ปรุงยาบำรุงโฉม หากยังไม่สมน้ำสมเนื้อกัน ฮูหยินขาดเหลือสิ่งใด ขอเพียงบอกออกมา พวกเราล้วนยินดีจัดหาให้ตามประสงค์”
“จวี๋ฮวาเป็นเพียงลูกศิษย์ที่ข้าเพิ่งรับมาเท่านั้น”
ซุนเย่ได้ยินแล้วก็ยิ่งรู้สึกละอาย
เปลือยกายต่อหน้าสตรีที่แต่งงานแล้วก็ย่ำแย่มากอยู่แล้ว นี่เขาดันเปลือยกายต่อหน้าหญิงพรหมจรรย์ ยังไม่นับอีกว่าเขาลงไปแช่น้ำในบ่อน้ำร้อนเดียวกับนาง หากเรื่องนี้แพร่ออกไป...
คิดได้ดังนั้น นายน้อยสกุลซุนก็รีบยกมือขึ้นคำนับชายที่นั่งโดดเด่นเป็นประธานอยู่เบื้องหน้า
“จ้าวหุบเขา ท่านไม่รักษาข้าไม่เป็นไร แต่คืนนี้ข้าล่วงเกินแม่นางน้อยผู้นั้น หากไม่รังเกียจที่ข้าวรยุทธยังอ่อนด้อยกว่าท่านอยู่มาก ข้า...”
“นางบอกข้าแล้ว ระหว่างท่านกับนางไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นทั้งนั้น” ราวกับว่าเขาจงใจพูดแทรกเพราะไม่ต้องการให้ประโยคแสดงความรับผิดชอบประโยคนั้นหลุดออกมา... “นางสวมเสื้อผ้าครบถ้วนดี มีแต่ท่านที่ทำตัวเองขายหน้า นางเป็นสตรี ท่านเป็นบุรุษ แม้จะเสียหน้าอยู่บ้าง แต่บุรุษเช่นท่านจะสึกหรอสักกี่มากน้อย”
นี่เขา...เขาพูดราวกับนายน้อยซุนต้องการเรียกร้องให้สตรีปริศนาผู้นั้นรับผิดชอบที่เห็นร่างเปลือยของตนอย่างไรอย่างนั้น!
ข้างฝ่ายคู่ศิษย์อาจารย์ในห้องหับมิดชิด...ยามนี้จวี๋ฮวาคล้ายจะเสียขวัญจนลืมตัว นางแทบจะฝังร่างตนเองในอ้อมอกท่านจ้าวหุบเขา หน้าอกหน้าใจหนั่นแน่นบดคลึงแผงอกแกร่งไปถึงไหนต่อไหน สองมือเล็กๆ กอดรัดเขาแน่นด้วยความรักและไว้วางใจสูงสุด ทำราวกับในสายตานาง บุรุษผู้นี้คือที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวบนโลกนี้เธอไม่ค่อยแน่ใจนักว่าท่านจ้าวหุบเขาคิดเห็นเช่นไร เพราะเขาเอาแต่ยืนนิ่งเหมือนตุ๊กตาหน้าหล่อไร้ความรู้สึก...และเพราะเขาไม่มีปฏิกิริยาใดใด ไม่แม้แต่จะแข็งขืนหรือผลักไส ต่อให้อยากซุกไซ้แผงอกกรุ่นกลิ่นหอมดิบเถื่อนแปลกประหลาดที่ตัวเองเคยสักแต่เขียนบรรยายลงในนิยายทั้งๆ ที่ไม่เคยสัมผัสและไม่คาดคิดว่าจะมีอยู่จริงสักแค่ไหน นักเขียนสายมโนอย่างเธอก็ยังอดตะขิดตะขวงใจขึ้นมาไม่ได้อะ...ไอ้ความรู้สึกเหมือนว่าเป็นสีกาชั่วกำลังยั่วยวนพระตบะสูงแบบนี้มันคืออะไร?มีใครสักคนเคยบอกไว้ คนเราต้องไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงในสถานการณ์ที่ตัวเองไม่ได้เป็นผู้ควบคุม เพราะฉะนั้น...ก่อนที่ตัวเองจะทำอะไรไม่ถูกเพราะปฏิกิริยาเหนือความคาดหมายนี้ อาจูรีบดันตัวเองออกจากแผงอกอุ่นด้วยสีหน้าตกใจระคนสับสน เมื่อดวงตาคู่งามที่เต็มไปด้วยอารมณ์วาบ
