LOGINหลังพูดประโยคนี้ อาจูแทบอยากล้มตัวลงกรี้ดอัดหมอน หรือไม่ก็หลบมุมไปตบเข่าตัวเองสักฉาด
ได้ใจแม่มาก ได้ใจแม่มากกก ทำดีมาก ดีมากๆ ค่ะลูกสาว!
...ในใจกรี้ดกร้าดไป ภายนอกก็แสร้งทำสีหน้าสับสนปนหวั่นไหวเล็กน้อย
เสี่ยวจวี๋ฮวาไม่รอให้ซือฝุตอบรับหรือปฏิเสธ ร่างงดงามใต้แสงจันทร์ยกมือขึ้นปิดปาก พร้อมกับส่งเสียง “อ๊ะ...” ราวกับเพิ่งหลุดพูดสิ่งที่คิด ขณะเดียวกันดวงตาดอกท้อก็เบิกกว้างขึ้นอย่างไร้เดียงสา “ดะ..ดึกมากแล้ว คืนนี้อากาศเย็น ซือฝุโปรดรักษาตัวด้วย” หลังพูดประโยคที่ฟังดูโง่งม ร่างเล็กๆ ก็รีบกอดกระชับตัวเองแน่น แล้วพาร่างอ้อนแอ้นบอบบางวิ่งกลับเรือนพักไปทั้งอย่างนั้น
...
หึหึ...เธอไม่รู้หรอกว่าจ้าวหุบเขาผู้นั้นจะคิดอย่างไร รู้เพียงแต่ตอนนี้เสี่ยวจวี๋ฮวาได้ทำตัวเป็นนางเอกนิยายรักใสใสไปหนึ่งยก ทั้งยังไม่ต้องทนเดินทอดน่องตากลมหนาวไปอีกอย่างต่ำก็ราวๆ สิบห้านาที
สิบห้านาที...สิบห้านาทีเชียวนะ!
อากาศหนาวตั้งขนาดนี้ ขืนเดินทอดน่องตากลมอีกแค่ห้านาทีก็ตัวแข็งเป็นเนื้อไก่ในช่องแช่กันพอดี!
จ้าวหุบเขาเดียวดายมองแผ่นหลังเด็กสาวที่เมื่อครู่ยังเนื้อตัวสั่นเทาหนักราวกับหนาวเหน็บจนขาแข้งแทบแข็งแล้ว ก็เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
เขายังคงก้าวขาเดินต่อไปอย่างไม่เร่งรีบ กว่าจะถึงโถงรับแขกที่เรือนหลักจึงใช้เวลาไปอีกมากกว่าหนึ่งเค่อ
ทันทีที่ร่างในชุดสีขาวสะอาดปรากฏตัวในโถง คนที่นั่งกุมแผลรอมาเกือบหนึ่งชั่วยามก็รีบฝืนลุกขึ้นยืนทั้งที่ใบหน้าดูซีดเซียวคล้ายคนป่วยที่พร้อมจะหมดสติลงทุกเมื่อ
“จ้าวหุบเขา...” แขกหน้าหยกรีบเอ่ยทัก
“นายน้อยซุนยังไม่กลับไปอีกหรือ”
คำถามสั้นๆ จากจ้าวหุบเขา ทำเอาใบหน้าที่ซีดเซียวอยู่แล้วซีดจางลงอีกแปดส่วน ชายชราที่ยืนเยื้องไปเบื้องหลัง “นายน้อยซุน” เห็นดังนั้นจึงก้าวขาออกมาประสานมือคารวะท่านเจ้าบ้าน พร้อมเอ่ย
“จ้าวหุบเขาโปรดเมตตา คุณชายใหญ่นั้นหาได้มีเจตนาร้าย ขอจ้าวหุบเขาได้โปรดละเว้นสักครั้ง...”
