LOGIN“ทั้งข้าและศิษย์ต่างเป็นผู้ฝักใฝ่ความเงียบสงบ ไม่สันทัดการรับรองผู้คน อาจจะดูเสียมารยาท ทว่ารังมุสิก[1]เล็กจ้อยไม่อาจรองรับคนร่างใหญ่ พวกท่านรีบออกจากหุบเขาเสียจะดีกว่า ยิ่งดึกลมแรง ข้ามหุบเหวตอนลมแรงนับเป็นเรื่องอันตราย อาจมีผู้ใดพลัดตกลงไปได้ทุกเมื่อ” จ้าวหุบเขาเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง น้ำเสียงก็ยังราบเรียบดุจเดิม ทั้งอย่างนั้น คนฟังต่างเย็นวาบไปทั้งศีรษะ ยิ่งนึกถึงภาพใบไม้ในก้อนหิน ในอกก็ยิ่งสั่นสะท้าน
นะ...นี่...นี่เขาเพิ่งขู่จะฆ่าทุกคนใช่หรือไม่!
พ่อบ้านสกุลซุนกำหมัดแน่นขึ้นอีก
“ท่านจ้าวหุบเขา แต่ว่ามือของนายน้อย...”
“พ่อบ้านสกุลซุน ท่านช่างไม่รู้จักเกรงใจเสียเลย ท่านคิดว่าตอนนี้ล่วงเข้ายามใดแล้ว” จ้าวหุบเขาหยิบขวดใบจ้อยทรงรีเรียวออกมา แล้วซัดฝ่ามือเบาๆ เข้าใส่ ส่งมันเข้าสู่อุ้งมือพ่อบ้านชรา “เห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับประมุขซุน ข้าจะช่วยดูมือนั่นให้”
พ่อบ้านชรารีบโค้งตัวคำนับเป็นการใหญ่ จวบจนจ้าวหุบเขาโบกมือปราม เขาจึงยอมหยุดกิริยานั้น
“ให้เขากินยานั่นก่อน อีกไม่เกินสองเค่อ รอข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย
ดีแล้วจะช่วยต่อเส้นเลือดและเส้นเอ็นให้ ส่วนค่ารักษา...”“หนึ่งหมื่นตำลึงทอง!” พ่อบ้านสูงวัยตอบโดยไม่ต้องคิด
จ้าวหุบเขาพยักหน้าน้อยๆ “ท่านเป็นผู้รู้กฎระเบียบ”
พ่อบ้านตระกูลซุนอยากจะแค่นเสียงด่าออกมาดังๆ ทว่าไม่กล้า
หึ แน่สิ...พวกข้าย่อมต้องรู้กฎระเบียบดีอยู่แล้ว!
นับตั้งแต่ติดต่อค้าขายกันมา มีครั้งใดบ้างที่จ้าวหุบเขาผู้นี้จะยอมขยับตัวทำงานโดยไร้เงื่อนไข?
เห็นหน้านิ่งๆ น้ำเสียงที่ใช้ก็สงบราบเรียบ กิริยาอาการดูสุขุมใจเย็นเช่นนี้...จ้าวหุบเขาผู้นี้ช่างรู้จักทำการค้ายิ่งนัก! เขาทำราวกับว่าทักษะการแพทย์และทักษะเกี่ยวกับยาพิษทั้งหมดทั้งมวลไม่อาจใช้โดยเปล่า ตั้งกฎเรียบง่ายแต่โหดร้ายไว้ว่าทุกสิ่งย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย ผู้ละเมิดกฎเหล็กข้อนี้ หากไม่ตายทั้งเป็นก็หายสาบสูญ
บุรุษผู้นี้ช่างโหดเหี้ยมเย็นชา หนำซ้ำยังมีวรยุทธแกร่งกล้าฆ่าไม่ตาย ตลอดหลายปีมานี้เขาใช้ชีวิตด้วยการค้าขายทักษะการรักษาตลอดจนความรู้เรื่องยาพิษ แม้จะมีผู้ไม่พอใจ แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าลบหลู่ และยิ่งไม่มีใครกล้าลองดีไม่ชำระหนี้สินที่ตกค้าง ครั้งนี้นายน้อยเล่นสนุกจนเลยเถิดเกินไปแล้วจริงๆ
เฮ้อ...
