ตอนที่ 1
ฟื้นจากความตาย
เสียงน้ำกระทบฝั่งอย่างเชื่องช้า สายลมเย็นเฉียบพัดผ่านใบหน้า ราวกับกำลังปลุกปลอบร่างที่ไร้เรี่ยวแรง
เฟิงเหม่ยหลินรู้สึกเหมือนลอยอยู่กลางความว่างเปล่าทั้งกายหนักอึ้ง ราวกับจมหายไปในความฝันที่ไม่มีทางตื่น ข้างในอกเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ ความมืด และเสียงเรียกที่แผ่วเบาราวกระซิบ
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ”
เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา ก่อนจะแทรกซึมเข้ามาในหัว เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงกลิ่นยาสมุนไพรบางเบาที่โชยเข้าจมูก
“คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
เปลือกตาหนักอึ้งค่อย ๆ เปิดขึ้น แสงสลัวจากโคมไฟน้ำมันสะท้อนแผ่วเบากับม่านผ้าบาง ๆ สีขาวที่ไหวตามลม มีผ้าห่มปักลายหนานุ่มคลุมอยู่บนร่าง ร่างกายของเธอนอนอยู่บนเตียงไม้ที่แกะสลักอย่างสวยงาม
เฟิงเหม่ยหลินกระพริบตาปริบ ๆ ห้องนี้ ไม่ใช่โรงพยาบาล ไม่ใช่รถพยาบาล ไม่ใช่ โลกที่เธอจากมา
“ที่นี่มัน ที่ไหน” เธอพึมพำเสียงแผ่วเบา ขณะที่มองไปรอบ ๆ ห้องด้วยความงุนงง หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกเจ็บหน้าอก
เพดานไม้ลายจีนโบราณ ผ้าม่านเนื้อหนา โต๊ะชาจีน แม้กระทั่งชุดนอนของเธอก็ไม่ใช่เสื้อผ้าสมัยใหม่ หากแต่เป็นชุดคลุมผ้าปักมือแบบโบราณ
ทันใดนั้น ร่างของสาวใช้คนหนึ่งก็รีบลุกขึ้นนั่งคุกเข่าข้างเตียง ดวงตาแดงช้ำอย่างชัดเจน
“คุณหนู ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพช่วยท่านไว้ หากช้าไปกว่านี้อีกเพียงก้าวเดียว ท่านคง”
คำพูดของอีกฝ่ายกลายเป็นเสียงเบลอในหู เฟิงเหม่ยหลินรู้สึกเหมือนทุกอย่างในหัวกำลังหมุนควงกลับไปยังภาพสุดท้าย รถตกสะพาน สายน้ำสีคล้ำ และความหนาวเย็นที่กัดกินร่างกาย
“ท่านแม่ทัพ”
เธอกระซิบทวนคำนั้นด้วยน้ำเสียงสั่นไหว ขณะเหลือบมองมือของตนเองที่วางอยู่บนผ้าห่ม นิ้วเรียวยาว ผิวขาวเนียน แต่นั่นไม่ใช่มือของเธอ
“มะ...ไม่จริง”
เธอยกมือขึ้นแตะใบหน้าตัวเองอย่างเงียบงัน รูปหน้าเรียวเล็ก จมูกโด่ง ดวงตากลมโตมีหางตาเชิดเล็กน้อย ทว่ากลับแฝงไว้ด้วยความแข็งกร้าว
นั่นไม่ใช่ใบหน้าของเธอในโลกเดิม แต่มันคือตัวละครที่เธอเพิ่งอ่านไปเมื่อคืน
“นี่มันเฟิงเหม่ยหลิน ในนิยาย”
เธอผงะถอยเล็กน้อย ความจริงกระแทกใจเหมือนถูกน้ำเย็นราดกลางอก
