ถนนเทียนหนิง
วันนี้จ้าวเยี่ยนฟางซื้อของมากมายทั้งเสื้อผ้าและเครื่องประดับ นางรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ซื้อของตามที่ใจตนอยากได้ ไม่อยากเชื่อเลยว่าเงินถุงเล็ก ๆ แค่นี้จะซื้อของได้มากมายถึงเพียงนี้
เงินนี่ดีจริง ๆ ข้ารักเงินที่สุดเลย!
"คุณหนู ท่านอยากจะแวะไปที่ไหนก่อนหรือไม่เจ้าคะ" ถิงถิงเอ่ยถามผู้เป็นนาย นาน ๆ ทีคุณหนูจ้าวจะออกจากจวน จะให้กลับไปทั้งอย่างนี้เลยก็เป็นที่เสียดายน่าดู
"อืม..ข้าอยากไปร้านที่มีจิตรกรวาดรูปน่ะ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันอยู่ที่ไหน" หากชาตินี้นางสามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระได้ นางก็อยากจะทำในสิ่งที่นางรัก อย่างเช่นการวาดรูป ในชีวิตก่อนนางต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือและเรียนพิเศษ จึงทำให้ไม่มีเวลาทำในสิ่งที่ตนชื่นชอบ
"คุณหนูอาจจะมิได้สังเกต แต่ที่ถนนเทียนหนิงมีอยู่ที่หนึ่งนะเจ้าคะถึงมันจะเป็นร้านเล็ก ๆ ก็ตาม คุณหนู..ท่านอยากซื้อภาพวาดหรือเจ้าคะ"
"ใช่ และข้าก็อยากซื้อผืนผ้ามาวาดรูปด้วย" นางตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดใส ครั้งสุดท้ายที่นางได้จับพู่กันระบายสี มันตอนไหนกันนะ
ถิงถิงขมวดคิ้วเล็กน้อย หากคุณหนูจะแวะไปซื้อภาพวาด นางก็พอเข้าใจได้ แต่คุณหนูบอกว่าจะซื้อผืนผ้ามาวาดรูปด้วย นี่นางหูฝาดอีกแล้วใช่หรือไม่.. คุณหนูของนางวาดภาพเป็นตั้งแต่ตอนไหนกัน
รถม้าเคลื่อนที่อย่างช้า ๆ จนกระทั่งมาถึงหน้าร้านของจิตรกรวาดภาพคนหนึ่ง ชายชราเจ้าของร้านเห็นว่ามีรถม้าของลูกค้ามาจอดอยู่หน้าร้าน เขาจึงรีบออกมาต้อนรับและเชิญให้นางเข้าไปชมผลงานต่าง ๆ ภายในร้าน
จ้าวเยี่ยนฟางเดินชมผลงานต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ในร้าน โดยมีถิงถิงคอยเดินตามหลังเข้าไปด้วย รูปวาดทั้งหมดที่นี่เป็นลายเส้นจีนแบบสมัยโบราณ และมีเพียงสองสีเท่านั้น คือสีดำจากหมึก และสีแดงจากผงชาด
"ข้าขอซื้อพู่กันทุกขนาดที่ท่านมี แล้วก็ผ้าสำหรับวาดรูปอีกสักหนึ่งร้อยผืน" นางหันกลับไปพูดกับชายชราเจ้าของร้าน
"สักครู่ขอรับ" เมื่อพูดจบเจ้าของร้านก็หันหลังเดินออกไปเตรียมของมาให้นาง
จ้าวเยี่ยนฟางเดินชมผลงานมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ภาพวาดภาพหนึ่ง แม้ภาพจะไม่ได้มีลายเส้นชัดเจนดั่งยุคที่นางจากมา แต่ทว่ากลับให้โครงร่างของใครบางคนที่นางคุ้นเคย ในภาพนั้นปรากฏหน้าตาของชายคนหนึ่งในชุดจีนโบราณ ขณะที่นางจ้องมองภาพนั้น น้ำตาก็เอ่อล้นขอบตาก่อนที่มันจะไหลออกมาเป็นสาย
"คุณหนู!! ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ" ถิงถิงที่เห็นเจ้านายของตนยืนน้ำตาไหลอาบแก้มอยู่ก็ร้อนรนใจจนทำตัวไม่ถูก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดคุณหนูของนางถึงร้องไห้กัน
ในขณะนั้นชายชราเจ้าของร้านก็เดินกลับมาพอดี เขายื่นอุปกรณ์วาดรูปที่จ้าวเยี่ยนฟางสั่งให้กับถิงถิงสาวใช้ของนาง
