หลังจากตั้งจิตอฐิษธาน ว่านชิงอีก็เปิดย่ามออกมาดูว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือไม่ ปรากฏว่ามีหนังสือจีนโบราณอยู่เล่มหนึ่ง ที่ค่อนข้างเก่ามากมองแทบไม่เห็นตัวหนังสือ ว่านชิงอีค่อย ๆ หยิบหนังสือเล่มนั้นออกมา แล้วเริ่มเปิดดูด้านในมีกระดาษสอดเอาไว้ นางจึงหยิบมาเปิดอ่าน ก่อนจะตาเบิกกว้าง นี่มันลายมือของพ่อ
“ลูกรักนี่เป็นหนังสือที่แม่ของเจ้าไปเจอมาจากร้านของเก่า เป็นตำราวิชาเดชคัมภีร์ปราณมรณะ แม่ของเจ้าชอบดูซีรี่ย์จีนโบราณมาก จึงได้ซื้อติดมา พ่อคิดว่าเจ้ามีความผูกพันกับวิญญาณ วิชานี้อาจเหมาะกับเจ้า รักษาตัวด้วย” พอว่านชิงอีอ่านจบก็บอกไม่ถูกว่า จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี วิชาเดชคัมภีร์ปราณมรณะ วิชานี้ฟังดูแปลกมาก ไม่ใช่ฝึกเสร็จนางจะมรณะตามชื่อหรอกนะ เฮ่อแต่ว่าก็ต้องลองดู พ่อกับแม่อุตส่าห์ส่งมาให้ทั้งที ว่านชิงอีเปิดหนังสืออ่านจนจบ ตัวหนังสือเป็นภาษาจีนแต่ไม่รู้ว่านางเข้าใจได้อย่างไร ทั้งหมดมีอยู่เจ็ดบท พอนางเริ่มอ่านบทแรกสร้อยประคำเจ็ดสีที่นางสวมอยู่ก็เริ่มเปล่งแสง นางมองด้วยความสนใจ เมื่อก่อนสร้อยประคำเส้นนี้ไม่เคยเปล่งแสงออกมาเลย หรือว่าสร้อยเส้นนี้จะเชื่อมโยงกับวิชาในหนังสือเล่มนี้กันนะ สีแรกที่เปล่งแสงออกมาคือสีแดง บทที่สองเป็นสีส้ม บทที่สามเป็นสีเขียว บทที่สี่สีน้ำเงิน บทที่ห้าสีม่วง บทที่หกสีเงิน บทที่เจ็ดคือสีทอง จากนั้นสีทั้งเจ็ดที่เป็นดั่งสายรุ้ง ก็หมุนไปรอบๆ ตัวของว่านชิงอี ก่อนจะค่อย ๆ จางหายไป ว่านชิงอีรับรู้ถึงพลังปราณที่ไหลเวียนทั่วร่างกาย ก่อนจะยกมือขึ้นมาพนมอีกครั้ง “ขอบคุณท่านพ่อขอบคุณท่านแม่ ข้าสัญญาว่าจะใช้ความสามารถที่มีช่วยเหลือผู้คนจากคนชั่วเจ้าค่ะ” ปิงปิงที่นั่งมองเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่บนเตียงของว่านชิงอี ระบายยิ้มด้วยความพอใจ ต่อไปคุณหนูก็จะเก่งกาจเหนือใคร พวกคนชั่วพวกเจ้ารอหน่อยนะข้ากับลูกพี่ของข้ากำลังจะไปหาในไม่ช้า จวนตระกูลโจว โจวเหม่ยหลิงหลังจากฟังรายงานจากจ้าวลัทธิซิ่วเป่า ก็ถึงกับตกตะลึงเป็นไปได้อย่างไรที่เด็กคนนั้น นอกจากจะมีความสามารถเหฺ็นวิญญาณแล้ว ยังมีวิชาเวทมนตร์อาคมอีกด้วย เรื่องนี้เหลือเชื่อเกินไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรนางก็เก็บเด็กคนนั้นไว้ไม่ได้ ยิ่งนางมีความสามารถก็ต้องรีบกำจัด “หากนางมีวิชาอาคม ท่านคิดว่าจะมีความสามารถรับมือกับนางหรือไม่?” โจวเหม่ยหลิงเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ข้าจะเรียกน้องสาวมาช่วยอีกแรง ข้าไม่รู้ว่าความสามารถนางมีมากเท่าใด