นิยายเรื่อง “รักใต้จันทรา” เฟิงเหม่ยหลิน นางร้ายตกน้ำตายจากอุบัติเหตุเพราะพยายามลักพาตัวนางเอก เธอตกน้ำ แล้วตื่นขึ้นมาในร่างของนางร้ายคนนั้นงั้นเหรอ
“เป็นไปไม่ได้ นี่มันแค่ฝัน”
เธอส่ายหน้าช้า ๆ ขณะพยายามลุกขึ้นจากเตียง แต่ทันใดนั้นความวิงเวียนก็แล่นวูบเข้ามา จนร่างกายเธอเอนไปข้างหน้า
“คุณหนู อย่าเพิ่งลุกนะเจ้าคะ ท่านยังอ่อนแรงมาก” สาวใช้รีบพยุงเธอกลับไปนอน ริมฝีปากซีดเผือดของเธอเม้มแน่น
“ท่านแม่ทัพซูหมิงเฉินเป็นผู้ช่วยชีวิตท่านจากแม่น้ำ ท่านแม่ทัพอุ้มท่านขึ้นหลังม้า แล้วรีบพากลับมาที่จวนโดยไม่ยอมให้ใครแตะต้องเลยเจ้าค่ะ”
“แม่ทัพซู…หมิง…เฉิน”
ชื่อที่เคยเป็นแค่ตัวอักษรในหน้ากระดาษ กลับกลายเป็นคนจริง ๆ ในโลกนี้
พระรองในนิยายที่เธอเคยอ่าน กลายเป็นผู้ช่วยชีวิตเธอในครั้งนี้ เธอเงียบไปนานมากจนสาวใช้ต้องเอ่ยเรียกเบา ๆ
“คุณหนู ท่านร้องไห้หรือเจ้าคะ”
เฟิงเหม่ยหลินเอื้อมมือแตะแก้มตัวเอง หยดน้ำตาไหลลงมาช้า ๆ โดยไม่รู้ตัว หัวใจเธอรู้สึกปั่นป่วนจนบอกไม่ถูกว่านี่คือความตกใจ หรือความอบอุ่นจากการรอดตาย หรือเพราะเธอไม่เข้าใจเลยว่านี่คือความฝัน หรือความจริงที่จะพลิกชีวิตเธอไปตลอดกาล
หลังจากเธอฟื้นได้ไม่นาน ประตูห้องนอนของเธอก็ถูกเปิดออกอย่างร้อนรน เสียงฝีเท้าหนักแน่นของใครบางคนดังขึ้นก่อนที่ม่านจะถูกรั้งออกอย่างรวดเร็ว
“หลินเอ๋อร์”
ชายวัยกลางคนในชุดขุนนางก้าวเข้ามา ดวงตาคมที่เคยเฉียบขาดกลับแดงช้ำ ก่อนที่หญิงสาวบนเตียงจะตั้งสติได้ เขาก็ทรุดตัวลงข้างเตียงแล้วรวบตัวเธอเข้ากอดไว้แน่น
“ลูกพ่อ ขอบใจฟ้า ขอบใจสวรรค์ ในที่สุดเจ้าก็ฟื้น พ่อ พ่อคิดว่าจะไม่มีโอกาสได้เห็นเจ้าอีกแล้ว”
เสียงของเขาสั่นเครือ น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นเต็มไปด้วยความรัก ความโล่งใจ และความเจ็บปวดที่อัดแน่นอยู่ในอก
แขนที่กอดเธอไว้ก็แน่นเสียจนเธอแทบหายใจไม่ออกเฟิงเหม่ยหลินนิ่งงันไปชั่วขณะ พ่องั้นเหรอ
เธอเลื่อนสายตาช้า ๆ มองใบหน้าของชายตรงหน้าอย่างพินิจ เขาไม่ได้ดูร้ายกาจ ไม่ได้ดูเข้มงวด เขาดูเหมือนพ่อที่รักลูกอย่างสุดหัวใจ
เธอรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากอ้อมกอดนั้นอย่างประหลาด กลิ่นของยาสมุนไพรจากชายเสื้อ กลิ่นเหงื่อของคนที่เฝ้าไม่หลับไม่นอน มันสมจริงเกินกว่าจะเป็นเพียงความฝัน
“ท่าน คือ”
เธอยังไม่ทันถามคำถามจบเลยด้วยซ้ำ เขาก็พูดขึ้นมาก่อน
