LOGINใช้เวลาราวชั่วโมงเศษพวกเธอก็ลงจากห้องพัก เดินฝ่าลมร้อนตอนหัวค่ำตรงไปยังหน้ามหาวิทยาลัยแล้วเรียกรถไปยังร้านที่นัดกับพวกรุ่นพี่เอาไว้
พอถึงร้านประจำที่รุ่นพี่ชอบนัดรวมตัว อรรัมภา ไปทักทายทั้งเพื่อนร่วมคณะและรุ่นพี่จนครบจึงปลีกตัวมาทรุดนั่งมุมสุดที่ประจำตามประสาพวกโลกส่วนตัวสูงแต่จำเป็นต้องเข้าสังคมบ้าง ขณะเพื่อนคนอื่นส่งแก้วเบียร์มาให้ เธอถอนใจรับไปดื่มเงียบ ๆ เช่นเดิมปล่อยให้ทุกคนสนุกสนานกันไปส่วนเธอชอบเฝ้าโต๊ะนังมองมากกว่า
ให้ตาย...ฉันนี่มันโง่เองที่คาดหวังตอนจบดี ๆ ...
พอดื่มไปหลายแก้วและไม่มีใครมารบกวน ความคิดของอรรัมภากลับหวนไปถึงชีวิตรันทดของสวีเจียงหลัวอีกครั้ง
เจียงหลัวของฉัน...ถ้าฉันอยู่ในเรื่อง...ฉันจะลากไอ้พระเอกกับนางเอกลงนรกช่วยเธอเอง!
“เฮ้ย ไอ้รัม ไม่ออกไปเต้นเหรอวะ!” เสียงเพื่อนเรียก แต่เธอไม่ตอบ เพียงยกแก้วขึ้นซดจนหมด
กระทั่งใกล้เที่ยงคืน เสียงเพลงเริ่มเบาลง ผู้คนทยอยกลับ เพียงจันทร์บอกเสียงอ้อแอ้เล็กน้อย “ฉันจะไปต่อกับรุ่นพี่เพรียวนะ แกกลับหอคนเดียวได้ใช่ไหม?”
“ได้...เดี๋ยวจะแวะกินก๋วยเตี๋ยวแถวหอก่อนกลับ แกเองก็ระวังด้วยล่ะอย่าหลงคนหล่อจนลืมรักตัวเองนะเว้ย”
“เออ! ฉันไม่รักใครกว่าตัวเองหรอกน่า แกเถอะกลับไปก็พักผ่อนด้วย มะรืนมีส่งงาน อย่ามัวแต่หานิยายเรื่องใหม่อ่านอีกเล่า”
“จ้า!”
อรรัมภารับปากเพื่อนสนิทก่อนจะลากขาออกมาจากร้านแยกย้าย อากาศเย็นปะทะหน้าแค่พ้นจากภายในร้านมายืนที่ถนนรอรถที่เรียกเพื่อกลับหอพัก สติพร่าเลือนด้วยฤทธิ์เบียร์เล็กน้อย
ไม่นานรถที่เรียกก็มา นั่งไม่ถึง 20 นาทีก็ถึง แต่อรรัมภายังไม่เข้าหอพัก หญิงสาวเดินช้า ๆ ตรงไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำตั้งแต่ตนเองเพิ่งเข้ามาเรียนปีที่1
เจ้าของร้านเงยหน้ามายิ้มให้เมื่อพบลูกค้าประจำ “มาอีกแล้วเหรอหนู เส้นเล็กต้มยำเหมือนเดิมใช่ไหม?”
“ค่ะ...”
