บทที่ 1
‘ผู้ถูกเลือก’
.
.
“ท่านหญิงอย่าเจ้าค่ะ!”
“ท่านหญิงลงมาเถิดเจ้าค่ะ!”
เสียงของเหล่าสาวใช้ร้องตะโกนกันสุดเสียงพยายามจะขอร้องให้สตรีในอาภรณ์นอนสีขาวสะอาดก้าวลงมาจากราวระเบียงที่นางกำลังยืนอยู่ ถ้าเป็นชั้นหนึ่งคงไม่เท่าไหร่แต่ผู้เป็นท่านหญิงผู้นี้กลับยืนอยู่บนราวระเบียงชั้นสองอย่างน่าหวาดเสียว
“ฉันไม่ลง ฮึก… ฮือ… ฮือ ที่นี่ที่ไหน!”
“พ่อแม่จ๋าหนูอยากกลับบ้าน!”
สำเนียงและคำพูดของหญิงสาวนั้นแปลกประหลาดคล้ายว่าไม่ใช่ภาษาของยุคนี้ นั่นนับว่าถูกต้องเพราะแม้นว่าสตรีที่ยืนอยู่บนราวระเบียงชั้นสองจะเป็นท่านหญิงของจวนหลังนี้แต่ดวงวิญญาณกลับเป็นคนผู้อื่นที่ทะลุมิติเข้ามาสิงในร่างกายงดงามนี้
ปลายฟ้า หญิงสาวชาวไทยที่ปุ๊บปั๊บรับโชคทะลุมิติเข้ามาในนิยายแปลจีนเรื่องลิขิตปรารถนาบัญชาสวรรค์ที่เพิ่งอ่านไปก็งงเป็นไก่ตาแตก จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เธอยังหายใจที่โลกด้านนอกคือเข้านอนบนเตียงหนานุ่มสบายจากนั้นกลับลืมตาตื่นขึ้นมาในโลกของนิยายเรื่องนี้เสียแล้ว
ตอนนี้เลยทำอะไรไม่ถูกได้แต่ร้องห่มร้องไห้ออกมาแล้วคิดว่านี่คือความฝันเท่านั้นจะกระโดดลงจากระเบียงชั้นสองเพราะคิดว่าคนเราตกจากที่สูงในความฝันแล้วจะตื่นได้ แต่ก็ไม่กล้าเพราะมันสูงเกินไปหัวใจมันจะวายก่อนกระโดดเสียอีก
“พี่หญิงรองท่านอย่าทำเช่นนี้!”
เสียงตะโกนดังขึ้นพร้อมใครบางคนที่พุ่งเข้ามาหาปลายฟ้าจนเธอตกใจก้าวถอยหลังหนีแต่ลืมไปว่าตนเองอยู่บนระเบียงชั้นสองเลยพลาดท่าหงายหลังตกลงสู่พื้นเบื้องล่างทันทีท่ามกลางความตกใจของทุกคนจนเสียงกรี๊ดดังสนั่น
ปลายฟ้าหลับตาปี๋ได้แต่ภาวนาในใจว่าลืมตาอีกครั้งเธอคงตื่นจากความฝันบ้าบอคอแตกประสาทแดกแบบนี้แล้วจึงไม่ได้รู้สึกกลัวมากนักแม้นว่ารอบตัวจะเต็มไปด้วยเสียงกรี๊ดสนั่นอย่างกับคอนเสิร์ตนักร้องดังก็ตาม
แต่ยังไม่ทันที่ร่างกายอันงดงามและสูงส่งของท่านหญิงเย่จะถึงพื้นก็มีใครบางคนพุ่งตัวขึ้นมารับนางจากพื้นด้านล่าง วงแขนใหญ่โอบกอดร่างบอบบางเอาไว้แล้วกระชับให้แน่นขึ้นจนปลายฟ้าตกใจรีบลืมตามองจึงได้ประสานสายตากับบุรุษรูปงามผู้หนึ่งเข้าเต็มตา
‘ดวงตาเมล็ดซิ่งสีน้ำตาลเข้มของเขาสวยจัง’
‘เรือนผมสีดำขลับที่ปลิวไสวไปตามสายลมของเขามันช่างมีเสน่ห์ยิ่งนัก’
‘สุดท้ายคงอดจะชื่นชมปากเขาไม่ได้ ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงระเรื่อมันน่าจูบมาก ๆ’
กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ร่างกายของเธอถูกโยนลงบนพื้นถึงจะไม่ได้สูงนักแต่แรงกระแทกก็ทำให้เจ็บร้าวไปทั้งตัว ไอ้ผู้ชายบ้าตรงหน้ามันโยนเธอแบบไม่ไยดีเลย ทำอย่างกับเธอเป็นตัวเชื้อโรคที่ต้องรีบสะบัดทิ้งไปได้
“ถ้านายจะโยนฉันแบบนี้แล้วจะลำบากขึ้นไปช่วยทำไม ก็ปล่อยให้ร่วงลงมาตายเถอะ!”
