บทที่ 6 หารือเรื่องแยกบ้าน
เมื่อแผ่นหลังของหลัวซื่อและมู่อวี๋โหรวหายไปจากครรลองสายตา มู่เฟิงที่ยืนกำหมัดแน่นพยายามข่มกลั้นโทสะ ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เรื่องที่ตนและลูกเมีย ถูกบุพการีและพี่ชายเอาเปรียบมาเนิ่นนาน คนในหมู่บ้านล้วนรู้เห็น ทว่าก็มิอาจยื่นมือเข้าช่วย ด้วยถือว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัวสกุลมู่ เขามองลูกๆที่แต่ละคนผ่ายผอมจนน่าสงสาร เทียบกับคนบ้านใหญ่แล้วช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว บุญคุณที่บิดายอมช่วยเหลือในครานั้น มู่เฟิงไม่เคยลืม เพียงแต่หลัวอวี๋ผู้เป็นมารดาแท้ๆ กลับปฏิบัติกับชายหนุ่มและภรรยา ราวกับว่าทั้งสองเป็นทาส ที่ต้องคอยรับใช้นาง มู่ซานผู้เป็นบิดาก็ไม่เคยออกหน้าหรือห้ามปราม ปล่อยให้หลัวซื่อทำตามอำเภอใจ หลายต่อหลายครั้งที่มู่เฟิงได้ยินวาจาร้ายกาจจากปากของหลัวซื่อ ที่ใช้เรียกขานหรือต่อว่าซูเหม่ยกับลูกๆของเขา แต่กระนั้นก็ไม่เคยถึงขั้นลงไม้ลงมือ ทว่าเหตุการณ์ในวันนี้ มารดาของเขาทำเกินไปจริงๆ ตัวเขาซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวของบ้านรอง มิอาจอดทนต่อความอดสูที่ได้รับมาตลอดสิบห้าปีได้อีกต่อไป ถึงเวลาที่ต้องยุติความอยุติธรรมนี้เสียที!! ซูซื่อก้าวมาหาสามีกล่าวปลอบใจว่านางไม่เป็นอะไร เพราะไม่ต้องการให้เขาผิดใจกับมารดา “ท่านพี่ ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ท่านอย่าคิดมากไปเลย” “จะไม่เป็นอะไรได้อย่างไรอาเหม่ย หน้าเจ้าบวมขนาดนี้” มู่เฟิงสัมผัสแก้มบวมช้ำของภรรยาแผ่วเบา ขอบตาร้อนผ่าวจากความคับแค้นใจ เขาพาซูเหม่ยมาลำบากด้วยแท้ๆ หากวันนั้นเขายอมเชื่อนาง เดินทางไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ทางเหนือกับคนอื่นๆ พวกเขาก็คงไม่โดนโจรปล้นทรัพย์สินที่นำติดตัวมา ระหว่างเดินทางกลับมายังบ้านเกิดของเขาไปจนหมด โชคดีแค่ไหนที่โจรกลุ่มนั้นไม่คิดเอาชีวิตเขาและภรรยา รวมถึงชิงเอ๋อร์ซึ่งเวลานั้นยังเป็นเพียงแค่ทารก “ความผิดของข้าเองอาเหม่ย ข้าทำให้เจ้ากับลูกๆ ต้องลำบาก ข้า ข้าขอโทษ” เสียงของชายหนุ่มสั่นเครือ ความรู้สึกผิดต่อครอบครัวเกาะกุมจิตใจ ทางด้านมู่หนิงชิงและน้องๆ หลังช่วยกันเก็บของป่าที่หล่นเกลื่อนกลาดใส่ตะกร้าเรียบร้อย พวกเด็กๆก้าวมาหาบุพการี ที่ยืนตาแดงน้ำตาคลอเบ้าด้วยกันทั้งคู่ “ท่านพ่อท่านแม่ พวกเราเข้าบ้านกันเถิดเจ้าค่ะ ข้ามีเรื่องจะหารือกับพวกท่าน” กล่าวจบมู่หนิงชิงก็จูงมือของน้องสาวเดินนำไปเปิดประตูรั้ว ระหว่างนั้นก็คิดในใจว่า คงถึงเวลาที่ต้องเอาแม่ไก่พันธุ์ดุออกมาเฝ้าบ้านเสียแล้ว!!! "เฉิงเอ๋อร์ ลงกลอนประตูบ้านให้พี่ใหญ่ด้วย" "ขอรับ" ครั้นสมาชิกทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า มู่หนิงชิงยกห่อผ้าขึ้นมาวางบนโต๊ะ แต่ยังไม่ได้บอกว่าในนั้นคือสิ่งใด นางผินหน้าไปทางมู่เฟิงและเริ่มเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจ "ท่านพ่อเจ้าคะ ข้าสนับสนุนความคิดเรื่องการแยกบ้านเจ้าค่ะ เพียงแต่ท่านปู่กับท่านย่าจะยอมง่ายๆหรือเจ้าคะ เพราะก่อนที่ท่านย่าจะกลับไป นางประกาศจุดยืนชัดเจนว่าอย่างไรก็ไม่ยอม แล้วท่านพ่อคิดเห็นอย่างไรเจ้าคะ" มือทั้งสองข้างของมู่เฟิงที่วางอยู่บนตักกำเข้าหากันแน่น เรื่องการแยกบ้านคงไม่ง่ายอย่างที่คิด มู่หนิงชิงมองปฏิกิริยาของมู่เฟิงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตัดสินใจเอ่ยถามในสิ่งที่ข้องใจ "ท่านพ่อเจ้าคะ สิบกว่าปีที่ผ่านมา บ้านใหญ่จ่ายเงินจากการขายพืชผลให้ท่านเท่าไรเจ้าคะ เต็มจำนวนที่ครอบครัวของเราสมควรได้รับหรือไม่ แล้วการที่พวกเราอยู่กันอย่างอดๆอยากๆ แต่คนบ้านใหญ่กลับกินอยู่กันอย่างสบาย เรื่องนี้หัวหน้าหมู่บ้านเห็นชอบด้วยหรือไม่เจ้าคะ" เมื่อบุตรสาวโยนหินถามทาง ดวงตาของผู้เป็นบิดาก็เบิกตากว้าง เห็นแสงสว่างขึ้นมาทันที ใช่แล้วเขาสามารถเอาเรื่องนี้ มาเป็นเหตุผลหลักในการขอแยกบ้านได้ หัวหน้าหมู่บ้านเป็นคนซื่อตรง ทั้งรับทราบและให้ความช่วยเหลือตัวเขาอยู่หลายครั้ง ยังมีอีกคนที่สามารถเป็นพยานให้เขาได้คือ เถ้าแก่ลิ่วเหอ เจ้าของที่ดินในหมู่บ้านเต๋อถัง ซึ่งครอบครัวสกุลมู่เช่าที่ดินทำไร่นาอยู่บางส่วน “พ่อคิดว่าพวกเราพอมีหนทางเรื่องนี้แล้วชิงเอ๋อร์” "หากเป็นเช่นนั้นจริง ลูกก็ขอสนับสนุนการแยกบ้านของพวกเราด้วยของสิ่งนี้เจ้าค่ะ" มือบางเปิดห่อออก เห็ดหลินจือแดงผิวมันวาว ขนาดเท่าฝ่ามือของมู่เฟิง ส่องประกายกระแทกตาผู้ได้เห็นทันที! "นะ นี่ นี่มันเห็ดหลินจือแดงนี่ชิงเอ๋อร์ ลูกไปเอามาจากไหน!" น้ำเสียงตื่นเต้นของมู่เฟิงดังขึ้น เขาจ้องบุตรสาวด้วยสายตาเหลือเชื่อ อย่าบอกนะว่าท่านเทพประทานให้นางมา "ข้าพบพวกมันบนเขาวันนี้เจ้าค่ะ ไม่เชื่อถามท่านแม่ดูได้" หญิงสาวแย้มยิ้มหันไปหามารดา ซึ่งมีสีหน้าโล่งใจยามได้เห็นว่าสมุนไพรล้ำค่า มิได้สูญหายหรือเสียหายแต่อย่างใด "ที่ชิงเอ๋อร์กล่าวมาเป็นความจริงเจ้าค่ะท่านพี่" มู่หนิงเฉิงดวงตาเป็นประกาย ยามได้ยินบิดากล่าวเรื่องแยกบ้าน แม้ว่าเด็กชายจะมีอายุเพียงเก้าหนาว แต่กลับมีความคิดความอ่านเติบโตเกินวัย คงเป็นเพราะต้องช่วยบิดาทำไร่ทำนาตั้งแต่เด็ก เจ้าหัวผักกาดน้อยอีกหัวของบ้านถึงได้เข้าใจเรื่องที่ผู้ใหญ่หารือกัน "ข้าอยากเข้าเมืองเอาเห็ดสองดอกนี้ไปขายเจ้าค่ะท่านพ่อท่านแม่" หญิงสาวแจ้งความประสงค์ของตน "ได้ พรุ่งนี้พ่อจะพาพวกเราเข้าเมืองอี้เฉิงแต่เช้า" มู่เฟิงเองก็อยากเข้าเมือง ไปเยี่ยมเยียนสหายเก่าของเขาอยู่เหมือนกัน ทุกครั้งที่เขาไปซื้อข้าวสารหรือธัญพืช ก็ได้ ต้วนกู่ นี่แหละที่ช่วยออกหน้า ขอให้หลงจู๊ร้านฝูจิ่นลดราคาให้เขาเสมอ ‘ตื่นเต้นๆๆๆ นี่เราจะได้ไปเห็นเมืองใหญ่ในยุคโบราณแล้ว จะเหมือนที่บรรยายไว้ในนิยายรึเปล่านะ แล้วจะมีท่านโหวหรือว่าท่านอ๋องสุดหล่ออะไรเทือกนั้นด้วยหรือเปล่าเนี่ย หรือจะมีแค่ในนิยาย‘บทที่ 78 ปลาฮุบเหยื่อ (ตอนปลาย) หญิงสาวปรือตาฉ่ำน้ำตอบรับเขาอย่างลืมตัว "เจ้าเก่งเหลือเกิน อื้ออ ถูกใจข้ายิ่งนัก แรงอีกหน่อย อ๊าา ข้าเกือบถึงอีกแล้ว" เสียงครวญครางด้วยความสุขสมของหญิงสาว ดังเข้าหูชายหนุ่มอีกคนที่นั่งรออยู่ข้างห้อง มือแกร่งกำเข้ากันแน่นจนข้อนิ้วลั่น ถอนหายใจออกมาหนักหน่วง ก่อนยกจอกสุราขึ้นกระดกจนหมดในรวดเดียว ผู้ติดตามที่มาด้วยยืนก้มหลุบตาต่ำ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ผ่านไปแล้วสามเค่อ การเคลื่อนไหวในห้องข้างๆ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง อีกทั้งเสียงเนื้อกระทบกันเคล้าเสียงครวญครางด้วยความเมามันกลับดังขึ้นเรื่อยๆ ช่างเสียดแทงหูของผู้ได้ยินยิ่งนัก ปัง! "มันจะทำกันนานเกินไปแล้วนะ!" เขาตบโต๊ะด้วยความขุ่นเคือง เค้นเสียงเอ่ยลอดไรฟัน ใบหน้าหล่อเหลาดำทะมึนอย่างหงุดหงิด ผู้ติดตามยังคงเงียบงันไร้ซึ่งวาจา ทว่าต่างแอบคิดเหมือนกันไม่มีผิด 'ดูท่าเจ้าหนุ่มนั่นคงมีฝีไม้ลายมือเรื่องอย่างว่าน่าดู นางถึงได้ครางเสียงหลงขนาดนี้…' ราวสองเค่อต่อมาเสียงการเคลื่อนไหวก็เงียบลง ร่างกายเปลือยเปล่าขาวผ่องของหญิงสาว นอนทับอกแกร่งของชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มอิ่มเอม นางหอบหายใจจากความเหนื่อยอ่
บทที่ 79 ปลาฮุบเหยื่อ (ตอนต้น) "หัวหน้าหมอหลวงฟ่งปรุงยาถอนพิษได้หรือไม่" สุรเสียงของซวินเหิงเยว่เต็มไปด้วยความกังวลขณะรับสั่งถาม หวายกงกงส่ายหน้า “ท่านหมอฟ่งกำลังตรวจสอบหาที่มาของพิษอยู่พะย่ะค่ะ หากไม่ทราบว่าเป็นพิษชนิดใด ก็มิอาจปรุงยาถอนได้ ระหว่างนี้จึงได้ทำการฝังเข็มเพื่อชะลอการแพร่กระจายของพิษไว้ก่อน“ "กงกงโปรดรออยู่ที่นี่สักครู่" รับสั่งเสร็จก็เดินหายไปยังห้องนอน และกลับออกมาพร้อมกล่องใบเล็กในมือ ก้มลงกระซิบบางอย่างกับหวายกงกง วันรุ่งขึ้นข่าวเรื่องฮ่องเต้ประชวรได้ถูกแจ้งแก่ขุนนางที่มารอประชุมเช้า ราชกิจทั้งหลายถูกโอนไปให้องค์รัชทายาทรับผิดชอบแทนชั่วคราว ตำหนักหวงหยาง องค์ชายห้าซวินเหอเยี่ยนสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม หลังจากกลับออกมาจากวังหลวง ทั้งที่ปกติพระบิดาของเขามีพระวรกายแข็งแรงมาตลอด นานๆครั้งถึงจะเป็นหวัดเพราะต้องลมเย็นสักครา ทว่าจู่ๆกลับทรงประชวรหนักจนถึงขั้นมิอาจเข้าประชุมเช้า ครั้นจะขอเข้าเยี่ยมพระอาการ กลับถูกหวายกงกงห้ามไว้ โดยอ้างว่าที่ฝ่าบาทประชวร เป็นเพราะทรงเสียพระทัยเรื่องการสิ้นพระชนม์ของไทเฮา รวมทั้งเรื่องของฮองเฮาและตระกูลหลิน หัวหน้าหมอหลวงฟ่งกำชับให