จ้าวเยี่ยนฟางยกมือขึ้นมาปาดเช็ดน้ำตาออกอย่างลวก ๆ ก่อนจะหันไปหาชายชราผู้เป็นคนวาดรูปนี้
"ข้าเอาภาพนี้" นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้นเล็กน้อย
"เอ่อ.. ไม่ได้หรอกขอรับคุณหนู รูปนี้เป็นภาพเหมือน ที่มีคนจ้างให้ข้าน้อยวาด เดี๋ยวเขาก็จะเข้ามารับภาพนี้ไปแล้ว อ้าว! นั่นไงเจ้าของภาพนี้มาพอดีเลย" ชายชราเอ่ยขึ้นพลางมองไปทางหน้าร้าน จ้าวเยี่ยนฟางหันกลับไปทางหน้าร้านด้วยหัวใจที่เต้นระรัว
นางจ้องมองใบหน้าของชายผู้ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าอย่างตกตะลึงและแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ขาทั้งสองข้างของนางก้าวเดินเข้าไปหาเขาอย่างลืมตัว เสมือนมีแม่เหล็กขนาดใหญ่กำลังดึงดูดร่างนางให้เดินเข้าไปหาชายผู้นั้น
"พี่.." จ้าวเยี่ยนฟางโถมเข้าไปกอดบุรุษที่เพิ่งเดินเข้ามาด้วยความดีใจ ท่ามกลางสายตาของใครหลาย ๆ คน ถิงถิงเองถึงกับยกมือขึ้นมาปิดปากเพราะตกใจกับสิ่งที่เห็น
"พี่คะ..พี่ใช่มั้ย พี่มาที่นี่ได้ยังไง ฮึก.. พี่คะหนู..ฮืออหนูกลัวมากเลย" จ้าวเยี่ยนฟางร้องไห้สะอึกสะอื้น ลำแขนเรียวโอบกอดบุรุษตรงหน้าแน่นอย่างกับกลัวว่าเขาจะหายจาก บุรุษผู้ที่มีใบหน้าเหมือนกับพี่ชายของนางราวกับพิมพ์เดียวกัน พี่ชายคนเก่งของนาง มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร..
หลงโม่โฉวเองก็ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เหตุใดจ้าวเยี่ยนฟางถึงเดินเข้ากอดเขาแล้วร้องไห้เช่นนี้ อีกอย่าง..เขากับนางก็ใช่ว่าจะญาติดีต่อกัน ทั้งนี้นางยังเรียกเขาว่า พี่.. นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน
แต่แม้ว่าจะตกใจและไม่เข้าใจเพียงใด เขาก็ทำได้เพียงลูบหัวปลอบคนที่ร้องไห้อย่างอ่อนโยน เขาได้ข่าวมาว่านางถูกหวงตงหยางสั่งโบยไปเมื่อหลายเดือนก่อนเพราะนางทำเรื่องเลวร้าย
"เอ่อ..หวงฮูหยิน..นี่ข้าเอง หลงโม่โฉว" เขาเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน จ้าวเยี่ยนฟางจึงผละกอดจากเขาและตั้งใจมองหน้าเขาอีกที แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร เขาก็คือเซี่ยลู่จื้อพี่ชายของนางในชีวิตก่อน
หรือว่าเขาเป็นเพียงคนที่หน้าเหมือน ไม่ใช่พี่ชายของนางจริง ๆ เมื่อนางหวนคืนสติคิดทบทวน เขาคือหลงโม่โฉวพระรองของนิยายเรื่องนี้
จากความทรงจำเก่าของจ้าวเยี่ยนฟางนั้น หลงโม่โฉวเป็นบุตรชายคนรองของสกุลหลง และเป็นเพียงลูกของอนุภรรยา ที่แม้จะเป็นชายหนุ่มรูปงามแต่กลับมิมีสตรีสูงศักดิ์ใดเหลียวแล จ้าวเยี่ยนฟางก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
หลงโม่โฉวกับพี่เซี่ยลู่จื้อ ช่างเหมือนกันเสียจริง เหมือนเสียจนนางคิดว่าเป็นคนคนเดียวกัน ถึงกับปล่อยโฮวิ่งเข้าไปสวมกอดโดยพลัน แต่นั่นน่ะสินะ.. พี่ชายของนางเป็นถึงคุณหมอคนเก่งของพ่อและแม่ จะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร..
