วันต่อมาที่สำนักสืบสวนคดี ว่านชิงอีมาด้วยชุดเรียบๆ เช่นเคย แต่พอก้าวเข้าสำนักสืบสวนก็ต้องหยุดชะงัก ที่เห็นวิญญาณของสตรีนามว่าอีถง อีกทั้งวิญญาณที่เคยทำงานที่หอนางโลมมีนามว่าลู่หลิง และชายที่ทำงานที่โรงพนันตงไห่ ต่างพากันยืนรออยู่อย่างสงบเสงี่ยม พอพวกเขาเห็นนางเดินเข้ามาก็รีบทำความเคารพ
“พวกเจ้ามารอข้ารึ? “พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ” “มีอะไรหรือไม่ มากันพร้อมหน้าพร้อมตา?” “หม่อมฉันมารอปิงปิงเพคะ ว่าจะชวนนางไปสำรวจพื้นที่ เพื่อมีข่าวอะไรจะได้มารายงานท่านหญิงเพคะ” วิญญาณอีถงเอ่ยขึ้น “ส่วนกระหม่อมมารายงานท่านหญิง เพราะกังวลว่าผู้ให้การคนนั้นอาจถูกฆ่าปิดปากได้พ่ะย่ะค่ะ” “เจ้าไปรู้อะไรมารึ?” ว่านชิงอีคิ้วขมวดขึ้นมาอย่างสงสัย “กระหม่อมเห็นเสนาบดีซูเดินทางไปหาเจ้าสัวโจวป๋อเหวิน กระหม่อมไม่ไว้ใจพวกเขาเลย อีกอย่างช่วงนี้ท่านหญิงต้องระวังตัวด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ” “ข้าจะระมัดระวังตัวเองให้ดี ขอบใจเจ้ามากที่คอยเป็นหูเป็นตาให้ข้า” ว่านชิงอีเมื่อย้อนกลับมาคิดดีๆ การมีวิญญาณเป็นผู้ช่วยก็ดีเหมือนกัน ถึงพวกเขาจะไม่สามารถทำอะไรกับพวกคนชั่วได้ แต่อย่างน้อยก็ช่วยสอดส่องความเป็นไปแล้วมารายงานนางก็ถือว่าดีมากแล้ว “ปิงปิงเจ้าไปกับพวกนางเถอะไม่ต้องเป็นห่วงข้า มีฮุ่ยเจียงอยู่ข้าไม่เป็นอะไรหรอก แต่เวลาข้าเรียกเจ้าต้องรีบกลับมา” “เจ้าค่ะแต่อย่างไรคุณหนูก็ต้องระวังตัว ยิ่งมีสามสตรีใจมารมาอยู่ร่วมด้วยเช่นนี้ ข้าไม่ไว้ใจ หากมีอะไรก็รีบเรียกข้า ข้าจะรีบมาทันที” ว่านชิงอีได้ยินก็หัวเราะออกมา “เข้าใจแล้วเจ้าไปเถอะ” ว่านชิงอีก้าวเข้าไปในห้องที่นางทำงานแต่กลับไม่เห็นผู้ใด วันนี้บุตรสาวสามขุนนางไม่มาทำงานหรือ? แต่ไม่นานเหว่ยอ๋อง องค์ชายซีห่าว และองค์รัชทายาทก็เดินเข้ามา ตามมาด้วยสตรีสามนางที่เดินมาทางด้านหลัง ว่านชิงอีลุกขึ้นแล้วยอบกายทำความเคารพให้พวกเขา แล้วนั่งอ่านบันทึกอย่างไม่ใส่ใจ เหว่ยอ๋องปรายตามอง การกระทำของนางอย่างขัดเคือง นางไม่คิดจะเอ่ยทักทายเขาสักคำน่าน้อยใจนัก “เมื่อวานพวกเจ้าอ่านสมุดบันทึกคดีความ สรุปคดีได้ความว่าอย่างไร?” จางเจียอี ซูโม่หลัน กู้ผิงอันมองหน้ากันทันที จะให้พูดอย่างไรดี นางไม่เข้าใจเลยสักนิดแล้วจะให้สรุปได้อย่างไร แต่อยู่ต่อหน้าหน้าบุรุษที่นางชอบ ถ้าให้ตอบออกไปตามความจริงก็คงไม่ได้ “ทูลท่านหญิงหม่อมฉันลองอ่านและศึกษาดูแล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าใจจึงยังไม่ได้สรุปสำนวนคดีเพคะ” กู้ผิงอันเอ่ยตอบออกไป ว่านชิงอีแอบเบ้ปาก พวกนางไม่มีความรู้ด้านนี้จะมาทำงานที่นี่ได้อย่างไร ตัวนางเองก็ใช่ว่าจะมีความรู้เรื่องนี้มากนัก แต่อาศัยว่านางเกิดในยุคที่ทันสมัย มีทีวีมีซีรีย์ให้ดูและยังมีหนังสือมากมายให้อ่าน จึงไม่ยากหากต้องนำมาปรับใช้ในยุคจีนโบราณ “การทำงานเกี่ยวกับคดีต่างๆ ผู้เสียหายเดือดร้อน เขารอให้พวกท่านศึกษางานจนเข้าใจไม่ได้หรอกนะ คนที่สูญเสียชีวิตไป เขารอทางการตรวจสอบ และเอาความผิดต่อผู้ที่กระทำความผิดอย่างเร่งด่วน พวกเจ้าคิดว่าสถานที่นี้เป็นสถานที่เช่นไรกัน?” ว่านชิงอีกล่าวน้ำเสียงดุดันและเด็ดขาด เพราะนางไม่ชอบเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ “ท่านหญิงขอเวลาหม่อมฉันอีกหน่อยได้หรือไม่เพค?” “ได้สิ งั้นพวกเจ้าก็ศึกษาคดีที่คั่งค้าง อ่านและทำความเข้าใจและสรุปออกมาแต่ละคดี หากไม่สำเร็จสักคดี ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงไม่เหมาะจะอยู่ที่นี่” พอนางกล่าวจบ เสียงที่หน้าประตูก็ดังขึ้น “เป็นแค่ท่านหญิงวางท่าใหญ่โตเสียเหลือเกินนะ” ไทเฮาที่ถูกประคองเข้ามาจากหลิ่วหม่ามาคนสนิท เอ่ยอย่างกราดเกรี้ยวไม่พอใจ เมื่อเห็นว่าท่านหญิงกำลังวางอำนาจทุกคนภายในห้องรีบทำความเคารพทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นไทเฮาเดินเข้ามา “ข้าเป็นคนให้พวกนางมาช่วยทำงานที่นี่! ใครก็ไม่มีสิทธิ์ให้พวกนางออกไป!” ไทเฮาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ว่านชิงอีมองไทเฮาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง คิดในใจใครกันแน่ที่วางท่าใหญ่โต “ทูลไทเฮาเรื่องของคดีความ หากให้คนที่ไม่มีความรู้มาทำงานจะทำให้เสียเวลามากเพคะ ราษฎรเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือมีมากมายนักเพคะ” “นี่เจ้ากล้าต่อปากต่อคำข้ารึ บังอาจนัก จับนางไปโบย20ไม้!” แต่เหว่ยอ๋องก็รีบออกมาขวางทันที “ดูว่าใครกล้า!” ไทเฮาเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งเพิ่มโทสะมากขึ้น “เหว่ยอ๋องนี่เจ้ากล้าขัดคำสั่งของย่า!ปกป้องนางรึ! ดีนักนะ! เห็นแก่เหว่ยอ๋องที่ออกหน้าแทนเจ้า เรื่องนี้ข้าจะปล่อยผ่าน แต่ที่..