Masukมารดาหลอกเด็กน้อยเพื่อไม่ให้พวกเขาแตกกลุ่ม เด็ก ๆ กอดกันตัวกลมในอ้อมแขนผู้เฒ่าชรา ในกระท่อมมืดแคบท่ามกลางกองฝุ่นควันอันที่จริงมนุษย์น่ากลัวกว่าปีศาจเสียอีก...เมื่อค่ำวานนี้สมรภูมิเลือดในหนานไห่ หัวหน้ากลุ่มโจรหัวรุนแรงอาวุธครบมือถูกจับกุมแล้วส่งตัวถวายต่อองค์ฮ่องเต้เพื่อรับโทษทัณฑ์ หลังจากที่แม่ทัพเจี้ยนหยู่เข้าช่วยเหลือชาวหนานไห่อย่างทันท่วงที แต่เขายังคงมีคำถามในใจ...ไยผู้เฒ่าชราแต่งนิทานหลอกเด็กน้อย ใครเป็นผู้กุเรื่องภูตผีปีศาจเป็นคนแรกน่าขันสิ้นดี! เวลาปีศาจสูบวิญญาณจากเหยื่อน่ะ เหลือเพียงหนังติดกระดูก เบ้าตากลวงโบ๋ ไม่เสียเวลาฉีกแขนขาเพื่อความบันเทิงหรอกพลทหารใต้บังคับบัญชาไม่มีผู้ใดกล้ามองครึ่งอสรพิษสูบวิญญาณจากเหยื่อ แม้แต่ทหารคนสนิทของท่านแม่ทัพตงฟาง ทหารหนุ่มอายุสามสิบห้าปี มู่หยางอายุสี่สิบกว่าปี ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันมานับครั้งไม่ถ้วน พวกเขาไม่เคยเชื่อเรื่องปีศาจอสรพิษที่ฮ่องเต้องค์ก่อนกักขังเอาไว้ทำศึก กระทั่งได้พบด้วยสองตาตนในวันผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน‘...มายืนจ้องข้ากินอาหาร จะกินอิ่มท้องหรือไม่?’เจี้ยนหยู่เคยเอ่ยไล่ทหารผู้อยากรู้อยากเห็นไปทุกเรื่อง จากนั้นทั้
ณ เมืองหนานไห่ เสียงดินปืนดังสนั่นสร้างความโกลาหล ประชาชนแตกตื่นวิ่งไปคนละทิศทาง เมื่อชนเผ่าเร่ร่อนบุกปล้นสังหารกลางตลาดร้านค้าอย่างไร้ความกลัวเกรง โจรชั่วครอบครองอาวุธและกระทำการอุกอาจกลางวันแสก ๆ แม้รู้ดีกว่าเมืองหนานไห่เป็นหนึ่งในเขตการปกครองของต้าเหลียงหญิงสาวถูกลากพาตัวไปด้วยเงื้อมมืออมนุษย์ กระชากดึงผ้าโพกศีรษะมามัดมืออุดปากพวกนาง ใช้กำลังเข้าข่มเหงจนไร้หนทางสู้ในกระท่อมคับแคบอัตคัดทางการหนานไห่และต้าเหลียงสืบทราบมาว่าไม่ใช่ชนเผ่าเร่ร่อนทั่วไป เป็นกลุ่มนักโทษฉกรรจ์อาวุธครบมือทั้งปืนใหญ่และระเบิด มีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามกลางเมืองที่เพิ่งสิ้นสุดไปไม่นานจากแคว้นสวี ชายฉกรรจ์นับร้อยไปเข้าพรรคพวกกับกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าเจิ้นจู้[1]โจรชั่วช้าสามานย์เจ็ดคนส่งเสียงหัวเราะ พวกมันใช้มือสกปรกกดศีรษะบุรุษร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีครามให้คุกเข่าลงเจ้าเมืองถูกจับเป็นตัวประกัน ‘รุ่ยยี่เหยา’ ถูกปลายกระบี่พาดคอรอให้ยอมจำนน ทว่าเขากลับเสียงหัวเราะ เหลือกตามองผู้บุกรุกอย่างเคียดแค้น “มีโอกาสให้หนี ก็รีบไป พวกเจ้าเอาชีวิตมาทิ้งเปล่า ๆ”“โอ้... ใครช่างแต่งนิทานหลอกเด็ก ในกลุ่มของพวกข้า ปล้นฆ่ามานับ
