เอี๊ยดดดดดด!!
เสียงล้อเสียดสีกับพื้นถนนดังเข้ามาถึงในตัวรถ คนในรถตัวโยกโยนไปตามแรงเบรกอย่างกะทันหันนั้น คิ้วเข้มเรียวสวยได้รูปขมวดแน่นพร้อมกับชะเง้อคอมองด้านหน้าด้วยความสงสัย
“ไอหยา!”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ขอโทษครับท่าน...อยู่ๆแมวก็ตัดหน้ารถ”
“หืม? แมว?”
“ครับ...แมวดำ นั่นไงครับมันนอนอยู่หน้ารถเรา” เพิ่มพูนพูดพลางชีนิ้วไปยังหน้ารถที่ไฟรถส่องอยู่ ดีนชะเง้อคอมองก็เห็นแมวสีดำสนิทนอนแน่นิ่งอยู่หน้ารถจริงอย่างที่เพิ่มพูนว่า ก่อนที่เพิ่มพูนจะเปิดประตูแล้วรีบลงจากรถไปเพื่อดูแมวตัวนั้น...และแน่นอนว่าดีนเองก็ลงจากรถเช่นกันด้วยสีหน้าหงุดหงิด
สองขายาวก้าวไปใกล้แมวตัวนั้นเพียงสองสามเก้า หลุบสายตาคมมองเจ้าแมวสกปรกมอมแมมและเปียกชุ่มไปด้วยเลือดเต็มตัว แม้ว่าตัวมันจะเป็นสีดำแต่รอยเปียกนั้นเลอะพื้นถนนพอให้รู้ว่ามันคือเลือดจากตัวเจ้าแมวน้อยที่นอนแน่นิ่งอยู่
เพิ่มพูนก้มลงมองเจ้าแมวที่ยังคงหายอยู่อย่างอิดโรยนั้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะหันไปหาเจ้าของตนแล้วเอ่ยขึ้น
“ยังไม่ตายครับท่าน”
“.......”
“ขืนปล่อยมันไว้แบบนี้มันตายแน่ๆครับ” เพิ่มพูนเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสาร ดีนยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงหลุบสายตาคมมองเจ้ามองนั้นด้วยแววตาเรียบนิ่ง
“ก็แค่แมวขี้เรื้อนตัวเดียว...”
“ขนสวยขนาดนี้ผมว่ามันไม่ได้ขี้เรื้อนนะครับ มันแค่บาดเจ็บ”
“ผมไม่สนใจหรอก” ดีนพูดพลางหันหลังเดินกลับไปยังรถที่ตนพึ่งจะลงมา ภายในใจลึกๆแอบรู้สึกผิดไม่น้อยหากทิ้งมันเอาไว้ อย่างไรก็เป็นรถเขาที่มันกระโดดเข้ามาตัดหน้าเหมือนกับว่ามันจงใจอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านประธาน....”
“...เก็บมันไปสิ รักษาหายแล้วค่อยเอามันไปปล่อย”
...ไอ้มนุษย์โสโครกนี่!! ปล่อยข้านะ!!... เสียงที่เอื้อนเอ่ยของเธอในตอนนี้กลายเป็นเพียงเสียงร้องเหมียวๆ สายตาดุดันน่าเกรงขามกลับกลายเป็นสายตาออดอ้อนซึ่งชายหนุ่มมองว่าแมวตัวน้อยนี้คงกำลังดีใจที่เขาจะเก็บมันกลับไปเลี้ยง
“รู้ว่าดีใจ ช่วยเลิกร้องได้ไหม ปกติฉันไม่เลี้ยงสัตว์ แต่เห็นว่าแกน่าเวทนาหรอกนะ”
...ใครอยากให้มาเวทนากันยะ!!....เฮ้ย!!... ไม่ทันที่จะได้ร้องเหมียวเถียงชายหนุ่มต่อ ผู้ติดตามอย่างเพิ่มพูนก็จัดการจับเธอเข้าไปวางที่ข้างคนขับทันที
