"กลับจวนกับข้า"
ในขณะที่นางกำลังจะแนะนำตัว ก็มีเสียงทุ้มต่ำพูดขัดขึ้นอยู่ทางด้านข้าง ดวงตาดุดันเหมือนฆ่าคนได้ตวัดมองนางอย่างไม่พอใจ จ้าวเยี่ยนฟางไม่ทันได้รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าหวงตงหยางเดินมาหานางตั้งแต่ตอนไหน เหตุใดเขาถึงมายืนอยู่ตรงนี้..
"ทำไมข้าต้องกลับกับท่าน" นางเอ่ยถามกลับด้วยความไม่เข้าใจ จู่ ๆ หวงตงหยางเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา
"ข้าบอกให้กลับจวนกับข้า" เสียงทุ้มของเขามีร่องรอยสะกดกลั้นอารมณ์ หวงตงหยางคว้าข้อมือเล็กของนางพร้อมออกแรงดึงให้นางลุกขึ้น อันที่จริงเขาเห็นนางตั้งแต่นางเดินเข้ามานั่งตรงนี้แล้ว เพียงแต่ว่าเขามิได้ใส่ใจก็เท่านั้น
"ปล่อยนะ ข้าบอกให้ปล่อยไง" จ้าวเยี่ยนฟางขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจ เขาถือดีอย่างไรมากระชากแขนคนอื่นตามใจชอบ
ทุกแรงกระชากของเขา ไม่มีความเบามือเลยสักนิด นี่หวงตงหยางยังเห็นนางเป็นคนอยู่หรือไม่ เหตุใดจึงได้ใจร้ายกับนางนัก
"หวงตงหยาง ข้าเจ็บนะ ปล่อยข้า.. บอกให้ปล่อยไง!!!" นางตะคอกด้วยน้ำเสียงโกรธขึ้ง ที่ผ่านมานางก็พยายามอยู่ในที่ของตน ไม่ไปก่อเรื่องให้เขาต้องขุ่นเคืองใจ แต่เหตุใดเขาถึงเป็นฝ่ายมาก่อเรื่องให้นางรำคาญใจเสียเอง
"นี่ท่านเป็นใคร ถึงได้มาบังคับให้คนอื่นไปกับท่านตามใจชอบ" ห่าวซวนเอ่ยห้ามอย่างใจเย็น บุรุษผู้นี้คือใครกัน เหตุใดถึงได้กระทำรุนแรงกับสตรีตัวเล็ก ๆ ได้ลงคอ
"นางเป็นฮูหยินของข้า เจ้ามีปัญหาอะไรหรือไม่" หวงตงหยางหันกลับไปตอบอย่างไม่สบอารมณ์ แววตาสาดประกายความอำมหิตออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ห่าวซวนได้ยินเช่นนั้นจึงรีบค้อมศีรษะแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อครู่บุรุษผู้นั้นพูดว่า แม่นางเป็นฮูหยินของเขา นั่นหมายความว่า บุรุษผู้น่ากลัวคนนั้น ต้องมิใช่คนธรรมดาเป็นแน่ ทางที่ดีเขาควรหลีกเลี่ยงออกมาคงจะดีกว่า
จ้าวเยี่ยนฟางลอบถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ สายตาเหลือบมองบนด้วยความเอือมระอา
เหอะ! นางเป็นฮูหยินของข้า อย่างนั้นหรือ เพ่ยเพ่ยเพ่ย พูดออกมาได้มิอายปาก
"ข้ากลับก็ได้ ปล่อยมือของข้าได้แล้ว" นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทะเลาะกับเขาไปก็มีแต่จะทำให้ตนเองเจ็บตัว ที่สำคัญนางไม่อยากเห็นหน้าเขาแล้ว สู้กลับจวนไปตอนนี้ยังจะดีเสียกว่า
"หากเจ้าพูดรู้เรื่องเช่นนี้ตั้งแต่แรกเรื่องก็จบแล้ว" เขาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ ก่อนจะยอมปล่อยมือออกจากนางแต่โดยดี
"เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน" เมื่อพูดจบ จ้าวเยี่ยนฟางก็หันหลังเดินออกมาทันที โดยที่ไม่ได้หันกลับไปมองเลยสักนิดว่า หวงตงหยางจะกลับไปหาเหรินหลานเฟิงหรือไม่ เพราะไม่ว่าเขาจะทำอะไร มันก็ล้วนไม่เกี่ยวกับนาง