ข้ามาในวันนี้มีเรื่องอยากจะมาบอกว่า คดีชายที่ถูกทำร้ายที่โรงการพนัน หยุดสืบสวนคดีนี้ และทำเสียว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น” “เสด็จย่าเพราะอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?” องค์รัชทายาทเฟยเทียน เอ่ยถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดเสด็จถึงต้องให้หยุดสืบสวนคดี “เจ้าไม่ต้องถามให้มากความ ทำตามที่ย่าบอก” ไทเฮาเอ่ยเสียงเข้ม แต่มีหรือที่ว่านชิงอีจะยอม “แต่หม่อมฉันคงทำไม่ได้เพคะ” ว่านชิงอีเอ่ยขึ้นอย่างแน่วแน่ และมองไทเฮาใบหน้าเรียบนิ่ง ไทเฮาจ้องมองว่านชิงอีอย่างเอาเรื่อง เด็กคนนี้ช่างหัวรั้นและดื้อด้าน วันนี้นางจะสั่งสอนเด็กอวดดีให้หลาบจำ ในเมื่อลงโทษนางไม่ได้ก็ทำโทษคนของนางก็แล้วกัน “ทหารจับองครักษ์ของท่านหญิงมาโบย50ไม้ ในเมื่อนายทำผิดบ่าวก็ต้องรับโทษแทน” ว่านชิงอีตกใจและเริ่มมีโทสะขึ้นมา นี่มันตรรกะอะไรกันไร้เหตุผลสิ้นดี นางจะบ้าอำนาจเกินไปแล้ว ทหารรีบตรงไปจับแขนทั้งสองของฮุ่ยเจียง แล้วพาตรงไปยังเก้าอี้ยาว ก่อนจะจับนางนอนคว่ำลงไปบนเก้าอี้ ว่านชิงอียามนี้โกรธจนแทบลุกเป็นไฟ สองมือกำแน่นเข้าหากันดวงตาของนางแดงก่ำ “ใครกล้าแตะต้องคนของข้า ก็ลองดู” ว่านชิงอี เอ่ยขึ้นอย่างแข็งกร้าว ไทเฮามองนางอย่างไม่ใส่ใจรีบเอ่ยย้ำคำสั่ง “ทหารลงมือ!” สิ้นคำสั่ง จู่ๆ ลมพายุก็พัดเข้ามาอย่างรุนแรง ของทุกอย่างที่อยู่ในห้อง ถูกพายุลมพัดกระเด็นลอยกระแทกฝาผนังแตกกระจาย ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ บรรดาทหารและนางกำนัลที่ติดตามไทเฮา กรีดร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัว หลิ่วหม่ามานางกำนัลข้างกายไทเฮา รีบดึงไปเฮาไปหลบอยู่มุมหนึ่ง ว่านชิงอียกมือขึ้นลมก็หยุดลง ก่อนนางจะเดินไปหาฮุ่ยเจียงแล้วประคองนางลุกขึ้น ก่อนจะหันกลับมาพูดกับไทเฮา “วันนี้พระองค์ทำให้หม่อมฉันโกรธมาก ท่านใช้อำนาจในทางที่ผิด!ลงโทษคนที่บริสุทธิ์ ปกป้องคนชั่ว! หม่อมฉันในฐานะผู้บังคับบัญชาหน่ายสืบสวน ไม่สามารถปล่อยเรื่องนี้ไปได้เพคะ ไทเฮาคิดว่าหม่อมฉันควรจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี? ปิงปิง ตงไห่ อีถง ลู่หลิง แสดงให้พวกเขาดูว่าพวกเจ้าตายอย่างไร ความเจ็บปวดที่พวกเจ้าได้รับจากคนชั่วเหล่านั้น หากเรายังปกป้องคนชั่วคนเลว แล้วชีวิตผู้บริสุทธิ์จะอยู่อย่างไร!” พอว่านชิงอีกล่าวจบ ตงไห่ก็แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของบุรุษกักขระ ที่ทำต่อลู่หลิง