พ่อบ้านสกุลซุนประสานมือคารวะ กล่าวเสียงนุ่ม “ท่านจ้าวหุบเขา นี่ก็ดึกมากแล้ว อาการนายน้อยของพวกเราเป็นเช่นนี้คงไม่อาจลงจากหุบเขา ถ้าอย่างไร...”
ท่านจ้าวหุบเขาเหลียวจ้องตาพ่อบ้านชรา ราวกับจะถามว่า “ข้าให้คืบแล้ว พวกเจ้ายังคิดจะเอาศอกอีกหรือ” พ่อบ้านสกุลซุนจึงต้องเก็บกลืนสิ่งที่คิดจะพูดกลับลงคอโดยพลัน
“รออยู่ที่นี่ ห้ามใครขยับตัวไปที่ใดทั้งนั้น หากผิดไปจากนี้ ข้าจะยกเลิก
การรักษาทันที เข้าใจหรือไม่”ชายชรารีบตอบทันที
“ได้ ได้! พวกเรารับปาก!”
จ้าวหุบเขาเดียวดายปรายตาไปยังนายน้อยสกุลซุน ราวกับไม่ใส่ใจผู้อื่นแม้แต่น้อย
ซุนเย่เห็นดังนั้นก็กลืนน้ำลายลงคอ รีบออกปากสัญญา
“ขอจ้าวหุบเขาโปรดวางใจ ข้าและผู้ติดตามจะรักษากฎระเบียบ แม้ว่าท่านจะเอื้อเฟื้อที่พักให้ก็จะประพฤติราวไร้ตัวตน ไม่บังอาจรบกวนท่านจ้าวหุบเขาและลูกศิษย์แม้แต่น้อย”
“อืม...”
ท่านจ้าวหุบเขาลุกขึ้นจากที่นั่ง ตั้งท่าจะก้าวขาออกไปนอกโถง พ่อบ้านชราจึงอดแปลกใจไม่ได้
“นั่นท่านจ้าวหุบเขาจะไปที่ใด ไม่ใช่ว่าท่านต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อทำการรักษานายน้อยของพวกเรารึ?”
แทนคำตอบ ท่านจ้าวหุบเขาปรายตามองคนถามราวกับจะถามว่า “ข้าจะทำอะไรแล้วเจ้ามีสิทธิ์อันใดมาสงสัย” พ่อบ้านชราจึงได้แต่ปิดปากลง ค้อมกายน้อมส่งเจ้าบ้าน
“ดูเหมือนว่าจ้าวหุบเขาจะมุ่งหน้าไปทางเรือนเล็กทางทิศใต้นะขอรับ...” ผู้ติดตามร่างยักษ์คนหนึ่งอดเอ่ยปากไม่ได้ “ไม่ใช่ว่าเรือนพักจ้าวหุบเขาคือเรือนหลังใหญ่ใจกลางคฤหาสน์หลังนี้รึ”
“หรือว่าข่าวลือจะเป็นเรื่องจริง” ผู้ติดตามอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นบ้าง
“ข่าวลือเรื่องใด”
“เรื่องที่ชาวบ้านแถบนี้พูดกันว่าจ้าวหุบเขาเดียวดายมีคนรักที่งดงามและมีน้ำใจรักมั่น ทรหดอดทนยิ่งนัก” ผู้ติดตามที่รู้ข่าวตอบเสียงเบา “เขาทอดทิ้งนาง แต่คุณหนูผู้นั้นยังคงรักมั่นจริงใจ นางยอมทิ้งเกียรติยศศักดิ์ศรี ละวางทรัพย์สมบัติและความสบาย หนีออกจากบ้านมาเผชิญความลำบาก สุดท้าย จ้าวหุบเขาจึงยอมรับนางไว้”
“เช่นนั้นก็ไม่ใช่เพียงลูกศิษย์อย่างปากว่า แต่ยังเป็น...”
