ตอนที่ 3
งานเลี้ยงงานแรก
เสียงพิณแผ่วเบาคลออยู่ในงานเลี้ยงยามเย็น แสงโคมทอดตัวเหนือศาลาริมน้ำ กลิ่นดอกไม้หอมจางลอยเคล้ากับไอเย็นของฤดูใบไม้ผลิ
ขุนนางชั้นสูงและคุณหนูตระกูลใหญ่ต่างจับกลุ่มสนทนา หัวเราะเบา ๆ ด้วยท่วงท่าสง่างาม
จนกระทั่ง เสียงเหล่านั้นเงียบลงแทบจะในทันที เพียงเพราะแค่เธอก้าวเท้าข้ามประตูงานเข้ามา
เฟิงเหม่ยหลิน หญิงสาวในชุดสีขาวปักลายดอกไม้เนื้อบาง ผมดำยาวรวบไว้ด้วยปิ่นหยกเรียบหรู ท่วงท่าการเดินของเธฮสงบนิ่ง ไม่เร่งร้อน แต่มีแรงกดดันอันประหลาดแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ
เธอยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่สายตานับสิบคู่กลับเลือบมามองราวกับต้องมนต์หรืออาจจะเป็นเพราะความกลัว
“นั่นคุณหนูเฟิง”
“นางฟื้นจากการตกน้ำแล้วจริง ๆ งั้นหรือ”
“ข้าคิดว่านางคงไม่มีวันกล้าออกจากเรือนอีกแล้วเสียอีก หลังจากทำเรื่องนั้น”
เสียงซุบซิบแผ่วเบาดังมาจากทุกทิศทาง แต่เมื่อดวงตาคมเรียวของเธอเหลือบมองไปทางกลุ่มใด กลุ่มนั้นก็รีบเงียบเสียง แล้วหลบตาทันที
เส้นทางเบื้องหน้าที่เคยแออัดแหวกออกโดยไม่ต้องใช้คำสั่ง ไม่มีใครกล้าเอ่ยปาก ไม่มีใครกล้าทัก มีเพียงสายตาที่มองเธออย่างหวาดหวั่น แฝงรังเกียจ และอยากรู้อยากเห็น
เฟิงเหม่ยหลินเดินอย่างสงบ เธอนั่งลงบนเก้าอี้ไม้แกะสลักในมุมหนึ่งของศาลา ท่วงท่าการนั่งของเธอสง่างามอย่างเป็นธรรมชาติ
“ก็แน่ล่ะ ชีวิตก่อนฉันก็เป็นคุณหนู แค่เปลี่ยนฉากหลังมาอยู่ในนิยาย แต่ฉันยังคงรู้วิธีอยู่เหนือสายตาพวกคนเหล่านี้ได้อยู่ดี”
เธอทอดสายตาออกไปยังสระบัวที่เริ่มผลิใบใหม่ แต่เสียงกระซิบกระซาบรอบด้านก็ยังตามมาไม่หยุด
“นางไม่พูดอะไรเลย”
“หรือกำลังวางแผนอะไรอีกแล้ว”
“บางทีที่ตกน้ำคราวก่อน อาจจะไม่ใช่อุบัติเหตก็ได้นะ อาจจะเป็นแผนของนาง”
คำพูดที่ไม่ตั้งใจจะให้เธอได้ยิน กลับไหลเข้าหูเธออย่างชัดเจน เฟิงเหม่ยหลินถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ
“ปากของคนในงานนี่แหลมกว่ามีดในห้องครัวเสียอีก”
เธอเอื้อมมือไปหยิบถ้วยน้ำชาที่วางอยู่ แต่ยังไม่ทันได้จิบ ก็มีเสียงฝีเท้าค่อย ๆ ดังเข้ามาใกล้
หญิงสาวในชุดผ้าสีฟ้าอ่อน ปักดอกเหมยสีขาวเดินเข้ามาอย่างนุ่มนวล ดวงตาใสซื่อเปล่งประกาย ริมฝีปากยิ้มน้อย ๆ อย่างอบอุ่น ก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงบนม้านั่งข้างเธอ โดยไม่ขออนุญาต และไม่ลังเล นางคือ ซูเยี่ยน