นางเดินลงมาชั้นล่างของร้านน้ำชา ก็ไม่เห็นกระทั่งเงาของบุรุษที่ชื่อว่าห่าวซวนแล้ว หวงตงหยางนี่ก็กระไร ทีตนเองยังนั่งหัวร่อต่อกระซิกกับเหรินหลานเฟิงได้ แต่พอนางทำบ้าง เขากลับมาขัดจังหวะเสียอย่างนั้น
"เจ้าต้องกลับจวนพร้อมข้า" เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลังของนาง เมื่อหันกลับไปก็พบว่าเป็น หวงตงหยางจริง ๆ ด้วย แต่ว่าเขาตามนางลงมาทำไมอีก..
"ท่านแม่ทัพ ท่านมิไปส่งแม่นางเหรินหรือเจ้าคะ" จ้าวเยี่ยนฟางเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ หวงตงหยางผู้นั้นเนี่ยนะบอกให้นางกลับจวนพร้อมกันกับเขา เห็นทีวันพรุ่งนี้พระอาทิตย์คงจะขึ้นทางทิศตะวันตกเสียแล้วล่ะ
หวงตงหยางขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความงุนงง เมื่อครู่นางเรียกเขาว่าอะไรนะ ท่านแม่ทัพอย่างนั้นหรือ..
"เหรินหลานเฟิงนางกลับเองได้ ไยข้าต้องไปส่ง"เขาตอบกลับเสียงเรียบ
"ข้าก็กลับเองได้ มิต้องลำบากท่านหรอก"
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหวงตงหยางก็ถึงกับถอนหายใจ สายตาคมจ้องมองดวงหน้างามอย่างไม่ละสายตา เหตุใดวันนี้นางถึงดื้อรั้นนัก เขาไม่ได้เจอหน้านาง เป็นเวลาหนึ่งเดือนตั้งแต่เกิดเหตุการณ์วันนั้น ดูเหมือนว่าจ้าวเยี่ยนฟางจะมีอะไรที่เปลี่ยนไปมาก ทั้งการพูดจาที่พูดกับเขาก็ไม่เหมือนเดิม รวมถึงสายตาและท่าทางที่นางแสดงออกมา ล้วนแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
"เราอยู่บ้านเดียวกันอยู่แล้ว ข้ามิได้ลำบากอะไร" เขาพูดเสียงเย็นดูทรงอำนาจ อย่างมิอาจต้านทาน จ้าวเยี่ยนฟางตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างตกลงปลงใจ
"กลับก็กลับ รถม้าท่านอยู่ที่ใด" วันนี้นางรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะมาต่อล้อต่อเถียงกับเขาอีกแล้ว นางอยากจะกลับไปนอนกินขนมอยู่บนเตียง แล้วก็นอนหลับไปทั้งอย่างนั้น
หวงตงหยางยกยิ้มขึ้นอย่างผู้ชนะ ก่อนจะเดินนำทางมายังที่ที่รถม้าจอดรออยู่ จ้าวเยี่ยนฟางจำต้องนั่งอยู่ภายในรถม้าคันเดียวกันกับบุรุษที่โหดร้ายผู้นั้นอย่างมิอาจเลี่ยงได้
ระหว่างทางกลับจวน บรรยากาศภายในรถม้านั้นเยือกเย็นและเงียบสนิท จนได้ยินเพียงเสียงล้อที่กำลังเคลื่อนที่และเสียงฝีเท้าของม้า จ้าวเยี่ยนฟางยื่นมือไปแง้มผ้าม่านออกเล็กน้อยเพื่อชื่นชมทิวทัศน์ข้างทาง โดยที่มิได้หันมาสนใจบุรุษที่นั่งหน้านิ่งอยู่ตรงข้าม
"บุรุษเมื่อครู่คือใคร" เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ จ้าวเยี่ยนฟางจำต้องปล่อยมือจากผ้าม่าน แล้วดึงสายตากลับมายังบุรุษที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ฝั่งตรงข้าม
"ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน" นางตอบกลับไปตามตรง
"เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไร เมื่อครู่เจ้ายังยิ้มปากแทบฉีกถึงหูตอนที่คุยกับมันอยู่เลย" เขาเขม้นมองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ บอกตามตรงว่า ภาพที่เห็นจ้าวเยี่ยนฟางยิ้มหัวเราะให้ชายอื่นนั้น ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยเพราะไม่ว่าเขาจะเกลียดชังนางเพียงใด จ้าวเยี่ยนฟางก็ยังมีชื่อว่าเป็นฮูหยินของเขาอยู่
"ท่านแม่ทัพ ข้าจะยิ้มหรือหัวเราะให้ผู้ใด แล้วมันเกี่ยวอะไรกับท่าน" จ้าวเยี่ยนฟางตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เหตุใดเขาถึงมานั่งซักไซ้ราวกับว่านางมีชู้อย่างนั้นแหละ ทีตัวเองยังนั่งมองตากันหวานเยิ้ม หากเป็นปลากัดเกรงว่าป่านนี้แม่นางเหรินผู้นั้นคงจะท้องไปแล้ว
หวงตงหยางที่ได้ยินเช่นนั้นก็ลอบกลืนน้ำลายโดยไม่ทันได้รู้ตัว ท่าทางดื้อรั้นแก่นแก้วนั้น ใช่จ้าวเยี่ยนฟางคนเดิมจริง ๆ หรือ..
"ข้าก็มิได้สนใจหรอกว่าเจ้าจะคุยหรือหัวเราะกับใคร เพียงแต่ว่าสตรีที่ออกเรือนแล้ว นั่งหัวร่อต่อกระซิกกับชายที่มิใช่สามี ใครเห็นเขาจะเอาไปนินทา ข้ามิอยากถูกชาวบ้านครหาว่า ถูกฮูหยินสวมหมวกเขียวให้ ทีหลังหากคิดจะทำอะไร ก็คิดให้ถี่ถ้วนเสียก่อน"
"ขอบคุณที่สอนเจ้าค่ะ แต่ท่านเก็บไว้สอนตัวท่านเองเถิด"
ทีหลังหากคิดจะทำอะไร ก็คิดให้ถี่ถ้วนเสียก่อน เหอะ! คนที่กระโดดลงไปช่วยชู้ก่อนเมียหลวงน่ะ มีสิทธิ์อะไรมานั่งสอนคนอื่น
"เยี่ยนฟาง!!" เสียงตวาดของแม่ทัพหวงดังขึ้น ทำเอาถิงถิงและคนขับรถม้าที่อยู่ข้างนอกถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ทว่าจ้าวเยี่ยนฟางกลับไม่มีท่าทีหวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อย สายตาที่สบประสานวัดใจกันนั้นเต็มไปด้วยความแข็งกร้าวดุเดือดชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร
"ท่านแม่ทัพ ท่านอย่าคิดว่าข้าโง่งมงายจนเชื่อทุกคำพูดของท่านนะ ท่านคิดว่าข้าจะเชื่อคำพูดของท่านหรือว่าท่านคิดกับแม่นางเหรินเพียงแค่สหาย ท่านคิดอะไร ดีเลวอย่างไรท่านย่อมรู้ดีแก่ใจ"
"ฮูหยินเจ้ากำลังจะพูดอะไรกันแน่" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่บ่งบอกถึงอารมณ์
"ข้ามาลองคิดดูแล้ว หากท่านรักใคร่ผู้ใดก็รับนางเข้ามาเป็นอนุเถิด ข้าจะไม่ยุ่งวุ่นวายเรื่องของท่านอีก จากนี้เราจะอยู่กันแบบน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง ดีหรือไม่" จ้าวเยี่ยนฟางพยายามยื่นข้อเสนอให้กับเขา หวงตงหยางขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ จ้าวเยี่ยนฟางนางถูกผีเข้าอย่างนั้นรึ ชาตินี้ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้ยินฮูหยินอนุญาตให้เขารับอนุเข้าจวน
