“อาหนิง!”
หลี่จื่อหนิงพลันหันขวับไปมองทางต้นเสียงทันที สายตามองเห็นบุรุษผู้หนึ่งก่อนจะตะโกนน้ำเสียงเต็มไปด้วยความร้อนรน “เร็วเข้า! บุรุษผู้นี้จะตายอยู่แล้ว” ตอนนี้นางไม่สนว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด ขอเพียงแค่สามารถช่วยชีวิตเฝิงอวี่เซี่ยนเอาไว้ได้ก็ก็พอแล้ว สีหน้าของหลี่จางเหว่ยขมวดคิ้วมุ่นงุนงงไม่น้อย “เจ้ากำลังทำอันใดอยู่หลี่จื่อหนิง” เดิมทีนั้นพอได้ข่าวว่าเฉิงอี้หยางจะร่วมกราบไหว้ฟ้าดินกับเจียงชุนหลินและรับสตรีผู้นี้เป็นภรรยา หลี่จื่อหนิงย่อมรู้ใจไม่พอใจที่บุรุษที่นางหมายปองนั้นไปแต่งงานกับสตรีทั้งที่นางชมชอบและรักใคร่อีกฝ่ายมาเนิ่นนานหลายปีทั้งเอาแต่ร้องโวยวายว่าจะพังงานมงคลในวันนี้ให้ได้ แน่นอนว่าหลี่จางเหว่ยรู้สึกแปลกใจและคิดเอาไว้อยู่แล้วว่างานแต่งในวันนี้ต้องเกิดเรื่องแน่! แต่สิ่งที่ทำให้หลี่จางเหว่ยตกตะลึงยิ่งกว่านั้นก็คือ... เหตุใดเฉิงอี้หยางถึงยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ในขณะที่หลี่จื่อหนิงกลับกำลังโอบอุ้มร่างของบุรุษอีกคนที่อาบไปด้วยเลือด…!? “ช่วยข้าด้วย!” หลี่จื่อหนิงยังตะโกนร้องสุดเสียง หัวใจของนางกระตุกวูบ ร่างของเฝิงอวี่เซี่ยนในอ้อมแขนเย็นเฉียบขึ้นทุกขณะ หลี่จางเหว่ยได้ยินเสียงร้องจึงรีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ดวงตาคมมองไปยังร่างของบุรุษผู้หนึ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นน้องสาวซ้ำอาภรณ์ยังเปียกชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงไหลนองเต็มพื้นไปหมด เหตุใดถึงดูคุ้นหน้านัก…เฝิงอวี่เซี่ยน!? “เหตุใดถึงไปยุ่งเกี่ยวกับคนผู้นี้!” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามออกด้วยความตกใจ สายตาคมกริบสบเข้ากับดวงตาของหลี่จื่อหนิง “ได้โปรดช่วยเขาด้วย…” นางเอ่ยออกมาอย่างสั่นเครือพยายามตั้ง ยามนี้บุรุษผู้นี้ไม่มีเวลามากนักและไม่แน่ว่าปานนี้นั้นเฝิงอวี่เซี่ยนคงเดินถึงดินแดนปรโลกแล้วกระมัง เรื่องอื่นแม้ว่าจะงุนงงสงสัยมากเพียงใดก็เอาไว้ก่อนเถิด “วางมันลงซะอาหนิง!” หลี่จางเหว่ยปฏิเสธ แม้ว่าจะเป็นหรือตายอย่างไรคนผู้นี้ก็ไม่สมควรเอาตัวไปข้องเกี่ยวให้เกิดความวุ่นวายยุ่งยากตามมาทีหลัง หมายความว่าอย่างไรกัน!? หัวคิ้วของนางขมวดมุ่นไม่เข้าใจ “ไม่!” “ข้า…ข้าจะช่วยเขาเอง” เจียงชุนหลินเอ่ยขึ้นอีกครั้งภายหลังจากยืนมองอยู่นานไม่พูดจา พอเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ภายในใจของนางย่อมเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดนึกโทษตัวเองไม่น้อย