ในหอพักนักศึกษาหญิงของมหาวิทยาลัยชื่อดังย่านรังสิต เธอกำลังกวาดสายตาอ่านบรรทัดสุดท้ายของ นวนิยายจีนโบราณออนไลน์เรื่อง ‘บ่วงนางหงส์’ ในไอแพดด้วยกิริยาหน้านิ่วคิ้วขมวด
“สวีเจียงหลัวถูกฝังทั้งเป็น...ไป๋อี้เฉินครองบัลลังก์ปกครองต้าหรงกับยัยนางเอกเจ้ามารยาแบบเจียงหลีอย่างราบรื่นทั้งที่เด็กในท้องคือลูกของพระร้าย...จบ”
เรียวปากเล็กพึมพำฉากจบอีกครั้ง ก่อนใบหน้างามจะบิดเบี้ยวไม่ชวนมองสักนิด
“จบ...จบเชี่ยอะไรกัน! พระเอกฆ่าเมียพร้อมลูกตัวเองแท้ๆ แล้วเลี้ยงลูกชู้ตัวจริงเนี่ยนะ ไม่สมเหตุสมผลที่สุด!!!”
อรรัมภาหรือที่เพื่อน ๆ เรียกว่า ไอ้รัม ทิ้งไอแพดลงที่นอนด้วยท่าทางราวจะบ้าคลั่ง สองมือยกขึ้นขยี้ผมตัวเองในขณะที่ดวงตาคู่สวยมีน้ำตาแทบไหลซึม ไม่ใช่เพราะซาบซึ้ง แต่เพราะอารมณ์โกรธแค้นในความชั่วร้ายที่พระเอกนางเอกของเรื่องได้ลงเอยอย่างแฮปปี้ ทั้งที่นางร้ายกับครอบครัวพร้อมลูกในท้องโดนฝังทั้งเป็นแบบโคตรจะอนาถ!
“หึ! ยัยคนแต่ง! นี่แกเป็นนักเขียนโรคจิตใช่ไหม!!”
เสียงด่าทอดังก้องไปทั่วห้องพัก ยังดีว่ารูมเมทของเธอยังคงไม่กลับมาไม่อย่างนั้นเธอคงโดนมันด่าอีกแน่ที่เอาแต่หมกมุ่นกับสามีทิพย์ในนิยายเกินไปอีกแน่นอน
“ฉันหรืออุตส่าห์รีบอ่าน ขนาดมีรายงานต้องส่งอาจารย์ในอีก3 วันแท้ๆ ฉันยังวางเอาไว้ก่อน วันนี้มีรับน้องฉันก็แอบโดดแล้วดูสิ ยัยนักเขียนโรคจิตนั่นกับเขียนตอนจบมาแบบนี้ ฉันจะเครซี่!”
เพราะพอเมื่อคืนพอแจ้งเตือนว่า e-book ออกใหม่เป็นนิยายของนักเขียนที่ตนเองติดตามและเป็นนิยายเรื่องเพรียวนางหงส์หญิงสาวก็ไม่รอช้ารีบจ่ายเงินซื้อทันที เพราะลุ้นมาตลอดว่าสุดท้ายตอนจบ สวีเจียงหลัวจะตาสว่างแล้ว ฆ่าทั้งไอ้พระเอกเฮงซวย กับยัยน้องสาวเจ้ามารยาจากนั้นตัวเองก็กลายเป็นไทเฮา เลี้ยงลูกสวยๆ ใครจะคิดจุดจบจะหักมุมได้ขนาดนี้ ไหนละบ่วงนางหงส์ที่ว่า บ่วงนางหงส์ที่เธอคิดกับที่นักเขียนวางพล็อตเอาไว้ดูทรงจะเป็นละความหมาย ยิ่งคิด อรรัมภาก็ยิ่งด่าทอผู้เขียนต่อไปด้วยความโกรธแค้น
“ยัยนักเขียนโรคจิต เขียนพระเอกได้สารเลว! ชั่วช้า! สันดานอัปรีย์! ไหนคำโปรยเอ่ยถึงสวีเจียงเพรียวแล้วยังเคยบอกว่าสวีเจียงหลัวเป็นลูกรักของนักเขียนที่สุดไง ที่ไหนได้ยัยนักเขียนตัวแสบเธอดันมาฆ่าลูกรักตัวเองตอนจบได้!”