สมรสพระราชทานไม่สามารถหย่าร้างได้นางรู้ดี แต่ในเมื่อหย่าไม่ได้ นางก็ขออยู่กันอย่างน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง นางจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก และจะไม่ตามหึงหวงเขาเหมือนจ้าวเยี่ยนฟางคนเก่า ซึ่งหวงตงหยางก็คงจะเห็นดีด้วยกับเรื่องนี้ เพราะเขาเองก็รำคาญนางเต็มทน
"นี่คือวิธีเรียกร้องความสนใจแบบใหม่ของเจ้าอย่างนั้นหรือฮูหยิน" สตรีอย่างจ้าวเยี่ยนฟางน่ะหรือจะยอมให้เขารับอนุเข้าจวน นางคงกำลังเรียกร้องความสนใจจากเขาอยู่อย่างแน่นอน
"อะไรทำให้ท่านเข้าใจแบบผิด ๆ เช่นนั้น ข้ามิได้เรียกร้องความรักหรือความสนใจจากท่าน ข้าเพียงแค่อยากปรับปรุงตัวเองก็เท่านั้น จากนี้ไปหากท่านรักใคร่ผู้ใด ก็ไปพานางมาอยู่ด้วยเถิด ท่านเพียงแค่ ส่งเงินมาให้ข้าใช้ในทุกเดือนก็พอแล้วข้าจะทำตัวเป็นฮูหยินที่ดี" นางตอบกลับอย่างกระตือรือร้น ชีวิตนี้นางมิต้องมีบุรุษที่ไหนก็ได้ ขอเพียงแค่มีเงินใช้ไม่ขาดมือก็พอ
หวงตงหยางเจ้ามีหน้าที่เป็นคนหาเงินมาให้ข้าใช้ก็พอแล้ว! หึ ..ส่วนเจ้านั้น จะไปทำอะไร ที่ไหน กับใครก็เชิญ ไม่ต้องมายุ่งกับข้าเป็นพอ
"อย่างเจ้าน่ะหรือจะเป็นฮูหยินที่ดีได้ ข้ารอน้ำท่วมหลังเป็ดยังจะมีหวังเสียกว่า" เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน สตรีอย่างนางจะเป็นฮูหยินที่ดีได้อย่างไร ตลอดสามปีที่แต่งงานกันมา งานต่าง ๆ ของจวน ก็เป็นเขาที่คอยดูแล ทั้งที่มันเป็นหน้าที่ของนางแท้ ๆ แต่นางกลับมิเคยเหลียวแล ซ้ำยังบอกว่าจะทำตัวเป็นฮูหยินที่ดี ฟังแล้วน่าขันยิ่งนัก
"หากข้าสามารถเป็นฮูหยินที่ดีได้ ข้ามีเรื่องอยากขอร้องท่านหนึ่งเรื่อง และท่านต้องรักษาสัญญานี้ไปตลอดชีวิต ท่านทำได้หรือไม่"
หวงตงหยางยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เขารู้สึกสงสัยในข้อเสนอของนางเป็นอย่างมาก และท่าทีที่แปลกไปของนางนั้นยิ่งทำให้เขารู้สึกอยากรู้มากขึ้นไปอีก ว่าสิ่งที่นางต้องการมันคืออะไรกันแน่
"ได้! ข้าตกลง หากเจ้าเป็นฮูหยินที่ดีได้ภายในระยะเวลาหนึ่งปี ข้าจะทำตามสิ่งที่เจ้าต้องการ กลับกันแล้วหากภายในหนึ่งปี เจ้าทำให้ข้าเห็นไม่ได้ เจ้าก็จงอยู่อย่างไร้ตัวตนในจวนแห่งนี้ไปซะ อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก" ที่เขายอมรับปากตกลงอย่างง่ายดาย นั่นก็เพราะว่า เขานั้นรู้ดีว่านางไม่มีทางทำได้อย่างแน่นอน
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ข้าสงสัย นั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้คนเย่อหยิ่งเช่นเจ้ายอมลดความทะนงตัวมาทำในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ สิ่งใดกันที่ทำให้เจ้ายอมลดศักดิ์ศรีลงมาขอร้องข้า..
