ดีนสังเกตแมวของตนก็รู้ทันทีว่ามันคงไม่ชอบขึ้นรถเท่าไหร่นัก จึงรีบเร่งขับไปยังคลินิกรักษาสัตว์ที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วพามันเข้าไปหาสัตวแพทย์ตามประสาคนเลี้ยงสัตว์ มองดูเจ้าสีนิลเซื่องซึมก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“มันจะไม่เป็นไรใช่ไหมครับหมอ?”
“ไม่หรอกค่ะ น้องอาจจะแค่ตื่นรถเลยซึมเป็นธรรมดา” ผู้ช่วยสัตวแพทย์เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม สายตาที่มองดีนนั้นหวานเยิ้มราวกับเจอคนถูกใจ ก็ไม่แปลกเท่าไหร่ในเมื่อเขาก็ไม่ใช่คนหน้าไม่ดี แม้นิลมณีจะรับรู้ทุกอย่างแต่ตอนนี้ไม่มีกระจิตกระใจสนใจอะไรแล้ว เธอรู้สึกสะอิดสะเอียนจนไม่อยากจะลุกไปไหนราวกับคนเมาค้าง
“นั่งรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวให้คุณเหมอมาฉีดวัคซีนให้”
“ครับ แต่ว่าเจ้าสีนิลอาจจะ...”
“คะ?”
“เอ่อ...มันน่าจะดุนิดหน่อยน่ะครับ” ดีนเอ่ยขึ้นพลางปรายสายตามองเจ้าสีนิลที่นอนหงอยอยู่ ผู้ช่วยสัควแพทย์ยิ้มรับบางๆก่อนจะพยักหน้า
“ไม่ต้องห่วงนะคะ ถึงมือหมอแล้วน้องจะไม่เป็นไรค่ะ”
“...ครับ”
“คุณใจดีจังเลยนะคะ ดูรักเจ้าเหมียวน่าดู”
“ก็...มั้งครับ” ดีนตอบพลางยิ้มแห้งๆ เขาไม่รู้วิธีเลี้ยงมันด้วยซ้ำ แต่เขาสงสารที่มันบาดเจ็บอยู่ซ้ำยังนอนตากฝนเลยเก็บมันมาเลี้ยงทั้งที่ในชีวิตไม่เคยคิดจะเลี้ยงสัตว์ตัวไหนเลย แต่นี่เพราะความสงสารจึงได้เสียเงินกับของเล่นและอื่นๆมากมายที่เกี่ยวกับแมวเป็นหมื่นๆ แต่แมวของเขานั้นแตกต่างจากแมวทั่วไปตรงที่มันไม่สนใจเล่นอะไรสักอย่างที่เขาซื้อมาราวกับมีความคิดเป็นของตัวเอง...จนแทบจะเหมือนมนุษย์อย่างเขาอยู่แล้ว
“อย่าดื้อกับหมอนะสีนิล” ดีนโน้มตัวไปพูดกับเจ้าแมวเหมียวที่นอนซึมอยู่ด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นห่วงเป็นใย นิลมณีในร่างสีนิลลืมตาขึ้นมองเขาด้วยความรู้สึกแปลกๆสับสนปนเปไปหมดจนใจเต้น แต่เธอก็คิดว่าอาจจะเป็นเพราะเธอ..กำลังเมารถอยู่ถึงได้รู้สึกแบบนี้...ซึ้งในความรักสัตว์ของเขา...
...หมอ...หม๊ออออออ...
เงี๊ยววววว!!!