เธอพ่นลมหายใจฟึดฟัด โมโหยัยนักเขียนโรคจิตจนด่าทอบรรพบุรุษอีกฝ่ายไปสิบแปดรุ่นได้ ด่าไปด่ามาเลยคอแห้งต้องหยิบขวดน้ำขึ้นกระดกทีเดียวครึ่งขวด ก่อนขยำผ้าขนหนูบนหัวลงมาเช็ดหน้าปาดเหงื่อแล้วถอดแว่นกลมที่เลื่อนหล่นมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้
“แล้วอะไร...นางเอกใสซื่อ น่าสงสาร โอ๊ย! น่าสงสารพ่อง!”
อรรัมภายื่นมือไปหยิบมือถือ เปิดเรตติ้งในเว็บรีวิวทันที กวาดตาดูคะแนนหัวใจสีแดงห้าดวงเรียงพรืดพร้อมคอมเมนต์อวย
‘น้ำตาไหล พระเอกนางเอกสมกันที่สุด! และสะใจมาก นางร้ายได้ชดใช้กรรมที่เคยหลอกพระร้ายแบบไป๋อี้หาน!’ คอมเมนต์บนสุดว่าอย่านั้น
“สมกัน ใช่พระเอกนางเอกคือสมกันมาก สมกันอย่างกับผีเน่าโลงผุ! แล้วมาสะใจอะไรก่อน สะใจที่นางร้ายต้องตาย พวกเธอลืมอะไรไปไหม เจียงหลัวท้องอยู่นะ ไร้ศีลธรรมที่สุด!”
อรรัมภาถึงจะเป็นคนรุ่นใหม่ แต่การนอกใจ และฆ่าลูกในไส้แบบนี้เธอค่อนข้างรับไม่ได้อย่างแรง แค่แต่งทั้งพี่และน้องตอนที่เธออ่านมาได้ครึ่งเรื่องก็เหลือรับแล้วนะ แต่ตอนจบแบบนี้นักอ่านพันธุ์แท้แบบเธอรับไม่ได้!
‘พระเอกคนดี รักมั่นที่สุด!’
“เวรเถอะ! รักมั่นกับผีนะสิ! เลือกเมียน้อยที่มาทีหลังไม่พอยัง ฆ่าเมียตัวเองพร้อมกับลูกด้วยวิธีฝังทั้งเป็นเนี่ยน่ะนะ! แล้วอะไรคือรักมั่นคง ถ้ามั่นคงจริง ต้องเลือกเจียงหลัวสิ ไม่ใช่เลือกแม่ดอกบัวขาวเจียงหลี!”
และยังอีกมากมายที่อวยทั้งนักเขียนและพระเอกนางเอก แต่กลับสาปแช่งนางร้ายเช่นสวีเจียงหลัว อรรัมภา โกรธนักเขียนนะ อยากไปเมนต์ด่าระบายอารมณ์ แต่คิดไม่คิดมา เธอมันพวกมีอารยธรรม ตนเองไม่ถูกใจก็ไม่ใช่ความผิดของนักเขียน นักศึกษาสาวจึงแค่กดให้หัวใจห้าดวงแต่ไม่รีวิวอะไรทั้งนั้น
เธอเคืองอยู่!
แต่เคืองก็ส่วนหนึ่งเธอไม่ถูกใจตอนจบ ก็อีกเรื่องการไปคอมเมนต์ด่าทอหรือหักคะแนนหัวใจนักเขียนเธอไม่ทำเด็ดขาด เพราะคนเราความคิดเห็นต่างกันได้ไม่มีใครผิดใครถูก แต่เธอขัดใจไง!