"ข้า...ข้าขอโทษท่านด้วย ข้าเพียงแค่ตาพร่ามัว เลยจำท่านสลับกับคนรู้จัก ข้าขอโทษด้วยจริง ๆ" นางรีบผละห่าง ถอยออกมาจากหลงโม่โฉวทันทีที่รู้ว่าเขาไม่ใช่พี่ชายของนาง
ทางด้านหลงโม่โฉวเองก็ทำตัวไม่ถูกเพราะไม่คิดว่าจะต้องมาเจอเรื่องเช่นนี้ ยิ่งเห็นนางร้องไห้อย่างเจ็บปวดเช่นนั้น เขาก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก ครั้นจะให้หาเรื่องทะเลาะกับนางดั่งเช่นทุกทีเขาก็ทำไม่ลง
หลงโม่โฉวเผลอยื่นผ้าเช็ดหน้าของเขาให้กับนางอย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่ทันรู้ตัว จ้าวเยี่ยนฟางเห็นเช่นนั้นจึงรับผ้าเช็ดหน้ามาจากเขาแต่โดยดี วันนี้นางทำเรื่องเสียมารยาทใส่เขาไปแล้ว นางก็คงจะไม่กล้าปฏิเสธน้ำใจที่เขายื่นให้นางเช่นกัน
"เอ่อ..เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ ขอโทษอีกครั้งที่ทำเรื่องเสียมารยาทกับท่าน" เมื่อพูดจบ จ้าวเยี่ยนฟางก็จ่ายเงินให้กับชายชราเจ้าของร้าน ก่อนจะเดินออกมาในทันที
"จะกลับจวนเลยไหมเจ้าคะคุณหนู" ถิงถิงถามผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง เหตุการณ์เมื่อครู่แม้นางจะไม่เข้าใจ แต่นางก็ไม่คิดเอ่ยถามอะไร เพราะถ้าเป็นเรื่องที่ทำให้คุณหนูของนางร้องไห้ได้ เกรงว่ามันคงเป็นเรื่องที่นางไม่สมควรต้องรู้
"แวะที่โรงน้ำชาก่อนก็แล้วกัน ข้าอยากผ่อนคลายสักหน่อย" เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำเอานางรู้สึกเหนื่อยล้าจริง ๆ
ณ โรงน้ำชา
รถม้ามาจอดอยู่หน้าโรงน้ำชา จ้าวเยี่ยนฟางก้าวขาพบลงจากรถม้าอย่างสง่างาม ใบหน้างามของนางตอนนี้ไร้ซึ่งหยาดน้ำตาเช่นเมื่อครู่ เมื่อนางลงจากรถม้า เสี่ยวเอ้อร์ก็รีบพากันมาต้อนรับคุณหนูผู้สูงศักดิ์ทันที
"เชิญด้านในเลยขอรับคุณหนู"
เสี่ยวเอ้อร์ได้นำทางจ้าวเยี่ยนฟางมายังโต๊ะนั่งชั้นที่สองริมระเบียง เมื่อนางเดินมาหยุดที่โต๊ะก็พบกับภาพและเหตุการณ์ที่คุ้นตา หวงตงหยางกำลังนั่งหัวร่อต่อกระซิกกับเหรินหลานเฟิงอีกแล้ว..
นางถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย วันนี้นางเจอเรื่องที่ทำให้ตกใจจนร้องไห้มาแล้ว นางไม่อยากมีเรื่องทะเลาะกับหวงตงหยางอีก เพราะไม่ว่านางจะทำสิ่งใดก็ล้วนดูไม่ดีในสายตาของเขา ต่อให้นางนั่งจิบชาอยู่เฉย ๆ เขาก็ต้องคิดว่านางจงใจมานั่งกดดัน หรือ หาเรื่องสตรีของเขาแน่นอน
หากเป็นเช่นนั้นนางหลีกเลี่ยงปัญหาคงจะดีเสียกว่า จ้าวเยี่ยนฟางล้วงถุงเงินและหยิบตำลึงทองมาวางไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินออกจากร้านน้ำชาโดยที่ยังไม่ทันได้นั่งเลยแม้แต่วินาทีเดียว
"กลับกันเถอะถิงถิง ข้าอยากกลับจวนแล้ว" นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะหันหลังเดินออกไปในทันที
ระหว่างทางที่นางกำลังเดินทางกลับจวนจู่ ๆ รถม้าก็หยุดเคลื่อนที่อย่างกะทันหัน พร้อมกับเสียงเอะอะจากข้างนอก จ้าวเยี่ยนฟางแง้มผ้าม่านดูเล็กน้อย ก็พบกับเหล่าชายที่ใส่ชุดดำอำพรางหน้าประมาณสิบกว่าคนยืนล้อมรถม้าอยู่ด้านนอก นี่นางโดนลอบสังหารอย่างนั้นหรือ!
"รถม้าแบบนี้ต้องเป็นคนร่ำรวยแน่นอน ไปพาตัวมันออกมา!" เสียงหนึ่งในชายชุดดำพูดขึ้น เพียงชั่วพริบตาคนขับรถม้าก็ถูกสังหารด้วยน้ำมือของคนกลุ่มนั้นอย่างเหี้ยมเกรียม
ถิงถิงถูกกระชากออกไปจากรถม้าอย่างไร้ซึ่งความปรานี จากนั้นจ้าวเยี่ยนฟางก็ถูกกระชากออกไปเช่นกัน ทั้งคู่ถูกจับมือไพล่หลังและพันธนาการด้วยเชือก ส่วนพวกโจรที่เหลือจึงรีบขึ้นไปค้นดูภายในรถม้า เพื่อหาของมีค่า
ไม่นานนัก หนึ่งในพวกมันก็ออกมาพร้อมกับเงินและเครื่องประดับที่นางซื้อมาในวันนี้ เท่านั้นยังไม่พอพวกมันถอดเครื่องประดับบนศีรษะของจ้าวเยี่ยนฟางออกทีละชิ้นอีกด้วย
"ของพวกนี้คงขายได้ราคาดี พวกเราสบายแล้วลูกพี่" ชายชุดดำคนหนึ่งพูดขึ้น
"ฮ่าๆๆๆ ลาภปากพวกเราเสียจริง แถมแม่นางสองคนนี้ก็ดูยังสาวยังสวยเสียด้วยสิ หึหึหึ"
"อย่าทำอะไรพวกเราเลย หากพวกท่านอยากได้สิ่งใดก็เอาไปให้หมด ทิ้งข้ากับนางไว้ที่นี่ก็พอ" จ้าวเยี่ยนฟางพยายามทำใจดีสู้เสือ เผื่อพวกมันจะยังมีความเมตตาเหลืออยู่บ้าง
"แม่นางไม่มีสิทธิ์มาต่อรองรู้ใช่หรือไม่.. พวกข้าจะเล่นกับแม่นางจนสมใจ จากนั้นก็จะเอาพวกเจ้าไปขาย เจ้างดงามเช่นนี้ คงขายได้ราคาดีไม่น้อย ฮ่าๆๆ" ชายที่ดูเหมือนว่าน่าจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มโจรพูดขึ้น พลางหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย
"ชีวิตของพวกเจ้า มันก็ทำได้เท่านี้สินะ มีกำลังมีฝีมือเสียเปล่า กลับมาใช้ในทางที่เลวทรามต่ำตม หากคนเป็นลูกเมียเจ้ารู้คงจะผิดหวังไม่น้อย เหอะ! ไอ้พวกเลวระยำเช่นนี้ ควรไปตายให้หนอนกินซะให้มันพ้น ๆ "
ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว หากจะโดนโจรสารเลวพวกนี้ขืนใจและนำไปขาย นั่นก็มิต่างจากการตายทั้งเป็น นางยอมให้พวกมันฆ่าตั้งแต่ตอนนี้เลยเสียยังดีกว่า
"ปากดีนักนะนังนี่" หัวหน้าของพวกมันเงื้อมือขึ้นหมายจะตบสตรีปากร้ายผู้นี้ จ้าวเยี่ยนฟางหลับตาปี๋ด้วยความหวาดหวั่น ขณะนั้นเองนางก็ได้ยินเสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวดของพวกโจร นางจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาดูว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่
เบื้องหน้าปรากฏภาพบุรุษผู้หนึ่งที่นางรู้สึกคุ้นตา เขาใส่อาภรณ์สีดำนิลสวมผ้าปิดบังใบหน้าเอาไว้ ไอสังหารรอบตัวดูน่าเกรงขาม เขาใช้ดาบเชือดเฉือนเข้าที่ข้อมือของหัวหน้าโจรที่กำลังจะทำร้ายนาง หัวหน้าโจรร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดจนใบหน้าบิดเบี้ยว
"ฆ่ามัน!!" หัวหน้าโจรสั่งให้ลูกน้องที่เหลือลงมือจัดการกับคนที่มันมาขัดขวางเสียงกร้าว
เมื่อตั้งสติได้จ้าวเยี่ยนฟางก็รีบหันหลังชนกับถิงถิงและบอกให้ถิงถิงแก้มัดเชือกที่ข้อมือของนางออก
ถิงถิงพยายามอยู่หลายอึดใจถึงปลดเชือกที่พันธนาการออกได้และเมื่อข้อมือจ้าวเยี่ยนฟางได้รับอิสระ นางจึงรีบแก้มัดให้ถิงถิงด้วยใจร้อนรนและหวาดกลัวกับเหตุการณ์ตรงหน้า
จ้าวเยี่ยนฟางรีบฉวยโอกาสหนีทันที พวกโจรกำลังให้ความสนใจบุรุษผู้นั้นอยู่ หากนางหนีไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ ทั้งนางและถิงถิงจะได้ปลอดภัย แต่ขณะที่จ้าวเยี่ยนฟางกำลังจะวิ่งหนีออกมาพร้อมกับถิงถิงเพียงไม่กี่ก้าว นางกลับหยุดชะงักเมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า คนผู้เดียว จะสู้กลุ่มคนนับสิบได้อย่างไร
เขาเสี่ยงชีวิตมาช่วยพวกนางแท้ ๆ นางจะทิ้งเขาลงอย่างนั้นหรือ นั่นมันไร้หัวใจเกินไปแล้ว พวกโจรมันมีกันตั้งหลายคน ลำพังแค่เขาผู้เดียว จะไปสู้พวกมันได้อย่างไร..อีกใจหนึ่งของนางก็คิดว่าหากเขาไม่มั่นใจในฝีมือของตนเอง ก็คงจะมิกล้ากระโดดเข้ามาช่วยนางหรอก! นางกลับไปแล้วจะช่วยอะไรเขาได้
โอ๊ย เอาวะเป็นไงเป็นกัน!!
