"ท่านจงสัญญากับข้าว่า ท่านจะไม่มีวันคิดทำร้ายหรือสังหารข้า นี่คือเรื่องเดียวที่ข้าอยากขอร้องท่าน"
นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและแววตาแฝงไปด้วยความสั่นไหว บอกตามตรงว่านางหวาดกลัวโลกใบใหม่แห่งนี้เหลือเกิน เพราะมันเป็นสถานที่ ที่ชะตาชีวิตของนางถูกกำหนดไว้แล้ว ด้วยปลายปากกาของคนเพียงหนึ่ง
มันเป็นโลกของนิยายที่นักเขียนได้สร้างขึ้นมาให้ จ้าวเยี่ยนฟาง ถูกสามีที่นางรักยิ่งกว่าสิ่งใด ลงมือสังหารนางได้อย่างเลือดเย็น..
หวงตงหยางมองหน้าภรรยาที่เขานั้นแสนจะเกลียดชังด้วยความรู้สึกบางอย่าง ภายในใจของเขารู้สึกสับสนอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน การที่ภรรยามาขอร้องเขาว่าอย่าสังหารนาง สำหรับสามีแล้ว เขาควรรู้สึกอย่างไรดี
นี่เขาชั่วช้าในสายตานางถึงเพียงนั้นเชียวหรือ..
"ได้สิข้าสัญญา"หวงตงหยางตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ แววตาของเขาวูบไหวเพียงครู่หนึ่งก่อนจะกลับมานิ่งเฉยดังเดิม
หรือว่าเป็นเพราะเหตุการณ์ในวันนั้น.. นางถึงได้แปลกไปจากเดิม
หลังจากวันนั้น แม่ทัพหวงตงหยางก็สั่งยกเลิกการกักบริเวณฮูหยิน เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าจ้าวเยี่ยนฟางจะรักษาสัญญาที่เคยพูดไว้เป็นอย่างดี นอกจากการมาขอให้เขาช่วยตรวจสอบบัญชีการใช้จ่ายภายในจวน เขาก็ไม่เคยเห็นหน้านางในเวลาอื่นอีกเลย
แม้แต่ตอนที่เขากลับมาจากงานหลังออกจากจวนไปเกือบอาทิตย์ นางก็ไม่โผล่หน้ามาต้อนรับหรือทักทาย เรียกได้ว่า จ้าวเยี่ยนฟางและหวงตงหยาง กลายเป็นเพียงคนที่อาศัยร่วมชายคาเดียวกันเท่านั้น มิได้มีความสัมพันธ์ใด ต่อกันเลยแม้แต่น้อย
หนึ่งเดือนก่อน
หวงตวงหยางเดินกระฟัดกระเฟียดกลับไปยังที่พำนักของตน ก่อนจะนั่งลงบนตั่งไม้สักอย่างไม่สบอารมณ์ เขานั้นรู้ดีว่าฮูหยินมิใช่คนที่นิสัยดีอะไรนัก แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่านางจะโหดร้ายถึงเพียงนี้
หลังจากที่สั่งโบยฮูหยินไปด้วยอารมณ์ของคนที่ขาดสติ เขาก็ได้แต่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ที่เรือนของตน โดยที่สั่งให้เจียวมิ่งองครักษ์คนสนิท เป็นคนไปส่งเหรินหลานเฟิงที่จวนสกุลเหริน
ร่างกายสูงใหญ่กำยำดูองอาจลุกขึ้นและเดินไปมาอยู่ภายในห้อง ด้วยความคิดที่สับสนวุ่นวาย
ป่านนี้นางจะโดนเฆี่ยนไปแล้วหรือยัง คงไม่หรอกกระมัง.. ใครจะไปกล้าเฆี่ยนตีหลานรักขององค์ฮองเฮากันเล่า เดี๋ยวนางก็คงใช้อำนาจของครอบครัวนาง มาขู่เข็ญคนของข้าเป็นแน่ คนเช่นนางใครจะกล้าลงโทษ
ในขณะที่หวงตงหยางกำลังจมอยู่ในห้วงความคิดของตน เจียวมิ่งก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของผู้เป็นนาย หวงตงหยางที่เห็นเช่นนั้นจึงได้หยุดนิ่งอยู่กลางห้อง ก่อนจะยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมากอดอก และกระแอมขึ้นมาเบา ๆ