เมื่อเทียบกับท่านจ้าวหุบเขาผู้ดูจะมีความสุขกับการเดินทอดน่องชมทิวทัศน์ยามค่ำแล้ว คนที่ใส่เกียร์โกยแน่บหนีความหนาวเหน็บกลับเรือนพักอย่างอาจูย่อมกลับมาถึงเร็วกว่าเขาเป็นเท่าตัว ทันทีที่กลับมาถึง อาจูก็ต้องตื่นตาตื่นใจเพราะหีบบรรจุเสื้อผ้าแพรพรรณชั้นดีและข้าวของเครื่องใช้สตรีแบบโบราณของแท้และดั้งเดิมที่วางเรียงกันอยู่บนลานเล็กๆ ด้านหน้าเรือนพัก เมื่อใช้สมองของศีรษะอันน่ารักจิ้มลิ้มชั่งตวงวัดแล้วเห็นว่าที่นี่ไม่มีสตรีอื่นใดนอกจากจวี๋ฮวา มิหนำซ้ำที่แห่งนี้ยังเป็นเรือนพักของนาง เจ้าของเรือนก็รีบกุลีกุจอขนถ่ายหีบ “สมบัติ” ทั้งสามใบเข้าไปเก็บในเรือนนอน อาการเหน็ดเหนื่อยปวดเมื่อยแขน ขา และเอวทั้งหลาย คล้ายจะหายไปชั่วขณะหลังจัดเก็บทุกอย่างไว้ที่มุมห้อง คนเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองกำลังหนาวก็รีบออกไปจุดไฟใส่กระถางไฟใบเล็กอันสะดวกแก่การขนย้าย แล้วค่อยๆ ยกมันเข้ามา จากนั้นก็เปลี่ยนมาสวมชุดผ้าไหมเนื้อดีสีเหลืองนวลซึ่งสุ่มหยิบมาจากบรรดาเสื้อผ้าสตรีหลากสีสันในหีบ โดยไม่ลืมเอาเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มของท่านจ้าวหุบเขาและเสื้อผ้าชุดเก่าของตัวเองไปตากไว้ที่ราวไม้เพื่อป้องกันกลิ่นอับชื้นที่ยากจะกำจัด
“ทั้งข้าและศิษย์ต่างเป็นผู้ฝักใฝ่ความเงียบสงบ ไม่สันทัดการรับรองผู้คน อาจจะดูเสียมารยาท ทว่ารังมุสิก[1]เล็กจ้อยไม่อาจรองรับคนร่างใหญ่ พวกท่านรีบออกจากหุบเขาเสียจะดีกว่า ยิ่งดึกลมแรง ข้ามหุบเหวตอนลมแรงนับเป็นเรื่องอันตราย อาจมีผู้ใดพลัดตกลงไปได้ทุกเมื่อ” จ้าวหุบเขาเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง น้ำเสียงก็ยังราบเรียบดุจเดิม ทั้งอย่างนั้น คนฟังต่างเย็นวาบไปทั้งศีรษะ ยิ่งนึกถึงภาพใบไม้ในก้อนหิน ในอกก็ยิ่งสั่นสะท้านนะ...นี่...นี่เขาเพิ่งขู่จะฆ่าทุกคนใช่หรือไม่!