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น แค่เจ้าฟื้นขึ้นมาก็ดีแล้ว เจ้าจะพูด จะนิ่ง จะงอแง จะร้องไห้ จะดื้อดึงอย่างไรก็ได้ เพราะเจ้าคือชีวิตของพ่อ หลินเอ๋อร์”
เขาลูบผมเธอเบา ๆ ขณะน้ำตาหยดลงบนหลังมือของเธอ เฟิงเหม่ยหลินเบิกตาเล็กน้อย ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นวาบผ่านอก
เธอเคยอ่านในนิยาย มีประโยคหนึ่งที่บรรยายพ่อของเฟิงเหม่ยหลินไว้ว่า
“เสนาบดีเฟิงรักบุตรสาวดุจดวงใจ ใครแตะต้องนางก็เหมือนแตะต้องดวงใจเขา เขารักนางจนยอมตามใจทุกอย่าง แม้นางจะเหยียบหัวคนทั้งแคว้น เขาก็พร้อมจะปูทางให้เดินอย่างสง่าผ่าเผย”
“และด้วยรักอันไร้ขอบเขตนั้นเองที่ทำให้คุณหนูเฟิงกลายเป็นนางร้ายที่หยิ่งผยองเกินเหตุ”
เธอเม้มริมฝีปากเบา ๆ นี่คือเขาพ่อของเฟิงเหม่ยหลิน ที่ยอมให้ลูกทำทุกอย่างตามใจ จนสุดท้ายก็พาเธอไปสู่จุดจบ
เธอขยับมือเบา ๆ แตะลงบนไหล่ของเขา ก่อนจะเอ่ยเรียกชายคนนั้น
“ท่านพ่อ”
เสียงแผ่วเบาหลุดจากริมฝีปาก ดวงตาของชายตรงหน้าสว่างวาบขึ้นทันที
“เรียกอีกทีสิ เรียกอีกที”
เธอกะพริบตา ก่อนจะเรียกอีกครั้ง
“ท่านพ่อ”
“โอ้ สวรรค์เมตตาแล้ว” เขากอดเธอแน่นขึ้นอีกครั้งด้วยความปีติยินดี
เฟิงเหม่ยหลินปล่อยให้เขากอดอยู่เช่นนั้น เธอไม่ได้ผลักไส ไม่ได้พูดจาเย็นชาเหมือนเฟิงเหม่ยหลินในนิยายเดิม เธอเพียงแค่กำลังทบทวนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ฝันอีกต่อไป
เธออยู่ที่นี่จริง ๆ ในร่างของเฟิงเหม่ยหลิน กับพ่อที่รักเธอมากจนพร้อมจะททุกอย่างเพื่อลูกสาวเพียงคนเดียว
บ่ายวันเดียวกันนั้นหลังจากที่เธอฟื้น เสียงขันทีร้องประกาศชื่อองค์ชายสามหน้าจวนดังก้อง พร้อมกับขบวนเล็ก ๆ ที่เดินเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ
“องค์ชายสามเสด็จ”
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เฟิงเหม่ยหลินนั่งพิงหมอนข้างบนเตียง ใบหน้าซีดเซียวแต่แววตาแจ่มชัด เธอรู้ว่าใครกำลังจะก้าวเข้ามา
พระเอกของนิยาย ผู้ชายเย็นชา ดื้อรั้น มีไหวพริบ และรักเพียงนางเอก
หลี่อวี้เหิง องค์ชายสามแห่งแคว้น ชุดคลุมสีดำขลิบเงินของเขาสะอาดเรียบไร้ที่ติ เส้นผมยาวถูกรวบขึ้นหลวม ๆ ด้วยปิ่นหยก ใบหน้าคมสัน แววตาเรียบนิ่งไม่เผยความรู้สึกใด ๆ เหมือนทุกสิ่งในโลกไม่มีค่าพอจะทำให้เขาเหลียวมอง
เขาหยุดยืนห่างจากเตียงประมาณสองช่วงตัว มองเธอด้วยแววตาเย็นชากว่าแม่น้ำในวันที่หนาวเหน็บ
“เจ้าฟื้นแล้ว” น้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีคำว่าห่วงใยแม้สักพยางค์
