“เจ้าควรจะทำให้สมองปลอดโปร่งขึ้นหลังจากได้อ่านหนังสือเหล่านั้นจนพอใจ” จู่ๆ หลี่ซ่งหมินก็เอ่ยขึ้น เพื่อชี้นำบางอย่างให้แก่หงเหม่ยหลง
เขารู้สึกว่าอยากอยู่ใกล้ชิดนาง อยากคุยกับนางให้มากกว่านี้
หงเหม่ยหลงเพียงนั่งฟังนิ่งๆไม่ตอบรับคำใดๆ แต่ทว่าภายในใจกำลังเห็นด้วยกับความคิดนั้นของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของถิ่นฐานแห่งนี้
แต่ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะกล่าวสิ่งใด หลี่ซ่งหมินก็ลุกขึ้นพร้อมทั้งถือวิสาสะจับกุมมือของหงเหม่ยหลงให้เดินตามตนออกมาจากในห้องหนังสือเสียอย่างนั้น
“เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อน! ท่าน!” หงเหม่ยหลงเอ่ยได้แค่นั้นพลางลุกเดินตามออกมาอย่างฉงน
หญิงสาวมองเห็นเหล่าบรรดาบ่าวไพร่ตามรายทางต่างเมียงมองมาทางนางเป็นสายตาเดียวกัน นั่นจึงทำให้นางไม่อาจกล่าวสิ่งใดได้อีกต่อไป ด้วยเพราะเกรงว่าอาจจะเป็นการไม่ให้เกียรติชายหนุ่มที่กำลังเดินอยู่ด้านหน้าของนางในยามนี้
เมื่อหลี่ซ่งหมินพาหงเหม่ยหลงเดินทอดน่องมาจนถึงสวนสวยแห่งหนึ่งภายในอุทยานของเขตวังของเขา เขาจึงค่อยๆหยุดเดินแต่ยังคงจับกุมมือของนางอยู่อย่างเอาแต่ใจ
“ท่าน! ปล่อย! ปล่อยก่อน...” หงเหม่ยหลงเอ่ยขึ้นในที่สุดเพราะสถานที่แห่งนี้ไม่มีพวกบ่าวไพร่เดินกันขวักไขว่เหมือนดังเช่นเมื่อครู่
หลี่ซ่งหมินทำเป็นหูทวนลมไม่ปล่อยมือของหงเหม่ยหลงแต่อย่างใด เขาเพียงเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “รู้สึกดีขึ้นหรือไม่”
“หือ!” หงเหม่ยหลงขานรับพลางเมียงมองไปถ้วนทั่วภายในสวนสวยรอบตัวก่อนเอ่ย “ก็ดี...ปล่อยมือข้าก่อน”
“ทางนั้นสวยงามกว่าทางนี้” หลี่ซ่งหมินเอ่ยขึ้นเพียงแค่นั้นด้วยใบหน้าเรียบเฉยขณะยังคงดึงมือเรียวเล็กของหงเหม่ยหลงให้เดินตามติด
หญิงสาวเพียงเดินตามแรงฉุดดึงจากฝ่ามือเรียวยาวของชายหนุ่มพลางเมียงมองตามการชี้ชวนของเขา
“อืม...” หงเหม่ยหลงเริ่มคล้อยตามเมื่อมองเห็นสวนสวยแห่งนี้อย่างถ้วนทั่ว
“เจ้าชอบหรือไม่” เสียงทุ้มเบาถามขึ้นอย่างนุ่มนวลจนแม้แต่เจ้าของเสียงยังไม่รู้ตัว
“อืม” หญิงสาวเพียงตอบคำสั้นๆอย่างเป็นกันเองขณะกำลังทอดมองสายตาอย่างชื่นชมสวนสวยแห่งนี้อย่างเปิดเผย
“ที่ที่เจ้าจากมา คงไม่มีอย่างนี้สินะ” ชายหนุ่มแกล้งถามขึ้นเป็นเชิงเย้า เพราะเขาสังเกตได้ว่านางมิใช่สตรีของเมืองหลวง นางน่าจะมาจากหุบเขาอันไกลโพ้น และไม่แน่ว่าอาจจะทุรกันดารอีกด้วย
“อืม...ที่บ้านของข้าไม่มีอย่างนี้” หงเหม่ยหลงตอบตามตรง เนื่องจากที่สำนักหมื่นโลกันตร์นั้น แม้แต่ดอกหญ้ายังไม่กล้าขึ้น