พ่อบ้านสกุลซุนกำหมัดแน่นขึ้นอีก“ท่านจ้าวหุบเขา แต่ว่ามือของนายน้อย...”“พ่อบ้านสกุลซุน ท่านช่างไม่รู้จักเกรงใจเสียเลย ท่านคิดว่าตอนนี้ล่วงเข้ายามใดแล้ว” จ้าวหุบเขาหยิบขวดใบจ้อยทรงรีเรียวออกมา แล้วซัดฝ่ามือเบาๆ เข้าใส่ ส่งมันเข้าสู่อุ้งมือพ่อบ้านชรา “เห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับประมุขซุน ข้าจะช่วยดูมือนั่นให้”พ่อบ้านชรารีบโค้งตัวคำนับเป็นการใหญ่ จวบจนจ้าวหุบเขาโบกมือปราม เขาจึงยอมหยุดกิริยานั้น“ให้เขากินยานั่นก่อน อีกไม่เกินสองเค่อ รอข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยดีแล้วจะช่วยต่อเส้นเลือดและเส้นเอ็นให้ ส่วนค่ารักษา...”“หนึ่งหมื่นตำลึงทอ
หลังพูดประโยคนี้ อาจูแทบอยากล้มตัวลงกรี้ดอัดหมอน หรือไม่ก็หลบมุมไปตบเข่าตัวเองสักฉาดได้ใจแม่มาก ได้ใจแม่มากกก ทำดีมาก ดีมากๆ ค่ะลูกสาว!...ในใจกรี้ดกร้าดไป ภายนอกก็แสร้งทำสีหน้าสับสนปนหวั่นไหวเล็กน้อยเสี่ยวจวี๋ฮวาไม่รอให้ซือฝุตอบรับหรือปฏิเสธ ร่างงดงามใต้แสงจันทร์ยกมือขึ้นปิดปาก พร้อมกับส่งเสียง “อ๊ะ...” ราวกับเพิ่งหลุดพูดสิ่งที่คิด ขณะเดียวกันดวงตาดอกท้อก็เบิกกว้างขึ้นอย่างไร้เดียงสา “ดะ..ดึกมากแล้ว คืนนี้อากาศเย็น ซือฝุโปรดรักษาตัวด้วย” หลังพูดประโยคที่ฟังดูโง่งม ร่างเล็กๆ ก็รีบกอดกระชับตัวเองแน่น แล้วพาร่างอ้อนแอ้นบอบบางวิ่งกลับเรือนพักไปทั้งอย่างนั้น...หึหึ...เธอไม่รู้หรอกว่าจ้าวหุบเขาผู้นั้นจะคิดอย่างไร รู้เพียงแต่ตอนนี้เสี่ยวจวี๋ฮวาได้ทำตัวเป็นนางเอกนิยายรักใสใสไปหนึ่งยก ทั้งยังไม่ต้องทนเดินทอดน่องตากลมหนาวไปอีกอย่างต่ำก็ราวๆ สิบห้านาทีสิบห้านาที...สิบห้านาทีเชียวนะ!อากาศหนาวตั้งขนาดนี้ ขืนเดินทอดน่องตากลมอีกแค่ห้านาทีก็ตัวแข็งเป็นเนื้อไก่ในช่องแช่กันพอดี! จ้าวหุบเขาเดียวดายมองแผ่นหลังเด็กสาวที่เมื่อครู่ยังเนื้อตัวสั่นเทาหนักราวกับหนาวเหน็บจนขาแข้งแทบแข็งแล้ว ก็เลิกคิ้วขึ