เฟิงเหม่ยหลินเงยหน้ามองอีกฝ่าย นี่หรือคือพระเอกในนิยาย
หน้าตาหล่อเหลา ใช่ สายตาเย็นชา ก็ใช่อีก แต่ก็นั่นแหละ ไม่ใช่แนวของเธอเลยสักนิด
เธอยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พลางคิดอย่างเรียบเฉย
“ถ้าฉันไม่ได้รู้พล็อตมาก่อน ฉันคงเผลอหลงไปแล้ว แต่นี่คือคนที่ทั้งเรื่องมีหัวใจให้แค่นางเอกคนเดียว พระเอกแบบนี้เหรอน่าสนใจตรงไหน”
เธอสูดลมหายใจเข้าเบา ๆ ก่อนพูดเสียงนุ่ม
“เพียงแค่ตกน้ำ ไม่ได้เป็นอะไรมากเพคะ ขอบพระทัยที่เสด็จมาเยี่ยม แต่ตอนนี้หม่อมฉันปลอดภัยแล้ว”
เธอจงใจพูดให้ดูสุภาพและห่างเหิน เพื่อตัดบท และเพื่อตัดเขาออกจากเรื่องของเธอ
องค์ชายสามขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาแปลกใจแวบหนึ่งปรากฏขึ้น แต่ก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้าพูดนิ่มนวลเกินไป หรือว่าสมองกระทบกระเทือน”
เฟิงเหม่ยหลินหลุดยิ้มจาง ๆ แต่แฝงไว้ด้วยความขำขันในใจ
“ที่เขาดูแปลกใจ เพราะในเนื้อเรื่องเดิมเธอเคยกรีดเสียงใส่เขาทุกครั้งที่พบหน้ากัน”
เธอส่ายหน้าเล็กน้อย
“หม่อมฉันสบายดีเพคะ ไม่ต้องกังวล”
องค์ชายสามมองเธออยู่ครู่หนึ่ง ราวกับจะจับพิรุธ ก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินกลับไปโดยไม่กล่าวลา ทิ้งเพียงเสียงฝีเท้าและกลิ่นยาสมุนไพรบาง ๆ ไว้ในอากาศ
ประตูปิดลงอีกครั้งภายในห้องเงียบสงบอีกครั้ง เฟิงเหม่ยหลินหลุบตาลง ถอนหายใจแผ่วเบา มือบางวางลงบนหน้าตัก
“ไม่เป็นไรเลยสักนิดที่เขาไม่สนใจเพราะฉันเองก็ไม่ได้อยากจะสนใจเขาเช่นกัน” เธอบอกกับตัวเอง
“ฉันจะอยู่เงียบ ๆ ไม่วุ่นวาย ไม่ยุ่งเกี่ยว ไม่แย่งชิง ไม่รักใคร และไม่ให้อะไรพาฉันไปสู่จุดจบเดิมอีกต่อไป”
ในเมื่อโชคชะตาให้โอกาสเธอเริ่มต้นใหม่ เธอก็จะเป็นเฟิงเหม่ยหลินในแบบของเธอเอง
ตอนที่ 20คำปลอบใจจากแม่ทัพแสงแดดยามเช้าส่องลอดม่านผ้าของรถม้าเข้ามาอย่างแผ่วเบา ทอแสงอบอุ่นให้กับบรรยากาศเงียบงันภายในเหม่ยหลินนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของเบาะรถม้า ใบหน้าเรียบเฉย สายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย เธอไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่เช้า ไม่แม้แต่จะสบตากับใคร แม้ซูเยี่ยนและเหวินซีจะพยายามพูดคุย เปลี่ยนเรื่องเล่า หรือหยอกล้อคลายความตึงเครียด แต่เธอก็ยังคงนิ่งเหมือนวิญญาณบางส่วนของเธอ ยังคงติดอยู่ที่บ้านร้างเมื่อคืน“เหม่ยหลิน” เสียงของซูเยี่ยนดังขึ้นเบา ๆ ขณะที่จับมือเธอไว้แน่น “เจ้าทำเพื่อช่วยข้า ข้ารอดเพราะเจ้า”แต่เหม่ยหลินกลับค่อย ๆ ก้มหน้าลงมองมือของตนเอง ที่แขนเธอยังมีผ้าพันแผลสีขาวสะอาดหุ้มบาดแผลเอาไว้เธอขยับริมฝีปากช้า ๆ “ข้าฆ่าคนไปแล้วจริง ๆ” เสียงแผ่วเบาแต่ชัดเจน ราวกับลมที่พัดผ่านกลางใจคนทั้งรถม้าซูเยี่ยนชะงัก หันไปมองเหวินซี ก่อนทั้งสองจะพุ่งเข้ากอดเธอแน่นในเวลาเดียวกัน“เจ้าทำไปเพราะไม่มีทางเลือก เพราะเจ้าปกป้องพวกข้า” เสียงทั้งสองคนดังสลับกัน พยายามกล่อมความรู้สึกในใจของหญิงสาวผู้กำลังสั่นเทาอยู่เงียบ ๆและเมื่ออ้อมกอดอบอุ่นโอบเธอไว้ สิ่งที่เธอกดไว้ในใจมาต
ตอนที่ 19 โจรป่าบุกเสียงฝนที่เคยซัดสาดตลอดคืนเริ่มเบาลงจนกลายเป็นเสียงพรำเบา ๆ ก่อนจะหยุดลงในที่สุด เหลือเพียงกลิ่นดินเปียกชื้นที่โชยเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่ผุพังท่ามกลางความเงียบสงัดยามค่ำคืน ภายในบ้านร้างหลังเก่าที่เต็มไปด้วยผู้คนที่หลับใหลบนที่นอนที่ทำอย่างง่าย ๆ กลับมีเพียงชายคนหนึ่งที่ยังคงลืมตาหมิงเฉิน ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในเงามืด ใกล้กับองค์ชายอี้เหิง สายตาของเขาหลุบต่ำอย่างใจเย็น แต่ในความนิ่งนั้นกลับเต็มไปด้วยแรงตื่นตัว เขาเคยอยู่ในสนามรบมาก่อน เขารู้จัก “ความเงียบผิดปกติ” ได้ดีเสียงฝีเท้าเบา ๆ แว่วมาแทบจะไม่ต่างจากเสียงฝนหยด แต่สำหรับเขา มันชัดเจนราวกับเสียงฟ้าร้อง“มีคนกำลังมา” เขากระซิบเบา ๆ ให้กับอี้เหิง ก่อนจะขยับมือทำสัญญาณไปทางทหารองครักษ์ที่อยู่อีกฝั่งทันใดนั้น กลุ่มทหารเริ่มตื่นตัวอย่างเงียบเชียบ มือข้างหนึ่งเลื่อนไปจับด้ามดาบ แต่อีกข้างยังไม่ยกขึ้นรอคำสั่งหมิงเฉินขยับลุกขึ้น ก่อนจะเดินเบา ๆ ไปยังมุมที่เหล่าหญิงสาวนอนอยู่ เขาหยุดอยู่หน้าเหม่ยหลิน และโน้มตัวลงแตะไหล่เธอเบา ๆเธอลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ แต่ทันทีที่เห็นแววตาจริงจังของเขา เธอก็เงียบลง“ท่านมีอะไร” เธ
ตอนที่ 18ขี่ม้ากลับเมืองหลวงแสงแดดอ่อนยามเช้าสาดส่องผ่านกลุ่มแมกไม้สองข้างทาง ถนนที่ทอดยาวจากเมืองเจียงหลินกลับสู่เมืองหลวงเงียบสงบ มีเพียงเสียงฝีเท้าม้าเป็นจังหวะและเสียงล้อรถม้าที่บดไปตามทางดินแต่ที่เป็นจุดสนใจที่สุดกลับไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเฟิงเหม่ยหลินหญิงสาวนั่งอยู่บนหลังม้าศึกตัวใหญ่ขององค์ชายสามจริง