ชายหนุ่มรีบกลับเข้าคฤหาสน์หลังใหญ่เมื่อมาถึงก่อนผู้ติดตามจะนำลูกแมวตัวสีดำสนิทนั้นไปวางไปบนโซฟา ตอนนี้เจ้าลูกแมวกลับมันคอพับไปแล้ว เมื่อเห็นอย่างนั้นเขาก็ตกใจสุดขีด ก่อนจะพยายามใช้ปลายนิ้วคลำหาหัวใจของเจ้าแมวน้อยโดยที่ลืมไปว่าเขานั้นแพ้ขนสัตว์
....นี่แกจับตรงไหนกับฮะ?!!.... นิลมณีถึงกับสะดุ้งก่อนจะร้องเหมียวออกมา ชายหนุ่มเห็นว่ามันร้องเหมือนปกติก็ยิ้มออกมาอย่างโล่งใจไม่ต่างจากผู้ติดตามของเขา นิลมณีมองใบหน้าชายหนุ่มตรงหน้านิ่งไปครู่หนึ่ง พึ่งเห็นชัดๆก็ตอนนี้ว่าเขาหล่อเหลาไม่หยอก เธอเบือนหน้าหนีเล็กน้อยก่อนจะมองไปรอบๆห้องอย่างสงสัย ดูจากบ้านหลังใหญ่ที่เรียกได้ว่าคฤหาสน์คงจะแพงน่าดู นั่นแสดงว่าเขาคงไม่ใช่เพียงพนักงานบริษัทธรรดาๆแน่ๆ
“หิวไหมเจ้าแมวขี้เรื้อน ฉันให้เพิ่มพูนแวะซื้ออาหารเปียกมาให้แกด้วยนะ” เขาพูดขึ้นพลางเอื้อมมือไปอุ้มเจ้าแมวน้อยจากอ้อมแขนของผู้ติดตามอย่างเพิ่มพูน
“เอ่อ...คุณดีนครับ คุณแพ้...” เพิ่มพูนพยายามที่จะร้องห้ามเพราะเจ้านายของตนแพ้ขนสัตว์แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
ว่าแล้วเขาก็วางเจ้าแมวตัวน้อยลง ก่อนจะหันไปค้นถุงสีขาวขุ่นใบหนึ่งแล้วหยิบอาหารเปียกที่เขาพึ่งแวะซื้อมาจากมินิมาร์ทใกล้ๆบ้าน นิลมณีมองชายหนุ่มที่กำลังเทอาหารเปียกให้เธอด้วยใบหน้าที่ดูขยะแขยงอาหารเปียกนั้น ก่อนที่เขาจะยกจานอาหารเปียกมาให้เธอแต่ทว่าเธอกลับเบือนหน้าหนีแล้วพยายามเดินไปทางอื่นแต่ทว่า...
ตุ้บ! เหมี๊ยวววว!!
“เจ้าแมวโง่ เดินยังไงให้ตกโซฟาวะ” นิลมณีร้องเสียงหลง ร่างกายบอบช้ำอยู่แล้วแต่เพราะเชิดหน้าหลับตาเดินหนีอาหารที่เขาให้จนไม่ทันสังเกตว่าตัวเองอยู่ขอบโซฟา ก้าวพลาดร่วงลงกระทบพื้นเข้าอย่างจังโดยไม่ทันได้ตั้งท่า ไม่หนำซ้ำยังโดยมนุษย์ผู้ชายมองว่าโง่เสียอีก
....หายดีเมื่อไหร่ แม่จะตะปบให้แขนลายเลย... ได้แต่คิดอยู่ในใจพร้อมจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่มที่อุ้มเธอขึ้นมาอย่างเอาเรื่อง แต่ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนชายหนุ่มจะมองสายตาของเธอไม่ออก เพราะมันดูน่ารักไปเสียหมดเมื่ออยู่ในร่างนี้
“จะตั้งชื่อแกว่าอะไรดี แมวดำตาสีฟ้า...อืมมมม...” ชายหนุ่มอุ้มเจ้าเหมียวเข้าไปใกล้จ้องมองสำรวจเจ้าแมวเหมียวแล้วทำหน้าท่าทางครุ่นคิดอยู่พักใหญ่
...ข้าชื่อนิลมณี...
“อืมมมม....”