“จบอะไรแบบนี้กันนะคุณนักเขียน! พระเอกฆ่าเมียกับลูกแท้ๆ เพราะระแวงกลัวเมียจะทรยศ คนแบบเจียงหลัวเนี่ยนะ จะทรยศรักอีพระเอกจนยอมทุกอย่างขนาดนั้น ส่วนเจียงหลีนอกจากเสียสละตัวเองยอมไปนอนกับตัวร้ายจนตั้งท้องก็ไม่เคยช่วยเหลืออะไรกลับยอมรับได้เฉย แต่ไม่ยอมรับลูกแท้ๆ โคตรไม่สมเหตุสมผล!”
ขณะนั้นเองเสียงไขและเปิดประตูห้องก็ดังแกรกขึ้น “อ้าว ไอ้รัมแกเป็นอะไร หน้าตาเหมือนคนโดนผัวนอกใจ”
เพียงจันทร์ เพื่อนร่วมห้องและร่วมคณะ กลับมาจากข้างนอกเห็นอรรัมภานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดจึงอดใส่ใจไม่ได้
“ฉันไม่เคยมีแฟน จะเอาผัวที่ไหนมานอกใจ” ตอบแล้วอรรัมภาก็เบะปากมองบน
“ฉันไม่ได้หมายถึงผัวในชีวิตจริง คนแบบแกก็ต้องผัวทิพย์ ผัวในซีรีส์ ผัวในโลกนิยายอยู่แล้วสิ ว่าไง ผัวคนล่าสุดนอกใจเหรอ” เพียงจันทร์ถามอย่างรู้จักอรรัมภาดี
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่เรื่องนี้แต่แรกฉันก็ไม่ได้เชียร์ไอ้พระเอกธงแดงอยู่แล้วที่รู้สึกเหมือนถูกหักหลังคงเป็นนักเขียนมากว่าน่ะแก่”
“ทำไมเหรอรัม?”
“ก็นิยายมันชื่อเรื่อง ‘บ่วงนางหงส์’ใช่ไหม และตลอดเรื่องสวีเจียงหลัวก็เป็นตัวเอกชูโรงมาตลอด นางเก่ง เฉลียวฉลาดมาก แล้วบทพระเอกก็มักพึ่งพาเจียงหลัวทุกสถานการณ์ แถมช่วงกลางเรื่อง อีพระเอกมันยังรับน้องสาวของเจียงหลัวเป็นพระชายารองอีกฉันเลยไม่ชอบมัน”
“เออ สมควรหมั่นไส้จริง เอาน้องเมียมาทำเมียอีกคนถ้าเป็นสมัย70ปีก่อนคงไม่แปลกแต่นี่มันปี2025แล้วไหม ทำไมถึงนักเขียนถึงให้บทนี้กับพระเอกวะ”
“ใช่ไหมล่ะ! แต่เห็นว่าแนวผัวชั่วมันขายดี คนเขียนเลยเขียนให้มันชั่วสุดทาง แต่ฉันก็ดันคาดหวัง ว่าตอนจบเจียงหลัวจะตาสว่าง จัดการพวกมัน แล้วอยู่สวยๆ กับลูกหรือหาสามีใหม่อะไรแบบนี้เพราะนางเก่งและฉลาดจะเป็นฮ่องเต้หญิงยังได้ แต่สุดท้ายดันตายอนาถ...โคตรจะนอยด์!”
เพียงจันทร์หัวเราะเบาๆ
“เออๆ เลิกนอยด์ก่อน วันนี้ฉันร่วมกิจกรรมรับน้องแทนแกไปแล้ว แต่คืนนี้แกหนีงานเลี้ยงไม่ได้นะ ไอ้รัม!”