และสามีชั่วที่กระทำต่ออีถง ก่อนปิงปิงจะกลายร่างเป็น ซูโม่โฉวแล้วเริ่มทำร้ายตงไห่จนเสียชีวิต มีดที่แทงเข้าร่างของตงไห่นับครั้งไม่ถ้วน เลือดสาดกระจายเต็มห้อง ทุกคนพากันยกมือขึ้นปิดปากกรีดร้องกับภาพที่เห็น ด้วยความควาดกลัวสุดขีด ก่อนทุกอย่างจะเลือนหายไป “ภาพที่เห็นในวันนี้หากเกิดกับพวกท่านคิดว่าจะทำอย่างไร ตายไปแล้วใครจะมาช่วยเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพวกเจ้า หากยังมีคนคอยปกป้องคนชั่วอยู่อย่างนี้ แต่ว่าตัวข้าก็ใช่ว่าจะเป็นคนดี หากยังมีคนมายั่วยุให้ข้าโกรธมากๆ ข้าก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้เหมือนกัน” นางกล่าวจบ ร่างของตงไห่ก็กลับมาปรากฎอีกครั้ง พร้อมอีถงและลู่หลิง ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ว่านชิงอีเดินไปดึงดาบข้างเอวของทหาร ที่นอนหมอบอยู่กับพื้นออกมา ก่อนนางจะเดินลากดาบไปรอบพวกเขาสามคน “ข้าจะบอกอะไรให้ ทุกคนมีดีและชั่วปะปนอยู่ในตัวทุกคน เพียงแต่ใครจะมีด้านไหนมากกว่ากัน ส่วนข้าได้บอกไปแล้วว่าข้าไม่ใช้คนดี หากมีคนทำให้ข้าโกรธ ผลที่ได้ก็จะเป็นเช่นนี้ ฉึบ!ลำคอของตงไห่ขาดกระเด็นเลือดพุ่งกระฉูด หัวของเขากลิ้งไปตกอยู่ตรงหน้าของไทเฮา ไทเฮาหวีดร้องด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะหมดสติไป ฉึบ!หัวต่อมาของถิงอีที่หลุดกระเด็นไปที่สามบุตรสาวของขุนนางสามตระกูล พวกนางกรีดร้องแทบสิ้นสติ หัวที่สามเป็นของลู่หลิงที่กลิ้งตกไปที่เหล่าทหาร พวกเขาพากันผงะตกใจ ก่อนจะพาวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงอย่างหวาดกลัว ว่านชิงอีโยนดาบทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนที่ร่างวิญญาณและเลือดที่พื้นก็เริ่มจางหายไป คงเหลือเพียงห้องโถงใหญ่ ที่สภาพแตกหักอย่างไม่มีชิ้นดี เวลาน้องโกรธก็จะประมาณนี้ พลังทำลายล้าง555หลังจากตั้งจิตอฐิษธาน ว่านชิงอีก็เปิดย่ามออกมาดูว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือไม่ ปรากฏว่ามีหนังสือจีนโบราณอยู่เล่มหนึ่ง ที่ค่อนข้างเก่ามากมองแทบไม่เห็นตัวหนังสือ ว่านชิงอีค่อย ๆ หยิบหนังสือเล่มนั้นออกมา แล้วเริ่มเปิดดูด้านในมีกระดาษสอดเอาไว้ นางจึงหยิบมาเปิดอ่าน ก่อนจะตาเบิกกว้าง นี่มันลายมือของพ่อ “ลูกรักนี่เป็นหนังสือที่แม่ของเจ้าไปเจอมาจากร้านของเก่า เป็นตำราวิชาเดชคัมภีร์ปราณมรณะ แม่ของเจ้าชอบดูซีรี่ย์จีนโบราณมาก