"ได้! เอาตามที่ท่านว่ามาเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงท่าน อย่าได้ใช้อคติใด ๆ มาตัดสินข้า ข้าก็จะยอมรับข้อเสนอของท่าน" เสียงหวานตอบกลับด้วยสีหน้ามุ่งมั่น นางมั่นใจว่าสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ เพราะว่านางมิใช่จ้าวเยี่ยนฟางคนเก่าอีกต่อไปแล้ว
คิดเสียว่าเป็นการทำงาน เพื่อแลกกับการกินอิ่มนอนหลับอยู่ที่นี่ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกสังหารเมื่อไหร่ แค่ทำงานที่ฮูหยินพึงกระทำ มันมิใช่เรื่องที่ยากอะไรเลย
"ว่าแต่สิ่งที่เจ้าต้องการจากข้าคืออะไรรึ"หวงตงหยางเอ่ยถามขึ้น ดวงตาคมกริบจ้องมองมายังดวงหน้างามด้วยความสงสัย ถึงจะเกลียดชังนางเพียงใด แต่ก็ใช่ว่าจะดูไม่ออกว่า สีหน้าและแววตาของนางนั้น เปลี่ยนไปราวกับคนละคน
"ท่านจงสัญญากับข้าว่า ท่านจะไม่มีวันคิดทำร้ายหรือสังหารข้า นี่คือเรื่องเดียวที่ข้าอยากขอร้องท่าน"
นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและแววตาแฝงไปด้วยความหวาดหวั่น บอกตามตรงว่านางหวาดกลัวโลกใบใหม่แห่งนี้เหลือเกิน เพราะมันเป็นสถานที่ ที่ชะตาชีวิตของนางถูกกำหนดไว้แล้ว ด้วยปลายปากกาของคนเพียงหนึ่ง
โลกที่จ้าวเยี่ยนฟางถูกกำหนดให้ เป็นเพียงแค่นางร้ายที่เกิดมาเพื่อเป็นอุปสรรคให้พระเอกและนางเอกฝ่าฟันไปเพื่อตอนจบที่มีความสุข และตัวร้ายอย่างนางก็ตายไปพร้อมกับความรักและหัวใจที่แหลกสลาย
มันเป็นโลกของนิยายที่นักเขียนได้สร้างขึ้นมาให้ จ้าวเยี่ยนฟาง ถูกสามีที่นางรักยิ่งกว่าสิ่งใด ลงมือสังหารนางได้อย่างเลือดเย็น..