บทที่ 77 ดิ้นรน (ตอนปลาย) "หรานซิง พวกเราไม่มีเวลาแล้ว หากเจ้าไม่ยอมร่วมมือกับข้า ตำแหน่งฮองเฮาที่เจ้าใฝ่ฝันคงกลายเป็นของผู้อื่น รีบตัดสินใจเสีย!" รับสั่งสุรเสียงเด็ดขาดจนคนฟังสะดุ้งเฮือก พระชายาหลินหรานซิงกำหมัดใต้แขนเสื้อแน่น สูดหายใจลึกหลุบดวงเนตรลงต่ำ พยักหน้ารับปากคำขอของสวามีอย่างจำใจ "ขอบใจเจ้ามากชายารัก ขอบใจจริงๆ" ซวินเทียนอวิ๋นดึงร่างระหงของชายาเอกมากอดแนบอก พร่ำบอกขอบใจนางซ้ำไปซ้ำมาด้วยความโล่งอก "แต่ว่า…จะไปหาคนผู้นั้นมาจากที่ไหนหรือเพคะ" หลินหรานซิงเอ่ยถามสวามีด้วยความกังวล แม้ภายในใจไม่ยินยอมแต่เมื่อลงเรือลำเดียวกันแล้ว นางก็ต้องให้ความร่วมมือ แม้ว่าหนทางนี้จะอันตราย "เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง เจ้าเตรียมตัวให้พร้อมไว้ก็พอ" ช่วงสายของวันเดียวกันนั้น รถม้าไร้สัญลักษณ์จอดอยู่หน้าจวนเพื่อรอรับเอ้อร์หลิง ชายหนุ่มอยู่ในชุดสีขาวมีเสื้อคลุมกันหนาวสีดำคลุมทับ หันมาโบกมือร่ำลานายเหนือหัว และว่าที่นายหญิงด้วยรอยยิ้มสดใสก่อนก้าวขึ้นรถม้าไป ราวหนึ่งครึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าคันดังกล่าวได้จอดเทียบประตูทางเข้าด้านข้างหออ้ายเสิน หอโคมแดงชื่อดังของเมือ
บทที่ 77 ดิ้นรน (ตอนต้น) จิตสังหารแผ่ออกรอบพระวรกายฮ่องเต้ กดข่มหลินฮองเฮาจนแทบหายใจไม่ออก ดวงเนตรนางหงส์สั่นระริกรูม่านตาหดเล็กจากความกลัวที่ผุดขึ้นจากจิตใต้สำนึก โอรสสวรรค์ละพระหัตถ์จากดวงหน้าของหลินเจาถิง ยืนฟังนางแก้ตัวด้วยรอยยิ้มเหยียดหยัน "ฝ่า ฝ่าบาททะ ทรงรับสั่งเรื่องอะไรเพคะ นักพรตอะไรกัน ทรงไปฟังใครที่ไหนมาเพคะ เรื่องเมื่อสิบห้าปีก่อนอะไรกันหม่อมฉันไม่เข้าใจ" ท่าทางของนางลนลานเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็ง ตัวนักพรตหวู่หุนเองตายไปนานแล้ว ถึงครอบครัวอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ แต่จะเอาหลักฐานอะไรมาปรักปรำนาง หนำซ้ำตอนที่ครอบครัวของนักพรตหวู่หุนเดินทางออกจากเมืองหลวง นางสั่งให้คนของสำนักคุ้มภัยตระกูลหลิน ตรวจค้นข้าวของที่พวกเขานำติดตัวไปรวมถึงค้นตัวของทุกคน ไม่มีจดหมายหรือเอกสารใดๆ ซุกซ่อนอยู่ทั้งสิ้น ทว่าสิ่งที่หลินฮองเฮาไม่รู้ นั่นคือเรื่องที่นักพรตหวู่หุนได้แอบส่งภาพวาดสำคัญ ฝากพ่อค้าที่รู้จักกันกลับไปยังแดนเหนือเพื่อมอบให้หลานชาย ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะล้มป่วย "หลินเจ้าถิง ข้ามีคำสารภาพผิดของนักพรตหวู่หุนอยู่ในมือ ถึงเจ้ายืนกรานปฏิเสธก็หนีไม่พ้น ชีวิตคนบริสุทธิ์มากมายเจ้าต้องชดใช้ให
