ซูหนี่ตื่นตั้งแต่ยังไม่สว่างนางรับล้างหน้าแปรงฟันเข้าครัวเตรียมอาหารไว้ให้ทุกคนแล้วสะพายตะกร้าขึ้นเขาไป นางกำลังจะเดินออกจากประตูบ้านอยู่แล้วแต่ จ้าวหนิงหลงกับเด็กแฝดทั้งสองก็โผล่หน้าออกมาจากเรือนทันที
"ทะ ท่าน ทำให้ข้าตกใจหมด" นางยกมือขึ้นลูบหน้าอก
"แล้วทำไมถึงได้ตื่นเช้ากันเช่นนี้ เฉิงเออร์ อันเออร์ไปนอนต่อเถิดลูก" ซูหนี่เดินเข้าไปจูงมือเด็กน้อยจะพาเขากลับขึ้นเตียงนอน
"ท่านแม่พวกข้าจะไปกับท่าน" หนิงเฉิงพูดขึ้น หนิงอันพยักหน้าอย่างเห็นด้วยแม้เขาจะง่วงนอนแต่จะไม่ยอมเด็ดขาดวันนี้ต้องได้ไปกับท่านแม่
"ใช่ พวกข้าจะไปด้วย" เมื่อจ้าวหนิงหลงพูดจบ ซูหนี่ก็หันไปถลึงตาใส่เขา
"ท่านจะพาลูกไปทรมานเพื่อเหตุใด ข้าไปไม่นานก็กลับแล้ว" จ้าวหนิงหลงเดินเข้ามาดึงตะกร้าไปจากนางแล้วอุ้มเฉิงเออร์ขึ้นเดินออกไป
"เดี๋ยวก่อน ข้าจะเตรียมอาหารไปด้วย" ซูหนี่รีบวิ่งเข้าไปจัดอาหารใส่ปิ่นโตเพื่อเตรียมขึ้นเขา หนิงหลงเห็นว่านางต้องอุ้มหนิงอันด้วยเขาจึงนำอาหารไปใส่ไว้ในตะกร้าด้านหลัง
ซูหนี่ถอนหายใจอย่างปลงตก นางอุ้มอันเออร์ขึ้นแนบอกให้เขาได้นอนต่ออีกหน่อย ทั้งสี่คนมุ่งหน้าขึ้นเขา โดยช่วงแรกเป็นหนิงหลงที่เดินนำ พอถึงทางแยกนางก็เปลี่ยนมาเป็นคนนำแทน เมื่อเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ หนิงหลงยังแปลกใจที่นางใจกล้าเดินขึ้นเขาคนเดียวแล้วยังแยกมาทางที่ชาวบ้านไม่มากัน
"เจ้ามาไกลถึงเพียงนี้ทุกครั้งเลยหรือ"
"หากไม่เดินลึกเข้าไปไหนเลยจะเหลืออะไรไว้ให้เก็บไปกินได้ สัตว์ป่ารอบนอกกับชั้นกลางก็แทบจะไม่มีเหลือแล้ว หากจะหาเนื้อให้ลูกก็ต้องเข้าไปที่ชั้นในเท่านั้น"
"แล้วเจ้าไม่กลัวเสือหรือหมีเลยหรือ" ซูหนี่หันไปมองค้อนเขา เข้าป่าจะพูดถึงเสือเพื่อสิ่งใด
"ไม่เคยเจอ ทางนี้ไม่นับเป็นป่าชั้นใน เป็นเพียงป่าชั้นกลางแต่อยู่คนละด้านกับหมู่บ้านเท่านั้น" หนิงหลงมองนางอย่างพิจารณา ซูหนี่คนเดิมไม่มีทางคิดเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน
"พักก่อนดีหรือไม่" เขาเห็นนางพูดไปหอบไป เหงื่อออกเต็มหน้าผาก
"ไม่ ไม่เป็นไร ด้านหน้า ก็ถึงแล้ว" เป็นจริงอย่างที่นางว่าเดินต่อไปไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ถึงแล้ว (1เค่อ = 15 นาที)
ซูหนี่ค่อยๆนั่งลงเพราะในอ้อมแขนนางหนิงอันยังคงหลับอยู่ หนิงหลงส่งน้ำให้นาง นางกล่าวขอบคุณเขาเบาๆ
"ท่านหิวแล้วหรือไม่ข้าจะเตรียมอาหารให้ก่อน" เพราะตอนนี้เลยเวลาที่พวกเขากินมื้อเช้ากันมาแล้ว