แทนที่จะตอบอะไรสักคำ ท่านจ้าวหุบเขาเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ประธานอย่างเชื่องช้า ทุกท่วงท่ากิริยาล้วนเอื่อยเฉื่อยจนผู้คนอึดอัด แต่ไม่มีใครกล้ากล่าวแทรก
เขาวาดมือไปทางกาน้ำชา เพียงเท่านั้นนายน้อยตระกูลซุนก็รีบส่งสายตาไปยังผู้ติดตามรายที่ยืนอยู่ใกล้ปั้นชามากที่สุด
ผู้ติดตามผิวคร้ามแดดในชุดสีดำสนิทดูรัดกุม รีบก้าวขึ้นไปรินน้ำชาให้เจ้าของคฤหาสน์ทันที
จ้าวหุบเขารับถ้วยชาโดยไม่พูดอะไร เขาค่อยๆ หลับตาลง จิบกำซาบความอุ่นร้อนอันหอมหวนอย่างใจเย็น
เมื่อต้องเผชิญกับปฏิกิริยาเช่นนี้ ผู้ที่สูงอายุที่สุดในโถงก็ได้แต่เหลียวมองมือนายน้อยของตนด้วยความหนักใจ...
บาดแผลนายน้อยช่างน่ากลัวนัก เพียงรอยตัดเดียวกลับตัดผ่านเส้นเลือดทำร้ายเส้นเอ็น นี่ก็ผ่านมาหนึ่งชั่วยามแล้ว แต่แม้จะห้ามเลือดอย่างไร เลือดนายน้อยซุนก็ไม่ยอมหยุดไหล ทำได้เพียงใช้ยาห้ามเลือดสูตรของสกุลซุนควบคู่กับการสกัดจุดห้ามเลือดเพื่อยืดเวลาให้คุณชายใหญ่เท่านั้น ไม่ต้องบอกก็เดาได้ว่าจ้าวหุบเขาผู้นี้จะต้องใช้ยาหรือพิษบางอย่างลงไป โลหิตจึงไม่ยอมหยุดไหลเช่นนี้
คนเราจะเสียเลือดในกายได้มากมายเท่าไหร่กัน? หากจ้าวหุบเขายังนิ่งดูดาย ไม่เพียงต้องพิการ เห็นทีคุณชายใหญ่คง...
คิดถึงตรงนี้ ชายชราก็กำหมัดแน่น ประสานมือคารวะอีกครั้ง
“ท่านจ้าวหุบเขา นายน้อยซุนเย่ของพวกเรานั้นนับเป็นความหวังเดียว
ของสกุลซุน ขอจ้าวหุบเขาโปรดเมตตาช่วยต่อเส้นเอ็นและมอบยาแก้พิษโลหิต ไม่แข็งตัวด้วยเถิด หากท่านยอมช่วย แม้ค่ารักษาจะแพงสักปานใด บ่าวผู้นี้ก็จะไปนำมามอบให้ท่าน”จ้าวหุบเขาลดถ้วยชาในมือลงอย่างเชื่องช้า เขาเงยหน้าขึ้นมองชายชราด้วยแววตาคล้ายกำลังมองตัวโง่งมตัวหนึ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ต่างจากก่อนหน้า
“ขอถามพ่อบ้านสกุลซุน...ทั่วทั้งแผ่นดินนี้มีข้าเป็นหมออยู่ผู้เดียวหรือ ไม่สิ อันที่จริงแล้วข้าเชี่ยวชาญเรื่องพิษมากกว่าช่วยชีวิตคนเสียด้วยซ้ำ เขาต้องการหมอ ให้มานั่งรอข้าเช่นนี้จะได้ประโยชน์อันใด” จ้าวหุบเขาเดียวดายเบนสายตาไปยังซุนเย่บ้าง “ตัวท่านเองก็ไม่ใช่เด็กเล็กไม่รู้ความ โดนใบไม้บาดแล้วไยไม่รู้จักไปรักษา คิดจะรั้งอยู่ที่นี่รอตำหนิใบไม้หุบเขาข้าหรือ”
ตำหนิ ใบไม้ หุบเขาข้า!
ซุนเย่และผู้ติดตามทุกคนล้วนมุมปากกระตุกโดยมิได้นัดหมาย
ชะ ชายผู้นี้! เห็นได้ชัดว่าสาเหตุที่ใบไม้คมกริบจนตัดเส้นเลือดและเส้นเอ็นได้นั้นเป็นเพราะเขา เขายังมีหน้ามาพูดจาเรื่อยเจื้อยด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อยราวกับว่าคุณชายใหญ่สำนักคุ้มภัยสกุลซุนอันโด่งดังบาดเจ็บหนักเพราะโดนใบไม้ทำร้าย
ช่างไร้ยางอาย...คนผู้นี้ช่างพูดจาไร้ยางอายได้หน้าตายนัก!
แม้จะคิดตรงกัน แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าโต้แย้งชายผู้สวมเพียงเสื้อตัวในบางๆ เพียงตัวเดียวผู้นี้
จ้าวหุบเขาวางถ้วยชาในมือลงพร้อมกับปรายตามองหนึ่งในกลุ่มผู้ติดตามนายน้อยซุน เขารอให้ผู้ติดตามรายนั้นเติมน้ำชาลงในถ้วยจนเต็ม จึงค่อยเริ่มกล่าวต่อไป
“บ้านมีกฎบ้าน หุบเขามีกฎของหุบเขา ข้าเคยบอกชัดเจนแล้วว่าสิ่งใดทำได้ สิ่งใดทำไม่ได้ คืนนี้นายน้อยซุนคึกคะนองถึงขั้นบุกรุกเข้าในพื้นที่ที่ข้า
ไม่อนุญาต เห็นได้ชัดว่าท่านไม่พร้อมจะทำตามกฎระเบียบของสถานที่ เช่นนี้แล้ว ข้าคงช่วยท่านรักษาอาการโดนใบไม้บาดนั่นไม่ได้”ซุนเย่ระบายลมหายใจอย่างยากลำบาก ร่างที่ดูบอบบางสะโอดสะองดุจสตรีก้มหน้าลงต่ำด้วยความละอาย “หากข้ารู้ว่าท่านไม่ได้อยู่ที่นี่เพียงลำพัง ข้าไหนเลยจะบังอาจกระทำการไม่คิดหน้าคิดหลังถึงเพียงนั้น”
พ่อบ้านสกุลซุนรีบกล่าวเสริม “ถูกแล้ว ถูกแล้ว หากสกุลซุนของพวกเรารู้ว่าท่านจ้าวหุบเขาแต่งภรรยา พวกเรามีหรือจะไม่ส่งของกำนัลมาอวยพร” พ่อบ้านฝืนคลี่ยิ้มงดงาม สว่างไสว “จริงสิ เช่นนั้นเอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้สตรีที่ท่านให้พวกเราจัดหามาในวันนี้ เพื่อใช้ชำระหนี้สินค่าที่พักของพวกเราเหล่าผู้ติดตาม บ่าวผู้นี้จะจัดเปลี่ยนให้เป็นของชั้นเลิศชนิดที่องค์หญิงมองแล้วยังต้องตาพร่า นอกจากนี้ พวกเรายังยินดีมอบไข่มุกราตรีและโสมพันปีที่เพิ่งได้มาให้ฮูหยินใช้ปรุงยาบำรุงโฉม หากยังไม่สมน้ำสมเนื้อกัน ฮูหยินขาดเหลือสิ่งใด ขอเพียงบอกออกมา พวกเราล้วนยินดีจัดหาให้ตามประสงค์”
“จวี๋ฮวาเป็นเพียงลูกศิษย์ที่ข้าเพิ่งรับมาเท่านั้น”
ซุนเย่ได้ยินแล้วก็ยิ่งรู้สึกละอาย
เปลือยกายต่อหน้าสตรีที่แต่งงานแล้วก็ย่ำแย่มากอยู่แล้ว นี่เขาดันเปลือยกายต่อหน้าหญิงพรหมจรรย์ ยังไม่นับอีกว่าเขาลงไปแช่น้ำในบ่อน้ำร้อนเดียวกับนาง หากเรื่องนี้แพร่ออกไป...
คิดได้ดังนั้น นายน้อยสกุลซุนก็รีบยกมือขึ้นคำนับชายที่นั่งโดดเด่นเป็นประธานอยู่เบื้องหน้า
“จ้าวหุบเขา ท่านไม่รักษาข้าไม่เป็นไร แต่คืนนี้ข้าล่วงเกินแม่นางน้อยผู้นั้น หากไม่รังเกียจที่ข้าวรยุทธยังอ่อนด้อยกว่าท่านอยู่มาก ข้า...”