หลี่ซ่งหมินถึงกับลอบยิ้มในหน้าพลางผินหน้าไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาคมเฉี่ยวที่กำลังถลึงตาใส่เขา
นางกำลังพยายามปลดมือของเขาออกจากการเกาะกุม
“ไปทางนี้ดีกว่า” ชายหนุ่มยังคงตีหน้าเรียบเฉยไม่สะทกสะท้านอันใดกับกิริยานั้นของหญิงสาว เขายังคงฉุดดึงมือเรียวเล็กของนางให้เดินตามทางไปกับเขาอย่างใจเย็น
หงเหม่ยหลงเพียงเดินตามแผ่นหลังกว้างใหญ่ของหลี่ซ่งหมินด้วยอาการร้อนวูบวาบอยู่ตรงฝ่ามือ
ยามนี้สายตาของนางมิได้มองออกไปยังสวนสวยแต่อย่างใด นางกำลังเหม่อมองไปที่ฝ่ามือของชายหนุ่มตรงหน้าพลางคิดถึงเรื่องในวันนั้นที่โรงเตี้ยม
ฝ่ามือนี้ของเขาที่จับกุมเอวของนางเอาไว้ในวันนั้น และอีกมือหนึ่งของเขายังจับตรงท้ายทอยของนางอีกด้วย
ตามด้วยริมฝีปาก...
หงเหม่ยหลงคิดในใจอย่างเหม่อลอย สายตาของนางกำลังทอดมองไปยังชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเปิดเผย
จนหลี่ซ่งหมินต้องหันหน้ากลับมาหา
“เจ้า...”
ชายหนุ่มถึงกับกลืนเสียงของตนให้หายเข้าไปในลำคอเมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาบางอย่างของสตรีตรงหน้า
หญิงสาวถึงกับกระพริบตาปริบๆส่ายหน้าน้อยๆเพื่อไล่ความคิดน่าอายให้ออกไป แต่ทว่าใบหน้านวลเนียนของนางยังคงขึ้นสีแดงระเรื่ออยู่อย่างเด่นชัด
และกิริยาอย่างนั้นของหงเหม่ยหลงยิ่งทำให้หลี่ซ่งหมินรู้สึกสวนทาง
นางกำลังไล่ความรู้สึกบางอย่างให้ออกไป แต่เขากลับอยากเรียกมันให้กลับเข้ามา
หลี่ซ่งหมินคิดได้ดังนั้นจึงเดินเข้าหาหงเหม่ยหลงอีกนิดกระชับฝ่ามือของตนที่ยังคงเกาะกุมมือเรียวเล็กของนางอีกหน่อยก่อนก้มหน้าลง
หงเหม่ยหลงยังไม่ทันได้ทัดทานสิ่งใด ริมฝีปากแดงสดของหลี่ซ่งหมินก็เคลื่อนเข้ามา
ความรู้สึกร้อนวูบวาบที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงฝ่ามือ บัดนี้มันกำลังเพิ่มความร้อนกรุ่นให้มีมากยิ่งขึ้นตรงริมฝีปาก
ริมฝีปากอิ่มนุ่มของหญิงสาวกำลังถูกริมฝีปากชุ่มชื้นของชายหนุ่มประกบเข้ามา
อันที่จริง...
นางควรจะเบี่ยงหน้าหลบออกไป...
แต่ทำไม...
หงเหม่ยหลงยังคงครุ่นคิดอยู่ภายในใจ ยามที่หลี่ซ่งหมินยังคงจูบนางอย่างนุ่มนวล
ชายหนุ่มหญิงสาวยังคงยืนอยู่ในท่าที่ใบหน้าของทั้งสองยังคงแนบชิดกันและกันอยู่อย่างนั้น
ท่ามกลางสวนสวยภายในอุทยานแห่งนี้ กำลังโอบล้อมไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ยากแก่การบรรยายระหว่างชายหนุ่มหญิงสาวที่บังเอิญได้เจอะเจอกันอย่างไม่คาดฝันก่อนหน้านี้
ความรู้สึกบางอย่างนี้ มันกำลังเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทีละเล็กทีละน้อย จนไม่อาจต้านทาน
และไม่อาจห้ามใจ...