...เจ้ามนุษย์โง่ ข้าบอกว่าข้าชื่อนิลมณี!!...
“รู้แล้วๆ เลิกร้องได้แล้วเจ้าดำ”
...ดำบ้านแป๊ะแกดิไอ้มนุษย์หน้าอาหารเปียก!...
“แกร้องแบบนี้แสดงว่าไม่ชอบ...ตัวผู้หรือตัวเมียวะเนี่ย” ชายหนุ่มคิดชื่อไม่ออกจึงคิดว่าต้องรู้ก่อนว่าแมวตัวนี้ตัวผู้หรือตัวเมียถึงจะคิดชื่อได้ ว่าแล้วก็พลิกเจ้าเหมียวหงายท้องพยายามจ้องมองระหว่างขาเล็กๆของเจ้าแมว แต่เจ้าแมวเหมียวกลับเอาหางปิดเสียอย่างนั้น
...อะ...ไอ้บ้า! คนบ้าอะไรมาดูจิมิคนอื่น!... นิลมณีร้องท้วงขึ้นมาในใจ ทั้งโกรธทั้งเขินจนแทบอยากจะฉีกร่างชายตรงหน้าทิ้งไปเสีย ที่บังอาจมาหยามศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิงอย่างเธอ ถึงเธอจะเป็นปีศาจแต่เธอก็ไม่เคยมีชายใดมาแตะต้อง...
“เอาหางออกสิ ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้ยังไง”
...ไม่เฟ้ย! อ๊าย! อย่านะ!! อ๊ะ!!.... ร้องเหมียวห้ามพลางดิ้นไปมาแต่ก็ไม่พ้นมือใหญ่ของชายหนุ่มตรงหน้า ปลายนิ้วเรียวเขี่ยหางของเธอออกก่อนจะตรวจดูว่าแมวตัวนี้เป็นตัวผู้หรือตัวเมีย
“ตัวเมีย...งั้นชื่อสีนิล” พูดด้วยใบหน้าเรียบนิ่งด้วยชื่อที่คิดขึ้นมาง่ายๆ ส่วนนิลมณีนั้นรู้สึกโกรธจนตัวสั่นแถมยังเขินจนแทบจะมุดหน้าหนี ราชาปีศาจอย่างเธอต้องมาเจอชายชาวมนุษย์ทำแบบนี้รู้ถึงไหนอายถึงนั่น
“สีนิลคือชื่อเธอ ส่วนฉันชื่อดีน ต่อไปฉันจะเป็นคนเลี้ยงเธอเอง” เมื่อรู้ว่าเจ้าแมวเหมียวเป็นตัวเมียก็เปลี่ยนสรรพนามเรียกเธอเหมือนผู้หญิงคนหนึ่ง สำหรับดีนนั้นคิดว่าอย่างน้อยก็มีเพื่อนไว้แก้เหงาและคอยอยู่ด้วย เพิ่มพูนที่ยืนเงียบอยู่นานได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับถอนหายใจ เพราะดูท่าทางเจ้านายของตนจะไม่แพ้ขนแมวตัวนี้จึงโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับคุณดีน” เพิ่มพูนเอ่ยขึ้น ดีนจึงหันไปพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจนักราวกับว่าตอนนี้เขาได้ของเล่นชิ้นใหม่ เป็นแมวตัวน้อยที่เขาคิดอยากจะเลี้ยงมาตลอดเพียงแต่ว่าเขากลับเป็นโรคแพ้ขนสัตว์ แต่พอเป็นแมวตัวนี้เขากลับไม่มีอาการใดเลยจึงค่อนข้างเห่อไม่น้อย เพิ่มพูนเมื่อได้รับอนุญาตก็ยอมเดินออกไปแต่โดยดี ทิ้งให้ดีนอยู่กับเจ้าแมวน้อยตามลำพัง
ด้วยความที่ตัวเขาเองค่อนข้างเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดคุยกับใครในที่ทำงาน เวลาพูดออกไปคนส่วนใหญ่จะรับไม่ได้เพราะพูดขวานผ่าซากจึงไม่ค่อยมีใครอยากจะคุยกันเสียเท่าไหร่ ถึงเขาจะเป็นถึงประธานแต่ลูกน้องก็ไม่ได้เข้าหามากมายนอกเสียจากว่าเป็นผู้หญิง ที่ตั้งใจจะเข้าหาเขาเพราะต้องการอย่างอื่น