เฟิงเหม่ยหลินชะงักไปเพียงครู่ ก่อนจะหันหน้าไปมองคนที่กล้าฝ่าดงสายตาทั้งหมดเพื่อเข้ามานั่งข้างเธอ
นางเอกของเรื่องในบทเดิม เธอคงหลบหน้าฉัน หรือไม่ก็มีแม่ทัพซูมาคอยกันแต่ตอนนี้กลับกล้าเข้ามาหาเธอแบบไม่เกรงกลัว
ซูเยี่ยนหันมายิ้มให้เธออย่างใจเย็น ก่อนจะขึ้นกล่าวเบา ๆ
“ข้าดีใจที่ท่านฟื้นแล้ว”
น้ำเสียงไม่มีรอยเสแสร้ง ไม่มีความดูแคลน มีเพียงความจริงใจที่เธอสัมผัสได้
เฟิงเหม่ยหลินหลุบตาลงเล็กน้อย มุมปากของนางขยับขึ้นเบา ๆ ราวกับรอยยิ้มที่ไม่คาดคิดมาก่อน
“อย่างน้อยก็มีคนหนึ่ง ที่ไม่มองฉันเป็นตัวประหลาด”
สายลมยามเย็นพัดผ่านช้า ๆ ใบเหมยปลิวร่วงลงบนพื้นกระเบื้องหิน เสียงพิณจากมุมศาลาค่อย ๆ เบาลง
เฟิงเหม่ยหลินยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบโดยไม่หันมองคนที่นั่งข้างๆ
“เจ้ามานั่งกับข้า ไม่กลัวหรือ”
น้ำเสียงเธอไม่ได้ดุดัน หากแต่เยือกเย็นราวกับผิวน้ำยามค่ำคืน สายตาของเธอยังทอดมองสระบัวเบื้องหน้า ไม่แสดงความรู้สึกใด
ซูเยี่ยนหันมามองใบหน้าด้านข้างของเฟิงเหม่ยหลิน นางยิ้มบาง ๆ ดวงตาใสแจ่ม
“ไม่กลัว และข้าเชื่อว่าเหตุการณ์ครั้งนั้น เจ้าคงมิได้ตั้งใจ”
เฟิงเหม่ยหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาสบตาคู่นั้นโดยตรง ดวงตาของเธอนิ่งสนิท ไร้ความหวั่นไหว
“ไม่ ข้าตั้งใจ”
ซูเยี่ยนเบิกตาขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้ถอยหนี ไม่มีความตกใจ ไม่มีความรังเกียจ
เฟิงเหม่ยหลินจึงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ข้าเคยตั้งใจทำเรื่องโง่เขลาเหล่านั้นจริง ๆ ข้าอิจฉาเจ้า อยากผลักเจ้าออกจากชายที่ข้ารัก อยากทำลายทุกสิ่งที่เจ้าได้รับมา”
เธอหันหน้ากลับไปมองสระบัวอีกครั้ง ปลายนิ้วลูบถ้วยชาเบา ๆ
“แต่ตอนนี้ ข้าเบื่อแล้ว ข้าไม่อยากแย่ง ไม่อยากแสดง ไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น”
เธอบอกเบา ๆ แต่ซูเยี่ยนไม่ได้พูดอะไร เธอเลยพูดต่อ
“แค่ได้นั่งอยู่นิ่ง ๆ เช่นนี้ ไม่มีใครยุ่ง ไม่มีใครมองข้าก็พอใจแล้ว”
เสียงของเธอไม่สั่น แต่กลับมีบางอย่างในน้ำเสียงนั้นที่ชวนให้จุกแน่นในอก เป็นเสียงของคนที่เหนื่อยล้าเกินกว่าจะสนใจสิ่งใดอีก
ซูเยี่ยนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น ดวงตาของนางสะท้อนประกายอ่อนโยน