คำพูดของนางทำให้เขาแปลกใจเพราะถ้อยคำแปลกยิ่งนัก “เมื่อครู่หัวเจ้าก็ไม่ได้กระแทกพื้นไยถึงพูดจาแปลกประหลาดนัก”
ปลายฟ้านึกขึ้นได้ว่าตัวเธออยู่ในนิยายจีนโบราณ ไอ้บางคำพูดในยุคปัจจุบันมันเลยดูเป็นคำไม่คุ้นหูของคนที่นี่ จะพูดเธอฉันไอเลิฟยูไม่ได้เด็ดขาด
“ขะ… ข้าหัวกระแทกนิดหน่อย แล้ว จะ… เจ้าทำข้า” เธอชี้นิ้วใส่หน้าเขาทันทีแสร้งทำเป็นจับหัวตนเองสีหน้าเจ็บปวดแสนสาหัสเหมือนหัวแตกต้องเย็บสักร้อยเข็ม
“ข้าช่วยเจ้าไว้แท้ ๆ ยังไม่รู้จักสำนึกบุญคุณสมแล้วที่เจ้าเป็นท่านหญิงเย่ผู้เหี้ยมโหด ลูกเล็กเด็กแดงเห็นยังร้องไห้จ้าละหวั่น”
“ฉันเนี่ยนะ!” ปลายฟ้าชี้นิ้วเข้าหาตนเองหน้าเหลอหลา
แต่เมื่อคิดไตร่ตรองดี ๆ ก็เหมือนจะพึ่งนึกได้ว่าเธอทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของ เย่ซูชาง คุณหนูรองสกุลเย่ที่ได้รับสถาปนายศศักดิ์จากองค์ฮ่องเต้ให้ขึ้นเป็นท่านหญิงเพียงคนเดียวในสกุล เลยทำให้ตัวละครนี้กลายเป็นนางร้ายโคตรโหดเหี้ยม เอาแต่ใจตนเอง และใช้เงินมือเติบสุรุ่ยสุร่ายไปวัน ๆ ตามประสาคุณหนูบ้านรวยที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด
“ท่านพี่ฉินพอเถิดเจ้าค่ะ” หญิงสาวหน้าตาแช่มช้อยนางหนึ่งเดินเข้ามา ใบหน้าคล้ายท่านหญิงเย่ไปแล้วถึงแปดส่วน
“เจินเอ๋อร์เจ้าอย่าเข้าข้างนางนัก นางเป็นพี่สาวเจ้าก็จริงแต่นางร้ายกาจผู้ใดก็รู้ เรื่องกระโดดจากระเบียงคงจะไม่พ้นเรื่องที่นางจะเรียกร้องความสนใจอีก”
ปลายฟ้าที่ได้ฟังก็ลมออกหูที่คนผู้นี้มาคิดว่าเธอจะกระโดดระเบียงเรียกร้องความสนใจ คนเรามันจะเอาชีวิตไปเสี่ยงขนาดนั้นเพื่อให้ผู้คนมาสนใจทำไมเกิดพลาดพลั้งแค่วินาทีเดียวก็อาจจะตายหรือพิกลพิการได้เลยเหมือนเมื่อครู่ที่เธอตกใจที่ เย่ซูเจิน น้องสาวของเย่ซูชางวิ่งพรวดพราดเข้ามาจนพลัดตกระเบียงถ้าไม่ได้ผู้ชายตรงหน้ามาช่วยคงหัวกระแทกพื้นตายคาที่ไปแล้ว
แต่ถ้าจะมาช่วยกันแล้วพูดจาเหยียดหยามกันทีหลังเช่นนี้จะมาช่วยทำไม ในเมื่อดูแล้วเหมือนว่าผู้ชายคนนี้จะมีอคติกับเย่ซูชางมากเขาดูเกลียดชังนางจนไม่อยากจะแตะเนื้อต้องตัวด้วยซ้ำไป แล้วทำไมถึงยังมาช่วยก็ควรปล่อยให้ตกลงมาตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยจะได้สาสมกับความเกลียดชังที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน
หน้าตาก็หล่อเหลาตรงสเปกของเธอเลย แต่ทำไมปากถึงได้เพาะพันธุ์หมาได้ดีขนาดนี้ก็ไม่รู้ เขาหล่อเกินต้านแต่ปากเขาเป็นตาย่านเกินไป
“ขอบคุณคุณชายหยวนที่ช่วยค่ะ แต่อยากบอกว่าฉันไม่ได้เรียกร้องความสนใจ ฉันอยากกระโดดลงมาตายจริง ๆ แต่ก็ได้คุณชายหยวนสอดมือสอดขาเข้ามาช่วยเอาไว้ ก็ไม่ได้ร้องขอเลยนะคะ แต่ไม่เป็นไรเข้าใจว่าบางคนก็อยากโอ้อวดว่าตนเป็นคนดีต่อหน้าผู้อื่น เรื่องนี้ให้มันจบแค่นี้เถอะ ฉันไม่ได้มีเวลามากพอมายืนถกเถียงกับใคร ต้องไปหาวิธีตายรูปแบบใหม่ต่อ”
ว่าจบปลายฟ้าในร่างของเย่ซูชางก็สะบัดตัวจนผมปลิวเดินหนีออกไปทิ้งให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นยืนอึ้งพูดอะไรไม่ออกเพราะฝีปากของท่านหญิงเย่ช่างกระแทกหน้ายิ่งนัก แต่ที่ทำให้ทุกคนมึนงงคือสรรพนามที่อีกฝ่ายใช้ ถ้อยคำที่แข็งกระด้าง ภาษาแปลก ๆ ที่ไม่คุ้นหู สิ่งเหล่านี้มันคืออะไรกัน ทำไมเหมือนมีอะไรผิดพลาดหรือก่อนหน้านี้ท่านหญิงเย่ซูชางจะคิดวิธีการฆ่าตัวตายจนหัวไปกระแทกพื้นที่ไหนมาหรือเปล่า สมอง สติสัมปชัญญะถึงได้ผิดเพี้ยนเลอะเลือนเหมือนคนผีเข้าแบบนี้
“ท่านพี่ฉิน ท่านอย่าถือสาพี่หญิงรองเลยเจ้าค่ะ ตั้งแต่นางฟื้นไข้ข้าก็รู้สึกว่านิสัยของนางเปลี่ยนไปมาก คอยแต่จะโวยวาย หรือบางทีก็ร้องไห้แล้วหาเรื่องจะฆ่าตัวตายตลอดเวลา ข้ากับคนรับใช้ต้องคอยตามเฝ้าตลอดเวลา”
“ลำบากเจ้าแล้วเจินเอ๋อร์”
“ไม่ลำบากหรอกเจ้าค่ะ นางเป็นพี่สาวของข้าเลี้ยงดูข้ามาย่อมต้องทดแทนบุญคุณ ให้ข้าทำมากกว่านี้ย่อมทำได้เพื่อนางเจ้าค่ะ”
“เจ้าเป็นน้องสาวของนาง แต่ประเสริฐมากกว่านางเสียอีก ไยนางไม่มีนิสัยดีงามเหมือนเจ้าบ้าง”