เธอทรุดนั่ง ซบหน้ากับแขนที่เท้าอยู่โต๊ะเพราะรู้สึกมึนเมาเล็กน้อย กลิ่นน้ำซุปต้มยำหอมฉุยโชยมาแตะจมูก พลางคิดในใจว่านิยายทำให้ใจพัง ก็ต้องเยียวยาด้วยของอร่อย แล้วเธอค่อยไปหาซีรีส์สักเรื่องดูรักษาแผลในใจที่ถูกนักเขียนหักหลัง
ขณะนั้นกลิ่นของน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวที่กำลังเดือดอยู่ในหม้อก็ลอยมายั่วยวนเรียกน้ำย่อยชวนให้คนที่กำลังนอยด์นักเขียนใจเย็นลงได้บ้าง ตามมาด้วยกลิ่นเครื่องปรุงต้มยำหอมคลุ้ง อรรัมภาหลับตาซบแขน ปล่อยให้กลิ่นอาหารที่ตนเองชอบซึมเข้าหัวจนเคลิ้ม
แต่ความสงบอยู่ได้ไม่ถึงห้านาที เสียงเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ดังขึ้นจากถนนใหญ่สายหลักหน้ามหาวิทยาลัย
บรึ๊นๆ บรึ๊น!
ไม่นานภาพมอเตอร์ไซค์กลุ่มใหญ่ก็ขับแข่งกันมา เสียงท่อแต่งดังจนแสบแก้วหูไปหมด ชาวบ้านที่ยังไม่นอนต่างด่าทอสาปแช่งไล่หลัง
“ไอ้พวกเด็กเปรต! ชอบสร้างแต่ความเดือดร้อนให้ชาวบ้านชาวช่องเสียจริง!!!”
อรรัมภาเงยหน้าขึ้นทันที แสงไฟหน้ามอเตอร์ไซค์นับสิบคันสาดตรงมาก่อนร่างวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งจะพุ่งเข้าตีกันกลางถนน เสียงเก้าอี้แตก เสียงขวดปากระจาย ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“เวรแท้ๆ แค่จะกินของอร่อยเยียวยาจิตใจ สวรรค์ยังไม่เป็นใจอีก”
พึมพำไป อรรัมภาก็รีบลุกหนีไปพลาง แต่สายตาเจ้ากรรมดันเหลือบไปเห็นหญิงสาวท้องแก่ที่ยืนอึ้งถือถุงอาหารอยู่หน้าร้านอาหารตามสั่งที่ติดกับร้านก๋วยเตี๋ยว ใบหน้าของเธอดูซีดเผือดเหมือนจะร้องไห้
ซวยแล้วคนท้องๆ!
ขณะนั้นหางตาของอรรัมภาก็เหลือบเห็นวัยรุ่นคนหนึ่งกำลังเล็งปืนไปทางร่างของวัยรุ่นอีกกลุ่มโดยมีหญิงสาวท้องแก่อยู่ตรงกลาง เห็นดังนั้นเท้าเรียวในรองเท้าผ้าใบของหญิงสาวก็พุ่งเข้าไปขวางหน้าหญิงท้องแก่อย่างลืมตัว
“พี่ค่ะ! ไปหลบหลังร้านเร็ว!”
ปากตะโกนมือข้างหนึ่งของเธอก็รีบดึงร่างของหญิงท้องคนให้ตามตนเองไปหาที่หลบ แต่ยังไม่ทันหมุนตัวกลับมา เสียงลมแหวกอากาศก็ดังขึ้น
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงปืนแหวกอากาศ กระสุนเจาะเข้าหน้าอกซ้ายเต็มแรง เลือดอุ่นร้อนทะลักซึมผ่านเสื้อสีขาวทันควัน ร่างของหญิงสาวสะท้านเฮือกแล้วทรุดลงกับพื้นช้า มือปล่อยจากหญิงท้องแก่ มากดลงปากแผล เสียงโกลาหลดังก้องรอบตัว
“เฮ้ย มึงยิงคนผิดแล้วหนีเร็วโว๊ย!”
อรรัมภาหอบหายใจ ก่อนเธอจะก้มมองแผลที่เลือดพุ่งไม่หยุด มองภาพสองมือสั่นเทาที่ยังคงยกกดอยู่ที่บาดแผล แต่แรงกลับร่วงหายเหมือนน้ำถูกเทออกจากแก้ว ก่อนความรู้สึกว่าหัวเริ่มหมุน หูเริ่มอื้อ โลกตรงหน้าเริ่มพร่า
บัดซบเอ๋ยนี่มันวันซวยอะไรของฉันเนี่ยสวรรค์? ...