อรรัมภาแค่นเสียงในลำคอ ดวงตาแดงก่ำเพราะทั้งโกรธทั้งเคือง แต่วันนี้เธอก็แอบกินแรงเพื่อนสาวคนสนิทจริง อาศัยที่เพียงจันทร์กำลังคุยๆ กับรุ่นพี่วันนี้เพราะไม่มีเรียน เธอจึงโดดกิจกรรมรับน้องแล้วให้เพื่อนลากับรุ่นพี่บอกว่าเธอป่วยแต่ความจริงเธอแค่อยากหยุดอยู่หอพักอ่านนิยายเท่านั้นเอง
“เฮ้อ! ขอฉันด่านักเขียนกับไอ้พระเอกเฮงซวยนี่อีกสิบประโยคได้ไหมแก”
“ไม่ต้องแล้ว แกคงนั่งด่ามาทั้งชั่วโมงแล้ว” เพียงจันทร์ถอนหายใจระอาคนยังไม่ยอมมูฟออนออกจากนิยายที่อ่านจบไปแล้ว
“คืนนี้แกต้องไปนะ ฉันขี้เกียจเป็นคนโกหกกับรุ่นพี่แล้ว”
“รู้แล้วน่า โอ๊ย! แต่ฉันยังโมโหอยู่เลยว่ะ”
“โมโหอะไรก็เก็บไว้ในใจ รีบไปอาบน้ำเลยไปอาบน้ำให้ใจเย็นไง หรือหากยังไม่เย็นแกก็กินเบียร์ล้างแค้นเอาดีไหม”
“เออ! อย่างนั้นคืนนี้ฉันต้องดื่มให้สาแก่ใจ จะได้เมาจนลืมตอนจบของยัยนักเขียนโรคจิตนั่นไปเสียที”
เสียงเพียงจันทร์หัวเราะออกมาเสียงพลิ้ว ก่อนจะเอ่ยเหน็บแนมแม่เพื่อนตัวดีของตนเองไปเล็กน้อย
“แกนี่มันจริงๆ เลยไอ้รัม จะโกรธอะไรขนาดนั้น”
“แกไม่ใช่สายนิยายจะไปเข้าใจอะไร!” อรรัมภาพูดแค่นั้นก็หายเข้าไปอาบน้ำ ก่อนจะกลับออกมาแล้วเพียงจันทร์ก็เข้าไปใช้ต่อ
ในที่สุดรุ่งอรุณของวันแต่งงานระหว่างชินอ๋องไป๋อี้หานกับคุณหนูใหญ่สวีเจียงหลัวก็มาถึง…ก่อนตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า ลมเหมันต์พัดความเย็นกระจายทั่วแผ่นดินต้าหรง เกล็ดหิมะโปรยบนพื้นขาวโพลน ดอกเหมยแดงเข้มบานสะพรั่งรอแสงแรกให้หยดน้ำค้างส่องประกายในจวนจวิ้นอันโหวยามโฉ่ว แม้ฟ้ายังมืด แต่บรรยากาศครึกครื้น กลิ่นธูปมงคลอบอวล บ่าวไพร่วิ่งวุ่นต้อนรับแขก ญาติมิตรกว่าห้าร้อยชีวิตหลั่งไหลเข้ามาผืนแพรแดงทอดจากประตูใหญ่สู่ลานใน ผ้าริ้วมงคลสะบัดไหว อักษร ซังซี่ สีทองสะท้อนแสงคบเพลิง เครื่องเซ่น ขนมมงคล โคมมังกรหงส์ถูกจัดรอฤกษ์สมเกียรติว่าที่สะใภ้ราชวงศ์ณ เรือนฉาฮวา บ่าวสาวขวักไขว่ “คุณหนูเจ้าคะ…ได้เวลาตื่นแล้ว”เสียงข่งหมัวมัว คนสนิทของสวีฮูหยินดังขึ้น นุ่มนวลพอปลุกคนบนเตียงได้ ม่านลูกไม้ปักโบตั๋นเลื่อมทองถูกรูดขึ้น กลิ่นกำยานผสานดอกเหมยแห้งโชย ร่างบอบบางใต้ผ้าห่มแพรขยับ ดวงตาเรียวยาวสะท้อนประกายเยือกเย็นลึกยากหยั่งถึงเจียงหลัวมิได้งัวเงีย นางตื่นก่อนนานแล้ว เฝ้าฟังเสียงวุ่นวายจากเรือนใหญ่ ทุกเสียงบอกว่าวันสำคัญเริ่มต้นแล้ว“ในที่สุด…วันนี้ก็มาถึง” นางพึมพำ แฝงทั้งความยินดีและความหมายที่ลึกกว่าเพียงการออ