"หยางหยาง เธอคนนั้นสวยเนอะนายว่ามั้ย" ลู่ฉือเฉิงใช้ศอกสะกิดเพื่อนรักของตัวเองด้วยความตื่นเต้น พลางใช้นิ้วชี้ไปยังผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่ยืนหันหลังอยู่ เธอสวมมินิเดรสสีครีม พร้อมกับรองเท้าส้นสูงแบรนด์ดัง ผมสีน้ำตาลอ่อนเหยียดตรงยาวจนถึงกลางหลัง ยิ่งมองดูยิ่งรู้สึกหลงใหล"อืม" เขาตอบกลับเพียงสั้น ๆ ทำเอาลูู่ฉือเฉิงถึงกับหน้ายู่ด้วยความผิดหวัง ทำไมเพื่อนของเขาถึงได้ทำตัวเหมือนกับก้อนหินแบบนี้ อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย ๆ กันแล้ว แต่เขายังไม่เคยเห็นเพื่อนสนิทคนนี้มีแฟนกับเขาเลยสักคน"นี่หยางหยาง ฉันถามนายจริง ๆ นาย..คงไม่ได้ชอบผู้ชายหรอกใช่มั้ย" ลู่ฉือเฉิงเอ่ยถามเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงที่ติดตลก"ฉันชอบผู้หญิงเหมือนกับนายนั่นแหละน่า" หวงตงหยางหรือที่เพื่อนสนิทเรียกว่าหยางหยางตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ อันที่จริงเขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับศิลปะเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าที่ยอมมาหอศิลป์เป็นเพื่อนเจ้าลู่ฉือเฉิง เพราะมีเรื่องเกี่ยวกับศิลปินท่านหนึ่งที่เขาจะต้องรู้ให้ได้..ชื่อของศิลปินคนนี้ เหมือนกับนางในฝันของเขา .."หยางหยางนายยังฝันแปลก ๆ อยู่ใช่มั้ย เพราะเธอคนนั้นหรือเปล่านายถึงไม่ยอมมีแฟนสักที" คำถาม
แสงไฟจากโคมระย้าคริสตัลส่องประกายระยิบระยับไปทั่วห้องโถงคอนโดหรู ผนังห้องสีครีมอ่อนประดับด้วยภาพวาดสีน้ำมันฝีมือประณีตที่บ่งบอกถึงรสนิยมอันเลิศหรูของเจ้าของห้อง เรือนร่างระหงยืนอยู่หน้าหน้าต่างบานใหญ่ เธอมองลงไปยังถนนด้านล่างที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนและยานพาหนะ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีจดหมายที่รอให้เธอเปิดอ่านวางรออยู่บนโต๊ะแขนเรียวเอื้อมมือไปหยิบซองจดหมายสีครีมที่วางอยู่บนโต๊ะข้างตัวออกมาเปิดอ่าน เนื้อหาภายในจดหมายแจ้งว่าเธอได้รับเชิญให้ไปจัดแสดงภาพวาดที่หอศิลป์แห่งหนึ่ง ริมฝีปากบางเผยอเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นและเดินไปยังมุมหนึ่งของห้องภาพวาดขนาดใหญ่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าสีขาวผืนหนึ่ง เรียวแขนเล็กค่อย ๆ ดึงผ้าคลุมออกอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นภาพวาดสีน้ำมันที่วิจิตรงดงาม สิ่งที่ปรากฏบนผืนผ้าใบก็คือรูปของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดจีนโบราณสีเปลือกไข่ เธอจ้องมองภาพนั้นด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่ทว่ามิอาจซ่อนความโศกเศร้าในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนได้ แพขนตางอนหลุบต่ำลงเล็กน้อย นิ้วมือเรียวลูบดวงหน้าคนในภาพอย่างทะนุถนอม ราวกับกำลังสัมผัสใบหน้าของผู้เป็นที่รัก..เสียงริงโทนเรียกเข้าดังขึ้น ทำให้เจ้าของดว