แต่ละคนพยักหน้าเออออ “มิน่า...จ้าวหุบเขาถึงได้หวงแหนนางนัก หกวันก่อนเมื่อครั้งนายน้อยยังพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ จู่ๆ บุรุษผู้นั้นก็สั่งกักบริเวณพวกเราเช่นตอนนี้ไม่มีผิด เดาว่าสตรีผู้นั้นคงมาถึงหุบเขาตอนนั้นกระมัง?”
“หุบปาก!”
พ่อบ้านสกุลซุนตวาดลั่น หลังจากที่ตะแคงหูฟังมานาน
“พวกเจ้ายังคิดจะทำให้จ้าวหุบเขาไม่พอใจอีกรึ เรื่องของผู้อื่นก็เป็นเรื่องของผู้อื่น หากยังอยากมีชีวิตรอดออกจากหุบเขาก็จงปิดปากให้สนิท เข้าใจหรือไม่!” พ่อบ้านสูงวัยกวาดตามองเหล่าผู้ติดตามเรียงคน “แล้วนับจากนี้ก็ไม่ต้องเอาข่าวลือไร้สาระอะไรมาเป่าหูนายน้อยอีก!”
ที่คุณชายใหญ่นึกอุตริลอบเข้าไปแช่น้ำร้อนหลังหุบเขาก็เพราะเจ้าพวกปากเปราะพวกนี้นั่นล่ะ!
อะไรคือบ่อน้ำร้อนที่ช่วยรักษาสารพัดโรคอันกว้างขวาง งดงาม และน่าอิจฉา
อะไรคือสวรรค์บนดินที่ผู้คนต่างเล่าขานว่าอยากสัมผัสสักครั้ง
คุณชายใหญ่เกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งที่บ่อน้ำร้อนนั่นแล้ว!
หลังเอ็ดตะโรระบายความขุ่นเคือง พ่อบ้านชราก็ทอดถอนใจ บ่นให้เจ้านายฟัง “ว่ากันว่าชายที่ไม่เคยมีรักยามมีรักขึ้นมาก็น่ากลัวนัก...คุณชาย จ้าวหุบเขาผู้นี้จะล่วงเกินมิได้ เห็นแก่ผู้ชราผู้นี้ ต่อไปนี้ท่านต้องระวังให้มาก”
ซุนเย่ก้มลงมองมือตนเองแล้ว ก็พลันถอนหายใจตาม
“เป็นตัวข้าเองที่ก่อเรื่องเหลวไหล...จ้าวหุบเขาเป็นผู้รักษากฎระเบียบและมีวรยุทธสูงส่งยิ่งนัก”
สองนายบ่าวต่างจ้องมองร่างสีขาวที่มุ่งหน้าลงไปยังทิศใต้ มองแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอีกคนละเฮือก
แม้ในใจจะขุ่นเคืองบุรุษบ้าอำนาจ ไร้คุณธรรม ช่างกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวอย่างหน้าตายผู้นั้นสักปานใด กลับไม่มีผู้ใดกล้าออกปากตำหนิติติงอะไรแม้เพียงครึ่งคำ
[1] หนู
อาจูเอนร่างพิงขอบบ่อ ทำตัวประหนึ่งกำลังนอนแช่สระสปา ปล่อยให้ชิ้นส่วนสมุนไพรแห้งทำหน้าที่ต่าง “ตัวอักษรศีลธรรม” ตัวหนังสือตัวโตๆ ที่พวกคนทำหนังสือการ์ตูนในบ้านเมืองอันเคร่งครัดในหลักศีลธรรมจรรยาชอบใช้ปิดทับภาพโป๊อล่างฉ่าง เพื่อลดระดับความโป๊เปลือยให้เหลือแค่ระดับกำลังวาบหวิว