หลังพระราชโองการสมรสประกาศออกมา พร้อมฤกษ์มงคลเพียงสิบห้าวันข้างหน้า จวนจิ้นอันโหวที่เคยสงบจึงพลันกลับมาคึกคักราวรังผึ้งแตกผู้ดูแลพิธีจากตำหนักกวางผิงในเมืองหลวงของชินอ๋องและคนจากตำหนักหนิงเฟิ่งของเว่ยไทเฮาผลัดกันเข้าออกเช้าเย็นไม่ขาด ราชเลขาฝ่ายในเองก็ส่งคนมาตรวจความพร้อมในทุกกระเบียดนิ้ว ตั้งแต่แบบพิธีฝ่ายเจ้าสาว รายการสินสอดและสินเดิมตำรานำขบวนหมั้น ไปจนถึงกระดาษมงคลที่จะใช้ในพิธีช่างหลวงตัดเย็บชุดสมรส ช่างไม้ ช่างแกะลาย ช่างเงิน ช่างทอง เดินเข้าออกจวนมิขาดสาย จนคฤหาสน์ขุนนางเก่าแก่แห่งนี้คล้ายกลายเป็นโรงพิธีของวังหลวงไปโดยปริยายเพราะหย่งหมิงฮ่องเต้กับพุดตานไทเฮากำชับมาด้วยพระองค์ว่าแต่งลูกสะใภ้กับน้องสะใภ้คนนี้ต้องยิ่งใหญ่ที่สุด!แม้ในใจของสวีฮูหยินและจวิ้นอันโหวจะอาลัยนักที่ต้องส่งบุตรีคนโตออกเรือนใกล้เคียงกันถึงสองคน ทว่าฐานะขุนนางชั้นสูงย่อมไม่มีทางปล่อยให้พิธีบกพร่องสักเสี้ยว ทั้งสองรักลูกเท่ากันไม่เคยลำเอียงคนรองเต็มที่เพียงใด คนพี่ก็ต้องเต็มที่ไม่ต่างกันและมิใช่เพียงจวนจวิ้นอันโหวแต่จวนสกุลโจวของท่านราชครูโจวอดีตอาจารย์ของหย่งหมิงฮ่องเต้และเป็นท่านตาของสวีเจียงหลัวเองก็จัดเ
ช่วงสายของวันที่เจ็ดหลังจบสิ้นเทศกาลล่าสัตว์หน้าประตูใหญ่ของจวนจวิ้นอันโหว ก็ปรากฏขบวนขันทีแปดคน ด้านหลังของพวกเขาเป็นองครักษ์ราชสำนักถืออาวุธครบมือดูสง่าและน่าเกรงขามยิ่งชาวบ้านมากมายเริ่มเยี่ยมหน้าออกมาดูชมความอึกทึกครึกโครมของจวนโหวในรอบสามเดือน บางคนเริ่มซุบซิบว่าจะมีเรื่องมงคลเกิดขึ้นอีกแล้วกระมังท่ามกลางสายลมโบกแรง แสงแดดยามเฉินแผดจ้า ธงประจำสำนักราชเลขาสีทองปักลายมังกรงามสง่าปลิวสะบัดอยู่หน้าขบวนขันทีหลวง คล้ายจะประกาศให้รู้ทั่วทั้งเมืองหลวงว่าพระราชโองการอันสำคัญกำลังจะตกลงสู่จวนนี้อีกครา…เสียงฆ้องทองสามครั้งดังก้องกังวาน ก่อนที่ขันทีหลวงผู้มีตำแหน่งสูงจะก้าวนำขบวนออกมาอย่างสง่างามโดยมีพ่อบ้านใหญ่ออกมาต้อนรับขับสู้ในมือของหัวหน้าขันทีใหญ่คือห่อผ้าแพรสีแดงสดล้อมปักทอง ลวดลายมังกรเหยียบเมฆาสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้าจนแสบตาภายในคือพระราชโองการทองคำจำนวนหนึ่งฉบับ!