...ก็ไม่โง่เท่าไหร่นี่นา...สีนิล...ฮึ...ถึงจะดูเชยสะบัดก็เถอะ... เธอคิดอย่างหงุดหงิดใจ แต่ก็ยังดีที่ชื่อที่เขาตั้งนั้นมันคล้ายชื่อเธออยู่บ้าง เพราะอย่างไรเขาคงจะเรียกแค่นิลสั้นๆพยางค์เดียวแน่ และอีกอย่างที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้เธอคิดว่าตัวเองต้องรักษาตัวให้หายดีก่อน การที่ถูกรับมาเลี้ยงก็คงจะดีกว่าอยู่ข้างถนน
“เธอไม่กินอาหารเปียก แล้วเธอจะกินอะไรละเนี่ย...หรือเพราะป่วยงั้นเหรอ พรุ่งนี้ฉันค่อยพาเธอไปหาหมอล่ะกัน ยังไงคืนนี้เธอต้องไปนอนกับฉันในห้อง เผื่อตอนดึกเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะได้ดูแลทัน”
ดีนพูดขึ้นพร้อมกับอุ้มร่างแมวของเธอไปยังห้องนอนของเขา ดีนหยุดตรงข้างเตียงก่อนจะยกแมวที่อุ้มขึ้นมามองด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง นิลมณีคาดเดาความคิดของเขาไม่ออกเลยแม้แต่น้อย เห็นเพียงแค่เขามองที่เตียงและตัวเธอสลับกันไปมา
“สงสัย...เธอต้องอาบน้ำก่อนถึงจะนอนเตียงเดียวกับฉันได้” ว่าแล้วก็คว้าผ้าขนหนูในตู้ออกมาสองผืนเอามาพาดบ่าทั้งที่มือหนึ่งอุ้มแมวสีดำตัวเดิมนั่นคือนิลมณีไว้ แล้วพาเข้าห้องน้ำไป นิลมณีเห็นอย่างนั้นก็ร้องเสียงแมวออกมาลั่นห้อง พยายามดีดดิ้นให้หลุดแต่ก็ไม่ทันแล้ว เพราะดีนปิดประตูล็อคกลอนห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว
ทุกวันที่อยู่โรงพยาบาลมักจะมีดีนคอยเฝ้าและคอยกวนเธอตลอด ไม่ทำให้เธอรู้สึกเบื่อเลย...อีกทั้งภายในใจกลับรู้สึกถึงแรงบางอย่างเสมอเมื่อเขาเข้าใกล้...ก้อนเนื้อในอกมันมักจะเต้นระบำอย่างควบคุมไม่ได้ และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ในสายตาของเธอมองเขาเปลี่ยนไป...อาจจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ทางกายที่เคยเกิดขึ้นถึงทำให้เธอรู้สึกแบบนี้...แต่มันก็แค่คืนเดียว... “แต่งตัวเรียบร้อยแล้วเหรอ?” ดีนเดินเข้าห้องมาพร้อมกับผู้ติดตามคนสนิทหลังจากที่ออกไปเตรียมรถ เพราะวันนี้เป็นวันที่เธอได้ออกจากโรงพยาบาลนั่นเอง “อือ” เธอตอบสั้นๆ พลางเบือนหน้าหนี แค่เห็นหน้าเขากลับรู้สึกแปลกๆจนไม่กล้ามองหน้าเสียอย่างนั้น “เรา...กลับบ้านกันเถอะ” พูดพลางยื่นมือไปทางเธอด้วยรอยยิ้ม นิลมณีมองค้างไปด้วยใจที่เต้นรัวก่อนท
“เพราะมีราชากระจอกแบบนี้...เจ้าจึงต้องเสียดินแดนเขตนี้ให้ข้า ผู้ยิ่งใหญ่...ทุกเขตแดนล้วนแต่มีข้าปกครอง อย่าดื้อดึงไปหน่อยเลย” เสียงพูดพร้อมยิ้มเยาะหลุบสายตามองมาที่เธอ ...เอ๊ะ.... “จงดับสิ้นไปเสียเถอะ!!” “อ๊ากกกกกกก!!” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยความเจ็บปวด เลือดหยดลงพื้นต่อหน้าต่อตา ภาพที่เห็นเพียงหลังข้อเท้าของผู้ที่เอาตัวมาปกป้อง พยายามเอียงหน้าขึ้นมองด้วยความยากลำบาก...เห็นกรงเล็บที่งอกยาวทะลุร่างของสหาย สมิงพรายเหลียวมองเธอด้วยสีหน้าเจ็บปวด “ไปซะท่านราชินี!!” .