ไม่ชวนให้คนอ่านรู้สึกสยิวในอารมณ์เกินพอดีท่ามกลางเสียงน้ำหยดลงกระทบผิวน้ำเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ร่างอ้อนแอ้นในบ่อเหลียวมองเจ้างูเผด็จการที่ขดตัวอยู่ชิดผนังถ้ำ ภาพงูร่างใหญ่ขดตัวนิ่งสนิท แถมยังฟุบหัวลงคล้ายกำลังหลับฝันหวาน มองไม่เห็นลูกตา ทำเอาคนเพิ่งทำสมาธิสร้างจุดศูนย์รวมจักระมาทั้งคืนพลันนึกได้ว่าตัวเองยังไม่ได้นอนอา...ในเมื่องูอย่างเจ้ายังนอนทำท่าเอื่อยเฉื่อยอยู่ได้ทั้งวัน ข้าแอบงีบสักพัก คงไม่เป็นไรกระมัง?ด้วยตรรกะประเภท “เจ้าทำได้ ข้าก็ต้องทำได้” อาจูจึงถือโอกาสแอบงีบในบ่อน้ำ มันเสียเลย มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียง “ครืด” ยาวๆ ดังขึ้นหนึ่งครั้งพอขยี้ตามองหาอาจารย์กำมะลอ ก็ทันเห็นเพียงปลายหางสีดำสนิทเคลื่อนผ่านช่องประตูที่เธอก็เพิ่งจะรู้นี่แหละว่า
หลี่หยางกวาดสายตาคะเนจากมุมสูง ทดลองทิ้งก้อนหินก้อนใหญ่ลงไปแบบเดียวกับหีบไม้เมื่อครู่ เมื่อสังเกตเห็นว่าก้อนหินตกกระทบพุ่มกิ่งไม้ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้พุ่มกิ่งไม้อื่นๆ อีกหลายกิ่ง ก็แตะปลายเท้า ไต่ลงไปยังบริเวณนั้นทันทีบนพุ่มกิ่งไม้ไม่มีร่างลูกศิษย์มากปัญหา แต่ยังมีเศษผ้าจากชายกระโปรงนางติดค้างคากิ่งไม้แห้งๆ กิ่งหนึ่งไม่ผิดแน่...ด้วยเหตุผลบางอย่าง นางพลัดตกลงมาที่นี่ร่างกายนางไม่ได้ติดค้างอยู่บนนี้ ไม่ได้ลอยอยู่ในน้ำ ไม่ได้นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นเย็นชืดด้านล่างเช่นนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือ...นางยังมีชีวิตอยู่แต่เป็นที่ไหน?หลี่หยางดีดปลายเท้าไต่กลับลงไปในหุบเหวอีกครั้งหุบเหวแห่งนี้เป็นสถานที่ปิดตายอย่างแท้จริง แม้กินอาณาเขตกว้างขวางพอใช้ แต่ก็นับเป็นหุบเหวลับที่มีเพียงคนของหุบเขาเดียวดายที่อาจพบเห็น ทั่วทุกทิศไร้ทางออก หากร่วงหล่นลงไปแล้ว เด็กสาวไร้วรยุทธผู้หนึ่งก็มีแต่จะต้องพยายามปีนป่ายกลับขึ้นมาด้วยกำลังของตนเองเท่านั้นวัดจากพละกำลังของร่างกายนั้นและประสบการณ์กา