เดินเลาะเรือนทิศอุดรถัดจากโรงปรุงยาไปก็ถึงเรือนหลังใหญ่ร่มรื่น รายล้อมด้วยต้นไม้สูงตระหง่าน แม้เล็กกว่าเรือนท่านหมอหลวง ทว่าแบ่งแยกเป็นสัดส่วนเหม่ยฉีเดินตามเสียงชื่นชม ‘น่ารักน่าชัง’ เข้าไปถึงด้านในเรือนไม้กว้างขวาง ครอบครัวใหญ่อาศัยร่วมกัน ช่วยเหลือจุนเจือกัน เสียงทารกหัวเราะให้ความรู้สึกกระชุ่มกระชวย นางเข้าไปในห้องนอนซึ่งกลายเป็นสถานที่คลอดบุตร“น่ารักจริง ๆ ขอให้เจ้าเป็นเด็กเลี้ยงง่าย อวี้ซือ อวี้ซิน” นางเอ่ยชมทารกอวบอ้วน ผิวขาวผุดผ่องดั่งหยก หยอกล้อทารกน้อยฝาแฝด ใช้ปลายนิ้วจิ้มแก้มป่อง ๆ ของทั้งสองเล่นทีละคนสายตาเอ็นดูนับสิบคู่จ้องมองเด็กน้อย หันไปถามเยว่ฉีเมื่อไรจะมีบุตรให้บิดาอุ้ม นางตอบพวกเขา “ว่าแต่ข้าเมื่อไรจะมีบุตร ข้ายังไม่มีสามีเลยเจ้าค่ะ”ตามด้วยเสียงหัวเราะขบขันของครอบครัว พวกเขาพูดกับนางอย่างจริงจัง ไยไม่แต่งงานกับท่านผู้ตรวจการไปเสีย บุตรของนางและเขาจะต้องหน้าตาดีเหมือนบิดามารดาแน่นอน นางรีบบ่ายเบี่ยงประเด็นไป ส่งตะกร้ายาบำรุงผ่านมือบ่าวรับใช้“เยว่ฉี ข้าสามารถแนะนำผู้ดีให้เจ้า ลองออกไปเปิดหูเปิดตาในเมืองบ้าง เทพผู้เฒ่าจันทรามิอาจผูกด้ายแดงให้เจ้าได้ สามีเจ้าคงจะอยู
บิดาเรียกบุตรสาวเหม่ยฉี หากมีใครถามขึ้นมา เขาเพียงแก้ตัวว่าเป็นนามใหม่ ขนาดผู้คนในเมืองยังตั้งสมญานามผู้อื่นได้ พวกเขาเรียกสกุลหยางว่า ‘หยางเย่าฟาง’ [杨药坊][1] ยกให้เป็นห้องยาแห่งต้าเหลียง บิดาจะเปลี่ยนชื่อให้บุตรสาวบ้างจะเป็นไรไป อย่างไรเสียนางก็เป็นบุตรีของเขาอยู่วันยังค่ำท่านหมอไท่ซือจิ่วย้อนถามคนรอบกายว่า เหม่ยฉี เยว่ฉี มีความหมายถึงคำว่างาม ลูกสาวของเขาก็งามดุจนางฟ้านางสวรรค์จริงไหมเล่า?“ข้ามีเรื่องจะถามท่านพ่อ...” ร่างบางในชุดขาวนั่งอยู่ข้างบิดาหน้าเตาปรุงยา นางเอาถั่วมานั่งกินหนึ่งหยิบมือ “เรื่องตำราผสานจิตใจ ท่านพอจะรู้หรือไม่? ข้าจำไม่ได้ชัดเจนนัก”“ไม่รู้”บิดาไม่บอกนางต่างหาก! เหม่ยฉีมองค้อนเสื้อขาวสะอาดผ่านแผ่นหลังกว้างไป บิดาลุกขึ้นหนีนางไปหยิบสมุนไพรตากแดดด้านหลังมาหย่อนใส่หม้อต้ม มือพัดควันพวยพุ่งขึ้นฟ้าเปิดโล่ง“เจ้าจะจับผิดอะไรข้าอีก เหม่ยฉี ข้าบอกไม่รู้ก็คือไม่รู้” เขาเอ่ยพลางชำเลืองมองบุตรสาว นางเปิดประตูเข้า ๆ ออก ๆ ชะโงกหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาเคร่งเครียด บิดาทำเมินเฉยกับบุตรสาวราวกับว่านางไม่มีตัวตน‘คอยดูเถิด ข้าต้องรู้ความจริงให้ได้!’ นางหรี่ตาเล็กจนเป็นเส้นตรง เด