ๆ ม้าสีดำขลับสูงใหญ่ แข็งแกร่งแม้จะไม่ได้พยศ แต่ก็ไม่ใช่ม้าสำหรับสุภาพสตรีเลยแม้แต่น้อย ทว่าภาพที่เห็นกลับช่างเหมาะเจาะหญิงสาวในชุดคุณหนูตระกูลใหญ่ ปักลวดลายอย่างประณีต เธอนั่งอยู่บนเบาะม้าอย่างมั่นคง ผมยาวถูกรวบครึ่งศีรษะด้วยปิ่นหยกเรียบ ๆ แต่กลับดูสง่างามเกินใคร ริมฝีปากทาสีอ่อนเฉดชมพูระเรื่อ รับกับใบหน้าเรียวที่ไม่ต้องยิ้มก็ตรึงสายตาคนได้ทั้งขบวนท่าทางการนั่งหลังตรงนั้นไม่ได้บ่งบอกความอ่อนช้อยตามแบบคุณหนูผู้สูงศักดิ์ แต่กลับแฝงความ นิ่ง เรียบ และเย่อหยิ่งอย่างเงียบงันคนมองไม่อาจละสายตาได้ไม่เว้นแม้แต่พวกสาวใช้ที่เดินตามขบวนอยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นภาพนั้นเข้าพวกนางก็เริ่มมีเสียงซุบซิบกันขึ้นมาเบา ๆ“คุณหนูเฟิงนั่งบนหลังม้าขององค์ชายสามเชียว นั่นม้าศึกนะ”“นางคงยั่วยวนองค์ชายจ
ตอนที่ 17 มีคนมาสู่ขอเช้าวันถัดมา ท้องฟ้าโปร่งใส ลมเย็นพัดเบา ๆ แต่บรรยากาศสงบในยามเช้ากลับถูกรบกวนด้วยเสียงจอแจของผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาที่หน้าจวน ไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป แต่เป็นหญิงวัยกลางคนแต่งกายงดงาม พร้อมด้วยบุตรชายทั้งหลายที่ถูกแต่งตัวเสียจนแทบไม่เหลือเค้าของลูกชาวเมือง“คุณหนูเฟิงออกมายังเจ้าคะ” เสียงของหญิงกลางคนพวกนั้นถาม“ลูกข้าร่ำเรียนที่สำนักหลวง ท่านหญิงลองคุยดูได้นะเจ้าคะ”“ลูกชายข้าเองก็เพิ่งสอบได้ที่หนึ่งในเมือง”เสียงเหล่าแม่ ๆ ดังอื้ออึงจนข้ารับใช้ในจวนต้องรีบมาตามพวกเธอออกไปดูเหม่ยหลินที่ยังงุนงงกับบรรยากาศก็เดินออกมาที่หน้าจวนพร้อมกับหมิงเฉินและซูเยี่ยน ทันทีที่หญิงสาวก้าวออกมาจากประตูหลัก สายตาทั้งหมดก็จับจ้องมาที่เธอราวกับเจอเป้าหมายทองคำ“นั่นนางใช่หรือไม่”“ใช่จริง ๆ ด้วย นางสวยมาก สวยกว่าที่ข่าวเล่าอีก”“ใช่ และนางช่างดูสง่างาม”เหม่ยหลินเบิกตากว้างก่อนจะชะงักเท้า เหล่าบรรดาแม่ ๆ พร้อมลูกชายเริ่มพุ่งเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ประหนึ่งกำลังจะเข้าร่วมงานเลือกเขยหลวงเธอเบี่ยงตัวถอยหลังทันที ก่อนจะหันขวับไปมองหมิงเฉิน แล้วพึมพำอย่างร้อนรน“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย”