ปลายฟ้าที่ไม่ได้เดินไปไหนไกลเลยแต่มาหลบมุมแอบมองคนทั้งสองก็ได้แต่เบะปากจนแทบจะเบี้ยวแล้วเมื่อเห็นทั้งสองคนคุยกันอย่างสนิทสนม น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานเชียว ผู้ชายตรงหน้าของเธอถ้าเดาไม่ผิดจะต้องเป็น หยวนฉิน พระรองผู้อาภัพรักของนิยายเรื่องนี้แน่นอน เพราะตามที่อ่านมาจากนิยายพระรองผู้นี้มีความสนิทสนมกับท่านอาของเย่ซูชางจึงมาที่จวนนี้บ่อยครั้งและมักจะทะเลาะเบาะแว้งกับเย่ซูชางเป็นประจำด้วย
นางร้ายก็คือนางร้ายสินะ ถึงตอนนี้เธอจะมาอยู่ในร่างของเย่ซูชางแล้วแต่ก็ยังถูกตราหน้าว่าเป็นนางร้ายอยู่ดีเพราะตำแหน่งในนิยายเรื่องนี้มันเป็นเช่นนั้น สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าตัวเองทะลุมิติเข้ามาในนิยายเรื่องลิขิตปรารถนาบัญชาสวรรค์จริง ๆ และตอนนี้ก็กลายเป็นเย่ซูชางแล้วด้วย
แต่มันไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยหรือไง เธอเป็นผู้หญิงไทยที่ไม่ได้มีความรู้มากมายเกี่ยวกับจีนแผ่นดินใหญ่เลยไม่ได้รู้วัฒนธรรมประเพณีอะไรขนาดนั้น แค่อยากจะหานิยายแปลจีนสักเรื่องที่กำลังเป็นกระแสฮอตฮิตอยู่ตอนนี้มองไปทางไหนคนก็อ่านนิยายแปลจีนก็เลยไปหาหยิบยืมจากห้องสมุดมาลองอ่านบ้าง แต่ใครจะไปคาดคิดว่านิยายแปลจีนยุคเก่าก่อนหน้าปกเก่ากึกจนฝุ่นเกาะเล่มนั้นที่หยิบมาได้จากห้องสมุดเพื่อประชาชนจะดูดเธอเข้ามาในนี้จนได้สัมผัสกับคำว่าทะลุมิติจริง ๆ
ก็เคยได้ยินคำนี้อยู่หรอกนะตามพวกอนิเมะหรือมังงะญี่ปุ่นแนวฉันทะลุมิติไปต่างโลกเพื่อทำฟาร์ม เพื่อสร้างฮาเร็ม เพื่อเป็นจอมเวท เป็นนักสู้ บลา ๆ พวกนั้น แต่ไม่คิดเลยว่าตัวเธอเองจะได้ทะลุมิติเหมือนกันแต่ไม่ได้ไปปลูกผักสร้างฮาเร็มหรือเป็นจอมเวท ดันทะลุมิติเข้ามาเป็นนางร้ายในนิยายที่มีชะตาชีวิตอาภัพต้องตายตอนจบไปซะอีก งั้นขอตายตอนนี้เลยได้ไหมเผื่อว่าจะกำลังฝันอยู่จะได้ตื่นกลับไปโลกความจริงสักที
แต่มันก็น่าแปลกเธอพยายามฆ่าตัวตายมาแล้วสามครั้ง ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาในร่างนี้ ครั้งแรกพยายามจะแทงที่หัวใจของตัวเองแต่มีดดันหักจนแทงไม่ได้ ครั้งที่สองพยายามแขวนคอตัวเองแต่เชือกดันขาดตกลงมากระแทกพื้นดังตุ๊บเป็นลูกขนุนตกจากต้นเลย พอครั้งที่สามก็ได้หยวนฉินมาช่วยเอาไว้อีก หรือไอ้พระเจ้าแห่งโลกนิยายนี้จะไม่อยากให้เธอตายแต่ให้อยู่ใช้เวรใช้กรรมในนิยายเรื่องนี้ต่อไป
“แล้วทำไมต้องเป็นฉันที่ถูกเลือกด้วย!”
เธอเผลอตะโกนออกไปจนเสียงดังลั่นพร้อมกางแขนเงยหน้ามองฟ้าเพื่อถามไถ่สวรรค์เบื้องบนจนลืมไปว่าตนเองไม่ได้อยู่ผู้เดียวเมื่อนึกได้เลยหันไปมองด้านข้างก็ปะทะเข้ากับสายตาสงสัยและประหลาดใจในเวลาเดียวกันจากน้องสาวและพ่อพระรองจนต้องรีบหุบแขนแล้วยกยิ้มแห้งทันที
“อากาศดีเนอะ น่าเต้นรำ” ว่าจบเธอก็แก้เขินด้วยการเต้นรำหมุนไปรอบ ๆ ด้วยท่วงท่าที่น่าจะเหมือนนกเพนกวินเดินด๊องแด๊งอะ
‘นางจิญจมาณวิกายังโดนธรณีสูบ ทำไมตอนนี้เธอถึงไม่โดนบ้าง สูบฉันให้หายไปจากตรงนี้ทีพระแม่ธรณีเจ้าขา!’
บทที่ 2‘สุขกันเถิดเรา เศร้าไปทำไม'..ปลายฟ้าในร่างของเย่ซูชางนอนยกขาพาดกันกระดิกปลายเท้าอยู่บนเตียงกว้างด้วยความหนักใจ มือเล็กยกขึ้นก่ายหน้าผากตนเองเพื่อพยายามครุ่นคิดในเรื่องที่จะกลับออกไปจากนิยายนี้ยังไงแต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก จะฆ่าตัวตายก็เหมือนว่าจะไม่มีทางทำสำเร็จมันจะต้องมีอะไรมาขัดขวางตลอดเวลาลมหายใจถูกถอนออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ถ้าการถอนหายใจทำให้แก่ไวป่านนี้ตัวเธอเองคงตายกลายเป็นวิญญาณไปแล้วเพราะจำไม่ได้แล้วว่าถอนหายใจมากี่ครั้งรู้แค่ว่าตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ก็เอาแต่นอนถอนหายใจแบบนี้มาเป็นชั่วยามได้แล้วมั้งเสียงเปิดประตูดังขึ้นมันทำให้ปลายฟ้าต้องหันไปมองจนเห็นว่าเป็นเย่ซูเจินที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มหวานฉ่ำเชียว ตอนเด็ก ๆ กินน้ำผึ้งแทนนมหรือไงถึงหน้าหวานยิ้มหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าขนาดนี้“ที่นี่ไม่สอนเรื่องมารยาทหรือไง เจ้าถึงได้เข้าห้องผู้อื่นโดยไม่เคาะประตูบอกกล่าวเจ้าของห้องก่อน?”หญิงสาวรีบยกมือขึ้นปิดปากตนเองทันที นางไม่รู้ว่าทำไมถึงพูดออกไปเช่นนั้นทั้งที่ในใจไม่ได้คิดอะไรเลยแท้ ๆ หรือว่าผีคาแรคเตอร์ของเย่ซูชางจะเข้าสิงกันถึงได้พูดคำร้ายกาจด้ว