คราวหน้าหากลงมือเราจะประมาทฝีมือนางไม่ได้เด็ดขาด” “เห็นทีว่าข้าต้องเรียกทีมสังหารมาช่วยอีกแรง ท่านกับน้องสาวก็ใช้วิชาอาคม จากนั้นก็ให้ทีมสังหารเข้าโจมตี ข้าไม่อยากให้เรื่องนี้ผิดพลาดอีกแล้ว เด็กสาวเพียงคนเดียวทำให้ข้าเสียเวลาเกินไปแล้ว เหว่ยอ๋องอีกคนข้าต้องหาทางกำจัดเขาให้ได้ ว่าแต่คืนนี้ท่านจะนอนค้างกับข้าที่นี่หรือไม่?” โจวเหม่ยหลิงกล่าวจบก็ลุกมานั่งบนตักของเขา ก่อนจะยกมือขึ้นมาคล้องคอของจ้าวลัทธิ “นายหญิงเดี๋ยวมีคนมาเห็นขอรับ” “เห็นก็ช่างปะไรใครสนกัน จวนนี้ใครใหญ่ทุกคนต่างรู้ดี สามีข้าเราต่างคนต่างอยู่มานานแล้ว เขาก็ไปหาความสุขของเขา ข้าก็หาความสุขของข้า ท่านไม่ต้องกังวลไปหรอก” โจวเหม่ยหลิงโน้มใบหน้าเขาเข้ามาใกล้ ก่อนจะบดจูบลงไปบนริมฝีปากหนาอย่างเร่าร้อน จางเจียวลู่ที่ยืนมองพฤติกรรมของโจวเหม่ยหลินอย่างไม่ใส่ใจ เขาและนางต่างแต่งงานกันเพราะผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย เขาไม่ได้รักนางและนางก็ไม่ไดรักเขา หลังจากเขาทำให้นางมีทายาทสืบสกุล ทั้งเขาและนางก็ต่างใช้ชีวิตในแบบของตน แต่ก็ดีเพราะเขานั้นมีรสนิยมการร่วมรักที่รุนแรง ช่วงมีอะไรกับโจวเหม่ยหลิน เขาก็ไม่ได้มีความชอบเรื่องร่วมรักที่แปลกประหลาดมากนัก แต่หลังจากเค้าเห็นพฤติกรรมของนาง ตัวเขากลับกลายเป็นคนที่เวลาเสพสมหรือร่วมรักกับใคร มักจะชอบเห็นสตรีได้รับความเจ็บปวด ซึ่งหลายต่อหลายครั้งสตรีก็ทนไม่ไหวเสียชีวิต นึกถึงเรื่องนี้เขาเองก็ห่างหายไปนาน ครั้งสุดท้ายเขาจำได้ว่า ได้ร่วมรักกับสตรีจากหอคณิกาชมจันทร์ บทรักครั้งนั้นเขาร่วมรักกับนางอย่างบ้าคลั่ง นางได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา จากนั้นเขาก็ยังไม่ได้ไปเยือนที่นั่นอีกเลย แต่วันนี้เขาเห็นการกระทำของโจวเหม่ยหลิงแล้ว ความรู้สึกอยากลงโทษสตรี จึงบังเกิดขึ้นมาในหัวของเขาขึ้นมาทันที แต่ว่าเขาต้องหาสถานที่แห่งใหม่ หอนางโลมชมจันทร์เขาทำสตรีตายไปห้าคนแล้ว หากกลับไปอีกครั้งคงไม่มีสตรีอยากไปหลับนอนกับเขา ถึงแม้ว่าเขาจะจ่ายหนักเพียงใดก็ตาม อีกอย่างเขาไม่อยากเสี่ยงถูกจับ แม้จะไม่มีใครมาแจ้งจับเขา แต่เขาก็ควรระมัดระวังตัวเอาไว้ บนถนนในเมืองหลวงยามตะวันใกล้ลับฟ้า วิญญาณลู่หลิ่งที่ออกมาเดินตรวจตรากับวิญญาณอีถง หลังจากจับตาดูตระกูลซูและตระกูลจาง สองวิญญาณก็ออกมาเดินเตร็ดเตร่แก้เบื่อ แต่สายตาของลู่หลิงก็ต้องไปสะดุดกับรถม้าที่นางจำได้ดีไม่เคยลืม ที่นางจำได้เพราะรถม้าประดับด้วยผ้าแพรสีม่วง และโคมไฟลายดอกโบตั๋นที่ห้อยไว้ด้านข้าง นางจดจำใบหน้าเขาไม่ได้มากนัก เพราะเขาสวมหน้ากากอยู่ตลอดเวลา