LOGINหลังคืนที่เขาอุ้มนางกลับจากโรงเตี้ยม ไป๋หลินไม่ได้หลบหนีอีก ไม่ใช่เพราะเธอยอมจำนนต่อเขา... หากแต่เพราะกายยังสั่นไหวทุกคราที่เงาร่างของเขาปรากฏตรงบานประตู ส่วนหยางเซวียน... เขาไม่ได้เอ่ยคำใดอีก ไม่ได้ฝืนดึงรั้งเธออีก เขาเพียงเงียบ แต่ในความเงียบนั้น กลับคล้ายสิ่งใดในตัวเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
เขาไม่พูดคำว่า "รัก"
ไม่พูดคำว่า "อภัย"
แต่เขาจัดหาสาวใช้ชั้นดีให้เธอหญิงสาวนาม “ซูเหนียง” ผิวขาวเสียงอ่อน พูดจานุ่มนวล คอยนวดให้ไป๋หลิน เช็ดผมให้ ในตอนค่ำ หาชาอุ่นในยามเช้าแม้แต่ชุดนอนที่เธอสวม ก็ถูกเปลี่ยนเป็นผ้าหรูโปร่งบางที่ “เขา” เป็นคนสั่งด้วยตัวเอง
แม้จะถูกจับขังในจวนนี้ แต่ไป๋หลินกลับไม่รู้สึก เหมือนนักโทษ...มันคล้ายกับการเธอถูกกักตัวไว้ในกรงทอง กรงที่เมื่อเปิดออก เธอกลับลังเลจะเดินออกไป
เพื่อฆ่าเวลาเธอเริ่มลงมือปลูกสวนริมกำแพงด้านตะวันตกเธอคุกเข่าลงกลางดินอ่อน ปลายนิ้วกดเมล็ดองุ่นไว้ทีละเม็ด ไม้ไผ่ถูกสานเป็นซุ้มดิบ เถาองุ่นอ่อนงอกพันช้า ๆ มันกลายเป็นทางเดินที่ร่มรื่นที่สุดในจวน
ทุกอย่างเงียบสงบ… จนกระทั่งจดหมายเชิญจากในวังมาถึง “พระราชวังจะจัดงานเลี้ยงเพื่อเฉลิมฉลองชัยเหนือ แคว้นทางใต้” เสียงขุนนางต่ำต้อยอ่านจดหมายด้วยน้ำเสียงสั่น หยางเซวียนถือถ้วยชาในมือ—ดวงตานิ่ง
“ขอเชิญขุนนางระดับสูงพร้อมภรรยาเข้าร่วมเพื่อถวายเครื่องราชบรรณาการและร่วมโต๊ะสนทนาพระราชา…”
เขาวางถ้วยลงหันไปมองนางที่ยืนอยู่ตรงมุมลาน
“ไป๋หลิน” เขาเรียกชื่อเธอเสียงเรียบ
เธอหันมา ดวงตาสบกับเขาแบบไม่สะทกสะท้านเธอรู้… ถ้าเข้าสู่วังหลวง นี่ไม่ใช่แค่งานเลี้ยงแต่มันคือ "ฉากใหม่" ในพล็อตใหญ่นิยายที่เธอเคยอ่าน… เต็มไปด้วยการเมือง การทรยศ และเลือด
เขาก้าวเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า ก่อนจะยื่นกล่องไม้หอมในมือมาให้อย่างเงียบงัน “ข้าเตรียมชุดไว้ให้เจ้า”
เธอเลิกคิ้วเล็กน้อย พลางเปิดฝากล่องอย่างระแวงปนสงสัย ภายในคือผ้าไหมเนื้อบางเบาสีแดงไวน์เข้ม เย็นมือยามสัมผัส เงาไหมสะท้อนแสงอ่อนราวแสงจันทร์บนผิวน้ำ บนเนื้อผ้าปักลายดอกโบตั๋นบานสะพรั่งด้วยไหมสีเงินละเอียดทุกกลีบ ดูราวกับจะมีชีวิตเมื่อแสงตกกระทบ แบบชุดเน้นสัดส่วนอย่างประณีต ช่วงเอวรัดพอดีเน้นความอ่อนบางของเรือนกาย เปิดไหล่ด้านหนึ่งเผยผิวเนื้อเนียนระเรื่อราวกลีบชมพู
หากเธอเดิน ชายผ้าจะพลิ้วคล้ายคลื่นน้ำ สะกดทุกสายตา โดยเฉพาะสายตาของเขา ที่กำลังมองมาเงียบ ๆ ไม่กล่าวอะไรอีก