"แม้แต่เจ้าก็ไม่เคาะห้องข้าก่อนเข้ามาแล้วรึ" เสียงทรงอำนาจพูดขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉยดั่งที่เคยเป็น
"ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยยืนเคาะประตูอยู่นานแล้วขอรับ พอเห็นว่าท่านมิได้ตอบ จึงถือวิสาสะเข้ามาเพราะคิดว่าท่านอาจมีปัญหาอันใดอยู่ ข้าน้อยไร้มารยาท ท่านแม่ทัพโปรดลงโทษด้วย" เจียวมิ่งค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อม มือทั้งสองข้างประสานกันด้วยความเคารพ
หวงตงหยางที่เห็นเช่นนั้นก็มิได้ต่อว่าอันใดต่อ เพราะเมื่อครู่เขากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก จึงไม่ทันได้สังเกตว่าเจียวมิ่งมายืนอยู่หน้าประตูตั้งนานแล้ว
"เจ้าไปส่งแม่นางเหรินแล้วใช่หรือไม่" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
"เรียนนายท่าน ข้าน้อยไปส่งแม่นางเหรินถึงที่เรือนอย่าปลอดภัยแล้วขอรับ"
"แล้ว..ฮูหยินล่ะ นางเป็นอย่างไรบ้าง ข้าเดาว่านางมิได้ถูกเฆี่ยนหรอกใช่หรือไม่ ปกติเวลาข้าจะสั่งลงโทษอะไรนาง นางก็มักจะเอาตำแหน่งหลานของฮองเฮามาขู่ตลอด จนมิมีผู้ใดกล้าลงโทษนาง ครั้งนี้ก็คงเหมือนเดิมอีกแล้วใช่หรือไม่" หวงตงหยางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายใจ แต่ทว่าสีหน้ากลับแฝงไปด้วยความกังวล หากนางถูกโบยห้าสิบไม้จริง ๆ มีหวังนางคงได้ตายแน่ ๆ ตัวนางเล็กและบอบบางเช่นนั้น ทนได้อย่างมากก็สองไม้นั่นแหละ
เมื่อเจียวมิ่งได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่อึกอักทำตัวไม่ถูก เขาไม่คิดว่าท่านแม่ทัพจะถามถึงฮูหยินหลังสั่งลงโทษไปเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน อีกอย่างตอนนี้ฮูหยินก็ถูกลงโทษเสร็จไปแล้ว แต่นายท่านกลับคิดว่าฮูหยินมิได้ถูกผู้ใดลงโทษ
นายท่านข้าน้อยไม่เข้าใจความคิดของท่านจริง ๆ เลยขอรับ สรุปแล้วท่านอยากลงโทษฮูหยินจริง ๆ หรือไม่..
"ว่าอย่างไรล่ะเจียวมิ่ง สรุปนางเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้ ถ้าให้ข้าเดาตอนนี้นางคงกำลังนอนกินขนมกุ้ยฮวาอย่างสบายใจอยู่บนเตียงใช่หรือไม่" หวงตงหยางถามขึ้นอีกครั้ง ทว่าคราวนี้สีหน้าและน้ำเสียงมีความกังวลแปดถึงเก้าส่วน
"เรียนนายท่าน ฮูหยิน..ถูกโบยครบทั้งห้าสิบไม้ขอรับ ตอนนี้ฮูหยินท่านสลบไปแล้ว ดูเหมือนว่าท่านจะมีไข้ขึ้นสูงด้วย ตอนนี้สาวใช้ของนางกำลังดูแลอยู่ขอรับ"
หวงตงหยางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตนนั้นได้ยิน จ้าวเยี่ยนฟางนางยอมให้ลงโทษจริง ๆ หรือ ขนาดเมื่อก่อนเขาสั่งกักบริเวณนางสองสามวันนางยังไม่สนใจคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย เขารู้เช่นนั้นแต่ก็ยอมปล่อยผ่านไปทุกรอบ แต่ไม่คิดว่าคราวนี้นางจะยอมถูกโบยจริง ๆ ..
"ไปตามหมอมา เดี๋ยวนี้เลย!!"