มาถึงการวาดภาพศิลปะปลายพู่กัน สตรีอื่นๆต่างวาดภาพเป็นทิวทัศน์ ภูเขา แม่น้ำ บ้างก็วาดภาพรูปบุปผาต่างๆ ดูแล้วงดงามสบายตา แต่หงเหม่ยหลงกลับวาดภาพออกมาเป็นกระบวนท่าของการต่อสู้ต่างๆเต็มหน้ากระดาษ จนเหล่าทหารที่คอยอารักขาอยู่ภายในบริเวณการแข่งขันแทบจะเข้ามาแย่งชิงกัน เพื่อนำมันไปฝึกฝนจนสุดท้ายที่เรียกเสียงฮือฮาอย่างฉงนจากบรรดาผู้มาร่วมงานก็คือการเล่นดนตรี สาวงามนางอื่นปล่อยพลังนิ้วมือเพื่อเล่นดนตรีล้วนแล้วแต่เป็นเพลงที่มีท่วงทำนองไพเราะเสนาะหู จนได้คะแนนเต็มสิบส่วนกันถ้วนหน้า มีเพียงหงเหม่ยหลงที่ไม่ได้คะแนนเลยการเล่นดนตรีนั้นนับเป็นเรื่องที่ยากที่สุดสำหรับนางเพราะนางฝึกแต่ดาบ ฝึกแต่พลังฝ่ามือ ไม่เคยฝึกเล่นดนตรีใดๆ กิจกรรมทั่วไปสำหรับเหล่าสตรีนางมิเคยได้แตะต้องดังนั้นเมื่อนางเพียงแค่จรดปลายนิ้วเพื่อส่งพลังไปยังเครื่องดนตรีเหล่านั้น เครื่องดนตรีก็เป็นอันต้องเสียหาย บ้างก็สายขาด บ้างก็ปริแตก เปลี่ยนตัวใหม่ก็ยังเหมือนเดิม โจทย์ข้อนี้นางทำเครื่องดนตรีเสียหายไปหลายตัว จนนางต้องยอมแพ้หลี่ซ่งหมินที่นั่งมองหงเหม่ยหลงอยู่เขารู้ดีถึงสาเหตุนั้นเขาเคยเห็นพลังงานจากฝ่ามือนั้นของนางมาแล้ว ตอนที่นาง
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งวัน การคัดเลือกสาวงามก็มาถึงณ ลานกว้างของวังหลี่ซ่งหมินหนาแน่นไปด้วยเหล่าสาวงาม แต่ละนางล้วนมีหน้าตาสวยสดงดงามหยาดเยิ้มจนหงเหม่ยหลงรู้สึกแสบตาไปหมด มองไปทางไหนก็มีแต่สตรีรูปโฉมเหนือคำบรรยาย เพียงไม่นานเหล่าขันทีทั้งหลายก็เดินทางเข้ามาทำให้รู้ว่าใกล้ถึงเวลาแข่งขันแล้วหงเหม่ยหลงมิได้มีอาการตื่นเต้นแต่อย่างใด เพียงแต่นางไม่ชินกับภาพแบบนี้เอาเสียเลยที่บ้านของนาง สำนักหมื่นโลกันตร์ มิใช่ไม่เคยจัดการแข่งขันแต่การแข่งขันที่บ้านของนางนั้นล้วนเป็นกิจกรรมแนวป่าเถื่อนแต่ละคนที่เข้าร่วมการแข่งขันล้วนแล้วแต่มีลักษณะหน้าตาโหดเหี้ยม ดุดัน มิได้เหมือนดั่งนางฟ้านางสวรรค์เช่นนี้แต่ที่นี่เวลานี้ทำให้นางพอเข้าใจในตัวของบุรุษที่นางแอบชื่นชมอยู่ในใจบุรุษอะไร ช่างเจ้าชู้ เจ้าสำราญ น่าหมั่นไส้ยิ่งนัก นางนึกเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ นึกอยากจะฆ่าสตรีทุกคนในที่นี้เสียจริงเชียวและบุรุษที่หงเหม่ยหลงกำลังนึกเข่นเขี้ยวอยู่นั้น บัดนี้เขากำลังนั่งอยู่ด้านบนสุดของเวทีการแข่งขันแห่งนี้ซึ่งเดิมทีหลี่ซ่งหมินนั้นมิได้คิดที่จะเข้ามาดูการแข่งขันแต่อย่างใด เพียงแต่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเหล่าขันทีไปเพี
