ตอนที่ 2
อยู่คนเดียวก็ไม่เห็นเป็นไร
เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วกลางสวนหลังจวน ดอกเหมยสีชมพูอ่อนร่วงหล่นละลานตา แสงแดดยามสายสาดผ่านซุ้มไม้เลื้อยอย่างอ่อนโยน ลมพัดใบไม้ไหวตามจังหวะธรรมชาติ
เฟิงเหม่ยหลินนั่งอยู่ใต้ศาลาในชุดสีขาว สะอาด เรียบง่าย ไม่ได้ปักลวดลายมากมายเหมือนก่อน อาการบาดเจ็บจากการตกน้ำจางหายไปจนแทบไม่เหลือร่องรอย ร่างกายฟื้นตัวเร็วราวกับไม่ได้ผ่านความตายมาเลยสักนิด
เธอจิบชาช้า ๆ สายตากวาดมองรอบจวนที่เงียบสงัด ร่มรื่น และว่างเปล่า
วันนี้เป็นวันที่แปดนับจากวันที่เธอฟื้น นอกจากสาวใช้ที่ผลัดเวรดูแลและท่านพ่อที่มาหาเธอวันละไม่เกินหนึ่งชั่วยาม
ก็ไม่เคยมีใครอื่นมาเยี่ยมเธออีกเลยแม้แต่คนเดียวไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ขุนนางตระกูลใกล้ชิด หรือคุณหนูที่เคยอยู่สำนักเรียนด้วยกันก็ไม่มี เธอหลุบตามองแก้วชาในมือ ก่อนยกยิ้มแห้งในลำคอ
“นี่ฉันไม่มีเพื่อนเลยเหรอ”
คำถามนั้นลอยอยู่ในหัวเพียงชั่วครู่ ก่อนจะมีคำตอบแล่นขึ้นมาเองโดยไม่ต้องคิดให้ยุ่งยาก
ใช่ ไม่มี เพราะ “เฟิงเหม่ยหลิน” ในบทนิยายเดิมไม่เคยสนใจจะมีเพื่อน
หญิงสาวผู้เฝ้าคิดหมกมุ่นกับการครอบครององค์ชายสาม ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการหาเรื่องนางเอก หาข้ออ้างไปวังหลวง และสร้างความรำคาญให้ทุกคนรอบข้าง
เธอไม่ไว้ใจใคร ไม่ผูกมิตรกับใคร และรังเกียจคนที่ “ไม่คู่ควร” จึงไม่เคยเปิดใจให้ใครเลยสักคนเดียว
“กลัวคนจะเข้าหาพระเอกเลยกันคนทั้งหมดออกไป แล้วก็จบลงด้วยการตายอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ร้องไห้ให้”
เธอยกมือแตะหน้าผาก ถอนหายใจเบา ๆ อย่างเหนื่อยหน่าย
“ตัวร้ายอะไรจะน่าสงสารขนาดนี้ แถมยังนิสัยเสียแบบไม่รู้ตัวอีกต่างหาก”
แต่พอนึกไปอีกที การไม่มีใครก็อาจจะเป็นเรื่องดี
“ไม่มีเพื่อน ก็ไม่มีใครยุ่ง ไม่มีใครยุ่ง ก็ไม่มีใครลากฉันกลับเข้าเส้นเรื่องเดิม แบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว”
เธอวางถ้วยชาลงบนถาด ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดชายผ้าให้พลิ้วไหว ดวงตาของเธอคู่นั้นเปล่งประกายนิ่งสงบขึ้นเล็กน้อย
“ในเมื่อไม่มีใคร ฉันก็จะอยู่เงียบ ๆ ในจวน ไม่วุ่นวายกับใครทั้งนั้น”
เธอหันหลังกลับสู่เรือนพัก ปล่อยให้สายลมพัดกลีบดอกเหมยโปรยปรายตามหลังอย่างเงียบงัน เงียบเช่นเดียวกับชีวิตใหม่ที่เธอเลือกเอง
หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ฟ้าเปลี่ยนสีหลายครั้ง ใบเหมยผลัดดอกจนเกือบร่วงหมดต้น แต่ในจวนสกุลเฟิงยังคงเงียบงันเช่นเดิม โดยเฉพาะเรือนของคุณหนูใหญ่