“ความจริง ข้าชอบท่านนะ”
คำพูดนั้นทำให้เฟิงเหม่ยหลินขมวดคิ้ว ซูเยี่ยนหัวเราะเบา ๆ แต่แววตาจริงจังยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
“ข้าชอบความมั่นใจของท่านที่ข้าไม่มี ชอบความกล้าของท่าน ที่กล้าพูดในสิ่งที่คิด กล้าทำในสิ่งที่ต้องการ แม้บางครั้งมันจะทำให้คนอื่นไม่พอใจ แต่ท่านก็ยังเป็นตัวของตัวเอง ข้าไม่เคยกล้าทำอะไรแบบนั้นเลย”
เธอหันมาสบตาเฟิงเหม่ยหลิน ดวงตาคู่นั้นอ่อนโยนและเปล่งประกายในยามแสงโคมสะท้อน
“แม้แต่จะบอกว่า ข้าชอบใครสักคน ข้าก็ยังไม่กล้าเลย”
ประโยคนั้นทำให้เฟิงเหม่ยหลินนิ่งงัน ดวงตาว่างเปล่าของเธอสะท้อนประกายบางอย่างวาบขึ้นชั่วขณะ เธอหันมามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“น่าสนใจ นางเอกแสนดีของเรื่องนี้กลับไม่กล้าแม้แต่จะบอกรักใครอย่างตรงไปตรงมา แต่ตัวเธอนี่นะกลับเคยกล้าทำเรื่องโง่ ๆ เพียงเพราะคิดว่าความรักคือการครอบครอง”
เธอยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง ริมฝีปากโค้งขึ้นเล็กน้อย
“ถ้าเจ้าอยากเป็นแบบข้าก็เริ่มจากการนั่งกับข้าโดยไม่กลัวเหมือนวันนี้ เจ้าก็เข้าใกล้ข้าไปหนึ่งก้าวแล้ว”
ซูเยี่ยนยิ้มกว้างขึ้นนิดหน่อยอย่างดีใจ
“ขอบคุณท่านมาก ข้าดีใจที่ได้มานั่งข้างท่านจริง ๆ”
และเป็นครั้งแรกในงานเลี้ยง ที่เฟิงเหม่ยหลินหลุบตาลงเล็กน้อย แล้วหัวเราะในลำคออย่างบางเบา
“เช่นกัน”
ภาพตรงหน้านั้นเหนือความคาดหมายของทุกผู้คนในงาน เฟิงเหม่ยหลิน กับ ซูเยี่ยน หญิงสาวสองคนที่ในความทรงจำของทุกคนคือ คู่ปรับแห่งแคว้น ผู้หนึ่งดุร้ายแรง โฉบเฉี่ยว กลั่นแกล้งสารพัด อีกผู้หนึ่งนุ่มนวล ใจดี และเงียบสงบเกินกว่าจะตอบโต้
ใคร ๆ ก็เคยเห็นเฟิงเหม่ยหลินแผดเสียงไล่ซูเยี่ยนออกจากงานเลี้ยง หรือใช้พัดฟาดโต๊ะแล้วตำหนิว่า “เจ้ากำลังแย่งคนของข้า”
แต่ตอนนี้ทั้งสองนั่งข้างกัน ไม่มีแม้เงาของความขัดแย้ง
ซูเยี่ยนพูดเสียงเบา หัวเราะน้อย ๆ ขณะเล่าเรื่องขบขันในเรือน
ส่วนเฟิงเหม่ยหลินก็นั่งนิ่ง รับฟังอย่างเงียบ ๆ เป็นครั้งคราวก็ยกถ้วยชาขึ้นจิบ
บางจังหวะเธอยกยิ้มจาง ๆ เหมือนคนที่กำลัง ฟังไม่ใช่เฝ้ารอจังหวะจะตอกกลับ
“นั่นเฟิงเหม่ยหลินจริงเหรอ”
“ข้าไม่เคยเห็นนางยิ้มแบบนั้นมาก่อนเลย”
“ข้าคิดว่านางต้องวางแผนร้ายอะไรอยู่แน่”