“เจ้าควรจะทำให้สมองปลอดโปร่งขึ้นหลังจากได้อ่านหนังสือเหล่านั้นจนพอใจ” จู่ๆ หลี่ซ่งหมินก็เอ่ยขึ้น เพื่อชี้นำบางอย่างให้แก่หงเหม่ยหลงเขารู้สึกว่าอยากอยู่ใกล้ชิดนาง อยากคุยกับนางให้มากกว่านี้ หงเหม่ยหลงเพียงนั่งฟังนิ่งๆไม่ตอบรับคำใดๆ แต่ทว่าภายในใจกำลังเห็นด้วยกับความคิดนั้นของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของถิ่นฐานแห่งนี้ แต่ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะกล่าวสิ่งใด หลี่ซ่งหมินก็ลุกขึ้นพร้อมทั้งถือวิสาสะจับกุมมือของหงเหม่ยหลงให้เดินตามตนออกมาจากในห้องหนังสือเสียอย่างนั้น “เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อน! ท่าน!” หงเหม่ยหลงเอ่ยได้แค่นั้นพลางลุกเดินตามออกมาอย่างฉงน หญิงสาวมองเห็นเหล่าบรรดาบ่าวไพร่ตามรายทางต่างเมียงมองมาทางนางเป็นสายตาเดียวกัน นั่นจึงทำให้นางไม่อาจกล่าวสิ่งใดได้อีกต่อไป ด้วยเพราะเกรงว่าอาจจะเป็นการไม่ให้เกียรติชายหนุ่มที่กำลังเดินอยู่ด้านหน้าของนางในยามนี้ เมื่อหลี่ซ่งหมินพาหงเหม่ยหลงเดินทอดน่องมาจนถึงสวนสวยแห่งหนึ่งภายในอุทยานของเขตวังของเขา เขาจึงค่อยๆหยุดเดินแต่ยังคงจับกุมมือของนางอยู่อย่างเอาแต่ใจ “ท่าน! ปล่อย! ปล่อยก่อน...” หงเ
หงเหม่ยหลงยอมมานั่งลงแต่โดยดี ด้วยเพราะรู้สึกผิดต่อการกระทำของตนเอง“ข้า เอ่อ...ขอโทษด้วยที่ถือวิสาสะเข้ามาในห้องของท่านยามวิกาลเช่นนี้” หงเหม่ยหลงเอ่ยขึ้น สีหน้างามที่มักจะดุดันของนางอ่อนโยนลงภายใต้แสงเทียนชายหนุ่มเพียงนั่งมองใบหน้านั้นมิได้กล่าวสิ่งใดหญิงสาวเห็นชายหนุ่มเงียบไปจึงเอียงหน้าไปทางเขาพลางขมวดคิ้วเป็นเชิงคำถาม “ท่านกำลังเคืองข้างั้นรึ”“เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องเคือง ข้ามิได้ทำสิ่งใดที่เป็นความผิดร้ายแรงเสียหน่อย หนังสือหรือ ข้าก็ยังมิได้ขโมยไปสักเล่ม”ชายหนุ่มจ้องหน้านางก่อนกล่าว “ถ้าข้านอนหลับไปแล้ว เกรงว่าเจ้าจะขโมยมันจนหมด ไม่เหลือสักเล่ม”“ท่าน!” หญิงสาวถลึงตาใส่ ก่อนถอนหายใจ ยามเอ่ย“เฮ่อ....ท่านจะเอาอย่างไร ว่ามา”“ก็ไม่อย่างไร” ชายหนุ่มตอบหน้านิ่ง “ถ้าเจ้าอยากอ่านหนังสือก็อ่านได้เลย แต่ต้องอ่านที่นี่ ห้ามนำมันออกไป”“แม้ข้าจะนำมันออกไป ข้าย่อมนำมันมาคืน”“แต่ข้าไม่ให้นำมันไป เจ้าต้องนั่งอ่านมันในนี้”“ทำไมงั้นเล่า ท่านจะไม่หลับไม่นอนหรือยังไง”“ข้ายังไม่ง่วง” ใครจะหลับลง เขาคิดหญิงสาวก้มหน้าลง “ก็ได้ ก็ได้” พร้อมส่ายหน้าน้อยๆเป็นเชิงว่ายอมแพ้ “ข้ายอมท่านแล้ว” ห