ปัจจุบัน
"เจียวมิ่ง เจ้าไปที่เรือนจงหยุน ไปดูซิว่าฮูหยินเตรียมตัวเสร็จหรือยัง หากนางพร้อมแล้วให้พาไปที่รถม้าได้เลย ข้าจะรออยู่ที่นั่น"เสียงทุ้มต่ำพูดขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบ ตัวเขาเองก็นึกสงสัยไม่น้อยเกี่ยวกับการเปลี่ยนไปของฮูหยิน
ช่วงนี้บ่าวไพร่ในเรือนก็อยู่กันอย่างสงบ เพราะมีนายหญิงคอยดูแลความเรียบร้อยเป็นอย่างดี แม้ตอนแรกพวกเขาจะสงสัยในการกระทำของฮูหยิน แต่พอเห็นถึงความตั้งใจจริงว่าท่านจะเปลี่ยนแปลงตนเอง เหล่าสาวใช้จึงพากันหันกลับมาเป็นกำลังใจให้กับจ้าวเยี่ยนฟาง
"ขอรับ"
องครักษ์หนุ่มมุ่งหน้าไปยังเรือนจงหยุนตามคำสั่งของแม่ทัพหวง และเมื่อเดินไปถึงบริเวณเรือนของฮูหยิน ก็เห็นว่าฮูหยินกำลังเดินออกมาพอดี
"ฮูหยิน ท่านแม่ทัพรอท่านอยู่ที่รถม้าขอรับ"
ดวงหน้างามพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินตามองครักษ์ไปยังรถม้า วันนี้เป็นวันที่นางต้องเข้าวัง เพื่อไปงานเลี้ยงวันพระราชสมภพของฮองเฮา และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่นางจะได้เข้าวัง
อาภรณ์สีฟ้าอ่อนปลิวไสวไปตามแรงลม เครื่องประดับเงินและไข่มุกห้อยระย้าพากันสั่นไหวในทุกย่างก้าวที่นางเดิน
จ้าวเยี่ยนฟางมุ่งหน้าตรงเข้าไปยังรถม้า ก่อนจะเห็นว่า หวงตงหยางกำลังนั่งรอนางอยู่ภายในรถม้า นางจำต้องนั่งกับเขาโดยที่รู้ว่า หวงตงหยางเองก็มิได้เต็มใจจะนั่งกับนางเช่นกัน
รถม้าค่อย ๆ เคลื่อนที่ออกจากจวนแม่ทัพ ไปยังพระราชวังอย่างช้า ๆ โดยระหว่างทาง คู่สามีภรรยาก็มิได้เอ่ยปากพูดคุยอะไรกัน จนกระทั่งใกล้ถึงพระราชวัง หวงตงหยางจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดขึ้นก่อน
"วันนี้เราก็ต้องเล่นละครให้ทุกคนเห็นว่าพวกเรารักใคร่กลมเกลียวกันดีใช่หรือไม่"
"มันจำเป็นด้วยหรือเจ้าคะ" จ้าวเยี่ยนฟางถามกลับอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดนางต้องแสดงละครเช่นนั้นด้วย
"เจ้าลืมแล้วหรือ ก็เจ้าเคยเป็นคนขอร้องข้าเองนี่" ดวงตาดำขลับจ้องมองสตรีตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ ตลอดเวลาสามปีที่แต่งงานกันมา จ้าวเยี่ยนฟางก็จะคอยขอร้องเขาในเรื่องนี้อยู่เสมอ เหตุใดจู่ ๆ นางทำเหมือนกับว่าลืมไปแล้วเสียอย่างนั้น
จ้าวเยี่ยนฟางกะพริบตาปริบ ๆ เมื่อได้ยินเขาตอบกลับเช่นนั้น นางก็จำได้ทันที ในความทรงจำที่นางรู้สึกได้ในจิตใต้สำนึกนั้น จ้าวเยี่ยนฟางมักจะขอร้องให้หวงตงหยางช่วยแสดงละครจริง ๆ
ตงหยางถือว่าข้าขอร้อง ไม่ว่าเจ้าจะโกรธเกลียดข้าอย่างไร ได้โปรดอย่าให้ข้าต้องอับอายต่อหน้าผู้คนเลย ช่วยแกล้งรักข้าหน่อยได้หรือไม่ แค่ตอนอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็ยังดี..