หลี่จื่อหนิงถ้อยหายใจด้วยความหงุดหงิดใจ “อย่าได้ริอาจแตะต้องเขาอีกเป็นอันขาด!” ที่เฝิงอวี่เซี่ยนต้องมีสภาพเช่นนี้ก็เพราะสตรีผู้นี้! หลี่จางเหว่ยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สายตาของเขาฉายแววไม่เห็นด้วย “เจ้าไม่รู้หรือไรจื่อหนิงว่าบุรุษที่เจ้ากำลังคิดจะช่วยคือผู้ใดกันแน่” เหตุใดถึงเอาแต่ถามไม่หยุดจนน่ารำคาญเช่นนี้! หลี่จื่อหนิงขมวดคิ้วแน่น นางไม่เข้าใจว่าบุรุษผู้นี้เป็นอะไรไปเห็นคนเจ็บเจียนตายแล้วยังไม่คิดจะช่วยอีกรึ “เห็นคนใกล้ตายเช่นนี้ไฉนท่านถึงนิ่งดูดาย!” นางตวาดเสียงแหลมด้วยความโมโหร้อนรนจนแทบจะทนไม่ไหว “เขากำลังจะตายอยู่แล้ว!” เกรงว่าน้องสาวผู้นี้ของเขาคงโง่งมเกิดกว่าจะเข้าใจได้กระมัง จื่อหยางจ้องสบตากับหลี่จื่อหนิงที่เต็มไปด้วยความดื้อดึง ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “เพราะบุรุษผู้นี้คือเฝิงอวี่เซี่ยนมิต่างจาก ตัวร้ายของแผ่นดินที่ทุกผู้คนอยากให้ตาย” “แต่ข้าไม่อยากให้เขาตาย!” นางตวาดลั่นด้วยความโกรธ “แม้แต่ปรโลกก็ไม่มีสิทธิ์พรากเขาไปหากข้าไม่อนุญาต!” กว่านางจะวิงวอนขอความช่วยเหลือจากบุรุษผู้นั้นได้ก็ทำให้นางเกือบหมดความอดทน ยามนี้ใบหน้าคนงามขมวดคิ้วอารมณ์ย่ำแย่เต็มไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัดเจน หลี่จื่อหนิงเดินไปเดินมาหน้าประตูไม่หยุดพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า เข้าไปนานปานนี้แล้วไม่รู้ว่าแม้แต่หมอเทวดาจะสามารถยื้อชีวิตเฝิงอวี่เซี่ยนให้รอดพ้นจากปรโลกเอาได้หรือไม่ “เจ้ามาเดินวนไปวนมาทำไมกัน…ข้าปวดหัวจะตายแล้ว” “…” หลี่จื่อหนิงชะงักฝีเท้าก่อนจะค่อยๆ ปรายสายตาหันไปมองทางต้นเสียง นัยน์ตาเมล็ดซิ่งฉายแววครุ่นคิดออก หากการที่นางทะลุมิติเข้ามาเพื่อช่วยเหลือตัวร้าย…เช่นนั้นได้โปรดสวรรค์เห็นใจอย่างได้หมายจะเอาชีวิตเขาไปเถิด น้ำเสียงของหลี่จางเหว่ยเต็มไปด้วยความรำคาญ เขามอง เห็นสตรีตรงหน้าเดินวนไปวนมาก็พลันเกิดความรู้สึกหงุดหงิด “เหตุใดถึงกังวลเป็นห่วงบุรุษผู้นั้นมากถึงขนาดนี้” เขาสงสัยไม่น้อย… เพราะเหตุใดกัน!? “หลี่จื่อหนิง! เจ้าเป็นทำอะไรไปแล้ว” หลี่จางเหว่ยย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าสตรีผู้นี้มีนิสัยดื้อรั้นทำตามใจตัวเองและไม่สนใจสิ่งใดทว่าเขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด ไฉนจำต้องช่วยเหลือเฝิงอวี่เซี่ยนเอาตัวไปเกี่ยวข้อง นางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เห็นคนถูกแทงจนเกือบตายแล้วข้าจะทนมองดูจิตใจแข็งกระด้างได้อย่างไรกัน” “คนผู้นั้นคือเฝิงอวี่เซี่ยนเผื่อเจ้าลืมไปแล้ว!” “แล้วอย่างไร?” หลี่จื่อหนิงถามกลับอย่างไร้ความเกรงกลัว