จะเป็นชายชั่ววิปริตคนนั้นหรือไม่ นางต้องรีบไปแจ้งท่านหญิงก่อน “อีถงเจ้าไปแจ้งท่านหญิงว่าข้าพบคนคนนั้นแล้ว ข้าจะคอยจับตาอยู่ที่นี่ หากเจ้ากลับมาก็มาอยู่ตรงจุดนี้ เดี๋ยวขาจะตามเขาไป” “ได้ ๆ ข้าจะรีบไป แล้วจะรีบกลับมา” ณ จวนสกุลว่าน ว่านชิงอีนั่งเขียนยันต์อยู่ตรงริมระเบียง โดยมีเสี่ยวหมาน ฮุ่ยเจียง และห้าองครักษ์ช่วยกันพับยันต์ ที่นางที่เขียนขึ้นอย่างขะมักเขม้น ยามนี่ว่านชิงอีอารมณ์ดีร่าเริงเป็นที่สุด เพราะยามนี้นางมีความสามารถขึ้นมาอีกอย่างนั้นก็คือวรยุทธ นางไม่ต้องกังวลว่าองครักษ์จะต้องมาตาย เพราะต้องมาคอยปกป้องนาง ก่อนจะมีคนบ่าวมารายงานว่าเหว่ยอ๋องได้แวะมาหา ว่านชิงอีพยักรับรู้และให้เขาเข้ามาพบได้ เหว่ยอ๋องเมื่อมาถึงก็เห็นว่า ว่านชิงอีกำลังนั่งเขียนอะไรสักอย่างอยู่อย่างตั้งใจ ก็เดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ นาง แล้วหยิบแผ่นกระดาษขึ้นมาดู “นี่คือยันต์ที่เจ้าเขียนรึ เหตุใดถึงเขียนมากมายเช่นนี้?” “อีกไม่นานจะถึงเทศกาลปีใหม่ ผู้คนก็จะหลั่งไหลกันไปกราบไหว้ขอพรตามวัดต่างๆ หม่อมฉันเลยคิดจะทำยันต์ไว้แจกทุกคน แต่ว่าอาจจะทำไว้แต่อาจจะยังไม่แจกเพคะ หม่อมฉันมีลางสังหรณ์ว่า เทศกาลปีใหม่อาจมีคนใช้โอกาสนี้ สร้างเรื่องใส่ร้ายหม่อมฉันอีกครั้ง หลังจากที่ครั้งก่อนใส่ร้ายว่าหม่อมฉันเป็นปีศาจแล้วไม่สำเร็จ หากหม่อมฉันแจกยันต์ป้องกันออกไป พวกเขาอาจสร้างเรื่องแล้วโยนความผิดให้ได้เพคะ” “เจ้าคิดได้รอบคอบดี แล้วถ้าหากเจ้าไม่ได้แจกยันต์ แต่ก็ยังถูกใส่ร้าย แล้วเจ้าจะทำอย่างไร?” เหว่ยอ๋องมองใบหน้างามที่ยามนี้ ยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี เขาเห็นแล้วก็ยกยิ้มเอ็นดูในความสดใสของนาง “หม่อมฉันมีแผนเพคะแต่ต้องรอดูท่าทีของพวกเขาว่าจะมาไม้ไหน แต่ว่าท่านอ๋องหม่อมฉันมีเรื่องจะบอกพระองค์เพคะ” ว่านชิงอีเอ่ยขึ้น พร้อมยิ้มสดใสนัยน์ตาเป็นประกาย บ่งบอกว่านางมีความสุขมากเพียงใด เหว่ยอ๋องเห็นท่าทางของนาง ก็ใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก หากนางเกี้ยวเขาต่อหน้าทุกคนเขาจะทำอย่างไรดี “หม่อมฉันฝึกวรยุทธสำเร็จแล้วเพคะ ต่อไปก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาทำร้าย ท่านอ๋องดีใจมั้ยเพคะ?” เหว่ยอ๋องชะงักงันเมื่อได้ยิน เขาก็นึกว่านางจะ… “ดีใจสิ แล้วเจ้าไปฝึกวรยุทธกับผู้ใด?” “องครักษ์ฮุ่ยเจียงสอนหม่อมฉันเพคะ พอนางสอนปุ๊บหม่อมฉันก็เป็นวรยุทธทันทีเลยเพคะ เฮ่อ!