ค่ำคืนนี้... แสงเทียนนับร้อยสะท้อนกับพื้นหินหยกขาวของวังหลวงราวกับนางกำลังเหยียบย่างอยู่บนแสงจันทร์ที่ระยิบระยับใต้ฝ่าเท้า ผ้าไหมสีไวน์แดงแนบไปกับเรือนกายทุกย่างก้าว อ่อนพลิ้วเมื่อเคลื่อนไหว แต่กลับขับให้นางดูสง่างาม ไหล่ข้างหนึ่งที่เผยออกอย่างพอดิบพอดี ส่งให้ผิวเนื้อที่โผล่พ้นชายผ้าแลดู น่าหลงใหล ทว่ายังคงไว้ซึ่งความสงบเยือกเย็นของสตรีผู้สูงศักดิ์
ทุกอย่างในท้องพระโรงดูเงียบสงบ...ทว่าในใจผู้คนกลับเต้นเร้า เมื่อบุรุษผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับนาง เขาสวมอาภรณ์เรียบหรู ตัดเย็บด้วยผ้าเนื้อดีเฉพาะสำหรับขุนนางชั้นสูง ปักดิ้นเงินเป็นลายเมฆคล้อยอย่างวิจิตร กลับมิได้ฉูดฉาด แต่ขับให้ดูสง่างามดั่งหยกดำในม่านราตรี “หยางเซวียน” เขาก้าวเดินด้วยจังหวะมั่นคง สงบนิ่ง ราวขุนเขาเคลื่อนตัว เมื่อทั้งสองเดินเคียงกันผ่านประตูทองของท้องพระโรงเสมือนภาพจิตรกรรมโบราณเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิต ไม่มีถ้อยคำ ไม่มีเสียงลือ แต่ทุกสายตา... กลับจับจ้อง ทั้งเพราะอำนาจอันสงบของเขา และความงามเย้ายวนอันสูงส่งของนาง
ภายในท้องพระโรง เสียงสนทนาแผ่วเบาลงชั่วครู่ สายตาของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ล้วนเหลียวมองมาด้วยความริษยา ทั้งที่ปากมิได้เอ่ยอะไรเพราะค่ำคืนนี้... มีเพียงนางเท่านั้นที่งามจับตา
โคมห้อยนับพันไล่จากเพดานโถงลงถึงเสาม่านแพรทอทองพลิ้วรับลม อาหารจากเจ็ดแคว้นวางเป็นชั้น ๆ จนโต๊ะแทบล้นเครื่องสายบรรเลงแผ่วจากมุมผนังกลิ่นกำยานหอมปะปนกลิ่นผลไม้หมักและสายตานับสิบที่กำลัทอดมอง “เธอ”
เสียงหัวเราะในวังไม่ใช่เสียงแห่งสันติ… และคำชมจากฮ่องเต้ คือดาบสองคมที่คมยิ่งกว่าน้ำชาของเหล่าขุนนาง
ท่ามกลางแสงเทียนพันเล่มในโถงหยกบนบัลลังก์หยกทองที่ยกพื้นเหนือทุกโต๊ะ ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าฉิน เสด็จขึ้นพร้อมเสียงระฆังโลหะ เครื่องทรงเรียบสง่าแต่แผ่รัศมีอำนาจ
แม้จะมีอายุเพียงสี่สิบเศษแต่ดวงเนตรนั้น… เหมือนอ่านทะลุใจคนทั้งโถงได้ในพริบตา
พระองค์ยกพระหัตถ์ขึ้นเล็กน้อยเสียงในโถงหยุดลง ขุนนางทุกระดับชั้นคณะทูตจากแคว้นใกล้ไกลต่างลุกขึ้นทำความเคารพพร้อมกัน
“คืนนี้… เราเฉลิมฉลองไม่ใช่เพียงเพราะชัยชนะ แต่เพราะ ‘ความกล้า’ ของผู้แบกแผ่นดินไว้ทั้งทหาร ช่างฝีมือ และแม้แต่ภรรยาผู้รออยู่ที่บ้านล้วนมีคุณูปการ”
เสียงปรบมือดังลั่นแต่น้ำเสียงฮ่องเต้ยังคงเรียบ ทรงกวาดสายพระเนตรไปทั่วโต๊ะหยุดชั่วครู่ที่โต๊ะของขุนนางหนุ่มพระเนตรขุ่นวูบหนึ่งแต่น้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น….