จ้าวหุบเขาเคยกำชับให้เธอลงมาแช่น้ำร้อนวันละสองเวลาเพื่อปรับสมดุลร่างกายตามเวลาที่กำหนดให้อย่างเคร่งครัด เธอก็ทำตามมาโดยตลอด แต่หลังจากทำงานหนักมาสามวันเต็ม เย็นวันนี้เธอจึงเปลี่ยนแผน เพราะอยากจะแช่น้ำอุ่นๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อก่อนเข้านอน มากกว่าเข้านอนโดยมีกลิ่นอาหารและกลิ่นควันไฟติดเส้นผมแย่แล้ว...คนอาบน้ำผิดเวลาแถมยังแช่น้ำนานนับครึ่งชั่วยามอยากจะร้องเตือน แต่เมื่อหันไปเห็นว่าผู้ชายที่แก้ผ้าแก้ผ่อนลงมาแช่น้ำร้อนชนิดไม่ดูตาม้าตาเรือไม่ใช่ท่านจ้าวหุบเขา ใบหน้าขาวผ่องก็ซีดลงอีกสามระดับไอ้ตี๋ร่างเล็ก หน้าหวาน แต่ท่าทางดูกวนประสาท แถมยังเอาแต่หัวเราะหึหึเป็นบ้าเป็นบออยู่คนเดียวคนนี้เป็นใคร!!!อาจูซ่อนตัวนิ่งสนิทโดยสัญชาตญาณ ในใจได้แต่นึกขอบคุณตัวเองที่ยังหน้าบางเกินกว่าจะแก้ผ้าแก้ผ่อนลงแช่น้ำร้อนกลางแจ้ง ก็เลยว่ายเข้ามาหลบมุมอาบน้ำหลังซอกหินแบบนี้ขณะอาจูกำลังคิดว่าจะเอายังไงดี ไอ้ตี๋ที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนคนนั้นก็กางแขนกางขาถูเนื้อถูตัวอย่างน่าเกลียด ทำเอาคนที่คิดว่าตัวเองหน้าหนามากแล้วถึงขั้นอยากยอบกายคารวะอี๋...ร่างเด็กหนุ่มเพิ่งโตผอมแห้งพรรค์นี้น่าดูตรงไหนกันอะ...อนาจาร...นี่มัน
หากสามวันแรกหลังจากตื่นขึ้นมาในหุบเขา เหมือนได้ขึ้นสวรรค์ ตลอดสามวันที่ผ่านมานี้ก็ยิ่งกว่าตกนรก ไอ้จ้าวหุบเขาโฉดจิตใจโหดเหี้ยมนั่นไม่อ่อนข้อให้เธอสักนิด! นับตั้งแต่โดนบรรดาไก่ตัวผู้ที่น่าจับมาต้มน้ำแกงให้หมดแข่งกันโก่งคอขันปลุก อาจูต้องรีบลุกขึ้นมาติดเตาไฟต้มน้ำอุ่นเตรียมไว้ให้เขาล้างหน้า ระหว่างรอน้ำเดือดก็ต้องรีบหอบสังขารไปอาบน้ำที่บ่อน้ำร้อนธรรมชาติท้ายหุบเขา จากนั้นก็ต้องรีบกลับมายกน้ำอุ่นไปให้เขาที่ห้อง โดยต้องไม่ลืมช่วยตระเตรียมเสื้อผ้าให้ด้วยอีกหนึ่งชุดเมื่อไปถึงที่นั่น หลังจากจัดวางอ่างล้างหน้า ผ้าสะอาดสำหรับเช็ดหน้าและมือ รวมทั้งเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้แล้ว เธอจะต้องรีบชงชาและติดเตาเล็กไว้รอท่า เผื่อว่าชาเย็นลงเมื่อไหร่จะได้พร้อมอุ่นกาให้เขาทุกเมื่อ แล้วหลังจากนั้นก็ต้องรีบกลับมาที่เรือนทิศใต้เพื่อหุงข้าวและปรุงอาหารสุกใหม่จำนวนสามชนิดนี่เป็นเพียงแค่รายการ “สิ่งที่ต้องทำ” ในช่วงเช้าเท่านั้น ยังไม่นับว่าหลังจากที่เขากินอาหารเสร็จดีแล้ว เธอยังต้องไปเก็บจานชามมาล้าง โดยก่อนจากมาต้องไม่ลืมตรวจสอบกาน้ำชาว่ามีชาอุ่นร้อนอยู่เต็มกาหรือไม่ กว่าจะทำงานของช่วงเช้าค