ว่าที่ชายาของเหว่ยอ๋อง ช่างเก่งกาจเฉลียวฉลาดเสียจริง ๆ” ว่านชิงอีเอ่ยขึ้นอย่างเป็นเรื่องปกติทั่วไป ก่อนจะหยิบพู่กันมาเขียนยันตฺ์ต่อ ปล่อยให้เหว่ยอ๋องที่ยามนี้หัวใจเบ่งบาน หันหน้าหนีไปยิ้มให้กับดินฟ้าอากาศ เพราะทำตัวไม่ถูกหลังจากตั้งจิตอฐิษธาน ว่านชิงอีก็เปิดย่ามออกมาดูว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือไม่ ปรากฏว่ามีหนังสือจีนโบราณอยู่เล่มหนึ่ง ที่ค่อนข้างเก่ามากมองแทบไม่เห็นตัวหนังสือ ว่านชิงอีค่อย ๆ หยิบหนังสือเล่มนั้นออกมา แล้วเริ่มเปิดดูด้านในมีกระดาษสอดเอาไว้ นางจึงหยิบมาเปิดอ่าน ก่อนจะตาเบิกกว้าง นี่มันลายมือของพ่อ “ลูกรักนี่เป็นหนังสือที่แม่ของเจ้าไปเจอมาจากร้านของเก่า เป็นตำราวิชาเดชคัมภีร์ปราณมรณะ แม่ของเจ้าชอบดูซีรี่ย์จีนโบราณมาก จึงได้ซื้อติดมา พ่อคิดว่าเจ้ามีความผูกพันกับวิญญาณ วิชานี้อาจเหมาะกับเจ้า รักษาตัวด้วย” พอว่านชิงอีอ่านจบก็บอกไม่ถูกว่า จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี วิชาเดชคัมภีร์ปราณมรณะ วิชานี้ฟังดูแปลกมาก ไม่ใช่ฝึกเสร็จนางจะมรณะตามชื่อหรอกนะ เฮ่อแต่ว่าก็ต้องลองดู พ่อกับแม่อุตส่าห์ส่งมาให้ทั้งที ว่านชิงอีเปิดหนังสืออ่านจนจบ ตัวหนังสือเป็นภาษาจีนแต่ไม่รู้ว่านางเข้าใจได้อย่างไร ทั้งหมดมีอยู่เจ็ดบท พอนางเริ่มอ่านบทแรกสร้อยประคำเจ็ดสีที่นางสวมอยู่ก็เริ่มเปล่งแสง นางมองด้วยความสนใจ เมื่อก่อนสร้อยประคำเส้นนี้ไม่เคยเปล่งแสงออกมาเลย หรือว่าสร้อยเส้นนี้จะเชื่อมโยงกับวิชาในหนังสือเล่มนี้กันนะ สีแรกที่เปล
ไม่นานทุกคนก็มารวมตัวกันที่เรือนของท่านหญิงว่านชิงอี รัชทายาทเฟยหยางและองค์ชายซีห่าว ตามมาเพราะเป็นห่วงว่านางจะเป็นอะไรมากหรือไม่ แต่พอมาถึงก็เห็นว่านชิงอี นั่งพิงหัวเตียงพูดคุยอยู่กับเหว่ยอ๋อง พวกเขาก็ถอนใจด้วยความโล่งอก คนสกุลว่านทุกคนก็มารวมกันที่เรือนว่านชิงอีกันหมด เพื่อมาดูอาการของนางด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อเห็นนางนั่งคุยได้อย่างปกติ ก็แยกย้ายกันออกไป เพราะดูเหมือนนางจะมีเรื่อง ที่ต้องพูดคุยกับเหล่าเชื้อพระวงศ์ “ท่านอ๋อง องค์รัชทายาท องค์ชาย อยู่เสวยอาหารเย็นกันเสียที่นี่เถิดเพคะ เพราะว่าหม่อมฉันมีเรื่อง อยากจะปรึกษากับพวกท่านด้วยเพคะ” ว่านชิงอีกล่าวจบก็เตรียมตัวจะลงจากเตียง เพื่อมานั่งที่โต๊ะ เหว่ยอ๋องเห็นเช่นนั้นก็รีบอุ้มนางขึ้นมาทันที ก่อนจะเอ่ยถามนางอย่างอ่อนโยน “เจ้าจะไปนั่งที่โต๊ะหรือ?” “เพคะ” เหว่ยอ๋องจึงพานางเดินมาวางลงบนเก้าอี้ ก่อนที่เขาจะนั่งลงข้าง ๆ นาง รัชทายาทและองค์ชายกลอกตามองบน กับความเอาอกเอาใจต่อว่านชิงอี อย่างออกหน้าออกตาของเหว่ยอ๋อง ที่ดูจะมากขึ้นทุกวันโดยไม่สนใจสายตาผู้ใด ว่านชิงอีกวาดสายตามองทุกคน ก่อนจะเรียก ปิงปิง ตงไห่ อีถง ลูหลิ่ง และลู่กัง มาร่ว