"รอลูกตื่นก่อนก็ได้" นางถอดเสื้อตัวนอกออกแล้วนำไปปูที่ใต้ต้นไม้เพื่อให้หนิงเฉิงและหนิงอันนอนรอ
"เจ้าทำอันใด" หนิงหลงที่หันมาเห็นก็พูดเสียงเข้มขึ้น
"ก็รองพื้นให้ลูกนอนสบายๆไง" เขาอยากจะจับนางมาตีนัก ที่ไม่ระวังตัวเลยหากอยู่ต่อหน้าบุรุษอื่นแล้วนางทำเช่นนี้แค่คิดเขาก็ปวดหัวแล้ว แบบนี้ยิ่งปล่อยนางไปใช้ชีวิตคนเดียวไม่ได้ หากนางไม่ใช่ซูหนี่คนเดิมมีความเป็นไปได้ที่นางจะไม่กลับบ้านเดิมของนาง
"ไม่ต้อง ข้าจัดการเอง" หนิงหลงถอดเสื้อตัวนอกของเขาแทน แล้วว่างลูกทั้งสองลงไปนอน
ซูหนี่เริ่มขุดถั่งเช่า โดยมีหนิงหลงยืนมองอยู่ข้างๆ
"เจ้ากำลังขุดสิ่งใด" นางโบกมือเรียกให้เขามาดูใกล้ แล้วส่งถั่งเช่าให้เขาดูพร้อมสอนว่าต้องขุดอย่างไรไม่ให้เสียหาย
"เจ้ารู้จักสิ่งนี้ได้อย่างไร" หนิงหลงเคยเห็นถั่งเช่าในตำราแพทย์ที่เขาเคยศึกษาในช่วงสั้นๆตอนที่ท่านย่าป่วย แต่เขานึกไม่ถึงว่านางจะรู้จักด้วย
"เห็นว่าแปลกดีก็เลยจะลองนำไปขายที่ร้านยา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะรับซื้อหรือเปล่า" เขารู้ว่านางโกหกแต่ไม่ได้พูดออกมา หนิงหลงเขยิบเขาไปใกล้ซูหนี่อย่างแนบเนียน เขาได้กลิ่นกายของนางซึ่งต่างจากกลิ่นของซูหนี่คนเดิม หากชายใดได้กลิ่นนี้คงจะลุ่มหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น
"ใกล้เกินไปแล้ว" ซูหนี่พูดขึ้นเมื่อหนิงหลงซ้อนตัวอยู่ด้านหลังของนาง จนลมหายใจของเขาเป่ารดต้นคอของนาง นางหดคอลงอย่างขนลุก
"สามีภรรยากันจะใกล้ชิดกันก็เป็นเรื่องปกติ" หนิงหลงกดเสียงต่ำลงเพื่อปกปิดอาการเขินอาย
"เหอะ ท่านเกลียดข้าปานนั้น แล้วเราก็หย่ากันแล้วจะพูดเรื่องสามีภรรยากันได้อย่างไร" หนิงหลงลืมไปเลยว่าเขาเขียนหนังสือหย่าให้นางไปแล้ว
"ตอนนี้เจ้ายังอยู่เรือนเดียวกับข้า คนนอกมองมาก็ยังคงเป็นภรรยาข้าอยู่"
"ไม่ต้องสนคนนอก หากเจ้าจะสานต่อกับลี่อินก็ทำได้เลย ข้าไม่ว่าอันใด" นางโบกมืออย่างไม่สนใจ
"อย่าพูดถึงลี่อินอีก ข้ากับนางไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว" น้ำเสียงของเขาเริ่มแสดงออกมาไม่พอใจ ซูหนี่ก็ค้านที่จะสนใจ
"ได้ได้ ข้าไม่พูดถึงนางในดวงใจเจ้าแล้ว มาช่วยขุดสิ จะได้รีบกลับ" เขาอยากจะบอกกับนางว่าลี่อินไม่ใช่นางในดวงใจของเขา แต่เขาก็ไม่ได้พูดออกไป