จึงได้ซื้อติดมา พ่อคิดว่าเจ้ามีความผูกพันกับวิญญาณ วิชานี้อาจเหมาะกับเจ้า รักษาตัวด้วย” พอว่านชิงอีอ่านจบก็บอกไม่ถูกว่า จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี วิชาเดชคัมภีร์ปราณมรณะ วิชานี้ฟังดูแปลกมาก ไม่ใช่ฝึกเสร็จนางจะมรณะตามชื่อหรอกนะ เฮ่อแต่ว่าก็ต้องลองดู พ่อกับแม่อุตส่าห์ส่งมาให้ทั้งที ว่านชิงอีเปิดหนังสืออ่านจนจบ ตัวหนังสือเป็นภาษาจีนแต่ไม่รู้ว่านางเข้าใจได้อย่างไร ทั้งหมดมีอยู่เจ็ดบท พอนางเริ่มอ่านบทแรกสร้อยประคำเจ็ดสีที่นางสวมอยู่ก็เริ่มเปล่งแสง นางมองด้วยความสนใจ เมื่อก่อนสร้อยประคำเส้นนี้ไม่เคยเปล่งแสงออกมาเลย หรือว่าสร้อยเส้นนี้จะเชื่อมโยงกับวิชาในหนังสือเล่มนี้กันนะ สีแรกที่เปล
ไม่นานทุกคนก็มารวมตัวกันที่เรือนของท่านหญิงว่านชิงอี รัชทายาทเฟยหยางและองค์ชายซีห่าว ตามมาเพราะเป็นห่วงว่านางจะเป็นอะไรมากหรือไม่ แต่พอมาถึงก็เห็นว่านชิงอี นั่งพิงหัวเตียงพูดคุยอยู่กับเหว่ยอ๋อง พวกเขาก็ถอนใจด้วยความโล่งอก คนสกุลว่านทุกคนก็มารวมกันที่เรือนว่านชิงอีกันหมด เพื่อมาดูอาการของนางด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อเห็นนางนั่งคุยได้อย่างปกติ ก็แยกย้ายกันออกไป เพราะดูเหมือนนางจะมีเรื่อง ที่ต้องพูดคุยกับเหล่าเชื้อพระวงศ์ “ท่านอ๋อง องค์รัชทายาท องค์ชาย อยู่เสวยอาหารเย็นกันเสียที่นี่เถิดเพคะ เพราะว่าหม่อมฉันมีเรื่อง อยากจะปรึกษากับพวกท่านด้วยเพคะ” ว่านชิงอีกล่าวจบก็เตรียมตัวจะลงจากเตียง เพื่อมานั่งที่โต๊ะ เหว่ยอ๋องเห็นเช่นนั้นก็รีบอุ้มนางขึ้นมาทันที ก่อนจะเอ่ยถามนางอย่างอ่อนโยน “เจ้าจะไปนั่งที่โต๊ะหรือ?” “เพคะ” เหว่ยอ๋องจึงพานางเดินมาวางลงบนเก้าอี้ ก่อนที่เขาจะนั่งลงข้าง ๆ นาง รัชทายาทและองค์ชายกลอกตามองบน กับความเอาอกเอาใจต่อว่านชิงอี อย่างออกหน้าออกตาของเหว่ยอ๋อง ที่ดูจะมากขึ้นทุกวันโดยไม่สนใจสายตาผู้ใด ว่านชิงอีกวาดสายตามองทุกคน ก่อนจะเรียก ปิงปิง ตงไห่ อีถง ลูหลิ่ง และลู่กัง มาร่ว
พอจัดการทุกอย่างเสร็จ ว่านชิงอีก็กลับมาขึ้นรถม้าเตรียมตัวไปที่สำนักงานสืบสวน ระหว่างทางที่ไปค่อนข้างเปลี่ยว เพราะจวนหลังนี้อยู่ห่างจากในเมืองราวครึ่งก้านธูป ปิงปิงสังเกตเห็นว่ามีคนสะกดรอยตามอยู่ห่าง ๆ ก็รีบบอกว่านชิงอีทันที “คุณหนูมีคนสะกดรอยตามเจ้าค่ะ เอาอย่างไรดีเจ้าคะ?” ว่านชิงอีรับรู้ก็หันไปบอกฮุ่ยเจียง “ฮุ่ยเจียงมีคนสะกดรอยตาม