บทที่ 76 ปริศนาฆาตกรรมในวังหลัง (ตอนปลาย) ตำหนักเฟิ่งอัน ห้องบรรทมหลินฮองเฮา หน้าต่างห้องบรรทมถูกแง้มออก ร่างบางปีนเข้ามาด้านในโดยไม่มีใครสังเกตเห็น ตามมาตรฐานจารชนมือฉกาจ แคปซูลยาสลบถูกจ่อใต้จมูกของฮองเฮา ราวห้าลมหายใจต่อมาเสียงฝ่ามือกระทบเนื้อก็ดังขึ้นต่อเนื่อง เพียะ! เพียะ! เพียะ!…เพียะ! เมื่อเห็นว่าใบหน้าของศัตรูบวมฉึ่งกลายเป็นหัวหมูเรียบร้อย กริชของเผ่าฮวาล่าที่ด้ามทำจากเขาสัตว์ฝังอัญมณี ซึ่งองค์หญิงลี่นาซามอบให้เป็นของขวัญ ถูกกรีดลงบนใบหน้าด้านขวาของหลินเจาถิง บริเวณเดียวกันกับใบหน้าของเฉินชิงเหอ ถือเป็นการเอาคืนเล็กน้อยให้บิดาของนาง ก่อนกลับมาจัดการให้สมน้ำสมเนื้ออีกทีที่หลัง จากนั้นจึงปีนขึ้นไปบนเตียง ดึงเอาร่างไร้ศีรษะของว่านไทเฮาออกมาจากมิติ วางลงข้างกายหลินเจาถิง จัดท่าให้ฮองเฮานอนกอดร่างไร้วิญญาณของคู่แค้นราวกับกำลังโอบกอดคนรัก…พรุ่งนี้ตื่นมาคงมีเรื่องสนุกเกิดขึ้นในวังหลังอย่างไม่ต้องสงสัย ยามรุ่งอรุณของวันถัดมา ท้องฟ้าสีครามปราศจากเมฆหมอกบดบัง แสงแดดอบอุ่นยามเช้าสาดส่องโลมไล้หิมะสีขาว เกิดประกายระยิบระยับพร่างพรางราวอัญมณีล้อแสง พาให้จิตใจผ่องใสสดชื่นในเช
บทที่ 76 ปริศนาฆาตกรรมในวังหลัง (ตอนต้น) หลังจากถูกเซียวหนิงชิงเล่นงานปางตายในคืนนั้น ว่านไทเฮาก็ย้ายตำหนักมาอยู่อีกฝากฝั่งของวังหลัง นางไม่กล้าพำนักอยู่ ณ ตำหนักเดิมอีกต่อไป ด้วยเพราะกลัววิญญาณร้ายจะตามมาหลอกหลอน นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ ซู่หมัวมัวและนางกำนัลคนสนิทอีกสองนาง จึงถูกสั่งให้มานอนเฝ้าหน้าเตียงเป็นเพื่อนว่านไทเฮา เซียวหนิงชิงเพ่งเนตรปีศาจกวาดตามองไปทั่ววังหลัง เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆนางก็พบห้องบรรทมใหม่ของว่านซวงเถียน "ชิ คิดว่าหนีพ้นเงื้อมมือข้าไปได้อย่างนั้นรึยัยแก่ เตรียมตัวลงนรกไปอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาครอบครัวเสียเถอะ ซีซี พวกเราไปหายายแก่ว่านซวงเถียนกันเถอะนะ" เมี้ยวววว แมวทิพย์ตอบรับเสียงหวาน มันไม่เคยขัดใจนางทาสอยู่แล้ว ไปไหนไปกันซีซีพร้อมเสมอ หน้าต่างห้องบรรทมที่ลงกลอนจากภายใน ถูกแมวทิพย์ที่สามารถเดินทะลุผนังได้ปลดกลอนออก ผู้มาเยือนยามวิกาลย่องมาเข้าอย่างเงียบเชียบ จ่อแคปซูลยาสลบไปที่ใต้จมูกของซู่หมัวมัวและนางกำนัลอีกสองคน "เรียบร้อย จะได้ไม่มีใครมาขัดจังหวะช่วงเวลาเยี่ยมผู้ป่วยของคนสวย" ร่างบางก้าวข้ามตัวของหมัวมัวและปีนขึ้นไปบนเตียงของว่านไทเฮา ดวงตาเมล็