เหนือหน้าผาสูงชันเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียวอ่อนโปร่งสวย...ร่างในชุดสีน้ำเงินเข้มยืนตระหง่านจ้องมองหีบไม้ใบใหญ่ร่วงลงสู่ก้นเหวลึกสุดหยั่ง สีหน้านิ่งเรียบดูเย็นชา ชวนให้นึกถึงรูปสลักน้ำแข็งพันปีไม่รอจนได้ยินเสียงหีบที่ตนเพิ่งโยนลงไปร่วงลงกระทบผืนน้ำ หลี่หยางดีดปลายเท้ากระโดดลงหน้าผา อาศัยพุ่มไม้และก้อนหินที่ลดหลั่นลงมาเป็นชั้นๆ ช่วยพยุง ทุกการเคลื่อนไหวดูคล่องแคล่ว ราวกับเคยทำแบบนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนไม่นานนัก ร่างสง่างามก็ไต่ลงมาถึงก้นเหวเวลานี้หีบไม้ร่วงลงในน้ำเรียบร้อยแล้วดูเหมือนตอนตกกระแทกผิวน้ำจะรุนแรงเกินไป ฝาหีบจึงเปิดอ้า ปลดปล่อยทองคำจำนวนหนึ่งให้ดำดิ่งลงสู้ก้นสระสีมรกตอย่างอิสระเสรี สระน้ำก้นเหวที่มีคราบตะไคร้ขึ้นตามหินก้นสระจนขับให้น้ำสีใสสะท้อนแสงแดดเปล่งประกายสีเขียว พลันดูคล้ายมีประกายสีทองเรืองรองเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มองแล้วดูคล้ายอัญมณีที่ส่องประกายใต้แสงแดดหลี่หยางเมินเฉยต่อภาพงดงามนั้น สาวเท้าเข้าหาเนินหินใหญ่โตใต้ผาบริเวณที่แสงสีทองจากสระน้ำส่องกระทบ คุกเข่าลงคำนับสามครั้ง ก่อนปลดขวดน้ำเต้าบรรจุสุราสาลี่ที่เอวออกมารินราดรดด้
กระนั้นจ้าวเหว่ยซงก็ไม่คิดว่าบุรุษที่พุ่งทะยานนำหน้าตนจะเป็นผู้คิดอ่านเรียบง่ายเช่นนั้น นอกจากนี้ แม้ตำหนักพันพิษจะเป็นค่ายพรรคมารก็ใช่ว่าจะยินยอมรับงานจากผู้ใดโดยง่าย ยิ่งเรื่องเข้ารับใช้แผ่นดินหนึ่งแผ่นดินใดด้วยแล้ว นับว่าผิดวิสัยพรรคมารอันเย่อหยิ่งที่ก่อร่างสร้างตัวอยู่ในสถานที่ที่รายรอบด้วยทะเลทรายอันแห้งแล้ง ปกครองตนเองเสมือนหนึ่งชนเผ่าอิสระย่อมๆ ชนเผ่าหนึ่งก็ไม่ปานรองแม่ทัพจ้าวสงสัยยิ่งนัก ว่า “กุนซือหวาง” ผู้พุ่งทะยานนำหน้าด้วยแววตามั่นอกมั่นใจถึงเพียงนั้น ไปเอาความเชื่อมั่นเช่นนี้มาจากที่ใดขณะกระโดดข้ามหุบเหวเคียงกัน จ้าวเหว่ยซงอดออกปากถามไม่ได้“กุนซือหวาง...ท่านมีวิธีทำให้ประมุขตำหนักพันพิษยอมช่วยเหลือฝ่ายเราอย่างนั้นรึ?”“เรื่องนั้นยังไม่แน่นอนนัก เพียงแต่ข่าวลือพวกนั้นช่างน่าสนใจยิ่ง” หวางมู่ตอบตามตรงนอกจากข่าวเล่าลือเรื่องลูกศิษย์ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นสตรีของจ้าวหุบเขา กับเรื่องนายน้อยสกุลซุน ยังมีเรื่องที่ประมุขตำหนักพันพิษมาพำนักที่นี่อยู่อีกเรื่องจากข่าวสารที่พวกเขาได้รับ...ก่อนหน้าที่พวกเ