ไม่ถามเปล่าดีนยังขยับก้าวเข้าไปใกล้ๆ นิลมณีเองก็ถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่างไม่ให้เขาเข้าใกล้เกินไป จะให้เธอบอกได้ยังไงว่าเรื่องที่เธอมาคุยนั้นเป็นเรื่องของเขาและตัวตนที่อยู่ในตัวเขา“ก็...ไม่เชิง มันก็ไม่ใช่เรื่องคุณทั้งหมดซะหน่อย” นิลมณีพยายามที่จะเชิดหน้าตอบแต่สายตาของเธอกลับหลบเลี่ยงไปทางอื่นเสียอย่างนั้น ดีนชะงักฝีเท้าที่ย่างก้าวเข้าไปใกล้พร้อมกับยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจที่ได้ยินคำตอบนั้นออกจากปากของเธอ อย่างน้อยก็เป็นเรื่องของเขาส่วนหนึ่ง“มีอะไรทำไมไม่ถามผมเองตรงๆล่ะครับ จะไปถามคนอื่นทำไม?”“พูดเหมือนถามแล้วคุณจะรู้ตัวอย่างนั้นแหละ” นิลมณีพูดพร้อมกับทำหน้ามุ่ย ปรายสายตามองเขาด้วยความรู้สึกเซ็งๆ ดีนเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งมองเธอ“คนอื่นรู้ดีกว่าตัวผมงั้นสิ?”“เอาเป็นว่า...ช่างมันเถอะค่ะ จะกลับได้หรือยังยุงกัดจนพรุนหมดแล้วเนี่ย” นิลมณีเอ่ยตัดบทเพราะถึงจะเถียงเขาไปยังไงก็ไม่ได้เรื่องอยู่ดี ดีนที่เห็นนิลมณีงอแงใส่เขาแบบนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาส่ายหน้าไปมาเพราะรู้ดีว่าเธอต้องการที่เลี่ยงคำถาม
นิลมณีและดีนเดินทางมายังร้านอาหารของอัคคี ที่ที่เขาเคยแกล้งเธอจนเธอได้สนิทกับอัคคี ดีนก็ไม่คิดว่าทั้งสองคนจะสนิทสนมกันมากขนาดนั้น จนเขาต้องตามมาเพราะเขาไม่ชอบที่นิลมณีเลขาสาวสนิทสนมกับเพื่อนสนิทของตนขนาดนั้น ถึงดีนจะไม่รู้ว่าเธอมาทำไมก็ตาม ธุระของเธอที่ว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ ดีนได้แต่นั่งมองนิลมณีและอัคคีพูดคุยกันที่โต๊ะไกลๆ เพราะเขาดันลั่นปากไปว่าจะมาทานอาหารมือค่ำ จะให้เสนอหน้าเข้าไปแทรกทั้งสองก็คงจะดูเสียฟอร์มไปหน่อยจึงทำได้แค่เพียงแอบมองอยู่เงียบๆ “โฮ่...มาหาถึงที่ร้านแบบนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ...แถมยังพาดีนมาด้วย” อัคคีพูดพลางเอี้ยวตัวเอียงหน้ามองดีนที่จ้องมองเขาและนิลมณีตาเขม็ง แอบรู้สึกสนุกในใจกับท่าทีของดีนที่ดูจะหวงเลขาสาวจนออกนอกหน้า นิลมณีหันหลังกลับไปมองตามสายตาของอัคคีก่อนจะหันกลับแล้วเอ่ยขึ้น