ท่ามกลางเสียงผู้คนตะโกนวุ่นวาย รถมอเตอร์ไซค์แยกย้ายหนี หญิงท้องคนนั้นคลานเข้ามาหา น้ำตาอาบแก้มอรรัมภายังคงร้องถามไปถึงสวรรค์
“น้อง...อย่าหลับนะคะน้อง...”
เสียงสั่นเครือดังแว่ว แต่เธอแทบไม่ได้ยินเสียแล้ว หากทว่าอรรัมภายังมองเห็นตรงหน้าอยู่เลือนรางภาพของพี่สาวท้องแก่ที่ปลอดภัย
ดีแล้ว...ที่พี่ไม่เป็นอะไร...
คิดได้แค่นั้นความมืดก็เข้าคลี่คลุมมาล้อมรอบดวงตา ร่างกายเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ พลันนั้นไม่น่าเชื่อว่าในหัวของอรรัมภาดันผุดภาพของนิยายตอนจบน่าโมโหที่ตนเองเพิ่งอ่านจบไปเมื่อช่วงบ่ายขึ้นมาเสียได้
นี่มันเรื่องบัดซบอะไรกันแน่? หรือเพราะเธอฝังใจกับฉากจบเกินไปกันนะริมฝีปากซีดเผือดยกยิ้มเยาะ
“บัดซบเอ๊ย...ฉัน...ต้องมาตายเพราะทำความดี...เนี่ยนะ...” ถึงสติจะใกล้มอดดับ แต่หญิงสาวยังคงพึมพำตัดพ้อออกมาได้อยู่
“ไม่แฟร์เลย สวรรค์ ท่านจะเกินไปแล้วฉันทำความดีแท้ๆ กลับต้องมาตายแบบ...นี้”
“ได้ จะเอาแบบนี้ใช่ ในเมื่อฉันทำความดีแล้วต้องตายต่อไปฉันจะขอพรจากนรกแทนก็แล้วกัน!”
เสียงพึมพำสุดท้ายขาดหายไปพร้อมสติ ร่างอรรัมภาทรุดลงเงียบงัน เหลือเพียงเลือดที่ค่อย ๆ ซึมเปื้อนพื้นปูนและความแค้นใจที่มีต่อสวรรค์เท่านั้น...
บทส่งท้ายส่วนเจียงหลัวและไป๋อี้หาน…ชีวิตคู่ของทั้งสองหาใช่ว่ามีเพียงความสุขราบเรียบ หากกลับเต็มไปด้วยทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไปตามสัจธรรมของโลกมนุษย์ บางคราย่อมมีเสียงหัวเราะกังวานสะท้อนทั้งตำหนัก แต่ก็ใช่ว่าจะปราศจากเสียงทะเลาะถกเถียงตามประสาสามีภรรยาที่ครองคู่ร่วมชีวิตกันยาวนานทว่า กาลเวลาอันยืนยาวนับสิบ ๆ ปี พิสูจน์ชัดว่า ไม่มีพายุใดใหญ่หลวงพอจะพรากทั้งสองจากกันได้ ไม่ว่าลมฝนจะถาโถมแรงเพียงใด ไม่ว่าภัยร้ายจากภายนอกหรือความขัดแย้งเล็กน้อยจากภายใน ต่างก็ไม่อาจทำให้มือที่จับกันมั่นคงต้องปล่อยแยกยามราตรีสงัด แสงจันทร์ขาวนวลสาดต้องเรือนผมหงอกขาวโพลนของทั้งคู่ ร่างกายแม้ชรา แต่เมื่อดวงตาของทั้งสองสบประสาน แววประกายอ่อนโยนก็ยังส่องสว่าง ราวกับวันแรกที่ได้ร่วมชีวิต ไม่พร่อง ไม่เสื่อมคลายไปตามกาลเวลาเรื่องราวแห่งรักและแค้นบนแผ่นดินต้าหรง