ทั้งสองขุดไม่ได้ไม่นานหนิงเฉิงกับหนิงอันก็ตื่นนอน ซูหนี่จึงพาเด็กทั้งสองไปล้างหน้าบ้วนปากที่ริมลำธาร จากนั้นนางก็เตรียมอาหารให้พวกเขาได้กิน เพราะนางกินมาแล้ว จึงเดินไปขุดต่อ เพราะเหลืออีกไม่มากแล้วจะได้รีบกลับกัน หากนางมาเองอาจจะไม่รีบเช่นนี้แต่เป็นเพราะหนิงเฉิงกับหนิงอันมาด้วยนางจึงต้องเร่งมือให้เร็วขึ้น
หนิงหลงที่เรียกให้นางพักก่อนแต่นางไม่ยินยอมเขาจึงรีบกินข้าวเพื่อจะได้ไปช่วยนางอีกแรง ถั่งเช่าไม่ได้ขุดยาก แต่ที่ยากคือต้องคอยมองหาว่ามันอยู่ตรงไหน ซูหนี่ปล่อยให้หนิงหลงขุดไปก่อน นางเก็บจานชามไปล้างแล้วกำชับให้หนิงเฉิง หนิงอันนั่งเล่นกันในสายตาของนาง นางจึงไปขุดต่อ
"กลับเลยดีหรือไม่" หนิงหลงที่เห็นนางขุดไปมองเด็กทั้งสองไปก็เห็นใจ หากนางมาคนเดียวคงไม่ต้องพะวงถึงเพียงนี้ เป็นเขาที่อยากจะตามมาเอง
"ท่านไปนั่งกับลูกได้หรือไม่" ซูหนี่เอ่ยถามเขาขึ้น เขารู้ว่านางเป็นห่วงหนิงเฉิงกับหนิงอันมากกว่ามารดาแท้ๆของเด็กน้อยอีก หนิงหลงเรียกเด็กทั้งสองให้เดินมาหาตน พร้อมทั้งขุดไปแล้วสอนเขาไปด้วย ซูหนี่จึงขุดได้เร็วขึ้นเพราะไม่มีเรื่องให้ห่วงแล้ว
เมื่อนางเห็นว่าใกล้มื้อเที่ยงแล้วจึงจะเดินออกไปหาอะไรให้พวกเขากิน อาหารที่นำมาก็หมดลงไปแล้ว
"ท่านอยู่กับลูกก่อนเดี๋ยวข้ามา ห้ามเดินไปไหนเด็ดขาด" เพราะนางหยิบธนูไปด้วยเลยกลัวว่าหากเกิดอะไรขึ้นเขาจะไม่มีอาวุธป้องกันตัว
หนิงหลงหัวเราะเสียงเบากับท่าทางจริงจังของนาง นางคงลืมไปว่าเขาเป็นบุรุษ ถึงจะเก่งขนาดฆ่าเสือไม่ได้แต่เขาก็มีวรยุทธ์มากพอที่จะปกป้องครอบครัวของตน
ซูหนี่เดินออกไปไม่ไกลนางก็พบกับไก่ป่าลูกธนูในมือสามดอกเตรียมขึ้นสายทีละดอกลูกธนูพุ่งออกไปเข้าเป้าทุกดอก ไก่ป่าอวบอ้วนสามตัวก็ได้มาอยู่ในมือนาง แต่นางก็ยังคงหาไข่ป่าด้วย เด็กๆต้องได้กินไข่ทุกวันถึงจะดี
นางเอาเสื้อห่อไข่ไว้แล้วรีบเดินกลับไปที่พวกเขารออยู่ หนิงหลงก่อกองไฟเตรียมไว้แล้วเขารู้ว่านางต้องได้อะไรติดมือมา ไม่ใช่ว่าเขาจะล่าสัตว์ไม่เป็นแต่เป็นเพราะนางอยากทำสิ่งใดเขาก็ไม่จำเป็นจะต้องเข้าไปห้าม และเขาก็อยากจะรู้ว่านางมีความสามารถมากขนาดไหน จากที่เขาเห็นดูเหมือนนางจะทำเป็นแทบจะทุกอย่าง
องค์รัชทายาทจ้องมองจ้าวหนิงหลงอย่างขอร้อง จ้าวหนิงหลงถอนหายใจก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง เขารู้เรื่องเจ้าเมืองหานกับสิ่งที่บุตรสาวของเขาทำแล้ว แต่อยากจะรู้ว่าองค์รัชทายาทจะทำอย่างไร แต่เรื่องที่บุตรสาวของตนเสียใจเป็นเรื่องจริง บิดาอย่างเขาทนเห็นไม่ได้เขาเลี้ยงนางมาแทบจะอมไว้ในปาก