เฟิงเหม่ยหลินไม่ออกจากเรือนเลยแม้แต่ก้าวเดียว นางอยู่ในศาลาเงียบ ๆ บ้าง อ่านหนังสือบ้าง หรือไม่ก็เหม่อลอยมองท้องฟ้าอย่างไร้จุดหมาย
ไม่มีคำสั่งวุ่นวาย ไม่มีเสียงกรีดร้อง ไม่มีของปาใส่สาวใช้ ไม่มีการเรียกร้องจะเข้าเฝ้าองค์ชายสามอีกเลย
คนในจวนพากันโล่งใจในช่วงแรกแต่เมื่อเวลาล่วงเลย ความโล่งใจนั้นกลับกลายเป็นความกังวล
“คุณหนูเปลี่ยนไปเปลี่ยนไปจนน่ากลัว” นั่นคือคำพูดของสาวใช้และคนอื่น ๆ ที่แอบกระซิบกระซาบกัน แต่เธอก็ยังได้ยิน
ภายในห้องโถงใหญ่ เสนาบดีเฟิงเจิ้นไห่นั่งไม่ติดบนเก้าอี้ไม้แกะสลัก เขาเดินวนรอบห้องอย่างกระสับกระส่าย สีหน้าหนักใจไม่เหมือนชายผู้ถืออำนาจในราชสำนัก หากเหมือนพ่อคนหนึ่งที่เป็นห่วงลูกสาวสุดหัวใจ
“เจ้าเห็นหรือไม่ นางไม่ยิ้ม ไม่พูด ไม่แม้แต่จะตำหนิสาวใช้คนใด ข้ารู้ว่านางยังมีชีวิตแต่ราวกับใจนางตายไปแล้ว”
เขาพูดอย่างร้อนรนกับชายชราในชุดขุนนาง ผู้มีหนวดเคราสีขาวและดวงตาแหลมคมที่เต็มไปด้วยความใจดี
ท่านผู้นั้นคือ ราชครูหยาง เพื่อนสนิทของเสนาบดีเฟิง ผู้สอนองค์ชายและมีตำแหน่งสูงส่งไม่แพ้กัน
“เจิ้นไห่เจ้าตามใจนางมาทั้งชีวิต นางเลยเคยมีชีวิตที่มีแต่ความเอาแต่ใจ ครั้นเจอน้ำเชี่ยวพัดเอาความมั่นใจไปทั้งก้อน จะให้ลุกขึ้นยืนเองคงยากหน่อย” ราชครูหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนตามแบบฉบับชายแก่ใจดี
“แล้วท่านคิดว่าข้าควรทำอย่างไรดี” เสนาบดีเฟิงถามเสียงแผ่ว
ราชครูหยางยิ้มบาง ดวงตาทอประกายอย่างใจเย็น ก่อนจะเอ่ยคำแนะนำ
“เปิดม่านให้แสงเข้าบ้าง จัดงานที่จวน หรือไม่ก็พานางออกไปเจอสังคม คนเราไม่อาจอยู่ในเปลือกได้ตลอดกาล”
และนั่นจึงนำไปสู่ค่ำวันต่อมา ในเรือนของคุณหนูเฟิง
เฟิงเหม่ยหลินนั่งอ่านหนังสืออยู่เช่นเคย แต่ครั้งนี้พ่อของเธอกลับมาพร้อมดวงตาแดงเรื่อ ไม่ใช่จากโทสะแต่จากการพยายามกลั้นน้ำตา
“หลินเอ๋อร์”
เสียงเรียกที่อ่อนโยนจนเธอที่ฟังต้องวางหนังสือลง แล้วเงยหน้าสบตาคนเรียก
“พ่อขอเจ้าแค่เพียงหนึ่งอย่าง แค่ไปออกงานเลี้ยงด้วยกัน พ่ออยากให้เจ้าหัวเราะอีกครั้ง พ่ออยากเห็นเจ้ามีชีวิต ไม่ใช่แค่หายใจ”
ดวงตาของชายผู้มีอำนาจที่สุดในราชสำนักสั่นระริก เขาคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ ลูบมือลูกสาวเบา ๆ อย่างคนที่กลัวจะเสียเธอไปอีกครั้ง
เฟิงเหม่ยหลินชะงัก เธอไม่อยากไป ไม่อยากพบใคร ไม่อยากเดินเข้าสู่เส้นเรื่อง เธอแค่อยากอยู่เงียบ ๆ แบบนี้จนกว่าทุกอย่างจะผ่านไป แต่เมื่อสบตาพ่อของเธอ พ่อคนนี้ไม่ใช่ตัวละครอีกต่อไป แต่คือพ่อที่รักลูกสาวมาก ๆ คนหนึ่ง
เธอสูดลมหายใจเข้าเบา ๆ แล้วพยักหน้าช้า ๆ
“เจ้าคะ ข้าจะไป”