ตอนที่ 16ความสามารถที่คาดไม่ถึงแสงแดดอ่อนยามสายส่องลอดต้นไม้ใหญ่ข้างทางสาดเข้ามาในรถม้าเป็นระยะ รถม้ายังคงเคลื่อนไปบนเส้นทางผ่านป่าเขา บนถนนที่เต็มไปด้วยก้อนหินและหลุมบ่อจนนั่งแทบไม่ติดเบาะเฟิงเหม่ยหลินเอนหลังพิงเบาะไม้ พลางถอนหายใจยาว นางหลับตาอย่างอ่อนล้า ก่อนจะพึมพำเสียงแผ่ว“เมื่อไรจะถึงกันนะ ข้าอยากลงไปเดินเสียให้รู้แล้วรู้รอด”ซูเยี่ยนที่นั่งข้าง ๆ อดยิ้มขำไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนโยน “อดทนอีกนิด พรุ่งนี้ก็ถึงเมืองเจียงหลินแล้ว เจ้าเก่งอยู่แล้วนี่ เหลือแค่อึดใจเดียวเอง”เหวินซีที่นั่งฝั่งตรงข้ามหยิบพัดขึ้นมากางด้วยท่าทางสบาย ๆ ก่อนจะหรี่ตาลง“เฟิงเหม่ยหลินคนเมื่อวาน ที่ตบคุณหนูจนทรุดไปนอนกองอยู่กับพื้นนั่นหายไปไหนแล้วนะ หรือว่าตัวจริงคือเฟิงเหม่ยหลินขี้บ่นคนนี้กันแน่”เหม่ยหลินลืมตาช้า ๆ หันขวับไปมองเหวินซีด้วยแววตานิ่งสนิท ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดจากริมฝีปากของนาง เพราะในตอนนี้เธอเวียนหัวเกินกว่าจะเถียงกลับได้“…”ซูเยี่ยนกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ก่อนจะยื่นน้ำให้เหม่ยหลิน “เจ้าหลับไปสักหน่อยดีไหม เดี๋ยวถึงที่พักจะได้มีแรงเดินเล่น”เหม่ยหลินเพียงพยักหน้าเบา ๆ พลางรับถ้วยน้ำไปจิบช้า
ตอนที่ 15เสียงบ่นระหว่างเดินทางเสียงฝีเท้าม้าชะลอลงพร้อมกับเสียงโบกมือสั่งของทหารหน้าขบวน“หยุดพักที่นี่ครึ่งชั่วยาม”รถม้าหลายคันค่อย ๆ จอดเรียงรายใต้ร่มไม้ใหญ่ริมทาง มีเสียงนกเบา ๆ จากลำธารใกล้ ๆ ดังคลอไปกับเสียงแมลงยามเย็น สายลมพัดแผ่วจนชายผ้าคลุมบางสะบัดพลิ้วเหม่ยหลินก้าวลงจากรถม้าด้วยความโล่งอกสุดหัวใจ “ข้านึกว่าข้าจะตายคารถม้าแล้วจริง ๆ”ซูเยี่ยนลงตามหลังมาก่อนจะหัวเราะ “ถ้าเจ้าบ่นแบบนี้อีกวันนี้ข้าคงหูชาแน่”เหวินซีเดินถือพัดเข้ามาสมทบ “แต่ก็ดีที่พักตรงนี้ มีลำธารใกล้ ๆ ข้าเองก็อยากล้างหน้าเสียหน่อย”“เจ้าจะตามข้ามาไหม” ซูเยี่ยนหันมาชวนเหม่ยหลิน“ข้า” เธอลังเลนิดหนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “ก็ได้ แต่อย่าลากข้าลงไปเล่นน้ำก็พอ”ซูเยี่ยนหัวเราะคิก “เจ้าชั่งรู้ใจข้าดีเหลือเกิน”ทั้งสามเดินแยกออกไปที่ลำธาร ปล่อยให้เหล่าทหารจัดเตรียมจุดพัก จัดเวรยาม และจุดเตาถ้วยน้ำชาหลังล้างหน้าและเปลี่ยนลมหายใจให้สดชื่น เหม่ยหลินก็แยกตัวออกมาเล็กน้อย เดินไปนั่งยังโขดหินริมน้ำ ละสายตาไปยังผิวน้ำที่ไหลเอื่อย สะท้อนแสงเย็นยามตะวันใกล้ตกดินเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นทางด้านหลัง ก่อนที่หมิงเฉินจะเดินมาหย