"อ่อ.. ข้าเคยพูดไว้จริงด้วย แต่ไม่เป็นไร จากนี้ไป ข้าจะไม่บังคับท่าน หากท่านไม่อยากทำ ก็ไม่ต้องทำ ใครจะคิดเช่นไรก็ปล่อยให้เขาคิดไป ข้ามิใส่ใจหรอก"
หวงตงหยางได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความประหลาดใจ เขารู้ดีว่าตอนนี้นางเปลี่ยนไปแล้ว เพียงแต่ว่าเขาไม่คิดว่านางจะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ นางเหมือนไม่ใช่ฮูหยินคนเดิมที่เขารู้จักเลยสักนิด
"เจ้าน่ะหรือมิใส่ใจ" สายตาคมยังคงจับจ้องมาที่นางอย่างไม่ลดละ เขาแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่หูของตนได้ยิน จ้าวเยี่ยนฟางผู้นั้นนะหรือ จะพูดกับเขาว่า หากไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ
"ใช่ ข้ามิใส่ใจ"
"เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า"
ผ่านไปราวหนึ่งเค่อ รถม้าก็เคลื่อนตัวมาจอดภายในพระราชวัง หวงตงหยางก้าวเท้าลงมาก่อน ก่อนที่จะยื่นมือไปให้จ้าวเยี่ยนฟางที่กำลังจะลงจากรถม้าจับ ตอนนี้มีสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่นางและหวงตงหยางอย่างใคร่รู้ ไม่ว่านางจะชอบหรือไม่ชอบ นางก็มิควรปฏิเสธน้ำใจของเขาที่นี่
ดวงตาคู่งามช้อนมองหน้าใบหน้าคมเข้มหวงตงหยางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจับมือเขาไว้ และก้าวลงจากรถม้าอย่างสง่างาม
"ขอบใจนะ" เสียงหวานเอื้อนเอ่ย พร้อมกับรอยยิ้มน้อย ๆ ของนาง หวงตงหยางแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนได้เห็น เมื่อยามที่ได้ยลดวงหน้านวลในระยะประชิดเช่นนี้ ลมหายใจพลันสะดุดเต้นตุบไม่เป็นจังหวะ ดวงตาเขาเบิกกว้างเล็กน้อยกับความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับใจของตน
ปกติแล้ว นางงดงามเช่นนี้หรือ..
เขาสะบัดหัวเบา ๆ เพื่อไล่ความคิดเช่นนั้นออกไป อย่าได้ไปหลงเปลือกนอกของสตรีที่ชื่อว่าจ้าวเยี่ยนฟางเชียว นางเป็นสตรีร้ายกาจเพียงใดเขาย่อมรู้ดีแก่ใจ
"รีบเข้าไปข้างในกันได้แล้ว ฮองเฮาคงจะรอเจ้าอยู่" หวงตงหยางแสร้งเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ เพื่อกลบเกลื่อนบางสิ่งที่เริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจตนแม้เพียงเสี้ยววิก็ตาม ก่อนจะเดินนำหน้าไปโดยที่ไม่หันกลับมามองสตรีข้างหลังอีก ในเมื่อวันนี้นางบอกว่าหากไม่อยากแสดงละครก็ไม่ต้องทำ เช่นนั้นเขาก็จะไม่ฝืนใจตนเองแสดงละครอย่างเช่นทุกครั้ง
จ้าวเยี่ยนฟางมิได้ตอบสิ่งใดกลับไป นางทำเพียงเดินตามหลังเขาไปอย่างเงียบ ๆ
ด้านในโถงจัดงานนั้นเต็มไปด้วยเหล่าขุนนางมากมายที่มาร่วมฉลองในวันคล้ายวันพระราชสมภพขององค์ฮองเฮา ภายในงานมีอาหารมากมายหลากหลายอย่างรวมถึงสุราชั้นดีจัดไว้สำหรับต้อนรับแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน
เหนือพระที่นั่งมีองค์ฮ่องเต้และฮองเฮาประทับอยู่ พระพักตร์ของทั้งสองพระองค์รื่นเริงผ่องใส พระโอษฐ์แย้มสรวลมากขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นว่า แม่ทัพหวงตงหยางพร้อมด้วยฮูหยิน เดินเข้ามาถวายบังคมพร้อมกล่าวถวายพระพรให้พระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี
"ไม่ต้องมากพิธี เงยหน้าขึ้นมาเถิด"
"ขอบพระทัยฝ่าบาท" หวงตงหยางและจ้าวเยี่ยนฟางกล่าวพร้อมกัน
"ฟางเอ๋อร์..เจ้ามานี่สิ" ฮองเฮาเอ่ยเรียกหลานสาวผู้น่ารักของตน เพราะนาน ๆ ทีจะได้เจอหน้าหลานสาวอันเป็นที่รัก จ้าวเยี่ยนฟางจึงเดินเข้าไปนั่งด้านข้างผู้เป็นป้าอย่างนอบน้อม
หวงตงหยางเห็นเช่นนั้น จึงขอตัวออกมาก่อน เพราะไม่อยากโดนฮองเฮาถามว่า เมื่อไหร่เขาและจ้าวเยี่ยนฟางจะมีลูกด้วยกัน หวงตงหยางรู้สึกกระอักกระอ่วนใจทุกครั้งในยามที่องค์ฮองเฮาเอ่ยถามเช่นนี้
แค่จะมองหน้านางเขายังไม่อยากทำ จะให้มีลูกด้วยกันได้อย่างไร เขาทำไม่ได้หรอก
จ้าวเยี่ยนฟางอยู่คุยกับองค์ฮองเฮาพักใหญ่ ก่อนท่านจะยอมปล่อยตัวนางออกมาร่วมงานเลี้ยงต่อ นางเดินไปนั่งข้าง ๆ หวงตงหยางด้วยท่าทีเรียบร้อย จากนั้นทั้งคู่ก็มิได้พูดคุยอะไรกันอีก
ภายในโถงงานเลี้ยงนั้น มีทั้งการแสดงโชว์ศิลปะต่าง ๆ รวมถึงสิ่งที่ขาดมิได้ อย่างการแสดงดนตรีและการร่ายรำ
จ้าวเยี่ยนฟางนั่งชมการแสดงเหล่านั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยแม้นจะตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็นนั้นอยู่ไม่น้อยก็ตาม อันที่จริงแล้วนางอยากอยู่ที่เรือนจงหยุนของตนเองเสียมากกว่า เพียงแต่ว่านางถูกสามีใจดำผู้นี้ลากตัวมาร่วมงานด้วย แม้ว่านางจะบอกเขาว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายอยู่ก็ตาม
ดวงตาคู่งามหันกลับไปมองค้อนใส่คนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีนางด้วยความขุ่นเคือง แต่ทว่าเขากลับกำลังอมยิ้มอย่างมีความสุขอย่างมิรู้ร้อนรู้หนาว นางขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหันตามไปยังที่ที่สายตาของหวงตงหยางจับจ้องอยู่
ซึ่งนั่นก็คือภาพของสตรีที่สวมอาภรณ์สีชมพูผู้หนึ่ง ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา และหากสังเกตดูดี ๆ จึงเห็นว่า สตรีผู้นั้นก็คือ เหรินหลานเฟิง นางหันกลับมามองหน้าหวงตงหยาง สลับกับเหรินหลานเฟิง ทั้งคู่ยิ้มให้กันอย่างอ่อนโยน
มิน่าล่ะ เขาถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เสียจนแก้มแทบปริ ทีกับข้าล่ะทำอย่างจะกินเลือดกินเนื้อกัน สองมาตรฐาน!
เมื่อจ้าวเยี่ยนฟางหันกลับไปมองหาสตรีที่ชื่อว่าเหรินหลานเฟิงอีกครั้ง ก็เห็นเพียงแค่ชายวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่เพียงคนเดียว ซึ่งนางคาดว่าเขาน่าจะเป็นพ่อของเหรินหลานเฟิง
นางหายไปไหนแล้วนะ เมื่อครู่ข้ายังเห็นนั่งส่งสายตาหวานให้หวงตงหยางอยู่เลย..