“นางบอกข้าแล้ว ระหว่างท่านกับนางไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นทั้งนั้น” ราวกับว่าเขาจงใจพูดแทรกเพราะไม่ต้องการให้ประโยคแสดงความรับผิดชอบประโยคนั้นหลุดออกมา... “นางสวมเสื้อผ้าครบถ้วนดี มีแต่ท่านที่ทำตัวเองขายหน้า นางเป็นสตรี ท่านเป็นบุรุษ แม้จะเสียหน้าอยู่บ้าง แต่บุรุษเช่นท่านจะสึกหรอสักกี่มากน้อย”
นี่เขา...เขาพูดราวกับนายน้อยซุนต้องการเรียกร้องให้สตรีปริศนาผู้นั้นรับผิดชอบที่เห็นร่างเปลือยของตนอย่างไรอย่างนั้น!
อาจูเอนร่างพิงขอบบ่อ ทำตัวประหนึ่งกำลังนอนแช่สระสปา ปล่อยให้ชิ้นส่วนสมุนไพรแห้งทำหน้าที่ต่าง “ตัวอักษรศีลธรรม” ตัวหนังสือตัวโตๆ ที่พวกคนทำหนังสือการ์ตูนในบ้านเมืองอันเคร่งครัดในหลักศีลธรรมจรรยาชอบใช้ปิดทับภาพโป๊อล่างฉ่าง เพื่อลดระดับความโป๊เปลือยให้เหลือแค่ระดับกำลังวาบหวิว ไม่ชวนให้คนอ่านรู้สึกสยิวในอารมณ์เกินพอดีท่ามกลางเสียงน้ำหยดลงกระทบผิวน้ำเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ร่างอ้อนแอ้นในบ่อเหลียวมองเจ้างูเผด็จการที่ขดตัวอยู่ชิดผนังถ้ำ ภาพงูร่างใหญ่ขดตัวนิ่งสนิท แถมยังฟุบหัวลงคล้ายกำลังหลับฝันหวาน มองไม่เห็นลูกตา ทำเอาคนเพิ่งทำสมาธิสร้างจุดศูนย์รวมจักระมาทั้งคืนพลันนึกได้ว่าตัวเองยังไม่ได้นอนอา...ในเมื่องูอย่างเจ้ายังนอนทำท่าเอื่อยเฉื่อยอยู่ได้ทั้งวัน ข้าแอบงีบสักพัก คงไม่เป็นไรกระมัง?ด้วยตรรกะประเภท “เจ้าทำได้ ข้าก็ต้องทำได้” อาจูจึงถือโอกาสแอบงีบในบ่อน้ำ มันเสียเลย มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียง “ครืด” ยาวๆ ดังขึ้นหนึ่งครั้งพอขยี้ตามองหาอาจารย์กำมะลอ ก็ทันเห็นเพียงปลายหางสีดำสนิทเคลื่อนผ่านช่องประตูที่เธอก็เพิ่งจะรู้นี่แหละว่า
หลี่หยางกวาดสายตาคะเนจากมุมสูง ทดลองทิ้งก้อนหินก้อนใหญ่ลงไปแบบเดียวกับหีบไม้เมื่อครู่ เมื่อสังเกตเห็นว่าก้อนหินตกกระทบพุ่มกิ่งไม้ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้พุ่มกิ่งไม้อื่นๆ อีกหลายกิ่ง ก็แตะปลายเท้า ไต่ลงไปยังบริเวณนั้นทันทีบนพุ่มกิ่งไม้ไม่มีร่างลูกศิษย์มากปัญหา แต่ยังมีเศษผ้าจากชายกระโปรงนางติดค้างคากิ่งไม้แห้งๆ กิ่งหนึ่งไม่ผิดแน่...ด้วยเหตุผลบางอย่าง นางพลัดตกลงมาที่นี่ร่างกายนางไม่ได้ติดค้างอยู่บนนี้ ไม่ได้ลอยอยู่ในน้ำ ไม่ได้นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นเย็นชืดด้านล่างเช่นนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือ...นางยังมีชีวิตอยู่แต่เป็นที่ไหน?หลี่หยางดีดปลายเท้าไต่กลับลงไปในหุบเหวอีกครั้งหุบเหวแห่งนี้เป็นสถานที่ปิดตายอย่างแท้จริง แม้กินอาณาเขตกว้างขวางพอใช้ แต่ก็นับเป็นหุบเหวลับที่มีเพียงคนของหุบเขาเดียวดายที่อาจพบเห็น ทั่วทุกทิศไร้ทางออก หากร่วงหล่นลงไปแล้ว เด็กสาวไร้วรยุทธผู้หนึ่งก็มีแต่จะต้องพยายามปีนป่ายกลับขึ้นมาด้วยกำลังของตนเองเท่านั้นวัดจากพละกำลังของร่างกายนั้นและประสบการณ์กา