"หยางหยาง เธอคนนั้นสวยเนอะนายว่ามั้ย" ลู่ฉือเฉิงใช้ศอกสะกิดเพื่อนรักของตัวเองด้วยความตื่นเต้น พลางใช้นิ้วชี้ไปยังผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่ยืนหันหลังอยู่ เธอสวมมินิเดรสสีครีม พร้อมกับรองเท้าส้นสูงแบรนด์ดัง ผมสีน้ำตาลอ่อนเหยียดตรงยาวจนถึงกลางหลัง ยิ่งมองดูยิ่งรู้สึกหลงใหล"อืม" เขาตอบกลับเพียงสั้น ๆ ทำเอาลูู่ฉือเฉิงถึงกับหน้ายู่ด้วยความผิดหวัง ทำไมเพื่อนของเขาถึงได้ทำตัวเหมือนกับก้อนหินแบบนี้ อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย ๆ กันแล้ว แต่เขายังไม่เคยเห็นเพื่อนสนิทคนนี้มีแฟนกับเขาเลยสักคน"นี่หยางหยาง ฉันถามนายจริง ๆ นาย..คงไม่ได้ชอบผู้ชายหรอกใช่มั้ย" ลู่ฉือเฉิงเอ่ยถามเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงที่ติดตลก"ฉันชอบผู้หญิงเหมือนกับนายนั่นแหละน่า" หวงตงหยางหรือที่เพื่อนสนิทเรียกว่าหยางหยางตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ อันที่จริงเขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับศิลปะเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าที่ยอมมาหอศิลป์เป็นเพื่อนเจ้าลู่ฉือเฉิง เพราะมีเรื่องเกี่ยวกับศิลปินท่านหนึ่งที่เขาจะต้องรู้ให้ได้..ชื่อของศิลปินคนนี้ เหมือนกับนางในฝันของเขา .."หยางหยางนายยังฝันแปลก ๆ อยู่ใช่มั้ย เพราะเธอคนนั้นหรือเปล่านายถึงไม่ยอมมีแฟนสักที" คำถาม
แสงไฟจากโคมระย้าคริสตัลส่องประกายระยิบระยับไปทั่วห้องโถงคอนโดหรู ผนังห้องสีครีมอ่อนประดับด้วยภาพวาดสีน้ำมันฝีมือประณีตที่บ่งบอกถึงรสนิยมอันเลิศหรูของเจ้าของห้อง เรือนร่างระหงยืนอยู่หน้าหน้าต่างบานใหญ่ เธอมองลงไปยังถนนด้านล่างที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนและยานพาหนะ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีจดหมายที่รอให้เธอเปิดอ่านวางรออยู่บนโต๊ะแขนเรียวเอื้อมมือไปหยิบซองจดหมายสีครีมที่วางอยู่บนโต๊ะข้างตัวออกมาเปิดอ่าน เนื้อหาภายในจดหมายแจ้งว่าเธอได้รับเชิญให้ไปจัดแสดงภาพวาดที่หอศิลป์แห่งหนึ่ง ริมฝีปากบางเผยอเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นและเดินไปยังมุมหนึ่งของห้องภาพวาดขนาดใหญ่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าสีขาวผืนหนึ่ง เรียวแขนเล็กค่อย ๆ ดึงผ้าคลุมออกอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นภาพวาดสีน้ำมันที่วิจิตรงดงาม สิ่งที่ปรากฏบนผืนผ้าใบก็คือรูปของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดจีนโบราณสีเปลือกไข่ เธอจ้องมองภาพนั้นด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่ทว่ามิอาจซ่อนความโศกเศร้าในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนได้ แพขนตางอนหลุบต่ำลงเล็กน้อย นิ้วมือเรียวลูบดวงหน้าคนในภาพอย่างทะนุถนอม ราวกับกำลังสัมผัสใบหน้าของผู้เป็นที่รัก..เสียงริงโทนเรียกเข้าดังขึ้น ทำให้เจ้าของดว