เสียงกระซิบของสตรีรอบงานยังดังไม่หยุด แต่ครั้งนี้ เฟิงเหม่ยหลินไม่ได้หันไปมอง ไม่แม้แต่จะเหลือบตา และไม่เอ่ยตอบโต้แม้เพียงคำเดียว
เธอแค่ฟังหญิงสาวข้างกายพูด และยิ้มบาง ๆ กับมุกเล็ก ๆ ที่อีกฝ่ายเล่า สายตาของเธอไม่กดดัน ไม่แข็งกร้าว ราวกับปล่อยให้โลกภายนอกเงียบหายไปชั่วขณะ
จนเมื่อเวลาล่วงผ่านไปจนใกล้ยามราตรี แสงโคมเริ่มริบหรี่ เสียงพิณก็เงียบลง
เฟิงเหม่ยหลินลุกขึ้นจากเก้าอี้ เธอหันไปมองซูเยี่ยนซึ่งลุกตาม ดวงตาของทั้งสองสบกันครู่หนึ่ง แล้วเฟิงเหม่ยหลินก็พูดขึ้นเบา ๆ
“ถ้าเจ้าเบื่อหรืออยากมีคนฟังเรื่องไร้สาระของดจ้า เจ้ามาหาข้าได้ที่จวน”
เธอยักคิ้วเล็กน้อย เพิ่มน้ำเสียงล้อ ๆ ที่แทบไม่เคยมีในตัวตนของเฟิงเหม่ยหลิน
“ข้าไม่กัดเจ้าหรอก”
ซูเยี่ยนเบิกตานิด ๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ
“เจ้าสัญญาแล้วนะ ข้าจะไปแน่นอน”
คำพูดง่าย ๆ แต่จริงใจ แฝงด้วยความรู้สึกบริสุทธิ์ใจ
เฟิงเหม่ยหลินพยักหน้าเล็กน้อย แล้วหมุนตัวเดินออกจากศาลาอย่างสงบ ข้างกายของเธอไม่มีบ่าว ไม่มีกลุ่มคนติดตาม มีเพียงเงาของตนเองและรอยยิ้มจาง ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน
เบื้องหลังเธอ ซูเยี่ยนยังคงยืนมอง ดวงตาอ่อนโยนของนางฉายแววเหมือนเห็นใครบางคนที่นางอยากรู้จักมากกว่าเดิม
และเสียงกระซิบในงานก็แปรเปลี่ยนจากความระแวง เป็นความงุนงงสงสัย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
แต่มีเพียงเฟิงเหม่ยหลินเท่านั้นที่รู้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกเธอแค่ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป
ตอนที่ 20คำปลอบใจจากแม่ทัพแสงแดดยามเช้าส่องลอดม่านผ้าของรถม้าเข้ามาอย่างแผ่วเบา ทอแสงอบอุ่นให้กับบรรยากาศเงียบงันภายในเหม่ยหลินนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของเบาะรถม้า ใบหน้าเรียบเฉย สายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย เธอไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่เช้า ไม่แม้แต่จะสบตากับใคร แม้ซูเยี่ยนและเหวินซีจะพยายามพูดคุย เปลี่ยนเรื่องเล่า หรือหยอกล้อคลายความตึงเครียด แต่เธอก็ยังคงนิ่งเหมือนวิญญาณบางส่วนของเธอ ยังคงติดอยู่ที่บ้านร้างเมื่อคืน“เหม่ยหลิน” เสียงของซูเยี่ยนดังขึ้นเบา ๆ ขณะที่จับมือเธอไว้แน่น “เจ้าทำเพื่อช่วยข้า ข้ารอดเพราะเจ้า”แต่เหม่ยหลินกลับค่อย ๆ ก้มหน้าลงมองมือของตนเอง ที่แขนเธอยังมีผ้าพันแผลสีขาวสะอาดหุ้มบาดแผลเอาไว้เธอขยับริมฝีปากช้า ๆ “ข้าฆ่าคนไปแล้วจริง ๆ” เสียงแผ่วเบาแต่ชัดเจน ราวกับลมที่พัดผ่านกลางใจคนทั้งรถม้าซูเยี่ยนชะงัก หันไปมองเหวินซี ก่อนทั้งสองจะพุ่งเข้ากอดเธอแน่นในเวลาเดียวกัน“เจ้าทำไปเพราะไม่มีทางเลือก เพราะเจ้าปกป้องพวกข้า” เสียงทั้งสองคนดังสลับกัน พยายามกล่อมความรู้สึกในใจของหญิงสาวผู้กำลังสั่นเทาอยู่เงียบ ๆและเมื่ออ้อมกอดอบอุ่นโอบเธอไว้ สิ่งที่เธอกดไว้ในใจมาต
ตอนที่ 19 โจรป่าบุกเสียงฝนที่เคยซัดสาดตลอดคืนเริ่มเบาลงจนกลายเป็นเสียงพรำเบา ๆ ก่อนจะหยุดลงในที่สุด เหลือเพียงกลิ่นดินเปียกชื้นที่โชยเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่ผุพังท่ามกลางความเงียบสงัดยามค่ำคืน ภายในบ้านร้างหลังเก่าที่เต็มไปด้วยผู้คนที่หลับใหลบนที่นอนที่ทำอย่างง่าย ๆ กลับมีเพียงชายคนหนึ่งที่ยังคงลืมตาหมิงเฉิน ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในเงามืด ใกล้กับองค์ชายอี้เหิง สายตาของเขาหลุบต่ำอย่างใจเย็น แต่ในความนิ่งนั้นกลับเต็มไปด้วยแรงตื่นตัว เขาเคยอยู่ในสนามรบมาก่อน เขารู้จัก “ความเงียบผิดปกติ” ได้ดีเสียงฝีเท้าเบา ๆ แว่วมาแทบจะไม่ต่างจากเสียงฝนหยด แต่สำหรับเขา มันชัดเจนราวกับเสียงฟ้าร้อง“มีคนกำลังมา” เขากระซิบเบา ๆ ให้กับอี้เหิง ก่อนจะขยับมือทำสัญญาณไปทางทหารองครักษ์ที่อยู่อีกฝั่งทันใดนั้น กลุ่มทหารเริ่มตื่นตัวอย่างเงียบเชียบ มือข้างหนึ่งเลื่อนไปจับด้ามดาบ แต่อีกข้างยังไม่ยกขึ้นรอคำสั่งหมิงเฉินขยับลุกขึ้น ก่อนจะเดินเบา ๆ ไปยังมุมที่เหล่าหญิงสาวนอนอยู่ เขาหยุดอยู่หน้าเหม่ยหลิน และโน้มตัวลงแตะไหล่เธอเบา ๆเธอลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ แต่ทันทีที่เห็นแววตาจริงจังของเขา เธอก็เงียบลง“ท่านมีอะไร” เธ
ตอนที่ 18ขี่ม้ากลับเมืองหลวงแสงแดดอ่อนยามเช้าสาดส่องผ่านกลุ่มแมกไม้สองข้างทาง ถนนที่ทอดยาวจากเมืองเจียงหลินกลับสู่เมืองหลวงเงียบสงบ มีเพียงเสียงฝีเท้าม้าเป็นจังหวะและเสียงล้อรถม้าที่บดไปตามทางดินแต่ที่เป็นจุดสนใจที่สุดกลับไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเฟิงเหม่ยหลินหญิงสาวนั่งอยู่บนหลังม้าศึกตัวใหญ่ขององค์ชายสามจริง ๆ ม้าสีดำขลับสูงใหญ่ แข็งแกร่งแม้จะไม่ได้พยศ แต่ก็ไม่ใช่ม้าสำหรับสุภาพสตรีเลยแม้แต่น้อย