เหนือหน้าผาสูงชันเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียวอ่อนโปร่งสวย...ร่างในชุดสีน้ำเงินเข้มยืนตระหง่านจ้องมองหีบไม้ใบใหญ่ร่วงลงสู่ก้นเหวลึกสุดหยั่ง สีหน้านิ่งเรียบดูเย็นชา ชวนให้นึกถึงรูปสลักน้ำแข็งพันปีไม่รอจนได้ยินเสียงหีบที่ตนเพิ่งโยนลงไปร่วงลงกระทบผืนน้ำ หลี่หยางดีดปลายเท้ากระโดดลงหน้าผา อาศัยพุ่มไม้และก้อนหินที่ลดหลั่นลงมาเป็นชั้นๆ ช่วยพยุง ทุกการเคลื่อนไหวดูคล่องแคล่ว ราวกับเคยทำแบบนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนไม่นานนัก ร่างสง่างามก็ไต่ลงมาถึงก้นเหวเวลานี้หีบไม้ร่วงลงในน้ำเรียบร้อยแล้วดูเหมือนตอนตกกระแทกผิวน้ำจะรุนแรงเกินไป ฝาหีบจึงเปิดอ้า ปลดปล่อยทองคำจำนวนหนึ่งให้ดำดิ่งลงสู้ก้นสระสีมรกตอย่างอิสระเสรี สระน้ำก้นเหวที่มีคราบตะไคร้ขึ้นตามหินก้นสระจนขับให้น้ำสีใสสะท้อนแสงแดดเปล่งประกายสีเขียว พลันดูคล้ายมีประกายสีทองเรืองรองเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มองแล้วดูคล้ายอัญมณีที่ส่องประกายใต้แสงแดดหลี่หยางเมินเฉยต่อภาพงดงามนั้น สาวเท้าเข้าหาเนินหินใหญ่โตใต้ผาบริเวณที่แสงสีทองจากสระน้ำส่องกระทบ คุกเข่าลงคำนับสามครั้ง ก่อนปลดขวดน้ำเต้าบรรจุสุราสาลี่ที่เอวออกมารินราดรดด้
กระนั้นจ้าวเหว่ยซงก็ไม่คิดว่าบุรุษที่พุ่งทะยานนำหน้าตนจะเป็นผู้คิดอ่านเรียบง่ายเช่นนั้น นอกจากนี้ แม้ตำหนักพันพิษจะเป็นค่ายพรรคมารก็ใช่ว่าจะยินยอมรับงานจากผู้ใดโดยง่าย ยิ่งเรื่องเข้ารับใช้แผ่นดินหนึ่งแผ่นดินใดด้วยแล้ว นับว่าผิดวิสัยพรรคมารอันเย่อหยิ่งที่ก่อร่างสร้างตัวอยู่ในสถานที่ที่รายรอบด้วยทะเลทรายอันแห้งแล้ง ปกครองตนเองเสมือนหนึ่งชนเผ่าอิสระย่อมๆ ชนเผ่าหนึ่งก็ไม่ปานรองแม่ทัพจ้าวสงสัยยิ่งนัก ว่า “กุนซือหวาง” ผู้พุ่งทะยานนำหน้าด้วยแววตามั่นอกมั่นใจถึงเพียงนั้น ไปเอาความเชื่อมั่นเช่นนี้มาจากที่ใดขณะกระโดดข้ามหุบเหวเคียงกัน จ้าวเหว่ยซงอดออกปากถามไม่ได้“กุนซือหวาง...ท่านมีวิธีทำให้ประมุขตำหนักพันพิษยอมช่วยเหลือฝ่ายเราอย่างนั้นรึ?”“เรื่องนั้นยังไม่แน่นอนนัก เพียงแต่ข่าวลือพวกนั้นช่างน่าสนใจยิ่ง” หวางมู่ตอบตามตรงนอกจากข่าวเล่าลือเรื่องลูกศิษย์ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นสตรีของจ้าวหุบเขา กับเรื่องนายน้อยสกุลซุน ยังมีเรื่องที่ประมุขตำหนักพันพิษมาพำนักที่นี่อยู่อีกเรื่องจากข่าวสารที่พวกเขาได้รับ...ก่อนหน้าที่พวกเ