จึงปิดฉากลงด้วยความสงบสุขที่แท้จริง สวีเจียงหลัวหลุดพ้นจากวิบากกรรมที่ติดพันมาหลายภพหลายชาติ คำสาบานต่อท่านพญายมก็ได้ถูกปลดเปลื้องแม้เขานางจะเสียดายอยู่บ้างต่อความทรงจำที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง แต่คำไหนก็คือคำไหน ชะตาต้องหมุนเวียนต่อไปนางได้รับโอกาสเวียนว่า
ข้างนอก หลัวปัง ถังเหยียน และจิ่งกงกงรีบพังประตูเข้ามา ภาพที่เห็นทำให้ทุกคนตัวสั่นเครือ เลือดนองทั่วพื้นหิน ร่างหนึ่งบ้าคลั่ง อีกหนึ่งใกล้สิ้นสติ“เร็วเข้า! หลัวปัง อุ้มองค์ชายไปวางบนเตียง! ถังเหยียนรีบไปตามหมอหลวง!” จิ่งกงกงตะโกนสั่งเสียงสั่นในที่สุดข่าวก็ส่งไปถึงหย่งหมิงฮ่องเต้ พระองค์รีบโปรดให้หมอหลวงมารักษาชีวิตทั้งสองไว้ เพราะถึงอย่างไร อี้เฉินก็ยังเป็นพระโอรส ส่วนเจียงหลีก็เป็นบุตรสาวของขุนนางเอกทว่าตำหนักเหมันต์คืนนี้...เลือดแดงนองพื้นหินเป็นธาร ความสัมพันธ์ขององค์ชายสามกับเจียงหลี พังทลายจนสิ้นซาก แม้หมอหลวงจะยื้อชีวิตทั้งคู่ไว้ได้ แต่…อี้เฉินสูญสิ้นความเป็นชายไปชั่วชีวิต ส่วนเจียงหลีที่ถูกทุบตีจนแท้งและบอบช้ำทั้งกายใจ ก็กลายเป็นคนเสียสติ ไม่อาจกลับมาเป็นดังเดิมได้อีกต่อไปตำหนักเหมันต์ที่เคยหรูหราสง่างาม บัดนี้กลับกลายเป็นคุกขังมืดหม่น หลังจากถูกปิดตายมาหลายเดือน เพียงสิบกว่าวันหลังเหตุการณ์คืนโลหิต บรรยากาศยิ่งหดหู่และอึมครึมราวถูกคำสาป กลิ่นคาวเลือดแม้จางไปแล้ว แต่ยังแทรกอยู่ในทุกอณูอากาศ ราวจะตอกย้ำให้ผู้ที่อยู่ภายในไม่อาจลืมเหตุการณ์อำมหิตคืนนั้นคืนที่องค์ชายสามทุบตีพ
ในขณะที่ด้านนอกนครเสวียนหยางเต็มไปด้วยเสียงระฆังมงคลและรอยยิ้มยินดีภายในตำหนักเหมันต์กลับต่างออกไปประหนึ่งอยู่กันคนละโลกอากาศในเรือนหม่นหมอง อึมครึมราวกับมีเมฆดำบดบังตะวัน ทั้งที่แสงภายนอกสาดส่องเจิดจ้า ทว่าด้านในกลับเหมือนสวรรค์เองก็ไม่ปรารถนาจะทอดมองชะตาของผู้คนที่นี่ ความเงียบขรึมครอบคลุมไปทั่วทุกซอกมุม รั้วสูงและประตูหนาหนักปิดตายไม่ให้ผู้ใดเข้าออก กุญแจเหล็กดอกใหญ่แขวนอยู่ข้างประตูราวสัญลักษณ์ของการถูกกักขัง เสียงโซ่ตรวนเสียดสีกันในยามลมพัดพลันดังก้องสะท้อน ทำให้ทุกค่ำคืนคล้ายเสียงวิญญาณร่ำไห้สวีเจียงหลีถูกจองจำอยู่ในเรือนเล็กแห่งนี้มานานหลายเดือน