เสียงของพ่อบ้านกวงผู้ดูแลเรือนหลักตะโกนประกาศด้วยอันดังเสียงให้บ่าวไพร่รีบคุกเข่านำหน้าขบวนอีกที“ทุกคนคุกเข่าเร็วเข้า พระราชโองการมาถึงแล้ว”เหล่าคนทั้งจวน ตั้งแต่ สวีเหล่าไท่เย่ สวีเหล่าไท่ไท่ จิ้นอันโหวผู้เป็นเจ้าเรื
ช่วงบ่ายของเดียวกันนั้นเอง...หย่งหมิงฮ่องเต้ได้เรียกสวีฉีฟ่านเข้ามาเจรจาส่วนตัวอีกครั้งในกระโจมหลวงบรรยากาศเงียบสงบแต่มากด้วยแรงกดดันไม่นานเสียงฝีเท้ามั่นคงเช่นนักรบกล้าแกร่งดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ“จวิ้นอันโหวมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขุนทีหน้ากระโจมหลวงรายงาน “เชิญเขาเข้ามาได้” ไป๋อี้เซียวที่กำลังกุมขมับรีบจัดอาภรณ์และทรงผมให้เข้าที่จึงเอ่ยอนุญาติจบคำของคนด้านใน ม่านกระโจมจึงถูกเปิดออกด้วยฝีมือขององครักษ์ ท่านโหวสวีฉีฟ่าน เดินเข้ามาอย่างสำรวม สีหน้าท่าทางแม้ดูสงบ หากแต่ใต้แววตานั้นเต็มไปด้วยความระวังและไม่วางใจ ร่างสูงก้มลงทำความเคารพ“ฉีฟ่านถวายพระพรฝ่าบาท อายุยืนหมื่นปี หมื่นๆ ปีพ่ะย่ะค่ะ”“ลุกขึ้นเถิด” ฮ่องเต้รับคำเรียบ ๆ ดวงเนตรจับจ้องใบหน้าของขุนนางอาวุโสอย่างใคร่ครวญ“ฉีฟ่านนี่ก็ผ่านมาหลายชั่วยามแล้ว เจ้าได้เจียงหลัวกลับกระโจมไปแล้วตัดสินใจเช่นไรเล่า?”สวีฉีฟ่านนิ่งไปอึดใจ ก่อนจะอ้ำอึ้งเอ่ยด้วยเสียงต่ำติดขัด “คือว่า…กระหม่อม…”ฮ่องเต้หลุบพระเนตรลง คล้ายกลั้นลมหายใจไว้ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น “เจิ้นรู้ว่ามันเร็วเกินไป…แต่เจ้าก็เห็นแล้ว ว่าอี้หานไม่ได้เอ่ยคำเหล่านั้นเพราะหล
ภาพที่ไป๋อี้หานทรุดกายคุกเข่าต่อหน้าทุกคนยังไม่สะเทือนใจผู้คนในโถงชั่วคราวนี้ได้เท่ากับตอนที่ชินอ๋องหนุ่มเอ่ยทวงความเป็นธรรมให้ตนเอง...อย่างหน้าด้านหน้าทน!