“เจ็บแป๊บเดียวน่าเจ้าเหมียว” สัตวแพทย์หนุ่มเอ่ยขึ้นหลังจากที่เจ้าแมวสีดำตรงหน้าร้องขู่เขาและดีดดิ้นไม่หยุดหลังที่เห็นเข็มฉีดยาในมือของเขา ผู้ช่วยก็จับล็อกเจ้าเหมียวแมวไว้แน่นจนเท้าหน้าเล็กๆของมันไม่สามารถขยับได้ เท้าหลังได้แต่เพียงกุยกายอยู่บนเขียงหรือเคาน์เตอร์สแตนเลสสำหรับการรักษา
...เจ็บนะ!!!... เข็มแหลมๆทิ่มแทงเข้าไปยังเนื้อหนังแก้มก้นเจ้าแมวสีนิล ขนสีดำของมันลุกชันขึ้นพลางร้องเสียงแมวสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ในใจแอบนึกแค้นเคืองเจ้ามนุษย์ที่พาเธอมาฉีดยาแบบนี้
“เรียบร้อยแล้ว เด็กดีมากเจ้าเหมียว” สัตวแพทย์หนุ่มพูดพลางเอามือลูบหัวมันเบาๆ ก่อนที่ผู้ช่วยจะรีบพามันเข้ากระเป๋าเป้พกพาแมวเพราะกลัวว่ามันจะหันมาข่วนอีกครั้ง แล้วรีบนำมันออกไปคืนเจ้าของ
“เรียบร้อยแล้วนะคะ” ผู้ช่วยสาวเดินเอากระเป๋าเป้พกพาแมวไปให้ดีนเองกับมือพลางยิ้มหวานส่งให้ ดีนที่นั่งกดโทรศัพท์อยู่เงยหน้าขึ้นแล้วรีบลุกขึ้นรับกระเป๋าเป้นั้นด้วยรอยยิ้มบางๆตามมารยาท
“ขอบคุณครับ ชำระเงินเรียบร้อยแล้วนะครับ” ดีนเอ่ย
“ค่ะ...เอ...อยากรู้จังเลยว่าเจ้าสีนิลตัวนี้มีแม่หรือยังนะ” ผู้ช่วยสาวเอ่ยพลางบิดตัวเขินและก้มมองเจ้าแมวสีดำที่อยู่ในกระเป๋าก่อนจะดึงสายตาช้อนมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาหวานหยาดเยิ้ม ดีนเข้าใจดีว่าเธอหมายถึงอะไร
“ไม่มีหรอกครับ...แมวตัวนี้มีแค่พี่ชายก็พอ” ดีนเอ่ยก่อนจะผงกหน้าเป็นเชิงขอตัวก่อนแล้วเดินหันหลังจากไป เล่นเอาผู้ช่วยสาวมองตามตาละห้อยอย่างนึกเสียดาย
ชายหนุ่มที่ชื่อว่า ดีน แม้จะเป็นซีอีโอของบริษัทใหญ่โตแต่ก็เลือกที่จะเช่าคอนโดเล็กๆใกล้กับที่ทำงาน ใช้ชีวิตอย่างประหยัดมัธยัสถ์และเป็นคนที่ค่อนข้างจะดูเข้าถึงยาก เย็นชาไปเสียหน่อย แอบเจ้าชู้นิดๆเวลาที่เจอผู้หญิงที่ถูกใจอย่างว่าที่เลขาคนใหม่ที่กำลังจะเข้ามาทำงานให้วันมะรืน แต่สำหรับคนอื่นๆในบริษัทจะมองว่าเขานั้นโหดร้ายมากในเรื่องงานจึงไม่ค่อยมีใครชอบขี้หน้าสักเท่าไหร่แม้จะหล่อลากดินแค่ไหนก็ตาม
“ถึงบ้านแล้วเจ้าสีนิล” ดีนเอ่ยพร้อมกับปล่อยเจ้าสีนิลออกจากกระเป๋าเป้ แต่ด้วยความคับแค้นขุ่นเคืองใจที่มีอยู่ก่อนหน้า เรื่องที่เขาพาเธอไปฉีดยาโดยไม่ถามความสมัครใจ...ถึงเธอจะพูดภาษาคนไม่ได้ในร่างนี้ก็เถอะ แต่มันก็เคืองอยู่ดี
“เฮ้ย!! เอาอีกแล้วนะ!” ทันทีที่กระเป๋าเปิดออกเจ้าสีนิลก็กระโดดข่วนไปที่ดั้งโด่งสวยของเขาทันทีจนเป็นรอยเล็บหนึ่งขีดแล้วเดินสะบัดตัวเชิดไปทางอื่นแทบจะทันที ดีนทำได้เพียงร้องเสียงหลงมองเจ้าแมวจอมหยิ่งแถมยังดื้อรั้นกับเขาที่เก็บมันมาเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี แต่กลับถูกข่วนราวกับชังขี้หน้าอย่างไม่ใยดีเสียอย่างนั้น