และในคืนนั้นหลังจากเธอตอบตกลงข่าวการปรากฏตัวของคุณหนูเฟิงที่ห่างหายจากสังคมไปหนึ่งเดือนเต็ม ก็กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงในหมู่ขุนนางและบรรดาคุณหนูคุณชายจากทั่วทั้งเมืองหลวง
ตอนที่ 20คำปลอบใจจากแม่ทัพแสงแดดยามเช้าส่องลอดม่านผ้าของรถม้าเข้ามาอย่างแผ่วเบา ทอแสงอบอุ่นให้กับบรรยากาศเงียบงันภายในเหม่ยหลินนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของเบาะรถม้า ใบหน้าเรียบเฉย สายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย เธอไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่เช้า ไม่แม้แต่จะสบตากับใคร แม้ซูเยี่ยนและเหวินซีจะพยายามพูดคุย เปลี่ยนเรื่องเล่า หรือหยอกล้อคลายความตึงเครียด แต่เธอก็ยังคงนิ่งเหมือนวิญญาณบางส่วนของเธอ ยังคงติดอยู่ที่บ้านร้างเมื่อคืน“เหม่ยหลิน” เสียงของซูเยี่ยนดังขึ้นเบา ๆ ขณะที่จับมือเธอไว้แน่น “เจ้าทำเพื่อช่วยข้า ข้ารอดเพราะเจ้า”แต่เหม่ยหลินกลับค่อย ๆ ก้มหน้าลงมองมือของตนเอง ที่แขนเธอยังมีผ้าพันแผลสีขาวสะอาดหุ้มบาดแผลเอาไว้เธอขยับริมฝีปากช้า ๆ “ข้าฆ่าคนไปแล้วจริง ๆ” เสียงแผ่วเบาแต่ชัดเจน ราวกับลมที่พัดผ่านกลางใจคนทั้งรถม้าซูเยี่ยนชะงัก หันไปมองเหวินซี ก่อนทั้งสองจะพุ่งเข้ากอดเธอแน่นในเวลาเดียวกัน“เจ้าทำไปเพราะไม่มีทางเลือก เพราะเจ้าปกป้องพวกข้า” เสียงทั้งสองคนดังสลับกัน พยายามกล่อมความรู้สึกในใจของหญิงสาวผู้กำลังสั่นเทาอยู่เงียบ ๆและเมื่ออ้อมกอดอบอุ่นโอบเธอไว้ สิ่งที่เธอกดไว้ในใจมาต
ตอนที่ 19 โจรป่าบุกเสียงฝนที่เคยซัดสาดตลอดคืนเริ่มเบาลงจนกลายเป็นเสียงพรำเบา ๆ ก่อนจะหยุดลงในที่สุด เหลือเพียงกลิ่นดินเปียกชื้นที่โชยเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่ผุพังท่ามกลางความเงียบสงัดยามค่ำคืน ภายในบ้านร้างหลังเก่าที่เต็มไปด้วยผู้คนที่หลับใหลบนที่นอนที่ทำอย่างง่าย ๆ กลับมีเพียงชายคนหนึ่งที่ยังคงลืมตาหมิงเฉิน ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในเงามืด ใกล้กับองค์ชายอี้เหิง สายตาของเขาหลุบต่ำอย่างใจเย็น แต่ในความนิ่งนั้นกลับเต็มไปด้วยแรงตื่นตัว เขาเคยอยู่ในสนามรบมาก่อน เขารู้จัก “ความเงียบผิดปกติ” ได้ดีเสียงฝีเท้าเบา ๆ แว่วมาแทบจะไม่ต่างจากเสียงฝนหยด แต่สำหรับเขา มันชัดเจนราวกับเสียงฟ้าร้อง“มีคนกำลังมา” เขากระซิบเบา ๆ ให้กับอี้เหิง ก่อนจะขยับมือทำสัญญาณไปทางทหารองครักษ์ที่อยู่อีกฝั่งทันใดนั้น กลุ่มทหารเริ่มตื่นตัวอย่างเงียบเชียบ มือข้างหนึ่งเลื่อนไปจับด้ามดาบ แต่อีกข้างยังไม่ยกขึ้นรอคำสั่งหมิงเฉินขยับลุกขึ้น ก่อนจะเดินเบา ๆ ไปยังมุมที่เหล่าหญิงสาวนอนอยู่ เขาหยุดอยู่หน้าเหม่ยหลิน และโน้มตัวลงแตะไหล่เธอเบา ๆเธอลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ แต่ทันทีที่เห็นแววตาจริงจังของเขา เธอก็เงียบลง“ท่านมีอะไร” เธ