หย่งหมิงฮ่องเต้ ทำสีหน้าราวกลืนยาขม ส่วนเกาฮองเฮาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นราวกับตนเองกลายเป็นอากาศไปแล้วท่านโหวสวีฉีฟ่านและฮูหยินโจวหรูเจี๋ยยืนอยู่ข้างกัน ใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและคาดไม่ถึงว่าชินอ๋องผู้มีสมยานาม ‘เทพสังหาร’ แห่งต้าหรงนั้นยามจะขอสตรีจากบิดามารดาจะหน้าด้านได้ถึงเพียงนี้นับว่าเกิดมาสี่สิบกว่าปีพวกเขาสองสามีภรรยาได้เปิดโลกแล้วจริงๆ ...แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือความกังวล ความห่วงใย และความหวงลูกสาวคนโตที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าคำพูดใดจะบรรยาย ชินอ๋องปกครองแคว้นอยู่เจียงหนานไกลจากเมืองหลวงห้าร้อยลี้สองเดือนก่อนพวกเขาทำใจปล่อยเจียงหลีให้แต่งกับองค์ชายสามอี้เฉินก็เพราะอีกฝ่ายยังอยู่เสวียนหยาง คิดถึงก็แค่ไปหาไม่ไกลถึงร้อยลี้ แต่เจียงหลัวออกแต่งออกไปไกลเพียงนั้นบิดามารดาเช่นพวกตนมิอาจทำใจท่านโหวถอนหายใจหนัก ๆ ดวงตาของเขาเปล่งประกายความปวดร้าว “ฝ่าบาท ได้โปรดเห็นใจกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ สองเดือนก่อนเพิ่งจะแต่งบุตรสาวคนรองไ
ยามอิ๋นสามเค่อ... แสงแรกของวันจากทิศตะวันออกยังไม่ปรากฏ ในกระโจมของชินอ๋องไป๋อี้หานที่เพิ่งสงบลงได้ไม่ถึงชั่วยาม...บัดนี้บนเตียงสองร่างที่เคียงกันหนึ่งคือเจ้าของกระโจมผู้กำยำ อีกหนึ่งคือร่างอรชรซึ่งหลับพริ้มอยู่ในอ้อมแขนของบุรุษ ที่ไม่เคยอ่อนโยนต่อใคร... ยกเว้นนางไป๋อี้หานจึงขยับกายลุกขึ้นมาแต่งกายอย่างเงียบเชียบ เขาห่มผ้าคลุมให้หญิงสาวแน่นหนา ก่อนรีบออกจากกระโจมของตนเองโดยใช้เส้นทางลับเร่งตรงไปพบจวิ้นอันโหวเขามิอาจเสี่ยงให้สวีเจียงหลัวตกเป็นเป้าสายตาและวาจาร้ายจากผู้คนในสนามล่าสัตว์ได้ถึงจะป้องกันเอาไว้ดีแล้วจากการกำชับคนของตนแต่ไป๋อี้หานไม่เสี่ยงให้คนนอกรู้ว่าตลอดคืนนางอยู่กับเขาแม้ในใจแทบพุ่งเข้าไปสังหารไป๋อี้เฉินและซูกุ้ยเฟยกับพวกของนาง แต่เขาก็ห้ามใจไว้ รอเวลา รอโอกาสเหมาะ เขาไม่ปล่อยแน่ ไม่ว่าผู้ใดที่แตะต้องสวีเจียงหลัว!เนื่องจากไป๋อี้หานคิดจนถี่ถ้วน เขามิอาจทำตามใจตนเองได้ เพราะหากเขาทำเช่นนั้น เรื่องที่สวีเจียงหลัวถูกวางยาจะต้องกระจ่ายไปทั่วค่ายพักแรมนี้ และไม่ถึงชั่วยามคงลื่อกระฉ่อนไปทั่วเสวียนหยางแต่จะให้เขาไม่เอาความเลยคงเป็นไปมิได้ ทว่าคนแรกที่เขาต้องไปพบย่อมเป็นบิดา