บทที่ 3'เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันไย'..“ตอนนี้ข้าไม่อยากแต่งกับท่านพี่หมิงซัวแล้ว” นางพูดหยั่งเชิงออกไปก่อนจะยกพัดด้ามจิ๋วขึ้นโบกเบา ๆ ด้วยรอยยิ้มหวานฉ่ำ“แน่สิ เจ้าจะแต่งกับจางหมิงซัวได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าไปทำร้ายเสี่ยวเยว่เสียแขนหัก”‘นั่นปะไร ตรงตามนิยายเป๊ะ งั้นเรื่องหลังจากนี้ก็ต่อจากเหตุการณ์นี้สินะ’“คนชั่วเช่นเจ้าไยถึงได้มีบุญบารมีได้เป็นถึงท่านหญิงกันนะ ถ้าเจ้าไม่มีบรรดาศักดิ์ท่านหญิง ไม่มีอำนาจเก่าก่อนที่บิดาและพี่ชายสร้างเอาไว้ ป่านนี้คงโดนลากคอไปลงอาญาแล้ว วัน ๆ หนึ่งของเจ้าสมองคงคิดแต่เรื่องชั่ว ทำร้ายผู้คนไปทั่วจิตใจช่างโหดเหี้ยมยิ่งนักไม่สมควรเกิดมาในสกุลสูงส่งเช่นนี้เลย”เย่ซูชางที่ได้ฟังก็อึ้งจนพูดไม่ออกจนนึกสงสัยว่านี่คนหรือเครื่องด่าเคลื่อนที่ เหมือนเขาเปิดระบบด่าเลยพ่นคำออกมาเป็นชุดได้ขนาดนี้เล่นเอานางสำนึกผิดไม่ทันเลย คนเลวมันคือเย่ซูชางแท้ ๆ แต่ทำไมคนที่ต้องมายืนรับฟังคำด่าคำสาปแช่งชิงชังมันต้องเป็นนางด้วยนะ‘เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันไย ฉันทำอะไรให้เธอเคืองขุ่น~’“ขะ… ข้าเองก็เสียใจ”“คนอย่างเจ้าหรือจะเสียใจ”“โอ๊ย!”เขาผลักนางจนล้มก้นจ้ำเบ้า แต่พอเย่ซูชางเงยหน้าจะ
บทที่ 3'เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันไย'..เสียงหัวเราะคิกคักดังออกมาจากเหล่าบ่าวไพร่ที่มายืนล้อมวงดูเย่ซูชางที่กำลังถูกจางหมิงซัวสาดน้ำผลไม้ใส่ มันไม่ใช่น้ำผลไม้คั้นอะไรแต่มันคือน้ำที่ผสมเศษผลไม้ที่ถูกนำไปบดเท่านั้น ทำให้หัวและร่างกายของนางเต็มไปด้วยซากผลไม้ที่ติดตามผมและร่องหลืบของอาภรณ์“ท่านพี่หมิงซัวพอเถิดเจ้าค่ะ!” เย่ซูเจินรีบเข้ามาห้ามปราม“ไม่ต้องห้ามเขา ถ้าท่านแม่ทัพกระทำสิ่งนี้แล้วสบายใจขึ้นก็ปล่อยให้เขากระทำไป ข้าทำผิดย่อมยอมรับโทษทัณฑ์”“คนเช่นเจ้าต่อให้โดนน้ำเน่าน้ำโคลนสาดจากคนทั้งเมืองก็ไม่สามารถชดใช้ในความชั่วของเจ้าได้”“งั้นก็เอาเลยสิ เรียกคนทั้งเมืองมาสาดโคลนใส่ข้า เอาที่เจ้าสบายใจเลยจางหมิงซัว!”เย่ซูชางตะคอกออกไปอย่างหมดความอดทนมันทำให้จางหมิงซัวประหลาดใจเพราะเขาไม่ได้ยินนางเรียกตนด้วยชื่อเต็มมานานแล้ว นานมากจนบางทีอาจจะเป็นสิบปี แต่ทำไมวันนี้นางถึงกล่าวชื่อเต็มของตน ไหนจะท่าทางเฉยเมยนี่อีก ปกตินางมักจะเข้ามาออเซาะออดอ้อนเขาเสมอ เห็นหน้าไม่ได้เลยเป็นต้องเดินตามต้อย ๆ คอยมาตื๊อมาให้ท่าถึงจวนเป็นประจำ แต่ทำไมยามนี้แววตาของนางยามทอดมองมากลับแข็งกร้าวเย็นชาเหมือนไม่เหลือคว
บทที่ 4‘ถ้ายังไม่มีผู้ใดตายก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่’..“พี่หญิงรอง พี่หญิงรองเกิดเรื่องแล้ว!” เย่ซูเจินวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในเขตเรือนของเย่ซูชางที่กำลังนั่งจัดดอกไม้อยู่ภายในศาลากลางสวน“ถ้ายังไม่มีผู้ใดตายก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่” เย่ซูชางกล่าวเสียงนิ่งเรียบมือยังคงหยิบดอกไม้ขึ้นมาจัดแต่งใส่แจกันหยกใบงาม“จะมีคนตายแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านพี่หมิงซัวถูกพาไปที่คุกหลวงเห็นทีคงโดนโทษโบยเพราะฮ่องเต้ทรงไม่ยอมที่เขามาหมิ่นเกียรติท่าน”เย่ซูชางที่ได้ฟังก็นิ่งเงียบลง ภายในใจเหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น “ข้าถือว่าข้าชดใช้ไปแล้ว ข้ายอมให้เขาหมิ่นเกียรติ ยามเดินไปไหนผู้คนก็นินทาเป็นตัวตลกขบขันแล้วจะให้ข้าทำสิ่งใดอีก ส่วนที่ต้องชดใช้ก็ชดใช้ไปแล้ว มันแค่ผิดตรงที่ว่าสิ่งที่หมิงซัวทำดันไปหมิ่นเกียรติฮ่องเต้เช่นกันเพราะฉะนั้นเขาก็ต้องรับโทษในส่วนนี้ด้วยตนเอง หาใช่ความผิดข้าเสียหน่อย”“ตะ… แต่ว่านั่นท่านพี่หมิงซัวนะเจ้าคะ”“แล้วอย่างไรหรือ?”ผู้น้องที่ได้ฟังผู้พี่กล่าวก็ประหลาดใจเพราะยามปกติพี่สาวของนางมักจะตามตื๊อจางหมิงซัวตลอดเวลา และคอยยื่นมือเข้าไปช่วยเขาเสมอด้วยแม้นว่าทุกครั้งเขาจะไม่ต้องการก็ตาม