“แขกจากแคว้นหลี ข้าเห็นนางรำของพวกท่านในค่ำนี้
อ่อนช้อยเหมือนกลีบบุปผาในสายหมอกแคว้นต้าฉินยินดีที่พวกท่านยังมีมิตรไมตรีเช่นเคย”คณะทูตหลีลุกขึ้นประสานมือขอบพระทัยแต่เบื้องหลังรอยยิ้มของทูตอาวุโสแววตานั้นไม่ได้สบายใจนัก
“แคว้นเว่ย—ข้ารับรู้ถึงข้อเสนอสมรสเพื่อเชื่อมแคว้น
จะพิจารณาด้วยเมตตาแต่ข้ายังหวังว่า… สิ่งที่ส่งมานั้นไม่ใช่แค่ ‘ของสวยงาม’ หากแต่มีหัวใจพร้อมภักดี”ทุกเสียงหัวเราะแผ่ว องค์หญิงสิบสามผู้ที่ถูกเสนอชื่อ… หลุบตาต่ำแต่ในขณะที่ไป๋หลินกลับนั่งนิ่ง ยกจอกสุราช้า ๆ
ไม่แม้แต่เหลือบตามองใคร บรรยากาศยังคง “รื่นเริง”เพลงยังบรรเลง หญิงรับใช้ยังคอบบริการองุ่นหวานเหล่าขุนนางยังอ่านคำชมมิหยุด แต่ภายใต้แสงเทียนที่พร่างพราวขุนนางทุกคนต่างขัดดาบไว้ใต้ลิ้น
แต่ละคำที่พูด แต่ละจอกที่ยื่นล้วนแฝงความหมาย ข้อเสนอที่แลกด้วยเลือดบ้างล่อให้ติดกับ บ้างขู่ให้ก้มหัวและ คือราคาที่จ่ายเพื่อซื้อตัว
คืนนี้ไม่มีใครแน่ใจเลยว่าพรุ่งนี้เช้า ใครจะยังมีตำแหน่งเดิม
แม้จะอยู่ในชุดที่งามพอให้เหล่าสนมหญิงหลายคนเม้มปาก แต่ไป๋หลินนั่งเงียบอยู่ตรงนั้นด้วยหัวใจที่ล่องลอยไกลกว่าผืนพรมหยกใต้ฝ่าเท้า
นักเขียนเฮงซวย… ไรท์บ้าคงกำลังหัวเราะฉันอยู่แน่ ๆ ใช่ไหม? เธอบ่นในใจ จิบเหล้าองุ่นทีละน้อยดวงตาลอยผ่าน ม่านนางรำและโคมทอง กลิ่นไวน์ม่วงฉ่ำจากแคว้นใต้ยังคง ติดที่ปลายลิ้นแต่ความขมในใจมันลึกกว่า
บรรดาพระเอกแกก็ขนมาให้ฉันถึงเจ็ดคน… จะตาย ก็ไม่ให้ตายจะรักก็ไม่ให้รักง่าย ๆ จะหนีก็ไม่รอด เอ๊ะ… แล้วนี่ฉันต้องนั่งเป็นไม้ประดับโต๊ะกับไอ้พล็อตบ้าๆ ในวังหลวงให้นางสนมกับขุนนางหัวโขนพวกนี้ จ้องตั้งแต่หัวจรดเท้าทำไมกัน?