หวงตงหยางนอนกอดหมอนที่ฮูหยินเคยหนุนนอน ด้วยความโศกเศร้าที่ไม่อาจบรรยายได้ น้ำตาแห่งความคิดถึงไหลอาบแก้มของเขา หมอนใบนั้นยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของนาง กลิ่นที่เขาจะไม่มีวันลืมเลือนไปได้ตลอดชีวิตหวงตงหยางโอบกอดหมอนแน่นยิ่งขึ้น ราวกับว่านั่นคือสิ่งเดียวที่ยังเชื่อมโยงเขากับนางได้ นัยน์ตาเศร้าสร้อยหลับตาลงและปล่อยให้ความทรงจำอันแสนหวานไหลเวียนอยู่ในหัวใจ ภาพของนางที่ยิ้มแย้ม หัวเราะ และร้องไห้ปรากฏขึ้นในความคิดของเขา ภาพเหล่านั้นชัดเจนราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้แต่ความจริงแล้ว นางได้จากเขาไปแล้ว..หลังจากที่จ้าวเยี่ยนฟางสิ้นลมหายใจ หวงตงหยางก็รู้สึกราวกับว่าส่วนหนึ่งของตัวเขาได้ตายไปพร้อมกับนาง ความรู้สึกผิดและความเจ็บปวดทรมานหัวใจ ภาพที่นางโผเข้ามารับคมกระบี่แทนเขายังคงตามหลอกหลอนเป็นดั่งเงา ทำให้เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแต่กระนั้นเขาก็ยังตายไม่ได้ เพราะนางได้ยอมสละชีวิตเพื่อช่วยเขาเอาไว้ เขาจำต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปกับความรู้สึกผิดที่กดทับหัวใจตลอดเวลาคำพูดที่จ้าวเยี่ยนฟางพูดไว้วันนั้นก็เป็นดั่งคำสาป "โปรดมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุขนะเจ้าคะ" นางพูดด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มชี
"หลานเฟิง เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร" หวงตงหยางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรนัก"ข้าเคยบอกท่านแล้วว่า ข้าจะมิยอมตกนรกอยู่คนเดียว ในเมื่อข้ามิสามารถครอบครองท่านได้ จะใครหน้าไหนก็มิคู่ควรทั้งนั้น!!" บัดนี้ดวงหน้าที่เคยงดงามอ่อนหวาน ถูกไฟริษยาแผดเผาจนไม่เหลือชิ้นดี ความรักทำให้นางตาบอดงมงาย ชายที่นางหลงรักกลับเห็นนางเป็นเพียงแค่ของเล่น สตรีที่นางชิงชังที่สุดกลับมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของนาง!!"ปล่อยเยี่ยนฟางไป นางมิได้เกี่ยวอะไรด้วย หากเจ้าโกรธแค้นนักก็มาลงที่ข้า ข้าขอรับความโกรธแค้นของเจ้าไว้แต่เพียงผู้เดียว""ฮ่าๆๆๆ จนป่านนี้ท่านก็ยังปกป้องมัน ในวันที่ข้าจมน้ำ ข้ารู้ว่าท่านแสร้งทำเป็นลงโทษนาง เพื่อที่จะได้มิต้องส่งตัวนางให้ทางการใช่หรือไม่ ท่านมิเคยคิดเข้าข้างข้าอยู่แล้ว แล้วที่ผ่านมาท่านจะมาให้ความหวังลมๆ แล้งๆ กับข้าทำไม""..." หวงตงหยางนิ่งเงียบมิยอมตอบกลับอะไร จริงอย่างที่เหรินหลานเฟิงพูด เขารู้ดีว่าจ้าวเยี่ยนฟางร้ายกาจเพียงใด แต่อย่างไรนางก็เป็นภรรยาที่รักและซื่อสัตย์ต่อเขาเพียงคนเดียว เหรินหลานเฟิงเองก็มิใช่สามัญชนคนธรรมดา หากบิดานางล่วงรู้ว่า ฮูหยินจงใจผลักลูกสาวของเข