หวงตงหยางนอนกอดหมอนที่ฮูหยินเคยหนุนนอน ด้วยความโศกเศร้าที่ไม่อาจบรรยายได้ น้ำตาแห่งความคิดถึงไหลอาบแก้มของเขา หมอนใบนั้นยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของนาง กลิ่นที่เขาจะไม่มีวันลืมเลือนไปได้ตลอดชีวิตหวงตงหยางโอบกอดหมอนแน่นยิ่งขึ้น ราวกับว่านั่นคือสิ่งเดียวที่ยังเชื่อมโยงเขากับนางได้ นัยน์ตาเศร้าสร้อยหลับตาลงและปล่อยให้ความทรงจำอันแสนหวานไหลเวียนอยู่ในหัวใจ ภาพของนางที่ยิ้มแย้ม หัวเราะ และร้องไห้ปรากฏขึ้นในความคิดของเขา ภาพเหล่านั้นชัดเจนราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้แต่ความจริงแล้ว นางได้จากเขาไปแล้ว..หลังจากที่จ้าวเยี่ยนฟางสิ้นลมหายใจ หวงตงหยางก็รู้สึกราวกับว่าส่วนหนึ่งของตัวเขาได้ตายไปพร้อมกับนาง ความรู้สึกผิดและความเจ็บปวดทรมานหัวใจ ภาพที่นางโผเข้ามารับคมกระบี่แทนเขายังคงตามหลอกหลอนเป็นดั่งเงา ทำให้เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแต่กระนั้นเขาก็ยังตายไม่ได้ เพราะนางได้ยอมสละชีวิตเพื่อช่วยเขาเอาไว้ เขาจำต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปกับความรู้สึกผิดที่กดทับหัวใจตลอดเวลาคำพูดที่จ้าวเยี่ยนฟางพูดไว้วันนั้นก็เป็นดั่งคำสาป "โปรดมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุขนะเจ้าคะ" นางพูดด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มชี
"หลานเฟิง เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร" หวงตงหยางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรนัก"ข้าเคยบอกท่านแล้วว่า ข้าจะมิยอมตกนรกอยู่คนเดียว ในเมื่อข้ามิสามารถครอบครองท่านได้ จะใครหน้าไหนก็มิคู่ควรทั้งนั้น!!" บัดนี้ดวงหน้าที่เคยงดงามอ่อนหวาน ถูกไฟริษยาแผดเผาจนไม่เหลือชิ้นดี ความรักทำให้นางตาบอดงมงาย ชายที่นางหลงรักกลับเห็นนางเป็นเพียงแค่ของเล่น สตรีที่นางชิงชังที่สุดกลับมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของนาง!!"ปล่อยเยี่ยนฟางไป นางมิได้เกี่ยวอะไรด้วย หากเจ้าโกรธแค้นนักก็มาลงที่ข้า ข้าขอรับความโกรธแค้นของเจ้าไว้แต่เพียงผู้เดียว""ฮ่าๆๆๆ จนป่านนี้ท่านก็ยังปกป้องมัน ในวันที่ข้าจมน้ำ ข้ารู้ว่าท่านแสร้งทำเป็นลงโทษนาง เพื่อที่จะได้มิต้องส่งตัวนางให้ทางการใช่หรือไม่ ท่านมิเคยคิดเข้าข้างข้าอยู่แล้ว แล้วที่ผ่านมาท่านจะมาให้ความหวังลมๆ แล้งๆ กับข้าทำไม""..." หวงตงหยางนิ่งเงียบมิยอมตอบกลับอะไร จริงอย่างที่เหรินหลานเฟิงพูด เขารู้ดีว่าจ้าวเยี่ยนฟางร้ายกาจเพียงใด แต่อย่างไรนางก็เป็นภรรยาที่รักและซื่อสัตย์ต่อเขาเพียงคนเดียว เหรินหลานเฟิงเองก็มิใช่สามัญชนคนธรรมดา หากบิดานางล่วงรู้ว่า ฮูหยินจงใจผลักลูกสาวของเข