หากนางต้องเจ็บปวดเช่นนี้เขายอมให้นางแต่งออกไปกับคนธรรมดาเสียดีกว่าองค์รัชทายาทที่ได้รู้เจียวเจียวอยู่ที่ใดก็ไม่รั้งรออีก เขารีบออกจากวังไปพบนางทันที "เจ้ารอรับราชโองการได้เลยหนิงหลง ครั้งนี้เจิ้นยังยอมให้อวี่เออร์ไม่แต่งอนุเข้าตำหนัก เจ้าก็คงต้องยอมถอยก้าวหนึ่งได้แล้วกระมัง" ฮ่องเต้ถลึงตาใส่จ้าวหนิงหลงอย่างไม่สบอารมณ์ซูหนี่กับซูฉีมองหน้ากันแล้วอมยิ้ม สุดท้ายก็ต้องยินยอมเช่นนี้ แล้วตาเฒ่าของตนจะดื้อด้านตั้งแต่แรกกันทำไมเซี่ยเฟยอวี่ที่ควบม้าเร็วโดยไม่หยุดพักตลอดสองชั่วยามก็มาถึงเรือนพักอากาศของตระกูลจ้าว เขาให้คนไปแจ้งจ้าวเหว่ยว่าบิดาเขาเรียกตัวกลับด่วน เพราะที่จวนเกิดปัญหา ส่วนตัวเขาได้รับอนุญาตให้มาแก้ไขเรื่องที่ซูเจียวเข้าใจผิดจ้าวเหว่ยแม้ไม่อยากจะเชื่อเซี่ยเฟยอวี่แต่ก็จับผิดเขาไม่ได้จึงรีบกลับจวน
เวลาสามปีที่ผ่านมา เซี่ยเฟยอวี่ส่งจดหมายมาไม่ได้ขาด จ้าวซูเจียวตอนนี้เป็นสาวสะพรั่ง ไม่ว่าจะก้าวเดินไปที่ใดล้วนแต่ได้รับความสนใจ จนหลังๆนางเบื่อสายตาที่แทะโลมของบุรุษกักขฬะที่ไม่กลัวบิดาของนางควักลูกตาทั้งหลาย จึงเลือกที่จะอยู่ในจวนหรือไม่ก็ไปเที่ยวเล่นที่ตำหนักองค์หญิงฟางเซียนที่ตอนนี้แต่งราชบุตรเขยจนมีท่านชายน้อยแล้ว"เจ้ารู้หรือยังว่าองค์รัชทายาทจะเสด็จกลับเมืองหลวงแล้ว" ฟางเซียนกล่าวกับซูเจียวที่หยอกล้อบุตรของตนอยู่ นางพยักหน้ารับรู้แต่มิได้พูดสิ่งใด เซี่ยเฟยอวี่ส่งข่าวให้นาง ตอนนี้เขาคงจะถึงกลางทางแล้ว แต่เรื่องคืนนั้นที่เขาลอบเข้ามาพบนางไม่มีใครรู้ และเรื่องที่นางติดต่อกับเขาก็มีเพียงคนในครอบครัวที่รู้เท่านั้น นางจึงไม่พูดออกไปวันที่เซี่ยเฟยอวี่เสด็จกลับถึงเมืองหลวง นางไม่ได้ไปรอรับเขา แต่ข่าวลือที่องค์รัชทายาทพาสตรีแดนเหนือกลับมาด้วยเรื่องนี้นางย่อมได้ยิน จ้าวหนิงหลงแทงจะเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่เขาอยากจะเข้าไปพังตำหนักขององค์รัชทายาทแต่ก็ทำมิได้ บุตรชายทั้งสี่เช่นกัน งานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาครั้งนี้จ้าวซูเจียวมิยอมไป จ้าวหนิงหลงกับซูหนี่เห็นเช่นนั้นก็ปวดใจ ทุกคนต่างรู้ว่าบุตรสา