แสงแดดสาดส่องผ่านหน้าต่างไม้สลัก มากระทบลงบนใบหน้าเนียนผ่องที่กำลังหลับใหลอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของผู้เป็นสามี เซี่ยซินหยานลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ ด้วยความงัวเงีย ดวงตาคู่งามจับจ้องไปยังใบหน้าคมคายที่บัดนี้กำลังหลับไหลอยู่ด้วยความรู้สึกรักใคร่ ฝ่ามือเล็กสัมผัสกับใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบา เรียวนิ้วลูบไล้สันจมูกโด่งด้วยความหลงใหล"ฮูหยินเจ้าหลอกกินเต้าหู้ข้าหรือ" เสียงนุ่มทุ้มของเขาเอ่ยขึ้น ก่อนจะจับข้อมือของภรรยาตัวน้อยเอาไว้มิยอมปล่อย อันที่จริงเขาตื่นมาสักพักแล้ว เพียงแต่ว่าแสร้งทำเป็นนอนต่อก็เท่านั้น ผู้ใดจะรู้เล่าว่าฮูหยินจะมีมุมเช่นนี้อยู่ด้วย "ข้ามิได้คิดเช่นนั้นเสียหน่อย" เซี่ยซินหยานขมวดคิ้ว ประท้วงคำพูดของเขาด้วยเสียงแผ่ว นางมิได้มีความคิดเช่นนั้นเสียหน่อย นางเพียงแค่คิดว่าหวงตงหยางเป็นบุรุษที่รูปงามมากก็เท่านั้น มิได้มีอารมณ์ความรู้สึกใดแอบแฝงอย่างที่เขากล่าวหาเลยแม้แต่น้อย"หากมิได้คิดเช่นนั้น..แล้วเจ้าคิดเช่นไรกันล่ะ" สายตาวิบวับเจ้าเล่ห์จับจ้องไปยังริมฝีปากของนางพร้อมซักถาม "ข้าคิดว่าท่านรูปงามมากก็เท่านั้นเอง..พอใจหรือยังเจ้าคะ" เซี่ยซินหยานตัดสินใจตอบกลับไปตามตรง หวงต
อาทิตย์อัสดงสาดส่อง ย้อมให้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนเป็นสีแสด กระทั่งเงาของต้นหลิวที่สะท้อนอยู่ในน้ำก็ยังมองเห็นเป็นสีแสดด้วยเช่นกัน จ้าวเยี่ยนฟางนั่งยังคงชะเง้อมองหาร่างของผู้เป็นสามี ด้วยความกระวนกระวายใจ"อากาศเย็นลงแล้วนะเจ้าคะฮูหยิน เข้าไปพักผ่อนด้านในเรือนเถิดเจ้าค่ะ" สาวใช้คนสนิทเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง วันนี้ฮูหยินของนางนั่งรอท่านแม่ทัพอยู่ที่ศาลาริมน้ำมาทั้งวันแล้ว ไม่ว่านางจะพูดเช่นไรก็ดูเหมือนว่าฮูหยินท่านจะไม่ยอมฟังเลยแม้แต่น้อย"ข้าขอรอเขาอยู่ตรงนี้อีกสักหน่อยนะ.." เสียงผู้เป็นนายตอบกลับมาอย่างอ่อนโยน ถิงถิงจึงทำได้เพียงปล่อยให้ท่านนั่งรออยู่เช่นนี้ต่อไป สิ่งที่นางพอจะทำให้ฮูหยินได้ในเวลานี้ก็คือนำเสื้อคลุมหนา ๆ มาให้ท่านสินะ.."เช่นนั้นบ่าวจะไปนำเสื้อคลุมอุ่น ๆ มาให้นะเจ้าคะ" "อื้อ" จ้าวเยี่ยนฟางพยักหน้าตอบกลับเล็กน้อย ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังซุ้มประตูทางเข้าของเรือนจงหยุนไม่นานนักถิงถิงก็เดินกลับมาพร้อมกับเสื้อคลุมสีฟ้า มืออีกข้างหนึ่งของนางถือตะเกียงไม้มาด้วย นางช่วยใส่เสื้อคลุมให้กับฮูหยินและจัดแจงวางตะเกียงไว้ด้านข้าง เพราะนางรู้ดีว่าฮูหยินคงจะนั่งอยู่ต่อไปเช่นนี้ต่อไป หาก