“เฮ้อ...” ดีนทิ้งตัวลงนั่งถอนหายใจพลางเอามือลูบจมูกตัวเองปอยๆ นิลมณีในร่างเจ้าแมวสีนิลเหลียวมองเขาพลางคิดในใจว่าเธอเล่นแรงเกินไปหรือเปล่าที่ข่วนไปที่ใบหน้าหล่อๆของเขาแบบนั้น นึกๆแล้วก็รู้สึกผิดขึ้นจึงเดินเข้าไปหาคลอเคลียที่ขาเขาราวกับกำลังขอโทษ
เหมี๊ยววว... ไม่วายยังทำหน้าออดอ้อนร้องเสียงน่ารักมองเขาตาแป๋ว ดีนหลุบสายตามองเจ้าแมวตัวเล็กนิ่งไม่แสดงสีหน้าใดๆ จนเจ้าแมวสีนิลร้องอ้อนเขาอีกครั้งอีกทั้งยังเอาขาหน้าไปแตะที่ขาของเขา
เหมียว
“ไม่ต้องมาตบหัวแล้วลูบหลังเลย” ดีนเอ่ย
....ไม่ได้ตบหัวสักหน่อย แค่ข่วนหน้าเบาๆเองน่านุด(นุด=มนุษย์).... เธอคิดอย่างนึกขำแม้ว่าจะนั่งทำหน้าบ้องแบ๊วมองตาเขาปริบๆอย่างใสซื่อ แต่ทว่ามุมปากตรงหนวดกระตุกขึ้นราวกับว่ามันกำลังยิ้ม ดีนเลิกคิ้วหลุบตามองท่าทางของเจ้าแมวตัวน้อยก่อนจะคว้าร่างมันขึ้นมามองใกล้ๆ
“ฉันเห็นนะว่าเธอยิ้มน่ะเจ้าสีนิล ฉันหล่อจนอดใจไม่ไหวเลยหรือไงถึงได้ฝากรอยไว้แบบนี้” พูดกับเจ้าแมวจอมหยิ่งของเขาอย่างใจอ่อน ยังไงก็โกรธสัตว์ที่ขึ้นชื่อว่าแมวไม่ลงอยู่ดี
...เฮอะๆ คนอะไรหลงตัวเองชะมัด แถมยังบ้าคุยกับแมวได้ทุกวัน... คิดในใจแต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงร้องตอบรับอะไรออกไป ก่อนที่เขาจะวางเจ้าแมวเหมียวลงแล้วลุกขึ้น
“วันนี้ฉันมีนัดนะ อาจจะกลับเข้ามาดึกหน่อย...จะวางอาหารไว้ให้แล้วกัน” ดีนเอ่ยพลางเปิดตู้เย็นราวกับหาอะไรบางอย่างก่อนที่เขาจะหยิบเนื้อปลาแซลม่อนขึ้นมา จัดการคว้ากระทะอย่างดีมากริลเนื้อปลาให้เจ้าแมวเหมียวอย่างใส่ใจ เจ้าแมวสีนิลมองดูการกระทำของชายหนุ่มด้วยตาเป็นประกายอย่างลืมตัว
“มีมองเข้า ชอบล่ะสิ” ดีนเอ่ยพลางปรายสายตาหลุบและยกยิ้ม
เจ้าแมวสีนิลมองดูอาหารจานโปรดที่ตนชื่นชอบ เพียงแค่ไม่มีใครรู้เพราะเธอไม่เคยพูดกับใครที่ไหน มันบังเอิญที่เขาซื้อมาตรงใจเธอพอดิบพอดีก็เท่านั้น
“มันร้อนอยู่อย่าพึ่งกินนะ” ดีนเอ่ยพลางยกจานเนื้อปลาแซลมอนวางลงบนพื้นห้อง เอื้อมมือไปลูบหัวเจ้าแมวสีนิลเบาๆ ก่อนจะหยัดกายเต็มความสูงเดินหายเข้าไปในห้อง
นิลมณีในร่างเจ้าสีนิลนั่งมองเนื้อปลาอยู่อย่างนั้นเพื่อรอให้มันเย็นอย่างที่เขาพูดเตือนไว้ ไม่ได้สนใจว่าชายหนุ่มจะกำลังทำอะไรและไปที่ไหน สายตาจ้องมองอาหารตรงอย่างใจจดใจจ่อ จนเจ้าของห้องเดินหายลับออกจากห้องไป..
เจ้าแมวน้อยนอนขุดคู้เกยขาหน้าอยู่ตรงโซฟาที่เดิมที่เคยนอนประจำ เสียงปลดล็อกประตูห้องทำให้มันกระดิกหูเล็กน้อยทั้งที่ยังคงหลับตาอยู่ ก่อนจะชูคอเหลียวมองผู้ที่เข้าห้องมาด้วยความอยากรู้ตามสัญชาตญาณ
ชายหนุ่มใบหน้าที่คุ้นเคยเดินเข้าห้องมาพร้อมกับหญิงสาวในชุกเดรสเกาะอกสั้นสีดำรัดรูป เกาะกอดกันเข้ามาในห้องก่อนจะเริ่มนัวเนียกันเมื่อปิดประตูห้องลง
กลิ่นเหล้าคละคลุ้งปะทะเข้าที่ปลายจมูกเล็กรูปหัวใจ การรับกลิ่นของแมวนั้นไกลกว่ามนุษย์หลายเท่า เจ้าแมวสีนิลดวงตาเบิกโพลงมองสองร่างที่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันไปมา ใบหน้าหญิงสาวนั้นช่างคุ้นเคยเหมือนที่เธอเคยเห็นเมื่อตอนกลางวัน
...เอ๊ะ...ผู้ช่วยคนนั้น?!...
การเจอกับปีศาจหรืออมนุษย์ครั้งแรกก็เมื่อตอนที่เขายังอายุได้เพียง 9ขวบ บริษัทที่พ่อสร้างไว้เป็นเพียงบริษัทค้าอาหารสัตว์แต่ก็ส่งออกไปทั่วทวีปนี้ อุบัติเหตุที่น่าสงสัยที่เป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตทั้งที่ตัวเขาเองควรจะเป็นไปอย่างพ่อหรือแม่ ถึงดีนจะยังเด็กแต่เขาก็ไม่ใช่เด็กโง่...ทุกครั้งที่เขาเข้าไปเล่นในบริษัทมักจะได้ยินเหล่าทีมบริหารที่พ่อไว้วางใจพูดถึงพ่อของเขาในแง่ร้ายเสมอหลังจากที่เสนองบประมาณในการผลิตแล้วผู้เป็นพ่อของเขาปฏิเสธ ด้วยความที่คิดว่าดีนเป็นเด็กเหล่าทีมบริหารจึงไม่ใส่ใจเท่าไหร่กับที่จะพูดให้ผู้เป็นลูกชายตัวน้อยของประธานบริษัทได้ยิน“เจ้าโง่นั่นไม่ได้เรื่องเลยนะ เป็นประธานบริษัทได้ยังไงกัน”“บริหารก็ไม่ได้เรื่อง ไม่กล้าที่จะยอมรับความเสี่ยงทางธุรกิจอีกต่างหาก...ไม่ว่าบริษัทไหนก็ต้องเสี่ยงทั้งนั้นกับการลงทุนน่ะ แค่นี้ก็คิดไม่ได้”“แบบนี้บริษัทก็พัฒนาไม่ได้น่ะสิ น่าจะทิ้งตำแหน่งให้คนอื่นบริหารซะ...ตัวเองก็นั่งเฉยๆรับเงินไปก็สิ้นเรื่อง”“นั่นสินะ...คนอื่นข
ดีนที่สลบสไลเริ่มรู้สึกตัวขึ้น แม้ว่าเขาจะมีพญาสิงห์อดีตจอมราชาที่มีพลังเหลือล้นกว่าปีศาจและจอมราชาทั้งปวงแต่ด้วยร่างกายของดีน ภาชนะของเขาเป็นมนุษย์เมื่อหลับใหลไปก็ไม่สามารถออกตัวแสดงอิทธิฤทธิ์ใดๆได้ นอกเสียจากว่าขาดสติแต่ยังคงลืมตาอยู่ถึงจะสามารถปกป้องได้ เขามองไปรอบๆตัวช่างเป็นที่ที่น่ากลัวและดูสกปรกไม่น้อย มองยังไงก็ไม่ใช่โลกที่เขาเคยใช้ชีวิตอยู่แน่นอน รู้ตัวอีกทีก็หันไปมองมือของตนเองที่ไขว้หลังอยู่ ไม่ว่าจะพยายมขยับแค่ไหนก็ไม่สามารถขยับแขนของตนได้ มีบางอย่างรัดข้อมือของเขาเอาไว้แน่น รวมถึงช่วงลำตัวของเขาเช่นกัน “เปล่าประโยชน์...