พอจัดการทุกอย่างเสร็จ ว่านชิงอีก็กลับมาขึ้นรถม้าเตรียมตัวไปที่สำนักงานสืบสวน ระหว่างทางที่ไปค่อนข้างเปลี่ยว เพราะจวนหลังนี้อยู่ห่างจากในเมืองราวครึ่งก้านธูป ปิงปิงสังเกตเห็นว่ามีคนสะกดรอยตามอยู่ห่าง ๆ ก็รีบบอกว่านชิงอีทันที “คุณหนูมีคนสะกดรอยตามเจ้าค่ะ เอาอย่างไรดีเจ้าคะ?” ว่านชิงอีรับรู้ก็หันไปบอกฮุ่ยเจียง “ฮุ่ยเจียงมีคนสะกดรอยตาม บอกให้องครักษ์ระวังตัว” ฮุ่ยเจียงร้องบอกองครักษ์ที่อยู่ด้านหน้า พวกเขาพอรู้เช่นนั้นก็รีบควบม้าให้เร็วขึ้น เพราะระยะทางห่างจากเมืองหลวงพอสมควร และค่อนข้างเปลี่ยวหากคนร้ายมากันหลายคน คาดว่าคงสู้ไม่ไหว แล้วก็เป็นจริงตามคาดด้านหน้ามีกองกำลังจำนวนหนึ่งยืนรออยู่ พอหันไปด้านหลังก็มีกองกำลังชุดดำอีกหนึ่งชุด ประกบหน้าประกบหลังเช่นนี้เห็นทีว่าคงรอดยาก องครักษ์ที่ขับรถม้าจึงรีบส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือขึ้นทันที “ท่านหญิงมีคนร้ายทั้งหน้าและหลังเลยพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ด้านหน้ารีบตะโกนบอกด้วยความกังวล ว่านชิงอีเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อย พวกคนชั่วคงคิดกำจัดนางแล้วสินะ “ปิงปิงพาวิญญาณไปจัดการ” “เจ้าค่ะ” ปิงปิงทะยานออกไปทันที แต่ไม่นานก็กลับมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล “คุณหนูพวกข
เสียงผลักประตูเข้ามา ทำให้หมอที่กำลังทำคลอด หันมามองว่านชิงอีด้วยความไม่พอใจ นางเป็นใครเหตุใดช่างไร้มารยาทเช่นนี้ อยู่ ๆ เปิดประตูเข้ามาไม่รู้หรืออย่างไรว่า ห้องสตรีทำคลอดห้ามผู้ใดเข้ามารบกวน “ท่านเป็นใคร!เหตุใดช่างไร้มารยาท ท่านหมอกำลังทำคลอดอยู่ไม่เห็นรึ?” ผู้ช่วยหมอทำคลอดหันมาตวาดใส่ว่านชิงอีทันที แต่มีหรือว่านชิงอีจะใส่ใจ นางพุ่งสายตาไปที่ร่างของสตรีที่กำลังนอนร้องด้วยความทรมาน เหนือร่างของนางมีวิญญาณของสตรีนางหนึ่ง ที่ท้องแก่ใกล้คลอดกำลังจับขาของทารกเอาไว้ “คุณหนูนั่นมันผีตายทั้งกลมนี่เจ้าคะ” ปิงปิงรีบร้องบอกว่านชิงอีด้วยความตกใจ วิญญาณตนนั้นหันมามองว่านชิงอีด้วยสายตาแข็งกร้าว “ปล่อยขาของเด็กเถิด เจ้าเจ็บแค้นที่ตัวเจ้าไม่สามารถคลอดลูกจนตายทั้งกลม แล้วจะมาทำให้ชีวิตผู้อื่น เป็นเหมือนชีวิตของเจ้าอย่างนั้นหรือ? เห็นแก่ตัวไปหรือไม่?” ว่านชิงอีเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น เพราะนางคิดว่าวิญญาณตนนี้น่าจะเกลี้ยกล่อมได้ “เจ้าไม่รู้อะไรก็อย่ามายุ่ง ข้าไม่มีทางปล่อยให้นางคลอดลูกได้แน่ ยังไงวันนี้นางต้องตายไปพร้อมกับลูกของนาง” ว่านชิงอีได้ยินเช่นนั้น ก็ก้าวเข้าไปจับมือของฮูหยินเซียวทันที เพราะไ