"ฮูหยิน เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อนนะ ข้าขอออกไปสูดอากาศข้างนอกสักหน่อย เดี๋ยวจะรีบกลับมา" หวงตงหยางพูดขึ้น ก่อนจะลุกออกไปในทันที เหลือเพียงจ้าวเยี่ยนฟางที่นั่งอยู่เพียงลำพัง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขากำลังจะไปไหน
เขาทำเหมือนกับข้าเป็นคนโง่ และทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องที่ข้าต้องสนใจอยู่แล้ว
แต่เพราะเหตุใด ข้าถึงได้รู้สึกอยากร้องไห้กันนะ..
"หยางหยาง เธอคนนั้นสวยเนอะนายว่ามั้ย" ลู่ฉือเฉิงใช้ศอกสะกิดเพื่อนรักของตัวเองด้วยความตื่นเต้น พลางใช้นิ้วชี้ไปยังผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่ยืนหันหลังอยู่ เธอสวมมินิเดรสสีครีม พร้อมกับรองเท้าส้นสูงแบรนด์ดัง ผมสีน้ำตาลอ่อนเหยียดตรงยาวจนถึงกลางหลัง ยิ่งมองดูยิ่งรู้สึกหลงใหล"อืม" เขาตอบกลับเพียงสั้น ๆ ทำเอาลูู่ฉือเฉิงถึงกับหน้ายู่ด้วยความผิดหวัง ทำไมเพื่อนของเขาถึงได้ทำตัวเหมือนกับก้อนหินแบบนี้ อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย ๆ กันแล้ว แต่เขายังไม่เคยเห็นเพื่อนสนิทคนนี้มีแฟนกับเขาเลยสักคน"นี่หยางหยาง ฉันถามนายจริง ๆ นาย..คงไม่ได้ชอบผู้ชายหรอกใช่มั้ย" ลู่ฉือเฉิงเอ่ยถามเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงที่ติดตลก"ฉันชอบผู้หญิงเหมือนกับนายนั่นแหละน่า" หวงตงหยางหรือที่เพื่อนสนิทเรียกว่าหยางหยางตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ อันที่จริงเขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับศิลปะเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าที่ยอมมาหอศิลป์เป็นเพื่อนเจ้าลู่ฉือเฉิง เพราะมีเรื่องเกี่ยวกับศิลปินท่านหนึ่งที่เขาจะต้องรู้ให้ได้..ชื่อของศิลปินคนนี้ เหมือนกับนางในฝันของเขา .."หยางหยางนายยังฝันแปลก ๆ อยู่ใช่มั้ย เพราะเธอคนนั้นหรือเปล่านายถึงไม่ยอมมีแฟนสักที" คำถาม
แสงไฟจากโคมระย้าคริสตัลส่องประกายระยิบระยับไปทั่วห้องโถงคอนโดหรู ผนังห้องสีครีมอ่อนประดับด้วยภาพวาดสีน้ำมันฝีมือประณีตที่บ่งบอกถึงรสนิยมอันเลิศหรูของเจ้าของห้อง เรือนร่างระหงยืนอยู่หน้าหน้าต่างบานใหญ่ เธอมองลงไปยังถนนด้านล่างที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนและยานพาหนะ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีจดหมายที่รอให้เธอเปิดอ่านวางรออยู่บนโต๊ะแขนเรียวเอื้อมมือไปหยิบซองจดหมายสีครีมที่วางอยู่บนโต๊ะข้างตัวออกมาเปิดอ่าน เนื้อหาภายในจดหมายแจ้งว่าเธอได้รับเชิญให้ไปจัดแสดงภาพวาดที่หอศิลป์แห่งหนึ่ง ริมฝีปากบางเผยอเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นและเดินไปยังมุมหนึ่งของห้องภาพวาดขนาดใหญ่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าสีขาวผืนหนึ่ง เรียวแขนเล็กค่อย ๆ ดึงผ้าคลุมออกอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นภาพวาดสีน้ำมันที่วิจิตรงดงาม