สตรีผู้เดียวในต้าเหลียง สำคัญที่สุดสำหรับแม่ทัพเจี้ยนหยู่คือคุณหนูเยว่ นางเป็นจุดอ่อนของเขา การมีอยู่ของเขาในฐานะแม่ทัพก็เพื่อปกป้องนาง แต่ดูเข้าสิ... ท่านแม่ทัพจะมาจะไป นางเคยสนใจเสียที่ไหน“ตอนเล็ก ๆ ข้าเคยพูดว่าจะตามติดเขาไปทุกที่เป็นวิญญาณร้าย ถ้าหากว่าเขาหนีข้าไป ดังนั้นข้าย่อมสำคัญที่สุด แม่ทัพเจี้ยนหยู่เป็นคนของข้า ข้าก็เป็นคนของเขาน่ะสิ” คุณหนูเอ่ยเรื่องในวันวานอย่างที่นางไม่เคยเปิดเผยกับใคร นางหัวเราะเสียงดังไปถึงข้างนอก บ่าวในเรือนสะดุ้ง เว้นเพียงซูหนี่ว์ซึ่งได้รับความเอ็นดู เพราะนางประจบประแจงเก่ง“ขอบใจเจ้าที่กล้าพูดออกมา ซูหนี่ว์ เด็กดี ข้าจะไม่ทำโทษเจ้า ข้าไว้ใจเจ้าที่สุดรู้ไหม? พวกเจ้าก็เอาอย่างซูหนี่ว์ อย่าขัดใจข้านะซิงอี ซีซวน”“เจ้าค่ะ!” สาวน้อยทั้งสองตอบอย่างพร้อมเพรียง ซูหนี่ว์ขยับมาใกล้ ๆ คุณหนู“คุณหนูรองไว้ใจข้าแล้วต้องกินข้าวกินยาด้วยนะเจ้าคะ พวกข้าไม่อยากโดนท่านแม่ทัพดุ”“กินสิ...”อย่างไรนางก็ต้องกิน เพราะถ้านางไม่กินข้าวครบมื้อ ทั้งซูหนี่ว์และบ่าวรับใช้บ้านนี้คงถูกแม่ทัพคนดีตามมาเอาเรื่อง หลังจากที่เขาเสร็จธุระแน่นับตั้งแต่วันที่ออกจากบ้านเด็กกำพร้า นางก็ปา
กว่าเยว่ฉีจะรู้ตัวว่าหลงกลพวกงูลิ้นสองแฉกเข้าแล้ว คมกระบี่เย็บวาบพาดลงบนลำคอ บุรุษร่างกำยำที่นั่งอยู่ใต้แสงเทียนสลัวตะคอกนาง ‘ยาอะไร!?’การสังหารเด็กไม่ใช่เรื่องยากสำหรับแม่ทัพปีศาจ หากไม่ติดว่าเขาดันนึกขึ้นได้ นางเป็นคนคนเดียวกับที่เคยพบในหอไท่หยาง เขาพอรู้ว่าเมื่อไรที่บิดาเลี้ยงเดี่ยวเข้ามาทำธุระในวังหลวง เด็กสาวตัวน้อยจะมุดช่องส่งอาหารเข้ามา นำขนมและยาสมุนไพรมาให้เขา นางเป็นบุตรีแพทย์หลวงผู้หนึ่งมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ เหตุใดแม่ทัพเจี้ยนหยู่ยอมให้เยว่ฉีจดบันทึกอาการโดยละเอียด แถมยอมดื่มยาต้มสมุนไพรผสมฝิ่น เป็นผู้ป่วยในความดูแลของนางอย่างว่าง่าย ฮ่องเต้อำมหิตก็เช่นกัน พอรู้ว่าคุณหนูเยว่ฉี บุตรีหมอหลวงกระทำผิดมหันต์ กลับถามความสมัครใจของนางว่าจะรับหน้าที่นี้หรือไม่อาการผู้ป่วยเสพติดฝิ่นมักง่วงซึม สุขภาพร่างกายทรุดโทรม ตัวซีดเหลือง ซูบผอม ดวงตาเหม่อลอย แต่เมื่อครึ่งปีศาจเสพติดสมุนไพรให้โทษเหล่านี้ กลับกลายเป็นกระปรี้กระเปร่า มีบ้างที่เขาจะปิดตานอนเกียจคร้าน ปวดหัวปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน ปากซีดมือสั่น เขาอารมณ์แปรปรวนอย่างมนุษย์ กินอาหารมากขึ้น ช่วงนี้เขาก็มีอาการเช่นนั้น‘ระหว่างที่ข้





![เฟิ่งหวง [鳳凰]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)