นางนั่งก้มหน้ากุมหน้าท้องที่เริ่มปรากฏความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน รอยยิ้มที่ควรจะเปี่ยมสุขของสตรีตั้งครรภ์กลับไม่ปรากฏ มีเพียงแววตาหวาดหวั่นและความกังวลใจแผ่กระจายอยู่เต็มใบหน้า ยิ่งนับวันครรภ์นางยิ่งโตขึ้น นางก็ยิ่งแน่ใจว่าตนกำลังตั้งครรภ์จริง ๆหากเป็นสตรีอื่น คงเต็มไปด้วยความยินดี แต่สำหรับเจียงหลี มันคือฝันร้าย เพราะนางรู้อย่างแจ่มชัดว่าหากอี้เฉินรู้ นางจะไม่มีวันรอดพ้นแรกเริ่ม อี้เฉินมิได้เข้มงวดเรื่องยาห้ามครรภ์นัก แต่หลังเขากลั
กาลล่วงเลยไปอีกสองเดือน...หลังเหตุการณ์ปราบกบฏและการประหารใหญ่จบสิ้น บ้านเมืองเสวียนหยางกลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง ถนนหนทางคลาคล่ำด้วยผู้คน เสียงหาบเร่ของพ่อค้าแม่ค้าดังก้องเป็นสัญญาณแห่งความมั่นคง ผู้คนต่างเอ่ยขอบคุณสวรรค์ที่บัลลังก์มังกรยังตั้งมั่น ปราศจากภัยร้ายคุกคามภายในตำหนักกวางผิง แสงแดดอุ่นส่องลอดผ่านม่านโปร่ง กลีบเหมยสีแดงสดร่วงโปรยแต่งแต้มพื้นหินให้ดูราวภาพวาด ชินอ๋องกับชินหวางเฟยกำลังจัดเตรียมสัมภาระด้วยตนเอง เตรียมเสด็จกลับสู่แคว้นเจียงหนานตามที่ตั้งใจไว้สวีเจียงหลัวนั่งคัดเลือกผ้าผืนงามด้วยดวงตาสงบนิ่ง บ่าวไพร่ขะมักเขม้นยกหีบสมบัติลงเกวียนอย่างขยันขันแข็ง แต่เพียงไม่นาน สีหน้าของนางพลันซีดเผือด ร่างอรชรทรงลงพิงโต๊ะ ข้าวของในมือร่วงกระจาย“ต้าหลัว!” ไป๋อี้หานตวัดกายเข้าประคองทันที แววตาคมดุจเพลิงสะท้อนความตระหนกขันทีรีบส่งเสียงตะโกน “ตามหมอหลวงมาเร็ว!”บรรยากาศทั้งเรือนตึงเครียดในพริบตา สิ่งอวิ๋นกับสืออวี่คุกเข่าหน้าซีดเผือดราวจะขาดใจ รอคอยด้วยลมหายใจอันสั่นไหว เสี่ยวผิงกับเสี่ยวจิ่ววิ่งวุ่นไปมาราวไร้ทิศทาง กระทั่งหมอหลวงผู้เฒ่าเร่งรุดเข้ามา จับชีพจรตรวจอย่างละเอียด
รุ่งอรุณวันใหม่ เสียงกลองยามเช้าและระฆังวังหลวงดังขึ้นพร้อมกัน เจิดจ้าไปด้วยแสงตะวันอุ่นที่สาดส่องเหนือกำแพงวัง ประตูท้องพระโรงเปิดออกทีละชั้น เหล่าขุนนางก้าวเข้าสู่โถงใหญ่ด้วยท่วงท่าสงบเคร่งขรึมเบื้องสูง บัลลังก์มังกรประดับมุขทองตั้งตระหง่าน หย่งหมิงฮ่องเต้ประทับเหนืออาสน์มังกรในอาภรณ์สีทอง พระพักตร์สงบเยือกเย็น หากในพระเนตรลึกเร้นยังมีเงาความเหน็ดเหนื่อยจากหลายปีแห่งการครองราชย์ ทว่าครานี้กลับฉายความปลื้มปีติแผ่วบางอยู่บนพระพักตร์เสียงขันทีขานพระนามก้อง “ชินอ๋องไป๋อี้หาน น้อมถวายรายงานใต้เบื้องพระยุคลบาท!”