ตอนที่ 18ขี่ม้ากลับเมืองหลวงแสงแดดอ่อนยามเช้าสาดส่องผ่านกลุ่มแมกไม้สองข้างทาง ถนนที่ทอดยาวจากเมืองเจียงหลินกลับสู่เมืองหลวงเงียบสงบ มีเพียงเสียงฝีเท้าม้าเป็นจังหวะและเสียงล้อรถม้าที่บดไปตามทางดินแต่ที่เป็นจุดสนใจที่สุดกลับไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเฟิงเหม่ยหลินหญิงสาวนั่งอยู่บนหลังม้าศึกตัวใหญ่ขององค์ชายสามจริง ๆ ม้าสีดำขลับสูงใหญ่ แข็งแกร่งแม้จะไม่ได้พยศ แต่ก็ไม่ใช่ม้าสำหรับสุภาพสตรีเลยแม้แต่น้อย ทว่าภาพที่เห็นกลับช่างเหมาะเจาะหญิงสาวในชุดคุณหนูตระกูลใหญ่ ปักลวดลายอย่างประณีต เธอนั่งอยู่บนเบาะม้าอย่างมั่นคง ผมยาวถูกรวบครึ่งศีรษะด้วยปิ่นหยกเรียบ ๆ แต่กลับดูสง่างามเกินใคร ริมฝีปากทาสีอ่อนเฉดชมพูระเรื่อ รับกับใบหน้าเรียวที่ไม่ต้องยิ้มก็ตรึงสายตาคนได้ทั้งขบวนท่าทางการนั่งหลังตรงนั้นไม่ได้บ่งบอกความอ่อนช้อยตามแบบคุณหนูผู้สูงศักดิ์ แต่กลับแฝงความ นิ่ง เรียบ และเย่อหยิ่งอย่างเงียบงันคนมองไม่อาจละสายตาได้ไม่เว้นแม้แต่พวกสาวใช้ที่เดินตามขบวนอยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นภาพนั้นเข้าพวกนางก็เริ่มมีเสียงซุบซิบกันขึ้นมาเบา ๆ“คุณหนูเฟิงนั่งบนหลังม้าขององค์ชายสามเชียว นั่นม้าศึกนะ”“นางคงยั่วยวนองค์ชายจ
ตอนที่ 17 มีคนมาสู่ขอเช้าวันถัดมา ท้องฟ้าโปร่งใส ลมเย็นพัดเบา ๆ แต่บรรยากาศสงบในยามเช้ากลับถูกรบกวนด้วยเสียงจอแจของผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาที่หน้าจวน ไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป แต่เป็นหญิงวัยกลางคนแต่งกายงดงาม พร้อมด้วยบุตรชายทั้งหลายที่ถูกแต่งตัวเสียจนแทบไม่เหลือเค้าของลูกชาวเมือง“คุณหนูเฟิงออกมายังเจ้าคะ” เสียงของหญิงกลางคนพวกนั้นถาม“ลูกข้าร่ำเรียนที่สำนักหลวง ท่านหญิงลองคุยดูได้นะเจ้าคะ”“ลูกชายข้าเองก็เพิ่งสอบได้ที่หนึ่งในเมือง”เสียงเหล่าแม่ ๆ ดังอื้ออึงจนข้ารับใช้ในจวนต้องรีบมาตามพวกเธอออกไปดูเหม่ยหลินที่ยังงุนงงกับบรรยากาศก็เดินออกมาที่หน้าจวนพร้อมกับหมิงเฉินและซูเยี่ยน ทันทีที่หญิงสาวก้าวออกมาจากประตูหลัก สายตาทั้งหมดก็จับจ้องมาที่เธอราวกับเจอเป้าหมายทองคำ“นั่นนางใช่หรือไม่”“ใช่จริง ๆ ด้วย นางสวยมาก สวยกว่าที่ข่าวเล่าอีก”“ใช่ และนางช่างดูสง่างาม”เหม่ยหลินเบิกตากว้างก่อนจะชะงักเท้า เหล่าบรรดาแม่ ๆ พร้อมลูกชายเริ่มพุ่งเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ประหนึ่งกำลังจะเข้าร่วมงานเลือกเขยหลวงเธอเบี่ยงตัวถอยหลังทันที ก่อนจะหันขวับไปมองหมิงเฉิน แล้วพึมพำอย่างร้อนรน“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย”