ชายหนุ่มรู้ทันจึงเบี่ยงแขนหลบในท่าที่ยังกอดรัดฟัดเหวี่ยงนางอยู่ไม่ยอมปล่อยหญิงสาวก้มหน้าไล่งับแขนของเขาซ้ายทีขวาที เขาก็เบี่ยงหลบซ้ายทีขวาที จนร่างของทั้งคู่กลิ้งไปตามพื้น พัลวันพันตูอยู่อย่างนั้น เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ร่างบางเริ่มเหนื่อย การเคลื่อนไหวจึงหยุดนิ่งอยู่กับที่หญิงสาวหอบ แฮ่ก แฮ่ก จนตัวโยนอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรงนั่น พอเริ่มหายเหนื่อยก็รู้สึกถึงลมหายใจร้อนระอุที่เป่ารดต้นคอจากด้านหลัง นางจึงตั้งท่าจะดิ้นอีก จนชายหนุ่มต้องยอมจำนนกับอาการพยศที่ไม่มีทีท่าว่าจะหมดฤทธิ์ง่ายๆ“เป็นข้าเอง หลี่ซ่งหมิน เจ้าของห้องนี้” เขาเอ่ยขึ้นในที่สุดหญิงสาวถึงกับชะงักหยุดดิ้น แต่เพียงอึดใจเดียวเท่านั้นนางก็ดิ้นต่ออย่างแรงชายหนุ่มอยากจะหัวเราะกับกิริยาของหญิงสาวเอาล่ะ! เขาต้องยอมนางจริงๆชายหนุ่มค่อยๆปล่อยแขนและขาของเขาที่รัดนางอยู่ ก่อนจะลุกขึ้นไปจุดเทียนเพื่อให้ความสว่างภายในห้องหญิงสาวรีบลุกขึ้นจัดเสื้อผ้า จัดทรงผมให้เข้าที่เมื่อจัดการกับตัวเองเรียบร้อย จึงเงยหน้าขึ้นมองหลี่ซ่ง หมินอย่างเต็มตา พบว่าเขายืนกอดอกมองนางอยู่ หญิงสาวถึงกับหน้าแดง ทำตาวาวดั่งแมวป่า จ้องมองเขาอย่างเอาเรื่อง ชายห
หนังสือเล่มหนาถูกปิดลง พร้อมกับเปลวไฟบนเชิงเทียนถูกเป่าให้ดับโดยบุรุษในห้องนั้น เขาลุกขึ้นเดินไปยังทิศทางที่มีชั้นหนังสือตั้งอยู่ ด้วยความเคยชิน เพื่อเก็บหนังสือในมือในขณะที่เขากำลังเดินไปยังห้องอีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นเรือนนอนของเขาที่อยู่ติดกับห้องหนังสือ เขารู้สึกเหมือนมีฝีเท้ากำลังเดินเข้ามาใกล้บริเวณห้องหนังสือของเขา ประสาทสัมผัสของเขารับรู้ได้ว่าเจ้าของฝีเท้านั้นไม่ใช่คนของเขาอย่างแน่นอน เขาจึงเบี่ยงตัวหลบเข้าไปหลังชั้นหนังสือทันทีเขาซ่อนอยู่ในความมืด รอบุคคลที่กำลังเข้ามาเยือนเขาถึงถิ่นของเขาในมือของเขาแม้ไม่มีดาบหรืออาวุธใดๆ แต่เขามักจะพร้อมเสมอสำหรับการต่อสู้ประสบการณ์จากการถูกลอบสังหารทำให้เขามีความพร้อมอยู่เสมอ เสียงฝีเท้าของบุคคลปริศนาเงียบไป เหมือนยืนอยู่หน้าห้อง ผู้มาเยือนคงรอจะกำลังจังหวะเพื่อแน่ใจว่าเขาหลับแล้วเวลาผ่านไปครู่เดียว ในที่สุดประตูก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบาแอ๊ด... และปิดลงอย่างแผ่วเบาเช่นเดิมชายหนุ่มหรี่ตาเพ่งมองอยู่ในความมืด พินิจพิจารณาผู้มาเยือนยามวิกาลเขาเห็นเป็นเงารูปร่างระหงสมส่วน ทำให้เขารู้ว่าผู้มาเยือนเป็นสตรีมิใช่บุรุษ นางเป็นใครกัน แอบเ