องค์รัชทายาทเสด็จมาเยี่ยมดูอาการของซูเจียวทุกวันแต่นางไม่ให้เขาเข้าพบ มีเพียงพี่ขายของนางที่หมุนเวียนออกมาต้อนรับเขาเท่านั้น เขาไม่เข้าใจว่านางทำเช่นนี้กับเขาเพื่ออันใดจนบุกเข้าไปถึงเรือนของนางเพื่อคำตอบซูหนี่สั่งให้บุตรชายทั้งสี่ของตนหลบทางให้องค์รัชทายาทเข้าไปพบจ้าวซูเจียว นางรู้ว่าบุตรสาวของตนเป็นเช่นเดียวกับตนหากเรื่องใดที่ไม่สมควรดึงดัน จ้าวซูเจียวจะถอยห่างทันที"เจียวเจียวเหตุใดเจ้าไม่ยอมพบหน้าข้า" เซี่ยเฟยอวี่มองนางในดวงใจอย่างปวดใจ นางหายป่วยมาเกือบเดือนแล้ว มิใช่ว่านางสบายดีตั้งแต่อาทิตย์แรกหรือ ทำไมต้องหลบหน้าตน"ถวายพระพรองค์รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันกลัวนำโรคไปติดพระองค์จึงไม่ได้ออกไปต้อนรับเพคะ" ท่าทีที่ห่างเหินทำให้เซี่ยเฟยอวี่ปวดใจจนแทบคลั่ง นางไม่เคยพูดเป็นทางการเช่นนี้กับเขาเลยสักครั้งเมื่ออยู่เพียงลำพัง แต่วันนี้นางขีดเส้นชัดเจนมิให้เขาล่วงล้ำเข้าไป"เจียวเจียว เจ้าอย่าได้ทำเช่นนี้กับข้า" เขาทนไม่ได้หากนางหันหลังให้เขา นางคือความสดใสเดียวในชีวิตของเขา"พระองค์เลิกดึงดันเถิดเพคะ ตำแหน่งที่พระองค์ต้องการมอบให้หม่อมฉัน หม่อมฉันรับไม่ไหวจริงๆ หากพระองค์ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ห
"เจียวเจียว" เสียงเด็กหนุ่มวัยสิบสองหนาว ร้องเรียกจ้าวซูเจียวเสียงดังลั่นเมื่อเดินผ่านประตูจวนตระกูลจ้าวเข้ามา เซี่ยเฟยอวี่ องค์รัชทายาท แขกประจำจวนตระกูลจ้าว"พี่อวี่" เสียงเด็กน้อยวัยแปดหนาวร้องเรียกพร้อมวิ่งมาหาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เด็กน้อยตากลมโต ความงามที่หากนางเป็นที่สองในเมืองหลวงคงหาที่หนึ่งมิได้ นอกจวนจะลือว่านางอ่อนแอเปาะบางเพียงใด แต่ความจริงแล้วนางแข็งแรง สดใสร่าเริง ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดที่นั่นล้วนแล้วแต่น่ามองไปเสียทุกอย่างองค์รัชทายาทในปีนี้ก็เริ่มมองหาพระชายาเพื่อหมั้นหมายแล้ว แต่เสนาบดีจ้าวยังคงมิใจอ่อนยอมให้เขาได้เข้าใกล้เจียวเจียวมากเกินไป วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาแอบหนีออกจากวังมาพบนาง เพียงได้เห็นรอยยิ้มของนาง ได้พูดคุย เรื่องต่างๆในวังที่แสนเบื่อหน่ายก็หายไปในพริบตาเพราะบิดาของนางไม่อยากให้บุตรสาวของตนโดนกักขังอยู่ในวังหลัง และไม่ต้องการให้ว่าที่บุตรเขยมีอนุหรือสาวใช้ข้างห้อง เมื่อมองตนเองแทบจะไม่มีความเป็นไปได้ที่จะได้ครอบครองตัวนางเมื่อจ้าวซูเจียวอายุได้สิบสามหนาว บิดาอย่างจ้าวหนิงหลงก็ขังนางไว้แต่ในจวนมิได้เสียแล้ว เจียวเจียวติดตามบิดามารดาและพี่ชายทั้งสี่เข้า