ท่ามกลางความเงียบงัน กุนซือหน้าหยกเอ่ยเสียงไม่ดัง ไม่เบา “จ้าวหุบเขาผู้นั้น ดูจะเร่งรีบเกินไปหน่อยหรือไม่...?” หวางมู่ยกมือจับคางตัวเองเบาๆ “เจ้าว่าคนผู้นั้นรีบร้อนถึงเพียงนั้นเพราะเหตุใด เพราะอยากรีบออกตามหาดรุณีน้อยในข่าวลืออย่างนั้นรึ?”ก่อนหน้านี้ ผู้คนในโรงเตี๊ยมใกล้ลานชุมนุมชาวยุทธไม่ไกลจากหุบเขา ล้วนพูดถึงสตรีเยาว์วัยผู้หนึ่งซึ่งจ้าวหุบเขาเดียวดายประกาศไว้ว่า“หากผู้ใดพบเห็นสตรีเช่นที่กล่าวถึงและพาตัวนางกลับมาส่งโดยปลอดภัย หรือแม้จะมีข่าวสารใดมอบให้แม้เพียงนิด ก็จะมอบรางวัลให้อย่างงาม”เมื่อเข้าไปสอบถามจึงพบว่า แม้จะบรรยายรูปลักษณ์และอุปนิสัยตลอดจนกิริยาอาการของนางละเอียดนัก จ้าวหุบเขาผู้นี้กลับไม่ยอมทิ้งภาพเขียนใบหน้านางเอาไว้สักฉบับแม้ต่อมาจะมีชาวบ้านหาของป่าที่เคยพบหน้านางพยายามชี้แนะศิลปินผู้ผ่านทางให้ทดลองวาดภาพจำลองจากความทรงจำ จ้าวหุบเขารู้เข้า ไม่เพียงไม่รู้สึกขอบคุณยังบุกทำลายภาพเขียนเหล่านั้นและสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดวาดรูปนางทั้งสิ้น ผู้คนจึงได้แต่ส่ายหน้าแล้วพูดกันลับหลังว่า "ท่านจ้าวหุบเขาช่างห
“จ้าวหุบเขาช่างเข้าใจพูดจานัก”“ข้าล้วนคิดใคร่ครวญตามถ้อยคำกุนซือหวางทั้งสิ้น”ฝีปากของจ้าวหุบเขาผู้นี้... รองแม่ทัพเห็นท่าจะไม่ดี รีบเอาตัวเข้าแทรกการสนทนาบรรยากาศตึงมึนนี้อย่างทันท่วงที “ที่จ้าวหุบเขาเอ่ยมานั้นชอบแล้ว เมื่อพิจารณาตามถ้อยคำกุนซือหวาง หุบเขาเดียวดายก็ยากจะนับว่าอยู่ในอาณาจักรหนึ่งอาณาจักรใดจริงๆ” เขาประสานมือคารวะเจ้าของสถานที่ กิริยายิ่งกว่านอบน้อมหากคนอื่นๆ ณ ที่นี่ใบหน้าดำคล้ำเหมือนเปื้อนหมึก สีหน้าท่านรองแม่ทัพในยามนี้ก็ดำคล้ำและแข็งเกร็งราวกับแท่งหมึกเลยทีเดียว“ท่านจ้าวหุบเขา” จ้าวเหว่ยซงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม จริงจัง “บิดาข้านั้นเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านยิ่งนัก ตัวข้าเองที่ได้ยินชื่อเสียงท่านมาร่วมสิบปีก็ศรัทธาในตัวท่านเหลือจะกล่าว หากชาตินี้ไม่อาจร่วมรบก็คงได้แต่เสียใจที่ไร้วาสนา...”“รองแม่ทัพช่างเจรจายิ่งนัก เสียแต่ที่เรื่องการทหารดูจะเหลือบ่ากว่าแรงจนเกินไป อีกทั้งตัวข้ายังไม่มีเวลามากพอจะอยู่ฟัง หากพวกท่านมีธุระเท่านี้ เห็นทีจ้าวหุบเขาเช่นข้าต้องขอตัว&rd