ทว่าภาพที่เห็นกลับช่างเหมาะเจาะหญิงสาวในชุดคุณหนูตระกูลใหญ่ ปักลวดลายอย่างประณีต เธอนั่งอยู่บนเบาะม้าอย่างมั่นคง ผมยาวถูกรวบครึ่งศีรษะด้วยปิ่นหยกเรียบ ๆ แต่กลับดูสง่างามเกินใคร ริมฝีปากทาสีอ่อนเฉดชมพูระเรื่อ รับกับใบหน้าเรียวที่ไม่ต้องยิ้มก็ตรึงสายตาคนได้ทั้งขบวนท่าทางการนั่งหลังตรงนั้นไม่ได้บ่งบอกความอ่อนช้อยตามแบบคุณหนูผู้สูงศักดิ์ แต่กลับแฝงความ นิ่ง เรียบ และเย่อหยิ่งอย่างเงียบงันคนมองไม่อาจละสายตาได้ไม่เว้นแม้แต่พวกสาวใช้ที่เดินตามขบวนอยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นภาพนั้นเข้าพวกนางก็เริ่มมีเสียงซุบซิบกันขึ้นมาเบา ๆ“คุณหนูเฟิงนั่งบนหลังม้าขององค์ชายสามเชียว นั่นม้าศึกนะ”“นางคงยั่วยวนองค์ชายจ
ตอนที่ 17 มีคนมาสู่ขอเช้าวันถัดมา ท้องฟ้าโปร่งใส ลมเย็นพัดเบา ๆ แต่บรรยากาศสงบในยามเช้ากลับถูกรบกวนด้วยเสียงจอแจของผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาที่หน้าจวน ไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป แต่เป็นหญิงวัยกลางคนแต่งกายงดงาม พร้อมด้วยบุตรชายทั้งหลายที่ถูกแต่งตัวเสียจนแทบไม่เหลือเค้าของลูกชาวเมือง“คุณหนูเฟิงออกมายังเจ้าคะ” เสียงของหญิงกลางคนพวกนั้นถาม“ลูกข้าร่ำเรียนที่สำนักหลวง ท่านหญิงลองคุยดูได้นะเจ้าคะ”“ลูกชายข้าเองก็เพิ่งสอบได้ที่หนึ่งในเมือง”เสียงเหล่าแม่ ๆ ดังอื้ออึงจนข้ารับใช้ในจวนต้องรีบมาตามพวกเธอออกไปดูเหม่ยหลินที่ยังงุนงงกับบรรยากาศก็เดินออกมาที่หน้าจวนพร้อมกับหมิงเฉินและซูเยี่ยน ทันทีที่หญิงสาวก้าวออกมาจากประตูหลัก สายตาทั้งหมดก็จับจ้องมาที่เธอราวกับเจอเป้าหมายทองคำ“นั่นนางใช่หรือไม่”“ใช่จริง ๆ ด้วย นางสวยมาก สวยกว่าที่ข่าวเล่าอีก”“ใช่ และนางช่างดูสง่างาม”เหม่ยหลินเบิกตากว้างก่อนจะชะงักเท้า เหล่าบรรดาแม่ ๆ พร้อมลูกชายเริ่มพุ่งเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ประหนึ่งกำลังจะเข้าร่วมงานเลือกเขยหลวงเธอเบี่ยงตัวถอยหลังทันที ก่อนจะหันขวับไปมองหมิงเฉิน แล้วพึมพำอย่างร้อนรน“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย”