สำหรับนางแล้ว…เฝิงอวี่เซี่ยนคือตัวร้ายผู้น่าสงสาร! หลี่จื่อหนิงรู้สึกว่าเฝิงอวี่เซี่ยนที่ได้รับบทตัวร้ายในนิยายนั้นถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เขาถูกใส่ความกล่าวหาว่าวางแผนฆ่าล้างสกุลเฝิงจนเหลือเพียงแผ่นป้ายวิญญาณ แล้วเหตุเฝิงอวี่เซี่ยนต้องทำเช่นนั้นเล่า…!? เหตุใดเขาถึงเดิมพันชีวิตยอมแลกกับทุกอย่างแล้วต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่เหลือผู้ใดข้างกายเช่นนี้และหากจำไม่ผิดตอนที่เฝิงอวี่เซี่ยนเพียงอายุแค่สิบห้าปีเท่านั้น นางไม่เข้าใจเลยจริงๆ เพราะเฝิงอวี่เซี่ยนไม่ใช่ลูกรักของนักเขียนอย่างงั้นรึ หลี่จางเหว่ยพลางถอนหายใจหนักอึ้งออกมา เขาไม่รู้จะพูดอย่างไรให้น้องสาวผู้โง่งมเข้าใจ “ข้าไม่มีทางยอมให้เจ้าเอาตัวเองไปข้องเกี่ยวคนเฉกเช่นนั้นแน่…หากรักษาจนหายดีแล้วก็เอาไปทิ้งไว้ข้างทางซะ” !!! พอได้ยินประโยคนี้แล้ว ใบหน้าคนงามขมวดคิ้วมุ่นทันที “ข้าไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่!” “ที่ผ่านมาเจ้าดื้อรั้นไม่สนใจถูกผิด…เรื่องนั้นข้าย่อมไม่เก็บมาใส่ใจให้มากความ” หลี่จางเหว่ยกล่าวออกมาเสียงเรียบ ดวงตาคมกริบสบเข้ากับนัยน์ตาคู่งามของนางด้วยความจริงจัง “ทว่าครั้งนี้ข้าจำเป็นต้องขัดใจไม่เห็นด้วยกับเจ้าจริงๆ อาหนิง” เฝิงอวี่เซี่ยน…ไม่น่าคบหาถึงเพียงนั้นเลยหรือไร “ทว่าเฝิงอวี่เซี่ยนไม่มีผู้ใดอยู่ข้างกายแล้ว…หากข้าหันหลังให้เขาอีกคนเช่นนั้นก็คงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปตลอดชีวิตอีกครั้ง” “แล้วข้าเล่า…ข้ามีน้องสาวเพียงผู้เดียวเท่านั้นหลี่จื่อหนิง” หลี่จางเหว่ยรับราชการเป็นขุนนางในราชสำนักย่อมได้ยินข่าวลือต่างๆ ของเฝิงอวี่เซี่ยนและบรรพบุรุษสกุลเฝิงมาบ้าง แม้ว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นจะสร้างความตกใจให้แก่ผู้คนในเมืองหลวงไม่เว้นแม้กระทั่งฮ่องเต้กับความโหดเหี้ยมไร้หัวใจของบุรุษผู้นั้นถึงขั้นเอ่ยปากให้สังหารไม่ยกเว้น แต่คล้ายสวรรค์ยังเห็นใจไม่รับคนเลวเช่นนี้ ผู้คนที่เคยเกี่ยวข้องสนิทสนมกับบรรพบุรุษสกุลเจียงเห็นว่าเหตุการณ์ในครานี้เฝิงอวี่เซี่ยนถูกใส่ร้ายจึงร้องขอให้มีการสอบสวนอีกครั้ง ทว่าจู่ๆ ในยามนั้นภายในวังหลวงพลันมีคลื่นลูกใหญ่เกิดการแย่งชิงอำนาจในราชสำนักจึงทำให้บัลลังก์มังกรสั่นคลอนไปด้วย คดีของเฝิงอวี่เซี่ยนยังคงค้างคาต้องรีบจัดการให้เสร็จสิ้นจึงเปลี่ยนจากประหารให้มีการไตร่สวนใหม่อีกครั้ง