บทที่ 5‘ทำดีไม่มีใครเห็น’..ข่าวเรื่องการหมั้นหมายของเย่ซูชางกับหยวนฉินดังกระฉ่อนไปทั่วเมืองจนชาวบ้านต่างนินทาซุบซิบกันไปต่าง ๆ นานา บ้างก็ไม่นึกสงสัยเพราะมักจะเห็นหยวนฉินเข้าออกจวนสกุลเย่เป็นประจำ บ้างก็นึกสงสัยว่าตอนแรกเย่ซูชางตามตื๊อจางหมิงซัวมาหลายปี มิหนำซ้ำยังลดตัวไปทะเลาะตบตีกับสตรีจากหอนางโลมผู้นั้นอยู่ตลอดแต่ทำไมวันนี้ถึงมีข่าวเรื่องการหมั้นหมายกับบุรุษอีกคนออกมาได้เย่ซูชางที่ปลอมตัวเป็นนักพเนจรออกมาเที่ยวตลาดก็ได้ยินทุกสิ่งที่ชาวบ้านนินทาแต่ก็ไม่ได้คิดจะแก้ข่าวใด ๆ เพราะมันเรื่องจริงทั้งนั้น วันนั้นที่ท่านอารองมาเห็นนางจูบกับหยวนฉินก็ไม่พอใจอย่างมาก ต่อว่านางต่าง ๆ นานาว่ากระทำตัวไร้ยางอาย ไม่ไว้หน้าบรรพบุรุษจนสุดท้ายหยวนฉินที่ไม่รู้ว่าสงสารเวทนานางหรือโดนผีสุภาพบุรุษเข้าสิงก็เอ่ยปากขอหมั้นหมายเองเพื่อรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็เลยเป็นข่าวลือที่ชาวบ้านพูดกันในทุกวันนี้ แต่ข่าวลือมันก็คือเรื่องจริง อีกไม่นานของหมั้นก็จะถูกส่งมาที่จวนสกุลเย่ แต่มันก็ติดปัญหาตรงที่ว่าจวนสกุลหยวนจะยินดีต้อนรับนางร้ายแบบนางเข้าไปเป็นสะใภ้หรือเปล่าเท่านั้นเพราะชื่อเสียงมีแต่ด้านแย่ ๆ ทั้งนั้
บทที่ 5‘ทำดีไม่มีใครเห็น’..เย่ซูชางต้องพยายามอย่างมากที่จะข่มอารมณ์ของตนเองเอาไว้เพราะถ้าไปหาเรื่องนางเอกอีกคงกลายเป็นเรื่องใหญ่โต มีหวังพระเอกที่นอนรักษาตัวจากการถูกโทษโบยได้ลุกมาเอาเรื่องนางแบบลืมเจ็บลืมตายเป็นแน่“เจ้าควรจะดีใจที่ข้าไม่ไปยุ่งกับหมิงซัวอีก จะได้ไม่ต้องไปตบตีหรือทะเลาะเบาะแว้งกับเจ้า”“ท่านพี่ฉินเป็นคนดีไม่ควรมัวหมองเพราะเจ้า”“งั้นควรมัวหมองเพราะเจ้าหรือ จะเอาผู้ใดก็เลือกสักคนไม่ ใช่จับปลาสองมือ”“ข้ารักท่านพี่หมิงซัว แต่ก็เป็นห่วงท่านพี่ฉินในฐานะพี่ชายเท่านั้น”“เจ้าเรียกทั้งสองคนว่าพี่ แต่กับข้าไยไม่เคารพบ้าง ข้าก็อายุเท่าพวกเขาเป็นพี่ของเจ้าและยังเป็นท่านหญิงด้วย ว่ากันตามตรงเจ้าควรนั่งลงกับพื้นแล้วคุกเข่าคุยกับข้าถึงจะถูก กล้าดียังไงมายืนค้ำหัวข้าแบบนี้”“อึก!”แต่แทนที่แม่นางเอกจะกลัวดันผลักนางจนหลังกระแทกผนัง นี่ขนาดมีมือเดียวนะเนี่ยยังร้ายไม่ใช่น้อยถ้ามีสองมือสองแขนจะขนาดไหน ใครก็ว่านางชอบรังแกนางเอก แต่ไม่มีใครมาเห็นตอนนางเอกรังแกนางร้ายเลย“คนอย่างเจ้าไม่สมควรได้รับความเคารพ ไม่ควรเป็นท่านหญิง ไม่ควรให้ใครกราบไหว้ยกยอทั้งนั้น เจ้ามันก็แค่หญิงชั่ว!”สุดท้
บทที่ 6‘เข้าเฝ้าฉีฮองเฮา’พระตำหนักคุนหนิง , พระราชวังสายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่ถูกเปิดโล่งเอาไว้จนกลิ่นหอมของมวลบุปผาล่องลอยเข้ามาจนชวนให้รู้สึกสบายใจแต่ไม่ใช่ทุกคนหรอก หนึ่งในนั้นคือเย่ซูชางที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าของฉีฮองเฮาที่กำลังจ้องมองนางด้วยรอยยิ้มแต่เป็นรอยยิ้มที่ดูไม่น่าไว้วางใจสักนิดเดียว“พระองค์เรียกหม่อมฉันมาพบถึงพระตำหนักมีเรื่องอะไรหรือเพคะ?” นางตัดสินใจถามออกไป พยายามใจดีสู้เสือ“ข้าได้ยินว่าเจ้าจะหมั้นหมายกับรองเจ้ากรมพิธีการหยวนหรือ?” ฉีฮองเฮากล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบสุขุมในแบบของนางที่มักจะแสดงต่อผู้อื่นเสมอ“เพคะ” นางตอบออกไปตามตรงเพราะอีกไม่นานของหมั้นหมายก็จะถูกส่งมาจากนั้นก็คงจะตามมาด้วยสามหนังสือหกพิธีการ“เดิมทีเจ้าหมายใจแม่ทัพจางไม่ใช่หรือ เหตุใดวันนี้ถึงหันเหไปหารองเจ้ากรมพิธีการหยวนเสียแล้วเล่า?”“หม่อมฉันกับรองเจ้ากรมพิธีการหยวนก็เป็นสหายกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ นับว่ารู้จักสนิทสนมกันมาก มันเป็นเพียงแค่ความห่างเหินที่ทำให้ไม่รู้ใจตนเองเท่านั้นเพคะ พอได้อยู่ด้วยกัน ได้กลับมาเรียนรู้กันอีกครั้งจึงต่างรู้ใจตนเองว่าผู้ใดกันแน่ที่หัวใจหมายปอง”นางกล่าวออกไปด