ท่ามกลางความเงียบงัน กุนซือหน้าหยกเอ่ยเสียงไม่ดัง ไม่เบา “จ้าวหุบเขาผู้นั้น ดูจะเร่งรีบเกินไปหน่อยหรือไม่...?” หวางมู่ยกมือจับคางตัวเองเบาๆ “เจ้าว่าคนผู้นั้นรีบร้อนถึงเพียงนั้นเพราะเหตุใด เพราะอยากรีบออกตามหาดรุณีน้อยในข่าวลืออย่างนั้นรึ?”ก่อนหน้านี้ ผู้คนในโรงเตี๊ยมใกล้ลานชุมนุมชาวยุทธไม่ไกลจากหุบเขา ล้วนพูดถึงสตรีเยาว์วัยผู้หนึ่งซึ่งจ้าวหุบเขาเดียวดายประกาศไว้ว่า“หากผู้ใดพบเห็นสตรีเช่นที่กล่าวถึงและพาตัวนางกลับมาส่งโดยปลอดภัย หรือแม้จะมีข่าวสารใดมอบให้แม้เพียงนิด ก็จะมอบรางวัลให้อย่างงาม”เมื่อเข้าไปสอบถามจึงพบว่า แม้จะบรรยายรูปลักษณ์และอุปนิสัยตลอดจนกิริยาอาการของนางละเอียดนัก จ้าวหุบเขาผู้นี้กลับไม่ยอมทิ้งภาพเขียนใบหน้านางเอาไว้สักฉบับแม้ต่อมาจะมีชาวบ้านหาของป่าที่เคยพบหน้านางพยายามชี้แนะศิลปินผู้ผ่านทางให้ทดลองวาดภาพจำลองจากความทรงจำ จ้าวหุบเขารู้เข้า ไม่เพียงไม่รู้สึกขอบคุณยังบุกทำลายภาพเขียนเหล่านั้นและสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดวาดรูปนางทั้งสิ้น ผู้คนจึงได้แต่ส่ายหน้าแล้วพูดกันลับหลังว่า "ท่านจ้าวหุบเขาช่างห
“จ้าวหุบเขาช่างเข้าใจพูดจานัก”“ข้าล้วนคิดใคร่ครวญตามถ้อยคำกุนซือหวางทั้งสิ้น”ฝีปากของจ้าวหุบเขาผู้นี้... รองแม่ทัพเห็นท่าจะไม่ดี รีบเอาตัวเข้าแทรกการสนทนาบรรยากาศตึงมึนนี้อย่างทันท่วงที “ที่จ้าวหุบเขาเอ่ยมานั้นชอบแล้ว เมื่อพิจารณาตามถ้อยคำกุนซือหวาง หุบเขาเดียวดายก็ยากจะนับว่าอยู่ในอาณาจักรหนึ่งอาณาจักรใดจริงๆ” เขาประสานมือคารวะเจ้าของสถานที่ กิริยายิ่งกว่านอบน้อมหากคนอื่นๆ ณ ที่นี่ใบหน้าดำคล้ำเหมือนเปื้อนหมึก สีหน้าท่านรองแม่ทัพในยามนี้ก็ดำคล้ำและแข็งเกร็งราวกับแท่งหมึกเลยทีเดียว“ท่านจ้าวหุบเขา” จ้าวเหว่ยซงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม จริงจัง “บิดาข้านั้นเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านยิ่งนัก ตัวข้าเองที่ได้ยินชื่อเสียงท่านมาร่วมสิบปีก็ศรัทธาในตัวท่านเหลือจะกล่าว หากชาตินี้ไม่อาจร่วมรบก็คงได้แต่เสียใจที่ไร้วาสนา...”“รองแม่ทัพช่างเจรจายิ่งนัก เสียแต่ที่เรื่องการทหารดูจะเหลือบ่ากว่าแรงจนเกินไป อีกทั้งตัวข้ายังไม่มีเวลามากพอจะอยู่ฟัง หากพวกท่านมีธุระเท่านี้ เห็นทีจ้าวหุบเขาเช่นข้าต้องขอตัว&rd