เธอเหลือบมองหยางเซวียนข้างกายใบหน้าคมนิ่ง ชุดเต็มยศสงบนิ่ง… แต่เฉียบ เย็น… แต่เสน่ห์ทะลุชั้นหิน
จนเธอได้แต่จิบไวน์อีกครั้ง อีกครั้ง…แล้วกัดฟันน้อย ๆอย่างน้อย...ก็ยังมีพี่พระเอกหน้าตาถูกสเป็กไว้ให้มองเล่น
กับเหล้าองุ่นรสดีในวังบ้า ๆ นี่ที่ยังพอทำให้ทำใจอยู่ได้เมื่อชีวิตจริงเริ่มต้น… และหัวใจยังคงจำเขาได้แม้ไม่มีเวทมนตร์หรือคำสาปใดหลงเหลืออยู่เสียงเครื่องวัดชีพจรดังติ๊ก… ติ๊ก… สม่ำเสมอ กลิ่นยาแผ่วจางในอากาศม่านสีฟ้าอ่อนข้างเตียงไหวเบาสายลมจากหน้าต่างบานเล็กพัดเข้ามา พร้อมเสียงใบไม้ไหวไกลๆหลี่เหยาลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เปลือกตาหนักอึ้ง แขนเธอ มีสายน้ำเกลือ ข้างเตียงวางมือถือของเธอที่ยังเปิดหน้าจอนิยายที่ขึ้นว่า THE ENDเธอกะพริบตาหลายครั้ง หอบลมหายใจ เหมือนตื่นจากฝันที่ยาวนานจนนับเวลาไม่ได้“เธอน็อคเพราะทำงานหนักเกินไปค่ะ หมอวินิจฉัยว่าอ่อนเพลียขั้นรุนแรง และร่างกายพักผ่อนผิดสมดุล” โชคดีที่เพื่อนของเธอส่งเธอมาโรงพยาบาลทันเสียงพยาบาลพูดกับใครบางคนหน้าห้อง เธอฟังอย่างเลื่อนลอยก่อนจะมีเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา และทันทีที่เขาเปิดม่านเตียงออก… เธอก็แทบลืมหายใจชายหนุ่มในชุดเสื้อกาวน์สีขา
ดวงตาเธอกระตุก มือที่เคยแน่น กำแน่นขึ้นอีกครั้ง เสียงพิณหยุด กลีบโบตั๋นที่ปลิวในฝันค้างกลางอากาศ และเสียงสุดท้าย แผ่วลงเหนือข้างหูเธอ ราวกับกล่าวจากใจถึงใจ“เจ้าชนะคำสาปแล้ว ลี่เหยา ได้เวลาตื่นจากนิยายเสียที”เปลือกตาเธอเปิดช้าช้า หินใต้แผ่นหลังเย็นเยียบ อากาศรอบตัวหนักแน่นจนเหมือนจะร้องไห้ออกมาได้เองเบื้องหน้าคือชายชุดนักพรต ผ้าคลุมสีหมอก เปื้อนโลหิตจาง มือเขายื่นมารองท้ายทอยเธอเบา ๆ“…โม่อวี้…” เสียงเธอแผ่ว “เจ้าจำชื่อลี่เหยาได้อย่างไร…”เขามองเธอ นิ่ง และตอบด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความจริง“ข้าจำเจ้า… ไม่ใช่เพราะเจ้าชื่ออะไร แต่เพราะ… ไม่ว่าเจ้าจะใช้ชื่อไหนเจ้าคือ ‘หญิงเดียว’ ที่ข้าเฝ้ามองจากโลกทุกใบ”แสงแห่งคำสาปจางลงเหมือนม่านหมอกเช้าตรู่ กลิ่นเลือด กลิ่นกลีบบุปผา และเสียงสายพิณที่เงียบลงไปแล้ว คงอยู่เพียงในห้วงใจไป๋หลินทรุดลงบนเข่าข้างหนึ่ง