ตอนที่ 16ความสามารถที่คาดไม่ถึงแสงแดดอ่อนยามสายส่องลอดต้นไม้ใหญ่ข้างทางสาดเข้ามาในรถม้าเป็นระยะ รถม้ายังคงเคลื่อนไปบนเส้นทางผ่านป่าเขา บนถนนที่เต็มไปด้วยก้อนหินและหลุมบ่อจนนั่งแทบไม่ติดเบาะเฟิงเหม่ยหลินเอนหลังพิงเบาะไม้ พลางถอนหายใจยาว นางหลับตาอย่างอ่อนล้า ก่อนจะพึมพำเสียงแผ่ว“เมื่อไรจะถึงกันนะ ข้าอยากลงไปเดินเสียให้รู้แล้วรู้รอด”ซูเยี่ยนที่นั่งข้าง ๆ อดยิ้มขำไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนโยน “อดทนอีกนิด พรุ่งนี้ก็ถึงเมืองเจียงหลินแล้ว เจ้าเก่งอยู่แล้วนี่ เหลือแค่อึดใจเดียวเอง”เหวินซีที่นั่งฝั่งตรงข้ามหยิบพัดขึ้นมากางด้วยท่าทางสบาย ๆ ก่อนจะหรี่ตาลง“เฟิงเหม่ยหลินคนเมื่อวาน ที่ตบคุณหนูจนทรุดไปนอนกองอยู่กับพื้นนั่นหายไปไหนแล้วนะ หรือว่าตัวจริงคือเฟิงเหม่ยหลินขี้บ่นคนนี้กันแน่”เหม่ยหลินลืมตาช้า ๆ หันขวับไปมองเหวินซีด้วยแววตานิ่งสนิท ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดจากริมฝีปากของนาง เพราะในตอนนี้เธอเวียนหัวเกินกว่าจะเถียงกลับได้“…”ซูเยี่ยนกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ก่อนจะยื่นน้ำให้เหม่ยหลิน “เจ้าหลับไปสักหน่อยดีไหม เดี๋ยวถึงที่พักจะได้มีแรงเดินเล่น”เหม่ยหลินเพียงพยักหน้าเบา ๆ พลางรับถ้วยน้ำไปจิบช้า
ตอนที่ 15เสียงบ่นระหว่างเดินทางเสียงฝีเท้าม้าชะลอลงพร้อมกับเสียงโบกมือสั่งของทหารหน้าขบวน“หยุดพักที่นี่ครึ่งชั่วยาม”รถม้าหลายคันค่อย ๆ จอดเรียงรายใต้ร่มไม้ใหญ่ริมทาง มีเสียงนกเบา ๆ จากลำธารใกล้ ๆ ดังคลอไปกับเสียงแมลงยามเย็น สายลมพัดแผ่วจนชายผ้าคลุมบางสะบัดพลิ้วเหม่ยหลินก้าวลงจากรถม้าด้วยความโล่งอกสุดหัวใจ “ข้านึกว่าข้าจะตายคารถม้าแล้วจริง ๆ”ซูเยี่ยนลงตามหลังมาก่อนจะหัวเราะ “ถ้าเจ้าบ่นแบบนี้อีกวันนี้ข้าคงหูชาแน่”เหวินซีเดินถือพัดเข้ามาสมทบ “แต่ก็ดีที่พักตรงนี้ มีลำธารใกล้ ๆ ข้าเองก็อยากล้างหน้าเสียหน่อย”“เจ้าจะตามข้ามาไหม” ซูเยี่ยนหันมาชวนเหม่ยหลิน“ข้า” เธอลังเลนิดหนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “ก็ได้ แต่อย่าลากข้าลงไปเล่นน้ำก็พอ”ซูเยี่ยนหัวเราะคิก “เจ้าชั่งรู้ใจข้าดีเหลือเกิน”ทั้งสามเดินแยกออกไปที่ลำธาร ปล่อยให้เหล่าทหารจัดเตรียมจุดพัก จัดเวรยาม และจุดเตาถ้วยน้ำชาหลังล้างหน้าและเปลี่ยนลมหายใจให้สดชื่น เหม่ยหลินก็แยกตัวออกมาเล็กน้อย เดินไปนั่งยังโขดหินริมน้ำ ละสายตาไปยังผิวน้ำที่ไหลเอื่อย สะท้อนแสงเย็นยามตะวันใกล้ตกดินเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นทางด้านหลัง ก่อนที่หมิงเฉินจะเดินมาหย