ในช่วงยุคหนึ่งที่พญาสิงห์ได้ขึ้นตำแหน่งราชาแห่งโลกปีศาจในเขตนี้ ด้วยความที่ยังหนุ่มและเต็มไปด้วยความสามารถบวกกับพลังที่มีมหาศาลเหตุเพราะตระกูลพวกสิงหราชทั้งหลายล้วนมีพลังที่เอ่อล้นเหมาะกับการเป็นราชามารุ่นสู่รุ่น มีเพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้นที่พาตระกูลตกต่ำลงเสียตำแหน่งให้ปีศาจตนอื่นไป... จนกระทั่งวันหนึ่งที่เขาต้องไปไล่ล่าเหล่าปีศาจนอกรีตที่เข้ามาปั่นป่วนจับปีศาจแถบชายป่ากลืนกินดวงจิตเพื่อที่ตนเองจะได้แข็งแกร่ง ก็ดันไปเจอกับเจ้าปีศาจแมวน้อยสีดำสนิท บ่งบอกถึงว่าเจ้าแมวตนนี้ต้องคำสาปมาอย่างแน่นอน...และเป็นเขาที่เก็บเจ้าแมวตัวนั้นเข้ามาในเมือง... แต่ด้วยความที่มีตำแหน่งราชาค้ำคอ หากรับปีศาจตนอื่นเข้ามาเลี้ยงดู เจ้าแมวน้อยตนนี้คงไม่พ้นตกเป็นเป้าสายตาของเหล่าบรรดาปีศาจที่ตั้งใจต่อสู้เพื่อตำแหน่งราชานี้ เขาจึงทำได้เพียงปล่อยมันอยู่ในเมืองตามยถากรรม..ได้แต่เพียงเฝ้าดูมันเติบโตอยู่ห่างๆ ช่วยเหลืออยู่ห่าง...
“เจ้าไม่รู้กิตติศักดิ์ของข้ารึ? นางจิ้งจอก” พูดพลางบีบลำคอของฮู่ลี่แน่นขึ้นจนนางจิ้งจอกตรงหน้าเจ็บปวดเพราะโดนแผดเผา ลำคอไหม้ขึ้นเป็นสายเปื้อนรอยดำ ก่อนที่สายตาเหลือบปรายไปมองนิลมณีที่ทรุดตัวลงกับพื้น เธอปรือตามองภาพตรงหน้าแล้วล้มลงไป นั่นทำให้ดีนที่มีจิตวิญญาณของปีศาจพญาสิงห์ถึงกับละมือจากนางจิ้งจอกตรงหน้า รีบรุดเข้าไปหานิลมณีที่ตอนนี้สลบไปแล้ว ฮู่ลี่ที่ล้มลงกับพื้นเอามือจับที่ลำคอของตนด้วยความเจ็บปวด ได้ทีก็รีบลุกขึ้นแล้วหนีหายออกจากห้องนั้นเพราะในสภาพตัวเองที่ตอนนี้รอยไหม้มันเริ่มลุกลามคงจะสู้พญาสิงห์ไม่ได้เป็นแน่ การกลับไปตั้งหลักคือเรื่องที่ดีที่สุด ... “นิลมณี” เขาพยายามเอ่ยเรียกแต่เธอกลับไม่มีการตอบสนอง ปลายนิ้วเรียวของเขาเลื่อนไปปรายตรงใต้จมูกโด่งสวยนั้น เพราะตอนนี้เธอเป็นมนุษย์ย่อมมีลมหายใจแต่ทว่า...ลำหายใจของเธอนั้นช่างโรยรินเสียเหลือเกิน...แทบจะไม่รู้สึกถึงมันเลยด้วยซ้ำ... “...ถ้าเป็นเช่นนี้...ก็คงช่วยอะไรไม่ได้นอกเหนือจากนี้” เขาเอ่ยขึ้นพลางมองใบหน้าสวยนั้น ก่อนจะค่อยๆเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้เรื่อยๆ บรรจงจุมพิตลงบนร