ทุกอย่างคือความเงียบขาว ขาวจนเจ็บตาขาวจนเหมือนกลืนเธอเข้าไปทั้งร่าง ขาวจนไม่มีแม้คำว่า “ฉัน” หรือ “เธอ” หลงเหลือไป๋หลิน ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนไม่รู้ว่าตัวเองหลับหรือตื่นร่างเธอล่องลอยอยู่กลางความนิ่ง เหมือนถูกปลดปล่อย…แต่หัวใจกลับยังแน่น แน่นจนเจ็บเธอพยายามขยับ แต่แขนไม่มี ขาไม่มีมีเพียง “ความรู้สึก” ว่าเธอขาดบางสิ่งที่สำคัญมากและในความว่างนั้น เธอเริ่มร้องไห้ ไม่มีเสียง ไม่มีน้ำตา แค่ความเจ็บที่ปริแตกจากกลางอกกระจายช้า ๆ เหมือนลมหนาว“ข้า… อยู่คนเดียวหรือ?”เสียงเธอไม่ดังแม้ในใจตนเอง และเมื่อคำถามนั้นดังขึ้น ลมหายใจรอบกายเปลี่ยนไปเหมือนอากาศสูดกลับเหมือนโลกจำเธอได้อีกครั้งแสงแดดยามบ่ายส่องลอดม่านไม้ไผ่ในเรือนชา กลิ่นขนมงาปิ้งอุ่นลอยมาจากเตา ต้นโบตั๋นริมหน้าต่างเพิ่งผลิบาน...แต่เสียงพิณที่ดังอยู่ใต้ต้นไม้นั้น กลับขับกล่อมอะไรบางอย่าง ที่บาดลึกกว่ากลีบดอกไม้ เสียงสายดีดช้า เนิบนุ่ม แล้วจบลงอย่างเงียบงันหญิงสาวที่นั่งเงียบอยู่ใต้ศาลาริมน้ำ ยกชาขึ้นจิบช้า
เขาถอนกายออกอย่างรวดเร็ว ปลายลำยังแข็งโด่ เต้นตุบ ๆ เหมือนปีศาจที่หิวไม่หยุด เขารวบสะโพกเธอไว้ กระชากร่างเธอขึ้นจากพื้นแล้วพลิกให้นอนคว่ำ หน้ากดลงกับพรมเธอครางแผ่ว “มะ…ไม่ไหวแล้ว…ได้โปรด…ข้า…”“ไม่ต้องขอ ข้าจะ เอาเจ้าให้ขาด” เสียงเขาแหบพร่าเต็มไปด้วยปราณแตกซ่าน มือเขาจับสะโพกกลมกลึงไว้แน่น แล้ว อัดแก่นกายเข้าด้านหลัง อย่างแรงไม่มีหยั่ง!ตั่กกก!!“อ๊าาาาาาาาาาาาา!!”ร่างเธอกระตุกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต หัวจิกพื้น ผ้าห่มขาดติดเล็บ แขนสั่นเทา น้ำตาไหลพราก แต่ปากยังครางซ้ำไม่หยุดปั่ก! ปั่ก! ปั่ก!เสียงเอวเขากระแทกกับสะโพกเธอดังจนเทียนล้มไปอีกเล่ม เนื้อในเธอ ตอดรัดหนักจนแก่นเขาสั่น ฮั่นซูกัดฟันกรอด ปลายมือสั่นแทบหลุดสติ เขาตบก้นเธอเต็มแรงซ้ายขวา“ข้า…จะ…แตกแล้ว…”เขาโน้มตัวลง คร่อมบนแผ่นหลังเธอ ลมหายใจร้อนกรุ่นบนต้นคอ มือข้างหนึ่งยกขาเธอขึ้นสูงกว่าเดิมจนเปิดทางให้เขาเสียบลึกขึ้