บทที่ 6‘เข้าเฝ้าฉีฮองเฮา’..“เจ้าว่าอย่างไร ความคิดของข้าเป็นเช่นไรบ้าง?” ฉีฮองเฮาถามด้วยรอยยิ้มคล้ายจะเป็นมิตรแต่ประสงค์ร้าย“พระองค์ว่าเช่นไร หม่อมฉันก็ว่าเช่นนั้น ความคิดของพระองค์ย่อมหวังดีต่อหม่อมฉันอยู่แล้วเพคะ” นางพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มที่ฝืนอยู่ไม่ใช่น้อยเลย‘เจ๊ว่าไงหนูก็ว่างั้นแหละ หนูจะพูดอะไรได้ก็เจ๊เป็นฮองเฮาเป็นแม่ของแผ่นดิน!’“ดีมาก เจ้ายังเป็นเด็กดีเสมอ อดีตแม่ทัพและรองแม่ทัพเย่ต้องภูมิใจในตัวเจ้าที่เติบโตมาอย่างแข็งแกร่งและกล้าหาญเผชิญอันตรายเพื่อส่วนรวมเช่นนี้”“เพคะ หม่อมฉันก็หวังใจเช่นนั้น”‘ไม่ได้กล้าหาญจ้า ไม่ได้แข็งแกร่งด้วย ไม่ได้อยากไปด้วย แต่โดนเจ๊บังคับไง เจ๊เป็นฮองเฮาใครจะกล้าปฏิเสธ หัวได้หลุดออกจากบ่า สู้ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่าอาจจะฟลุ๊ครอดกลับมาก็ได้’………..หลังจากที่พบฉีฮองเฮาแล้วเย่ซูชางก็ยังไม่กลับว่าจะแวะไปหาหยวนหวงกุ้ยเฟยเสียหน่อย หวงกุ้ยเฟยผู้นี้เป็นอาหญิงของหยวนฉินเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้มากและพระนางก็มีจิตใจดีไม่ฝักใฝ่อำนาจไม่แทรกแซงฮองเฮาด้วย ยามว่างก็มักจะสวดมนต์ปฏิบัติธรรมเสมอเลยยังอยู่รอดปลอดภัยได้อยู่ ถ้าคิดท้าทายฮองเฮาหน่อยคงสิ้นชีพไปนานแล
บทที่ 20‘ตอนจบของนิยาย’..เย่ซูชางเปิดกล่องเครื่องประดับออกก่อนจะหยิบเอาปิ่นปักผมสีทองอร่ามออกมาทาบลงบนผมเพื่อดูว่าปิ่นอันไหนเหมาะสมกับตนเอง ของเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องประดับที่หยวนฉินซื้อให้นางซะเป็นส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ซื้อเองนักหรอก เวลาเขาเห็นเครื่องประดับสวย ๆ งาม ๆ ก็มักจะซื้อมาฝากนางเสมอ ยิ่งตอนที่แต่งงานกันก็หอบเอาของพวกนี้มาให้เป็นหีบจนตอนนี้มีเยอะเสียจนใช้แทบไม่ทัน“เจ้าว่าอันนี้งามหรือไม่?”“งามมากเจ้าค่ะ เหมาะกับชุดสีแดง” สาวรับใช้กล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันไปหยิบหวีเตรียมจะสางผมให้ผู้เป็นนายแต่ยังไม่ทันจะสาง นายท่านของจวนก็เดินเข้ามาจนทุกคนต้องถอยหลังออกมาแล้วก้มหัวคำนับอย่างนอบน้อม“เอาหวีมา ข้าจะสางผมให้นางเอง”“เจ้าค่ะ” หญิงรับใช้ส่งหวีให้ท่านเจ้าเมืองก่อนจะก้มหัวลาแล้วพากันเดินออกไปเพื่อให้ทั้งสองคนได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่ายามนายท่านและฮูหยินอยู่ด้วยกันห้ามผู้ใดรบกวนทั้งสิ้น ปล่อยให้ทั้งสองอยู่กันตามลำพังถ้ามีอะไรจะเรียกใช้เองไม่ต้องยืนรอหยวนฉินเดินเข้ามาหาเย่ซูชางก่อนจะจับลงบนผมของนางแล้วใช้หวีสางลงบนเส้นผมอย่างอ่อนโยนไม่ให้มันขาดออกมาสักเส้นเดียว เย
บทที่ 20‘ตอนจบของนิยาย’..เย่ซูชางดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้เจ้าแฝดที่ตอนนี้นอนหลับปุ๋ยไปแล้วเพราะวันทั้งวันเอาแต่วิ่งเล่นตกกลางคืนเลยอ่อนเพลียหลับง่ายเป็นธรรมดา นางหันตัวเดินออกมานอกห้องก่อนจะปิดประตูแผ่วเบาเพื่อไม่ให้รบกวนลูกทั้งสองสายตามองไปยังห้องตำราก็เห็นมีแสงสว่างอยู่ แปลว่าหยวนฉินยังไม่กลับเรือนนอนจึงเดินไปหาเผื่อจะช่วยงานเขาได้บ้าง เมื่อเดินเข้ามาก็เห็นว่าสามีกำลังนั่งอ่านหนังสือร้องเรียนอยู่“มันหมดเวลาทำงานแล้ว”นางเดินเข้ามานั่งข้างเขาก่อนจะหยิบเอาหนังสือร้องเรียนขึ้นมาดู วันแต่ละวันมีเรื่องร้องเรียนมากมายแต่ส่วนมากก็เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นคนตีกัน ตกลงกันไม่ลงตัว ไกล่เกลี่ยเล็กน้อยปัญหาก็จบแล้ว“ข้าเป็นเจ้าเมืองไม่มีหมดเวลาทำงานหรอก เป็นเจ้าเมืองทั้งวันทั้งคืน ชาวบ้านเดือดร้อนมีทุกข์ตอนไหนก็พร้อมช่วยเหลือทันที”“แต่เจ้าก็ต้องพักผ่อนบ้าง ถ้าทำงานหนักมากเกินไปมันจะไม่ดีต่อสุขภาพ เกิดเจ้าตายขึ้นมาข้าก็เป็นหม้ายสิ”“ไว้ข้าทำตรงนี้เสร็จก็จะพักแล้ว”“เหลืออีกตั้งมาก”“ครู่เดียวเท่านั้นแหละ”สุดท้ายเย่ซูชางก็ต้องยอมให้ท่านเจ้าเมืองสะสางงานต่อให้เสร็จ แต่มีหรือที่คนซุกซนแบบนางจะยอ