ตอนที่ 16ความสามารถที่คาดไม่ถึงแสงแดดอ่อนยามสายส่องลอดต้นไม้ใหญ่ข้างทางสาดเข้ามาในรถม้าเป็นระยะ รถม้ายังคงเคลื่อนไปบนเส้นทางผ่านป่าเขา บนถนนที่เต็มไปด้วยก้อนหินและหลุมบ่อจนนั่งแทบไม่ติดเบาะเฟิงเหม่ยหลินเอนหลังพิงเบาะไม้ พลางถอนหายใจยาว นางหลับตาอย่างอ่อนล้า ก่อนจะพึมพำเสียงแผ่ว“เมื่อไรจะถึงกันนะ ข้าอยากลงไปเดินเสียให้รู้แล้วรู้รอด”ซูเยี่ยนที่นั่งข้าง ๆ อดยิ้มขำไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนโยน “อดทนอีกนิด พรุ่งนี้ก็ถึงเมืองเจียงหลินแล้ว เจ้าเก่งอยู่แล้วนี่ เหลือแค่อึดใจเดียวเอง”เหวินซีที่นั่งฝั่งตรงข้ามหยิบพัดขึ้นมากางด้วยท่าทางสบาย ๆ ก่อนจะหรี่ตาลง“เฟิงเหม่ยหลินคนเมื่อวาน ที่ตบคุณหนูจนทรุดไปนอนกองอยู่กับพื้นนั่นหายไปไหนแล้วนะ หรือว่าตัวจริงคือเฟิงเหม่ยหลินขี้บ่นคนนี้กันแน่”เหม่ยหลินลืมตาช้า ๆ หันขวับไปมองเหวินซีด้วยแววตานิ่งสนิท ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดจากริมฝีปากของนาง เพราะในตอนนี้เธอเวียนหัวเกินกว่าจะเถียงกลับได้“…”ซูเยี่ยนกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ก่อนจะยื่นน้ำให้เหม่ยหลิน “เจ้าหลับไปสักหน่อยดีไหม เดี๋ยวถึงที่พักจะได้มีแรงเดินเล่น”เหม่ยหลินเพียงพยักหน้าเบา ๆ พลางรับถ้วยน้ำไปจิบช้า
ตอนที่ 15เสียงบ่นระหว่างเดินทางเสียงฝีเท้าม้าชะลอลงพร้อมกับเสียงโบกมือสั่งของทหารหน้าขบวน“หยุดพักที่นี่ครึ่งชั่วยาม”รถม้าหลายคันค่อย ๆ จอดเรียงรายใต้ร่มไม้ใหญ่ริมทาง มีเสียงนกเบา ๆ จากลำธารใกล้ ๆ ดังคลอไปกับเสียงแมลงยามเย็น สายลมพัดแผ่วจนชายผ้าคลุมบางสะบัดพลิ้วเหม่ยหลินก้าวลงจากรถม้าด้วยความโล่งอกสุดหัวใจ “ข้านึกว่าข้าจะตายคารถม้าแล้วจริง ๆ”ซูเยี่ยนลงตามหลังมาก่อนจะหัวเราะ “ถ้าเจ้าบ่นแบบนี้อีกวันนี้ข้าคงหูชาแน่”เหวินซีเดินถือพัดเข้ามาสมทบ “แต่ก็ดีที่พักตรงนี้ มีลำธารใกล้ ๆ ข้าเองก็อยากล้างหน้าเสียหน่อย”“เจ้าจะตามข้ามาไหม” ซูเยี่ยนหันมาชวนเหม่ยหลิน“ข้า” เธอลังเลนิดหนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “ก็ได้ แต่อย่าลากข้าลงไปเล่นน้ำก็พอ”ซูเยี่ยนหัวเราะคิก “เจ้าชั่งรู้ใจข้าดีเหลือเกิน”ทั้งสามเดินแยกออกไปที่ลำธาร ปล่อยให้เหล่าทหารจัดเตรียมจุดพัก จัดเวรยาม และจุดเตาถ้วยน้ำชาหลังล้างหน้าและเปลี่ยนลมหายใจให้สดชื่น เหม่ยหลินก็แยกตัวออกมาเล็กน้อย เดินไปนั่งยังโขดหินริมน้ำ ละสายตาไปยังผิวน้ำที่ไหลเอื่อย สะท้อนแสงเย็นยามตะวันใกล้ตกดินเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นทางด้านหลัง ก่อนที่หมิงเฉินจะเดินมาหย