สิ่งที่ปรากฏบนผืนผ้าใบก็คือรูปของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดจีนโบราณสีเปลือกไข่ เธอจ้องมองภาพนั้นด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่ทว่ามิอาจซ่อนความโศกเศร้าในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนได้ แพขนตางอนหลุบต่ำลงเล็กน้อย นิ้วมือเรียวลูบดวงหน้าคนในภาพอย่างทะนุถนอม ราวกับกำลังสัมผัสใบหน้าของผู้เป็นที่รัก..เสียงริงโทนเรียกเข้าดังขึ้น ทำให้เจ้าของดว
หวงตงหยางนอนกอดหมอนที่ฮูหยินเคยหนุนนอน ด้วยความโศกเศร้าที่ไม่อาจบรรยายได้ น้ำตาแห่งความคิดถึงไหลอาบแก้มของเขา หมอนใบนั้นยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของนาง กลิ่นที่เขาจะไม่มีวันลืมเลือนไปได้ตลอดชีวิตหวงตงหยางโอบกอดหมอนแน่นยิ่งขึ้น ราวกับว่านั่นคือสิ่งเดียวที่ยังเชื่อมโยงเขากับนางได้ นัยน์ตาเศร้าสร้อยหลับตาลงและปล่อยให้ความทรงจำอันแสนหวานไหลเวียนอยู่ในหัวใจ ภาพของนางที่ยิ้มแย้ม หัวเราะ และร้องไห้ปรากฏขึ้นในความคิดของเขา ภาพเหล่านั้นชัดเจนราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้แต่ความจริงแล้ว นางได้จากเขาไปแล้ว..หลังจากที่จ้าวเยี่ยนฟางสิ้นลมหายใจ หวงตงหยางก็รู้สึกราวกับว่าส่วนหนึ่งของตัวเขาได้ตายไปพร้อมกับนาง ความรู้สึกผิดและความเจ็บปวดทรมานหัวใจ ภาพที่นางโผเข้ามารับคมกระบี่แทนเขายังคงตามหลอกหลอนเป็นดั่งเงา ทำให้เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแต่กระนั้นเขาก็ยังตายไม่ได้ เพราะนางได้ยอมสละชีวิตเพื่อช่วยเขาเอาไว้ เขาจำต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปกับความรู้สึกผิดที่กดทับหัวใจตลอดเวลาคำพูดที่จ้าวเยี่ยนฟางพูดไว้วันนั้นก็เป็นดั่งคำสาป "โปรดมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุขนะเจ้าคะ" นางพูดด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มชี
"หลานเฟิง เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร" หวงตงหยางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรนัก"ข้าเคยบอกท่านแล้วว่า ข้าจะมิยอมตกนรกอยู่คนเดียว ในเมื่อข้ามิสามารถครอบครองท่านได้ จะใครหน้าไหนก็มิคู่ควรทั้งนั้น!!" บัดนี้ดวงหน้าที่เคยงดงามอ่อนหวาน ถูกไฟริษยาแผดเผาจนไม่เหลือชิ้นดี ความรักทำให้นางตาบอดงมงาย ชายที่นางหลงรักกลับเห็นนางเป็นเพียงแค่ของเล่น สตรีที่นางชิงชังที่สุดกลับมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของนาง!!"ปล่อยเยี่ยนฟางไป นางมิได้เกี่ยวอะไรด้วย หากเจ้าโกรธแค้นนักก็มาลงที่ข้า ข้าขอรับความโกรธแค้นของเจ้าไว้แต่เพียงผู้เดียว""ฮ่าๆๆๆ จนป่านนี้ท่านก็ยังปกป้องมัน ในวันที่ข้าจมน้ำ ข้ารู้ว่าท่านแสร้งทำเป็นลงโทษนาง เพื่อที่จะได้มิต้องส่งตัวนางให้ทางการใช่หรือไม่ ท่านมิเคยคิดเข้าข้างข้าอยู่แล้ว แล้วที่ผ่านมาท่านจะมาให้ความหวังลมๆ แล้งๆ กับข้าทำไม""..." หวงตงหยางนิ่งเงียบมิยอมตอบกลับอะไร จริงอย่างที่เหรินหลานเฟิงพูด เขารู้ดีว่าจ้าวเยี่ยนฟางร้ายกาจเพียงใด แต่อย่างไรนางก็เป็นภรรยาที่รักและซื่อสัตย์ต่อเขาเพียงคนเดียว เหรินหลานเฟิงเองก็มิใช่สามัญชนคนธรรมดา หากบิดานางล่วงรู้ว่า ฮูหยินจงใจผลักลูกสาวของเข