บทที่ 19'พระกระโดดกำแพง'..“หมายความเช่นไรเจ้าคะ?”“เจ้าไม่รู้อะไร การมีฝูอ๋องอยู่ในเมืองหลวงคอยช่วยงานฮ่องเต้ นอกจากจะคอยค้านอำนาจฝ่ายองค์รัชทายาทแล้ว ยังช่วยขับเคลื่อนองค์รัชทายาทให้เอางานเอาการสนใจงานบ้านเมืองด้วย เพราะถ้าไม่สร้างผลงานไม่ทำให้ฮ่องเต้พอใจก็อาจจะถูกแย่งตำแหน่งองค์รัชทายาทไปก็ได้ ฮ่องเต้คิดมาแล้วทั้งหมดว่าต้องทำยังไงถึงจะเคี่ยวเข็ญองค์รัชทายาทได้ วิธีนี้ฝ่าบาทก็ไม่ต้องลงแรงไปเคี่ยวเข็ญออกคำสั่งเอง แค่ใช้สถานการณ์รอบตัวให้เป็นประโยชน์ องค์รัชทายาทอยู่ไม่เป็นสุขหรอก ต้องรีบสร้างผลงานทำความดีเพื่อรักษาตำแหน่งตนเองอยู่แล้ว”“เช่นนี้ก็เหมือนว่าฝ่าบาทใช้ฝูอ๋องเป็นเครื่องมือทางการเมือง”“จะกล่าวเช่นนั้นก็ถูก แต่ที่ฝ่าบาทยังให้ฝูอ๋องอยู่ในเมืองหลวงส่วนหนึ่งก็เพราะเป็นห่วงด้วย เจ้าอย่าลืมว่าวัยเยาว์ฝูอ๋องต้องไปอยู่ที่อื่นกับพระสนมกุ้ยจนสุดท้ายก็ถูกพวกกบฏลอบทำร้ายจนพระสนมกุ้ยตายส่วนฝูอ๋องก็กลายเป็นคนขาเป๋ ฝ่าบาทคงไม่อยากให้มันเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยจึงไม่ยอมให้ฝูอ๋องไปไกลพระเนตรพระกรรณตนเอง”เย่ซูชางยกถ้วยอาหารยื่นให้น้องสาว “เจ้าช่วยข้ายกออกไปตั้งที่โต๊ะในสวนทีจะได้กินข้าวกัน”
บทที่ 19'พระกระโดดกำแพง'..เสียงมีดหั่นลงบนเขียงดังก้องภายในโรงครัวที่มีควันลอยฟุ้งจากเตาถ่านที่ถูกจุดเอาไว้ บนเตามีหม้อที่กำลังตุ๋นเนื้อหมูสามชั้นให้นุ่มจนเข้าเนื้อ เย่ซูชางหันไปหยิบปลิงทะเลและหอยเป่าฮื้อมาหันเป็นชิ้นพอดีคำ“พี่หญิงรองทำสิ่งใดอยู่เจ้าคะ?” เย่ซูเจินเดินเข้ามาภายในครัวเมื่อได้กลิ่นหอมฟุ้งลอยออกมาจนน้ำลายสอท้องร้องขึ้นมา“พระกระโดดกำแพง”“ฮะ?” คนน้องหน้าตาเหวอกับคำตอบของพี่สาว “อะ… อะไรกระโดดกำแพงนะเจ้าคะ?”“อ๋อ พระอะ พระกระโดดกำแพง”“มันคือชื่ออาหารหรือเจ้าคะ แล้วทำไมพระต้องกระโดดกำแพงด้วย?”“เพราะเมื่อต้มเสร็จมันจะหอมมากจนพระต้องกระโดดกำแพงมาร่วมวงกินด้วยไง”“ฮะ?” เย่ซูเจินที่ได้ฟังความหมายของชื่อก็อดไม่ได้ที่จะอึ้ง แต่ก็พยายามคิดให้มันเป็นเรื่องปกติแล้วเดินไปหยิบส่วนผสมที่เป็นคล้าย ๆ ฟองสีทองนวลขึ้นมา“นี่คืออะไรหรือ?”“กระเพาะปลาเชื่อกันว่าจะช่วยให้ผิวพรรณดี ดูอ่อนเยาว์ ทำให้เนื้อเยื่อแข็งแรงและกระชับ ให้พลังงาน เสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย สามารถรักษาอาการตกเลือด อาการซีด และโลหิตจางได้”“แล้วดำ ๆ อันนี้ล่ะ?”“ปลิงทะเล”“ฮะ? ปะ… ปลิงทะเล มันกินได้หรือพี่หญิง?”“กิ
บทที่ 18'ฉีฉีชิงชิง'..“เจ้านี่ยังปากร้ายเสมอต้นเสมอปลาย”หยวนฉินโน้มลงไปจูบริมฝีปากเอิบอิ่มด้วยความมันเขี้ยวจนเย่ซูชางตกใจจะดันเขาออกแต่ก็ถูกมือใหญ่รวบแขนเอาไว้จนไร้ทางขัดขืนได้แต่จ้องหน้าเขาด้วยสีหน้าถมึงทึง“เจ้าทำบ้าอะไร สติเพี้ยนไปแล้วหรือ ถึงกล้าทำเรื่องบัดสีเช่นนี้”“เรื่องบัดสีอะไรกัน ข้าเพียงจูบเจ้าเองก็ช่วยไม่ได้เจ้าน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้ข้าจะอดใจไหวได้ยังไง รู้หรือไม่ว่าข้าต้องใช้ความอดทนอย่างมากขนาดไหนที่จะไม่ปิดที่ว่าการแห่งนี้แล้วอุ้มเจ้ากลับไปฟัดที่จวนให้จมเตียง”“เป็นถึงเจ้าเมือง ช่วยทำตัวให้น่านับถือหน่อยสิ นับวันเจ้ายิ่งหน้าหนาพูดเรื่องในม่านมุ้งได้ไม่อายปาก สงสัยข้าต้องส่งจดหมายไปทูลฟ้องฮ่องเต้แล้วว่าเจ้าคงไม่เหมาะกับตำแหน่งเจ้าเมืองให้ริบคืนเสีย”“ฮูหยินเจ้าเมืองก็ช่างโหดเหี้ยมนัก เจ้าดุจนคนรับใช้ในจวนกลัวกันหัวหด เรียกผู้ใดผู้นั้นก็แทบจะหัวใจหยุดเต้นตาย”“ก็ข้าเป็นฮูหยินแล้ว เป็นนายหญิงของจวน เป็นภรรยาเจ้าเมือง และยังเป็นมารดาของเด็กแฝดด้วย ถ้าจะมามัวทำตัวเล่นเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วถ้าไม่จริงจังไม่หนักแน่นจะคุมผู้อื่นได้อย่างไร ในเมื่อมีหน้าที่ภาระต้องดูแลทั้งภ
บทที่ 18'ฉีฉีชิงชิง'..ห้าปีต่อมาเมืองหนานตูเสียงเด็ก ๆ วิ่งกันเจื้อยแจ้วไปตามถนนของเมืองที่ครึกครื้นไปด้วยผู้คนมากมายที่แวะเวียนมาค้าขายตามประสาของเมืองท่าติดทะเลที่มีเรือขนส่งมากมายมาจอดเทียบท่า ผู้คนล้วนมีความสุขกับการใช้ชีวิตภายใต้เมืองที่เงียบสงบไร้เหตุร้ายเพราะทุกคนล้วนมีงานทำมีเงินใช้จึงไม่มีการปล้นฆ่าแย่งชิงกันในเมืองแห่งนี้หน้าร้านถังหูลู่มีเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังยืนจดจ้องของหวานอยู่ด้วยความอยากกินตามประสาเด็ก มือเล็ก ๆ หยิบเหรียญออกมาก่อนจะยื่นให้พ่อค้า“ท่านลุงข้าขอถังหูลู่สองไม้”“สำหรับคุณหนู ข้าให้สามไม้เลยขอรับ” ลุงใจดีหยิบถังหูลู่ให้เด็กน้อยสามไม้จนมือเล็ก ๆ แทบจะหยิบไม่หมดแต่เด็กน้อยก็ใจสู้พยายามจับมันให้ได้“ขอบคุณท่านลุง ขอให้ท่านค้าขายดิบดี”“ขอบคุณขอรับคุณหนู”“คุณหนูหยวน คุณหนูหยวนเจ้าคะ!”เสียงตะโกนเรียกดังขึ้นจนเด็กสาวตัวน้อยตกใจรีบหันไปมองก็พบบรรดาพี่เลี้ยงที่กำลังวิ่งมาหานาง “ท่านลุงข้าไปก่อนนะ!”ว่าจบเด็กหญิงตัวน้อยก็รีบวิ่งหนีปะปนไปกับฝูงชนทันที มือยังคงถือถังหูลู่ไม่ยอมปล่อย วิ่งดุ๊กดิ๊กหนีเหล่าพี่เลี้ยงจนเป็นที่เอ็นดูของเหล่าชาวบ้าน บางคนก็ช่วยให้ที่หล