ร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์เต็มยศสีดำปักดิ้นทองก้าวเข้ามาอย่างองอาจ ทุกย่างเท้าหนักแน่นก้องสะท้อนทั่วพื้นหินหยก ไป๋อี้หานก้าวมาหยุด ณ เบื้องหน้าโถงมังกร คุกเข่าลงโขกศีรษะถวายบังคม“กระหม่อมถวายพระพรฝ่าบาท อายุยืนหมื่นปี หมื่นๆ ปี พ่ะย่ะค่ะ”หย่งหมิงฮ่องเต้ทอดพระเนตรลงมา พระสุรเสียงเข้มทุ้มต่ำดังไปทั่วโถง “ลุกขึ้นเถอะ อี้หาน”“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”“เป็นเช่นไรบ้าง สถานการณ์ที่หุบเขาอวิ๋นเซิง กบฏเหล่านั้นบัดนี้สิ้นซากแล้วหรือไม่?”ไป๋อี้หานประสานมือขึ้น น้อมกายรายงานเสียงชัดเจน “กราบท
ยามเขาขยับเร่งเร้า สายน้ำพลันแตกกระจายสูงขึ้นราวฝนซัด นางไม่อาจทรงกายได้อีกต่อไป ต้องโอบรอบแผ่นหลังแข็งแรงไว้แน่น ความอบอุ่นและแรงปรารถนาที่โถมทับเข้ามาทำให้ทุกสิ่งรอบกายเลือนหาย มีเพียงเสียงหัวใจสองดวงที่เต้นถี่รัวเป็นหนึ่งเดียวเวลาล่วงไปไม่รู้เนิ่นนานเพียงใด กว่าคลื่นน้ำจะสงบ ร่างบางก็อ่อนแรงแทบหมดสิ้น ได้แต่เอนพิงอกกว้าง หอบหายใจถี่แผ่ว ดวงตาคมกริบ ที่มักเย็นเยียบพลันพราวระยับด้วยหยาดน้ำใสไป๋อี้หานประคองเรือนร่างในอ้อมแขน กดจุมพิตเบา ๆ บนหน้าผากชื้นเหงื่อ เสียงทุ้มพร่ากระซิบใกล้หู“ต้าหลัว…มีเพียงเจ้าที่ทำให้ข้าสูญสิ้นการควบคุมเช่นนี้”เจียงหลัวปรือตามองเขาอย่างเหนื่อยอ่อน ใบหน้าขาวนวลแดงซ่าน ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเล็กน้อย ทั้งอับอายทั้งอบอุ่นท่ามกลางไอหมอกขาวและน้ำอุ่นที่คลอเคลีย สองร่างยังโอบกอดกันแนบแน่น กระทั่งเสียงหยดน้ำจากเพดานก็คล้ายกลายเป็นทำนองกล่อมที่ปิดฉากค่ำคืนในอ่างหิน…ปิดฉากอันใดกัน!ยามที่เจียงหลัวถูกอุ้มขึ้นจากอ่าง ร่างของนางช่างเบาราวขนนกในอ้อมแขนกำยำ เสื้อคลุมน้ำตาลอ่อนเพียงพาดหลวม ๆ มิอาจปกปิดผิวขาวผ่องที่เปล่งประกายยามต้องแสงตะเกียง แต่เพียงสบตากับสามี นางก็รู้