ยิ่งเจ้าขยับ หางของข้าก็จะรัดเจ้าแน่นกว่าเดิม”เสียงที่คุ้นหูเหมือนกับเสียงที่เอ่ยทักทายเขาก่อนจะสลบไปเรียกให้เขาเงยหน้าขึ้นมองข้างกายก็พบว่ามันเป็นบัลลังก์กระโหลกเก่าๆ พร้อมกับหญิงสาวในชุดที่แปลกตานั่งไขว่ห้างอยู่และปรายสายต
ดีนนั่งเงียบตลอดทางหลังจากขึ้นรถ ในหัวคิดแต่เรื่องของนิลมณีทั้งที่ยังดีๆอยู่เลยแล้วจู่ๆเธอก็เปลี่ยนไปราวกับมีเรื่องอะไรในใจที่พึ่งฉุกคิดได้อย่างไรอย่างนั้น ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับเขาแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเธอตคงไม่มีท่าทีแบบนั้นกับเขา...คิดไปพลางขวดคิ้วมองออกไปภายนอกรถ ...มันน่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งก็คือผู้ติดตามของเขาที่ตอนนี้เอาแต่เงียบกริบไม่พูดไม่จาอะไร เป็นปกติต้องแซวเขาแล้ว แต่วันนี้กลับนิ่งเงียบไปจนดีนต้องหันไปมองผู้ติดตามของตนผ่านกระจก ถึงอย่างนั้นก็ยังดูปกติหรือว่าเขาคิดมากไปเอง “วันนี้ไม่แซว?” “.....” สิ่งที่ได้หลังจากถามออกไปก็ยังคงเป็นความเงียบ ไม่แม้แต่จะเห็นรอยยิ้มของเพิ่มพูนผ่านกระจกเลย เขาดูขับรถอย่างตั้งใจมากเกินไปจนเหมือนหุ่นยนต์ และที่สำคัญ...เพิ่มพูนหรือลุงเพิ่มไม่เคยไม่ตอบคำถามเขาผู้ซึ่งเป็นเจ้านายเลยแม้แต่ครั้งเดียว ประธานหนุ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนไปของบรรยากาศในรถ เขาเหลียวมองออกไปนอกรถอีกครั้งแต่ครั้งกลับไม่ใช่ทางที่จะบริษัท บรรยากาศราวกับหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่งทั้งที่ไม่คิดว่าจะถนนแบบนี้หรือบรรยากาศแบบ
ร่างกายที่อ่อนล้าค่อยๆพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง ความปวดร้าวเมื่อยล้าแล่นเข้าสู่ร่างกายจนเธอถึงกับกัดฟันแน่น เขาไม่ปล่อยให้เธอได้พักเลยทั้งคืนจึงเป็นเหตุทำให้เธอปวดร้าวตามร่างกายแบบนี้ นิลมณีอดไม่ได้ที่จะหันไปมองชายหนุ่มที่นอนอยู่ข้างๆตาขวาง “เอาแรงมากจากไหนนักนะ” เธอพึมพำเบาๆพลางเบือนใบหน้าที่ร้อนผ่าวไปทางอื่นโดยไม่ทันสังเกตคนที่นอนอยู่ข้างๆที่ลืมตาตื่นขึ้นมาพอดิบพอดี “ยังมีแรงเหลืออีกเยอะนะ จะต่อรอบเช้าด้วยเลยไหมล่ะครับคุณเลขา” เสียงทุ้มที่ตอบกลับเธอมาทำให้เธอหันหน้าไปทางเขาทันทีพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดบังร่างกายที่เปลือยเปล่านั้น ดีนหยัดตัวลุกขึ้นนั่งพลางบิดขี้เกียจไปมาโดยไม่สนใจว่าผ้าห่มมันร่นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว อีกนิดเดียวก็จะเห็นของลับของหวงอยู่แล้วแท้ๆ นิลมณีรีบเบือนหน้
ริมฝีปากหยักได้รูปไม่รอช้ารีบประกบริมฝีปากกระจับนั้น เรียวลิ้นหนาเริ่มรุกล้ำเข้าไปในโพรงแม้ในตอนแรกจะปิดแน่นสนิท นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าเธอไม่มีความรู้เรื่องนี้ ครั้งก่อนเธอมึนเมาและถูกปลุกเร้าด้วยฤทธิ์บางอย่าง แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป.. “อือ!” เสียงครางหวานเล็ดลอดผ่านลำคอเพราะตอนนี้ภายในร่างกายของเธอรู้สึกแปลก ตอบสนองรสจูบของเขาอย่างห้ามไม่ได้ อีกทั้งลิ้นเรียวเล็กของเธอถูกดูดกลืนราวกับกำลังจะถูกเขาครอบงำ...ยากที่จะปฏิเสธมัน รสจูบที่จาบจ้องและรุนแรงทำให้เธอแทบหายใจไม่ทัน “อื้อ...” เสียงค้านดังขึ้นผ่านลำคอเมื่อรู้สึกถึงมือหนาที่ค่อยลูบไล้ปลดเปลื้องเสื้ออาภรณ์ของเธอ ทุกการสัมผัสของเขาราวกับมีมนต์สะกด ความรู้
“ยังไงคุณก็จะไม่บอกผมใช่ไหมครับว่าคุยเรื่องอะไรกัน?” เมื่อเท้าก้าวเข้าบ้านมาดีนก็เอ่ยถามนิลมณีทันทีเมื่อเห็นว่าเธอกำลังเดินนำเตรียมจะขึ้นไปห้องของตัวเองที่ชั้นสอง นิลมณีชะงักฝีเท้าเธอหันกลับไปมองเขาด้วยสีหน้าที่เหนื่อยล้า ที่รู้สึกเหนื่อยเพราะเธอคิดเรื่องทางเลือกที่อัคคีให้มาไม่หยุดไม่ว่าจะมองหาทางไหนก็มืดมันแปดด้านจนไม่รู้จะทำยังไงแล้วและอยากอยู่เงียบๆกับตัวเองสักพัก “บอสคะ คุณมีคฤหาสน์หลังใหญ่ให้อยู่ มีผู้ติดตามตลอด มีลูกน้องมีคนขับรถ...ทำไมบอสไม่กลับไปอยู่บ้านของตัวเองล่ะคะ” “หืม? ก็เพราะแมว...คุณชวนผมมาอยู่ที่นี่เองไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้จะไล่กันแล้วว่างั้น?” “ลองคิดดูนะคะ ถ้าเกิดวันนี้ซันนี่มาเที่ยวที่บ้านจริงเธอก็ต้องรู้...นั่นหมายถึงคนในบริษัทรู้ ถึงวันนี้