หลังพิธี…ที่ควรจบลง แต่เขาไม่ยอมให้จบ สามีคนที่ 6 ของนางเอก…และราตรีที่ลมหายใจยังไม่ทันจางร่างของเธอยังคร่อมอยู่บนตักเขาเรียวขาเกร็งเบา ๆ ต้นขาแนบชิดสะโพกเขาอย่างลืมตัว ลมหายใจยังถี่ เหงื่อยังซึมหลัง แผ่นอกยังแนบอกเขาแน่นจนได้ยินเสียงหัวใจซ้อนกันเมื่อครู่…หัวใจเธอล่องอยู่ในอดีต เสียงกระซิบครางพร่าในฝัน เสียงที่บอกชื่อเขา"ฮั่นซู" ยังลอยในหู มือที่เคยแตะเธอในความมืด สะโพกที่เคยกระแทกเธอทุกค่ำคืน กลิ่นกายของเขา ลมหายใจของเขา…ทุกอย่างกลับมาทั้งหมด…และเมื่อเธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็ยังอยู่ตรงนี้ฮั่นซูยังนั่งอยู่ใต้เธอ มือใหญ่ประคองเอวเธอไว้ ลำกายเขายังอยู่ในตัวเธอ แข็ง ร้อน จนรู้สึกชัดทุกการเต้น และสายตาเขา…ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย"เจ้า…" เขากระซิบพร่า "ยังแน่นเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา…หลัน"มือเล็กกำไหล่เขาแน่นกว่าเดิม กายยังสั่น…แต่ไม่ใช่เพราะความกลัวเธอรู้แล้ว นี่ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป และราตรีนี้…ยังไม่จบเลยด้วยซ้ำเธอยังคร่อมตักเขาอย
ในฝัน เขารวบขานางขึ้นพาดเอวแล้วกระแทกเข้ามาแรงขึ้น ตับ! ตับ! เสียงเขาดังชิดข้างหู“ข้าจะให้เจ้าจำร่างกายข้าได้…แม้แต่ในฝัน”เขาขยับเอวแรง ความร้อนพุ่งขึ้นสันหลัง มือเธอจิกบ่าเขาไว้เขากระซิบ เสียงแหบต่ำ ริมฝีปากกดลงข้างหูเรียกชื่อข้า “…ฮั่นซู…” เธอหอบ มือสั่นเขากดสะโพกเข้ามา ช้า ลึก แน่น เธอร้องออกมา เสียงดังกว่าทุกครั้ง ไม่ใช่เพราะเจ็บ แต่เพราะครั้งนี้—เธอ รู้ว่าใครกำลังครอบครองเธอสะโพกเขาขยับ แต่ไม่รีบร้อน เขาจูบนางทุกแห่ง หน้าอก ข้อมือ เอว แผ่นท้อง กลางอกมือเขาทาบหน้าเธอขณะกระแทกเข้า ดวงตาเธอจ้องเขาแน่น ไม่มีฝัน ไม่มีคาถามีแค่ นางกับเขา กับความจริงที่ทุกสัมผัสย้ำซ้ำให้ตลอดหกคืนร่างเปลือยเปล่าของเธอสั่นระริก ร่องรอย การครอบครองยังอ่อนแดงบนต้นขาแต่ภายใน...ยังคงมี บางสิ่งที่กัดกินอยู่ฮั่นซูนั่งลงข้างนาง ลมหายใจเขาเริ่มเร่ง แต่ไม่ใช่เพราะราคะอีกต่อไป คือแรงปราณที่กำลังลุกวาบจากจุดชีพจรทั้งเจ็ดมือข้างหนึ่งของเขายกขึ้น นิ้วแตะกลางอกเธออีกมือแนบหน้าท้องแ