บอกให้องครักษ์ระวังตัว” ฮุ่ยเจียงร้องบอกองครักษ์ที่อยู่ด้านหน้า พวกเขาพอรู้เช่นนั้นก็รีบควบม้าให้เร็วขึ้น เพราะระยะทางห่างจากเมืองหลวงพอสมควร และค่อนข้างเปลี่ยวหากคนร้ายมากันหลายคน คาดว่าคงสู้ไม่ไหว แล้วก็เป็นจริงตามคาดด้านหน้ามีกองกำลังจำนวนหนึ่งยืนรออยู่ พอหันไปด้านหลังก็มีกองกำลังชุดดำอีกหนึ่งชุด ประกบหน้าประกบหลังเช่นนี้เห็นทีว่าคงรอดยาก องครักษ์ที่ขับรถม้าจึงรีบส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือขึ้นทันที “ท่านหญิงมีคนร้ายทั้งหน้าและหลังเลยพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ด้านหน้ารีบตะโกนบอกด้วยความกังวล ว่านชิงอีเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อย พวกคนชั่วคงคิดกำจัดนางแล้วสินะ “ปิงปิงพาวิญญาณไปจัดการ” “เจ้าค่ะ” ปิงปิงทะยานออกไปทันที แต่ไม่นานก็กลับมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล “คุณหนูพวกข
เสียงผลักประตูเข้ามา ทำให้หมอที่กำลังทำคลอด หันมามองว่านชิงอีด้วยความไม่พอใจ นางเป็นใครเหตุใดช่างไร้มารยาทเช่นนี้ อยู่ ๆ เปิดประตูเข้ามาไม่รู้หรืออย่างไรว่า ห้องสตรีทำคลอดห้ามผู้ใดเข้ามารบกวน “ท่านเป็นใคร!เหตุใดช่างไร้มารยาท ท่านหมอกำลังทำคลอดอยู่ไม่เห็นรึ?” ผู้ช่วยหมอทำคลอดหันมาตวาดใส่ว่านชิงอีทันที แต่มีหรือว่านชิงอีจะใส่ใจ นางพุ่งสายตาไปที่ร่างของสตรีที่กำลังนอนร้องด้วยความทรมาน เหนือร่างของนางมีวิญญาณของสตรีนางหนึ่ง ที่ท้องแก่ใกล้คลอดกำลังจับขาของทารกเอาไว้ “คุณหนูนั่นมันผีตายทั้งกลมนี่เจ้าคะ” ปิงปิงรีบร้องบอกว่านชิงอีด้วยความตกใจ วิญญาณตนนั้นหันมามองว่านชิงอีด้วยสายตาแข็งกร้าว “ปล่อยขาของเด็กเถิด เจ้าเจ็บแค้นที่ตัวเจ้าไม่สามารถคลอดลูกจนตายทั้งกลม แล้วจะมาทำให้ชีวิตผู้อื่น เป็นเหมือนชีวิตของเจ้าอย่างนั้นหรือ? เห็นแก่ตัวไปหรือไม่?” ว่านชิงอีเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น เพราะนางคิดว่าวิญญาณตนนี้น่าจะเกลี้ยกล่อมได้ “เจ้าไม่รู้อะไรก็อย่ามายุ่ง ข้าไม่มีทางปล่อยให้นางคลอดลูกได้แน่ ยังไงวันนี้นางต้องตายไปพร้อมกับลูกของนาง” ว่านชิงอีได้ยินเช่นนั้น ก็ก้าวเข้าไปจับมือของฮูหยินเซียวทันที เพราะไ