จ้าวหนิงหลงพาซูหนี่ไปบ้านพักตากอากาศนอกเมือง เขาทิ้งบุตรชายทั้งสี่ไว้ที่เรือน แม้เหว่ยเออร์จะโวยวายเพียงใด บิดาเช่นเขาก็ไม่ยอมใจอ่อนพามาด้วย อันเออร์มองน้องชายจอมโง่ที่ได้แต่ร้องไห้ ตัวเขาก็เคยผ่านมาแล้ว น้ำตาไม่ทำให้ท่านพ่อใจอ่อนเรือนสี่ประสานหลังใหญ่ที่เขาได้รับพระราชทานจากฝ่าบาท ห้อมล้อมไปด้วยขุนเขาและสายน้ำ สวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่ได้รับการดูแลอย่างดี บ่อแช่น้ำร้อนมีกว้างขวางพอให้คนนับสิบลงไปแช่ได้ แต่ตอนนี้คนที่แช่มีเพียงสองสามีภรรยาเท่านั้นจ้าวหนิงหลงที่แช่น้ำรอภรรยารักอยู่ก่อนแล้ว ซูหนี่แม้จะบอกว่านางคลอดบุตรออกมาแล้วสี่คน แต่เขายังคงหลงใหลในความงามของนางอยู่เช่นเดิม ร่างกายทรวดทรงส่วนเว้าสวนโค้งของนางงดงามดั่งภาพวาด ยิ่งนางเยื้องย่างก้าวเดินเข้ามา เหมือนกันทุกก้าวเดินของนางกระแทกลงไปที่ใจของเขาเพียงเห็นแค่นั้น จ้าวหนิงหลงก็ลุกพรวดขึ้นจากน้ำอุ้มซูหนี่ลงน้ำทันที ไม่ต้องรอให้นางเอ่ยปากอนุญาตเขาที่แทบจะอดกลั้นไม่ไหวก็จู่โจมเสียแล้ว บทรักอันร้อนแรงใต้น้ำได้เริ่มขึ้นอย่างไม่รู้จบ เสียงอันน่าอับอายที่ดังไปทั่วก็ไม่ต้องอดกลั้นกลัวใครได้ยิน บ่าวที่ติดตามมาก็เป็นคนเก่าที่รู้งานอย่างดีตอน
กว่าซูหนี่จะฟื้นขึ้นมาก็ผ่านมาสองวัน จ้าวหนิงหลงไม่ออกห่างจากนางเลย เขานั่งจับมือมองนางเช่นนั้นทั้งวันทั้งคืน เพราะกลัวว่าหากปล่อยมือนางเมื่อใดนางจะทิ้งเขาไปในที่ที่นางจากมา (ก็บอกแล้วว่ากลับไม่ได้แล้ว เห้อออ)เพียงลืมตาขึ้น ภาพแรกที่เห็น จ้าวหนิงหลงเริ่มมีหนวดขึ้นร่ำไร ดูดิบเถื่อนไปอีกแบบ "ท่านพี่" เสียงเบาราวยุงบินผ่านเรียกสติของจ้าวหนิงหลงให้กลับมาเขาดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด อยากจะหลอมนางให้อยู่ในกระดูกของเขา เมื่อซูหนี่บอกหิวน้ำ เขาถึงได้ปล่อยตัวนาง "ลูกละเจ้าคะ" "อยู่กับแม่นม เจ้าลุกไหวหรือไม่ กินอะไรเสียหน่อยแล้วข้าจะให้แม่นมพาลูกมาให้เจ้าดู" เขาเรียกให้คนยกอาหารมาให้ แล้วป้อนนางทีละคำ"ท่านต้องกินด้วย ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่กินแล้ว" นางรู้ว่าเขาคงไม่ยอมกินอะไรหรือลุกไปไหน นางลูบหน้าเขาอย่างปวดใจ เพียงสองวันเท่านั้นเขาดูซูบผอมไปเยอะจ้าวหนิงหลงต้องยอมกินกับนาง เขาป้อนนางคำตักใส่ปากตนเองคำ ตอนนี้อีกห้องที่แม่นมดูแลเด็กน้อยอยู่ เฉิงเออร์กับอันเออร์นั่งจ้องน้องสามกับน้องสี่ด้วยสายตาเคร่งขรึม เขาต้องกำราบน้องชายตั้งแต่เล็กๆ ยังไม่ออกมาก็ทำให้ท่านแม่เจ็บปวดจนแทบขาดใจ"พี่ใหญ่ ดูเจ้าสามเ