ทางด้านจ้าวลัทธิซิ่วเป่าในระหว่างทำพิธีอยู่นั้น จู่ ๆ แท่นบูชาก็เกิดไฟก็ลุกไหม้ขึ้นมา เขาเองก็ตกใจไม่คาดคิดว่า ไฟจะลุกขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือว่าวิญญาณที่ส่งไปจะทำไม่สำเร็จ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สองดวงวิญญาณยังไม่กลับมา ช่วงนี้วิญญาณที่เขาส่งไปไม่เคยได้กลับมา ครั้งนี้ก็เช่นกัน ท่านหญิงจวินจู่นอกจากนางจะพูดคุยกับวิญญาณได้แล้ว นางยังมีความสามารถอื่นอีกหรือไม่? เรื่องนี้เขาต้องหาทางสืบให้กระจ่าง หากวิธีดึงวิญญาณข้างกายนางมาไม่สำเร็จ ก็คงต้องคิดหาวิธีอื่น อย่างเช่นฆ่านางทิ้งเสีย อย่างที่นายหญิงโจวเหม่ยหลิงได้บอกเอาไว้ ซึ่งวิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เขาทำงานรับใช้ตระกูลโจวมาอย่างยาวนาน มีเงินมีทองใช้และมีชีวิตที่ดีขึ้น ก็เป็นเพราะได้ตระกูลโจวให้ความช่วยเหลือ แลกกับการที่เขาใช้วิชาอาคมกับวิญญาณ ให้ไปทำร้ายคนที่คิดขัดขวางผลประโยชน์ของตระกูลโจว การค้าของตระกูลโจวนั้นมีมากมาย ดังนั้นนายใหญ่อย่างโจวเหม่ยหลิง จึงดึงขุนนางหลายคนมาเป็นพรรคพวก แลกกับผลประโยชน์อันมหาศาลที่จะได้รับ และสามตระกูลใหญ่คือตัวเลือก ซึ่งก็ร่วมงานกันอย่างราบรื่นเป็นอย่างดี จวบจนมีท่านหญิงจวินจู่โผล่ขึ้นมา ฟังดู
ดึกสงัดในค่ำคืนเดือนมืด ว่านชิงอีและพี่สาวอีกสองคนของนางก็ยังไม่พากันเตรียมตัวเข้านอน เพราะว่านชิงอีไหว้วานให้พี่สาวทั้งสอง ช่วยพับยันต์ที่นางเขียนขึ้นมามากมาย เพราะอีกไม่นานจะเป็นเทศกาลปีใหม่ ว่านชิงอีจึงอยากจะทำไว้แจกผู้คน แต่ในความรู้สึกส่วนตัวลึกๆ นางมีลางสังหรณ์ว่าจะมีเรื่องราวไม่ดีเกิดขึ้น นางจึงคิดว่าหากมียันต์ป้องกันภูตผีพกติดตัวกันเอาไว้ ก็อาจจะพอช่วยอยู่ได้บ้างแม้จะไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ว่านชิงอีปรายตามองปิงปิงที่นอนเล่นอยู่บนเตียงของนาง ส่วนดวงวิญญาณอีกสามดวงนั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง “เหตุใดเจ้าถึงต้องทำเยอะขนานนี้กัน? ว่านชิงหลานเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนั่งทำมาหลายชั่วโมงแล้ว เสี่ยวหมานพยักหน้าเห็นด้วยที่ เพราะนางก็เริ่มเมื่อยมือเช่นเดียวกัน “งั้นพี่ใหญ่พี่รองก็ไปนอนเถิดเจ้าค่ะ วันหลังคอยมาพับใหม่” ว่านชิงอีมองเห็นความเหนื่อยล้าของพี่สาวทั้งสอง จึงรีบบอกให้ไปพักผ่อนเสียง “ถ้าเช่นนั้นข้าไปก่อนนะ” ว่านชิงหลินและว่านชิงหลานรีบเอ่ยลา เพราะร่างกายเริ่มล้าและง่วงนอนเต็มที หลังจากพี่สาวของนางจากไปไม่นาน จู่ ๆ ลมก็พัดอย่างรุนแรงคล้ายจะมีลมฝน แต่กลิ่นที่มาพร้อมกับล