ทางด้านจ้าวลัทธิซิ่วเป่าในระหว่างทำพิธีอยู่นั้น จู่ ๆ แท่นบูชาก็เกิดไฟก็ลุกไหม้ขึ้นมา เขาเองก็ตกใจไม่คาดคิดว่า ไฟจะลุกขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือว่าวิญญาณที่ส่งไปจะทำไม่สำเร็จ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สองดวงวิญญาณยังไม่กลับมา ช่วงนี้วิญญาณที่เขาส่งไปไม่เคยได้กลับมา ครั้งนี้ก็เช่นกัน ท่านหญิงจวินจู่นอกจากนางจะพูดคุยกับวิญญาณได้แล้ว นางยังมีความสามารถอื่นอีกหรือไม่? เรื่องนี้เขาต้องหาทางสืบให้กระจ่าง หากวิธีดึงวิญญาณข้างกายนางมาไม่สำเร็จ ก็คงต้องคิดหาวิธีอื่น อย่างเช่นฆ่านางทิ้งเสีย อย่างที่นายหญิงโจวเหม่ยหลิงได้บอกเอาไว้ ซึ่งวิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เขาทำงานรับใช้ตระกูลโจวมาอย่างยาวนาน มีเงินมีทองใช้และมีชีวิตที่ดีขึ้น ก็เป็นเพราะได้ตระกูลโจวให้ความช่วยเหลือ แลกกับการที่เขาใช้วิชาอาคมกับวิญญาณ ให้ไปทำร้ายคนที่คิดขัดขวางผลประโยชน์ของตระกูลโจว การค้าของตระกูลโจวนั้นมีมากมาย ดังนั้นนายใหญ่อย่างโจวเหม่ยหลิง จึงดึงขุนนางหลายคนมาเป็นพรรคพวก แลกกับผลประโยชน์อันมหาศาลที่จะได้รับ และสามตระกูลใหญ่คือตัวเลือก ซึ่งก็ร่วมงานกันอย่างราบรื่นเป็นอย่างดี จวบจนมีท่านหญิงจวินจู่โผล่ขึ้นมา ฟังดู
ดึกสงัดในค่ำคืนเดือนมืด ว่านชิงอีและพี่สาวอีกสองคนของนางก็ยังไม่พากันเตรียมตัวเข้านอน เพราะว่านชิงอีไหว้วานให้พี่สาวทั้งสอง ช่วยพับยันต์ที่นางเขียนขึ้นมามากมาย เพราะอีกไม่นานจะเป็นเทศกาลปีใหม่ ว่านชิงอีจึงอยากจะทำไว้แจกผู้คน แต่ในความรู้สึกส่วนตัวลึกๆ นางมีลางสังหรณ์ว่าจะมีเรื่องราวไม่ดีเกิดขึ้น นางจึงคิดว่าหากมียันต์ป้องกันภูตผีพกติดตัวกันเอาไว้ ก็อาจจะพอช่วยอยู่ได้บ้างแม้จะไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ว่านชิงอีปรายตามองปิงปิงที่นอนเล่นอยู่บนเตียงของนาง ส่วนดวงวิญญาณอีกสามดวงนั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง “เหตุใดเจ้าถึงต้องทำเยอะขนานนี้กัน? ว่านชิงหลานเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนั่งทำมาหลายชั่วโมงแล้ว เสี่ยวหมานพยักหน้าเห็นด้วยที่ เพราะนางก็เริ่มเมื่อยมือเช่นเดียวกัน “งั้นพี่ใหญ่พี่รองก็ไปนอนเถิดเจ้าค่ะ วันหลังคอยมาพับใหม่” ว่านชิงอีมองเห็นความเหนื่อยล้าของพี่สาวทั้งสอง จึงรีบบอกให้ไปพักผ่อนเสียง “ถ้าเช่นนั้นข้าไปก่อนนะ” ว่านชิงหลินและว่านชิงหลานรีบเอ่ยลา เพราะร่างกายเริ่มล้าและง่วงนอนเต็มที หลังจากพี่สาวของนางจากไปไม่นาน จู่ ๆ ลมก็พัดอย่างรุนแรงคล้ายจะมีลมฝน แต่กลิ่นที่มาพร้อมกับล