บทที่ 17'ค่ำคืนวสันต์'..เสียงดังเซ็งแซ่ลอยมาตามลมให้ได้ยินแว่วหู เย่ซูชางในชุดเจ้าสาวสีแดงที่กำลังนั่งรอเจ้าบ่าวอยู่เงียบ ๆ เพียงลำพังภายในห้องหอที่ประดับประดาไปด้วยสีแดงก็นึกเบื่อเพราะให้นั่งนิ่ง ๆ มันไม่ใช่นิสัยของนางเลย สุดท้ายจึงเลิกผ้าคลุมขึ้นไปไว้ด้านบนแล้วลุกเดินมายังโต๊ะอาหารที่มีขนมวางอยู่มือเล็กหยิบเอาขนมหวานขึ้นมากิน ลักษณะมันเหมือนถั่วตัดเลย รสชาติหวานละมุนเรียกว่าทำให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเลยเมื่อร่างกายได้น้ำตาลบ้าง วันนี้ทั้งวันตั้งแต่เช้ายันค่ำยุ่งแต่กับพิธีแต่งงาน เครื่องหัวก็หนักมากเพราะเป็นมงกุฎหงส์พระราชทานจากฮ่องเต้เลยอลังการงานสร้างเพชรล้านเม็ดสุดอะไรสุด แขกในงานแทบลืมตาไม่ได้เพราะเพชรนิลจินดาบนตัวเจ้าสาวแยงตาแทบทะลุเสียงประตูเปิดออกมันทำให้เย่ซูชางตกใจรีบเคี้ยวกลืนขนมที่อยู่ในปากจนไม่ทันระวังติดคอสำลักจนหน้าดำหน้าแดงลำบากเจ้าบ่าวอย่างหยวนฉินต้องเดินมาทุบหลังนางดังปึกจนขนมกระเด็นหลุดออกมาจากปาก จนนางต้องรีบหันไปเทน้ำชาดื่มเพื่อล้างปากล้างคอมือก็ยกขึ้นปาดคราบน้ำตาตนเอง“ยังไม่ทันจะดื่มเหล้ามงคลเลยเจ้าก็จะตายแล้วหรือ?”“ก็เจ้าเข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง ข้าก็ตกใจ
บทที่ 16'ดวงดาวกับข้าและเจ้า'..“นี่เจ้าจับปลาตั้งแต่ฟ้าสว่างจนฟ้ามืดเลยเหรอ?”“ข้าจับได้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว” หยวนฉินยื่นปลาที่สุกแล้วให้เย่ซูชางนางรับปลาย่างมากัดไปเสียคำโตแต่ลืมไปว่ามันยังร้อนอยู่จนแทบจะคายทิ้ง เป่าลมเข้าปากพัลวันจนหยวนฉินหลุดขำออกมาเสียงดังทำเอานางหน้ามุ่ยใส่“มันร้อนทำไมเจ้าไม่บอกข้า”“เจ้าก็เห็นว่ามันเพิ่งลงจากกองไฟจะไม่ร้อนได้อย่างไร”“ก็เป่าให้ข้าสิ” นางยื่นปลาย่างคืนให้เขาหยวนฉินรับปลามาก่อนจะบิดเนื้อปลาออกมาแกะก้างให้เรียบร้อยแล้วเป่าเพื่อไล่ความร้อนก่อนจะจ่อมันไปยังปากของนาง“ข้าเป่าให้แล้ว กินสิคนงาม”“ร้อนหรือเปล่า?”“ไม่ร้อนแล้ว ถ้าร้อนข้าให้ตบเลย”เย่ซูชางอ้าปากกินเนื้อปลาที่หยวนฉินป้อนแต่โดยดี ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วทำสีหน้าเหมือนร้อนจนต้องเป่าปาก “ยังร้อนอยู่เลย”“ดะ… เดี๋ยวเจ้าจะทำอะไร?” หยวนฉินหน้าเหวอเมื่อเห็นเย่ซูชางง้างฝ่ามือขึ้น“ก็เจ้าบอกว่าถ้าร้อนจะให้ข้าตบไง”“อันนี้เจ้ากลั่นแกล้งข้าแล้ว”“ข้าร้อนจริง ๆ ลิ้นข้าพองหมดแล้ว”“ข้าเป่าขนาดนี้ยังร้อน คงต้องเคี้ยวเข้าไปก่อนแล้วคายให้เจ้ากินแล้วแหละ”“ยี๋!” เย่ซูชางทำหน้าหยีเมื่อนึกภาพตาม“จูบกัน
บทที่ 16'ดวงดาวกับข้าและเจ้า'..“เจ้าพาข้ามาที่นี่ทำไม?” เย่ซูชางขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อหยวนฉินพานางมาที่ทุ่งหญ้าเขียวขจี“พาเจ้ามาดูทะเลดาว”นางหยุดฝีเท้าลงก่อนจะเงยหน้ามองฟ้าที่ยังคงมีแสงอยู่เลย มันจะเอาดาวมาจากไหนวะแดดเปรี้ยงขนาดนี้ นอกจากดาวบนหัวเขาอะหาท่อนไม้สักท่อนฟาดเข้าให้น่าจะได้เห็นดาวจริง ๆ“แดดเปรี้ยงขนาดนี้เจ้าจะเอาดาวมาจากไหน?”“เดี๋ยวมันก็มืดแล้ว”“นี่ข้าต้องรอจนมืดหรือ?”“รอไม่ได้หรือ?” หยวนฉินทิ้งตัวลงนั่งย่อตรงกองไฟที่มีคนเคยมาจุดเอาไว้แล้วหยิบเอากิ่งไม้แห้งใส่เข้าไปแล้วใช้กระบอกจุดไฟจุดกองใบไม้แห้งให้ไฟลุกขึ้น“แทนที่ข้าจะได้กลับไปนอนพัดวีที่เรือนสบาย ๆ ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งรอพระอาทิตย์ตกดินอีกหรือ”“เจ้าจะบ่นให้มันได้อะไรขึ้นมา ยังไม่ทันแก่เลยเจ้าบ่นเก่งนัก ถ้าแก่ตัวไปหูข้าไม่ตึงเพราะโดนเจ้าบ่นทุกวันทุกเวลาเลยหรือไง”“หูเจ้าไม่ตึงหรอก” เย่ซูชางที่หมั่นไส้หยวนฉินก็ยื่นมือไปบิดหูเขาจนอีกฝ่ายร้องเสียงหลง“โอ๊ย ๆ ข้าเจ็บ!”“ข้าจะบิดให้หูเจ้าขาดไปเลย จะได้ไม่ต้องมีหูให้ตึง”“ปะ… ปล่อย ข้ายอมเจ้าแล้ว ยอมเจ้าทุกอย่างเลย” หยวนฉินที่โดนบิดหูซะม้วนก็ร้องโอดครวญออกมาเสียง