แสงแดดสาดส่องผ่านหน้าต่างไม้สลัก มากระทบลงบนใบหน้าเนียนผ่องที่กำลังหลับใหลอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของผู้เป็นสามี เซี่ยซินหยานลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ ด้วยความงัวเงีย ดวงตาคู่งามจับจ้องไปยังใบหน้าคมคายที่บัดนี้กำลังหลับไหลอยู่ด้วยความรู้สึกรักใคร่ ฝ่ามือเล็กสัมผัสกับใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบา เรียวนิ้วลูบไล้สันจมูกโด่งด้วยความหลงใหล"ฮูหยินเจ้าหลอกกินเต้าหู้ข้าหรือ" เสียงนุ่มทุ้มของเขาเอ่ยขึ้น ก่อนจะจับข้อมือของภรรยาตัวน้อยเอาไว้มิยอมปล่อย อันที่จริงเขาตื่นมาสักพักแล้ว เพียงแต่ว่าแสร้งทำเป็นนอนต่อก็เท่านั้น ผู้ใดจะรู้เล่าว่าฮูหยินจะมีมุมเช่นนี้อยู่ด้วย "ข้ามิได้คิดเช่นนั้นเสียหน่อย" เซี่ยซินหยานขมวดคิ้ว ประท้วงคำพูดของเขาด้วยเสียงแผ่ว นางมิได้มีความคิดเช่นนั้นเสียหน่อย นางเพียงแค่คิดว่าหวงตงหยางเป็นบุรุษที่รูปงามมากก็เท่านั้น มิได้มีอารมณ์ความรู้สึกใดแอบแฝงอย่างที่เขากล่าวหาเลยแม้แต่น้อย"หากมิได้คิดเช่นนั้น..แล้วเจ้าคิดเช่นไรกันล่ะ" สายตาวิบวับเจ้าเล่ห์จับจ้องไปยังริมฝีปากของนางพร้อมซักถาม "ข้าคิดว่าท่านรูปงามมากก็เท่านั้นเอง..พอใจหรือยังเจ้าคะ" เซี่ยซินหยานตัดสินใจตอบกลับไปตามตรง หวงต
อาทิตย์อัสดงสาดส่อง ย้อมให้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนเป็นสีแสด กระทั่งเงาของต้นหลิวที่สะท้อนอยู่ในน้ำก็ยังมองเห็นเป็นสีแสดด้วยเช่นกัน จ้าวเยี่ยนฟางนั่งยังคงชะเง้อมองหาร่างของผู้เป็นสามี ด้วยความกระวนกระวายใจ"อากาศเย็นลงแล้วนะเจ้าคะฮูหยิน เข้าไปพักผ่อนด้านในเรือนเถิดเจ้าค่ะ" สาวใช้คนสนิทเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง วันนี้ฮูหยินของนางนั่งรอท่านแม่ทัพอยู่ที่ศาลาริมน้ำมาทั้งวันแล้ว ไม่ว่านางจะพูดเช่นไรก็ดูเหมือนว่าฮูหยินท่านจะไม่ยอมฟังเลยแม้แต่น้อย"ข้าขอรอเขาอยู่ตรงนี้อีกสักหน่อยนะ.." เสียงผู้เป็นนายตอบกลับมาอย่างอ่อนโยน ถิงถิงจึงทำได้เพียงปล่อยให้ท่านนั่งรออยู่เช่นนี้ต่อไป สิ่งที่นางพอจะทำให้ฮูหยินได้ในเวลานี้ก็คือนำเสื้อคลุมหนา ๆ มาให้ท่านสินะ.."เช่นนั้นบ่าวจะไปนำเสื้อคลุมอุ่น ๆ มาให้นะเจ้าคะ" "อื้อ" จ้าวเยี่ยนฟางพยักหน้าตอบกลับเล็กน้อย ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังซุ้มประตูทางเข้าของเรือนจงหยุนไม่นานนักถิงถิงก็เดินกลับมาพร้อมกับเสื้อคลุมสีฟ้า มืออีกข้างหนึ่งของนางถือตะเกียงไม้มาด้วย นางช่วยใส่เสื้อคลุมให้กับฮูหยินและจัดแจงวางตะเกียงไว้ด้านข้าง เพราะนางรู้ดีว่าฮูหยินคงจะนั่งอยู่ต่อไปเช่นนี้ต่อไป หาก