แสงแดดสาดส่องผ่านหน้าต่างไม้สลัก มากระทบลงบนใบหน้าเนียนผ่องที่กำลังหลับใหลอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของผู้เป็นสามี เซี่ยซินหยานลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ ด้วยความงัวเงีย ดวงตาคู่งามจับจ้องไปยังใบหน้าคมคายที่บัดนี้กำลังหลับไหลอยู่ด้วยความรู้สึกรักใคร่ ฝ่ามือเล็กสัมผัสกับใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบา เรียวนิ้วลูบไล้สันจมูกโด่งด้วยความหลงใหล"ฮูหยินเจ้าหลอกกินเต้าหู้ข้าหรือ" เสียงนุ่มทุ้มของเขาเอ่ยขึ้น ก่อนจะจับข้อมือของภรรยาตัวน้อยเอาไว้มิยอมปล่อย อันที่จริงเขาตื่นมาสักพักแล้ว เพียงแต่ว่าแสร้งทำเป็นนอนต่อก็เท่านั้น ผู้ใดจะรู้เล่าว่าฮูหยินจะมีมุมเช่นนี้อยู่ด้วย "ข้ามิได้คิดเช่นนั้นเสียหน่อย" เซี่ยซินหยานขมวดคิ้ว ประท้วงคำพูดของเขาด้วยเสียงแผ่ว นางมิได้มีความคิดเช่นนั้นเสียหน่อย นางเพียงแค่คิดว่าหวงตงหยางเป็นบุรุษที่รูปงามมากก็เท่านั้น มิได้มีอารมณ์ความรู้สึกใดแอบแฝงอย่างที่เขากล่าวหาเลยแม้แต่น้อย"หากมิได้คิดเช่นนั้น..แล้วเจ้าคิดเช่นไรกันล่ะ" สายตาวิบวับเจ้าเล่ห์จับจ้องไปยังริมฝีปากของนางพร้อมซักถาม "ข้าคิดว่าท่านรูปงามมากก็เท่านั้นเอง..พอใจหรือยังเจ้าคะ" เซี่ยซินหยานตัดสินใจตอบกลับไปตามตรง หวงต
อาทิตย์อัสดงสาดส่อง ย้อมให้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนเป็นสีแสด กระทั่งเงาของต้นหลิวที่สะท้อนอยู่ในน้ำก็ยังมองเห็นเป็นสีแสดด้วยเช่นกัน จ้าวเยี่ยนฟางนั่งยังคงชะเง้อมองหาร่างของผู้เป็นสามี ด้วยความกระวนกระวายใจ"อากาศเย็นลงแล้วนะเจ้าคะฮูหยิน เข้าไปพักผ่อนด้านในเรือนเถิดเจ้าค่ะ" สาวใช้คนสนิทเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง วันนี้ฮูหยินของนางนั่งรอท่านแม่ทัพอยู่ที่ศาลาริมน้ำมาทั้งวันแล้ว ไม่ว่านางจะพูดเช่นไรก็ดูเหมือนว่าฮูหยินท่านจะไม่ยอมฟังเลยแม้แต่น้อย"ข้าขอรอเขาอยู่ตรงนี้อีกสักหน่อยนะ.." เสียงผู้เป็นนายตอบกลับมาอย่างอ่อนโยน ถิงถิงจึงทำได้เพียงปล่อยให้ท่านนั่งรออยู่เช่นนี้ต่อไป สิ่งที่นางพอจะทำให้ฮูหยินได้ในเวลานี้ก็คือนำเสื้อคลุมหนา ๆ มาให้ท่านสินะ.."เช่นนั้นบ่าวจะไปนำเสื้อคลุมอุ่น ๆ มาให้นะเจ้าคะ" "อื้อ" จ้าวเยี่ยนฟางพยักหน้าตอบกลับเล็กน้อย ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังซุ้มประตูทางเข้าของเรือนจงหยุนไม่นานนักถิงถิงก็เดินกลับมาพร้อมกับเสื้อคลุมสีฟ้า มืออีกข้างหนึ่งของนางถือตะเกียงไม้มาด้วย นางช่วยใส่เสื้อคลุมให้กับฮูหยินและจัดแจงวางตะเกียงไว้ด้านข้าง เพราะนางรู้ดีว่าฮูหยินคงจะนั่งอยู่ต่อไปเช่นนี้ต่อไป หาก