เฝิงอวี่เซี่ยนจึงลดโทษเพียงแค่ถูกจำคุกไม่กี่ปีเท่านั้น เรื่องนี้ย่อมเกิดความคลุมเครือไม่กระจ่างในสายตาของเหล่าขุนนางหลายคน…ราวกับต้องการให้บุรุษผู้นี้รอดชีวิตไม่ยินยอมให้ตายไปง่ายๆ ในขณะเดียวกันนั้นเสียงประตูพลันถูกผลักออกมาก่อนที่ท่านหมอชราจะเดินออกมาในสภาพที่ไม่ค่อยดูดีนัก อาภรณ์สีขาวนั้นเปียกชุ่มไปด้วยเลือด หลี่จื่อหนิงละความสนใจจากบุรุษผู้นี้ ปรายสายตารีบเร่งฝีเท้าเดินไปทันที “เขาเป็นอย่างไรบ้าง” น้ำเสียงหวานเอ่ยถามด้วยความกระวนกระวาย สายตาของนางพลันสอดส่องเข้าไปในเรือน “มีผู้ใดตายในจวนข้าหรือไม่” หมอชราปรายมองสตรีและบุรุษเบื้องหน้าสลับกันไปมาด้วยความไม่เข้าใจนัก ทว่าหาใช่เรื่องที่ต้องเก็บมาใส่ใจ เขาถอนหายใจออกมาหนักอึก่อนจะเหลียวกลับไปมองในห้องอีกครั้ง “คุณชายผู้นั้นเสียเลือดไปมากนัก…หากผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไปได้ก็นับว่าสวรรค์เมตตาและปรโลกไม่กล้าเอาชีวิต” “หมายความว่าอย่างไร…เขาจะตายงั้นหรือ” นางเอ่ยถาม “สภาพเช่นนี้...ขาข้างหนึ่งคงกำลังก้าวไปปรโลกแล้ว” ตอนที่เขาเห็นสภาพของคุณชายผู้นี้นั้น แม้ว่าบาดแผลจะไม่ได้ลึกถึงขั้นหมายจะเอาชีวิตแต่ทว่าเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุดนั้น ห้ามอยู่นานกว่าจะหยุดลงได้ หลี่จางเหว่ยได้ยินแล้ว หลี่จางเหว่ยเหลือบสายตามองไปยังหลี่จื่อหนิง เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ได้ยินแล้วหรือไม่…เอาเถอะ! หากเป็นเช่นนั้นข้าจะขุดหลุมบนภูเขาสักลูกและสลักป้ายวิญญาณให้ดีสักอัน” “เหอะ! อย่างไรเขาก็ไม่ทางตายแน่” หลี่จื่อหนิงตอบออกมาอย่างแน่วแน่ ต่อให้ต้องไปดึงเขากลับมาจากปรโลก…นางก็จะทำ!เรื่องบางเรื่องในใต้หล้านี้ หากพลาดไปแล้วก็พลาดไปเลย ไม่สามารถหวนคืนย้อนกลับไปแก้ไขได้…ความรู้สึกของนางเองก็เช่นกันแม้วันนั้นเฉิงอี้หยางจะเอ่ยปากขอโทษจากใจจริงแล้วทว่าอย่างไรกัน มันจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้?เจียงชุนหลินให้อภัยได้แต่ไม่สามารถลืมลงได้ ความรู้สึกที่ฝังลึกในใจมันยากที่จะขจัดออกไป “ทำอันใดอยู่หรือ” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาก่อนจะสวมกอดภรรยาจากทางหลัง ใบหน้าของเฉิงอี้หยางฉายแววหมองคล้ำออกมาอย่างชัดเจน ภายในใจเต็มไปด้วยความหนักอึ้งที่ไม่สามารถระบายออกมาเป็นคำพูดได้ถึงแม้เจียงชุนหลินจะพูดคุยกับเขาเช่นเดิมแล้วอย่างไรกันแต่เฉิงอี้หยางกลับรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่เหมือนเดิมเจียงชุนหลินตกใจสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนปรายสายตาเหลียวไปมองก่อนน้ำเสียงหวานเอ่ยแผ่วเบา “ท่านทำอันใดหรือ”“ข้ากอดภรรยาไม่ได้งั้นหรือ”ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้รู้สึกอึดอัดเช่นนี้กันนางวางผ้าที่กำลังปักลงจากนั้นจึงค่อยๆ ผละออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย นัยน์ตาของนางสบเข้ากับดวงตาคมกริบของเขาอย่างเย็นชา “คราวหน้าหากทำให้ข้าตกใจแบบนี้อีก…เกรงว่าข้าคงต้องโดนเข็มทิ่มตำจนเลือดออกแน่”เฉิงอี้หยางได้ยินแล้วรู้สึกแปลกใจ
“อืม…ชาดี”หลี่จื่อหนิงยกจอกน้ำชาขึ้นจิบอย่างละเมียดละไม ไม่ทันได้สังเกตว่ามีสายตาคมกริบคู่หนึ่งจับจ้องมองอยู่นานครู่หนึ่ง ก่อนจะวางจอกน้ำชาลงอย่างเชื่องช้า จากนั้นจึงหยิบขนมเปี๊ยะไส้ถั่วแดงกวนขึ้นมากัดหนึ่งรสชาติหวานมันละลายในปาก จนใบหน้าคนงามระบายยิ้มกว้างออกมาจนถึงดวงตาเฝิงอวี่เซี่ยนมองดูภาพตรงหน้าด้วยแววตาลึกล้ำไม่ได้ปริปากเอ่ยอันใดออกมาแม้แต่สักครึ่งคำ ราวกับว่ากำลังสังเกตอีกฝ่าย“มีอีกหรือไม่…?” หลี่จื่อหนิงเอ่ยถาม น้ำเสียงไม่ชัดเจน ในขณะที่ยังเคี้ยวขนมเต็มปากอย่างไร้มารยาท แก้มทั้งสองตุ้ยอัดแน่นเต็มไปด้วยขนมขนมรสเลิศถึงเพียงนี้... นางอยากห่อกลับบ้านเสียจริง!เขาเอ่ยออกมาเสียงเรียบ “เจ้าต้องการอะไรกันแน่”แม้ว่าเฝิงอวี่เซี่ยนพอจะรู้จักชื่อเสียงเรียงนางของสตรีตรงหน้านี้อยู่บ้างทว่ากลับไม่เคยพูดคุยเลยแม้แต่สักครึ่งคำ น่าแปลกนักเหตุใดนางถึงรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนไฉนถึงได้มายุ่งข้องเกี่ยววุ่นวายกับเขา…!?ใบหน้าหล่อเหล่าของเฝิงอวี่เหว่ยขมวดคิ้วมุ่นเต็มไปด้วยความสงสัย…สตรีผู้นี้ไว้วางใจได้และไร้เดียงสาอย่างที่ตาเห็นจริงๆ งั้นหรือพอได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ นางพลางเคี้ยวขนมก่อนกลืนจะลงคอแล
หานมู่เฉินพลันมองเห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งเดินพ้นขอบประตูเข้ามา ใบหน้าคมของเขาขมวดคิ้วแน่นท่าทางครุ่นคิด สายตาทอดมองอีกฝ่ายนิ่งๆ เหตุใดเขาถึงมองเห็นเป็นบุรุษผู้นั้นกันหรือคงตาฝาดไปเองทว่าในจังหวะนั้น…หานมู่เฉินกลับลุกพรวดขึ้นทันที เขาเร่งฝีเท้าก้าวเดินด้วยความเร่งรีบพุ่งตรงเข้าไปหาเฝิงอวี่เซี่ยนด้วยท่าทีร้อนรน“ข้านึกว่าเจ้าตายไปแล้วเสียอีก” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้น แฝงความรู้สึกปะปนระหว่างตื่นเต้นกับโล่งอกเอาไว้หานมู่เฉินไล่สายตามองอีกฝ่ายตั้งแต่บนลงล่างคล้ายกับสำรวจอีกฝ่ายให้แน่ใจ และเมื่อเห็นว่าไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เพิ่มเติมจึงถอนหายใจโล่งอกออกมาแม้ว่าเหตุการณ์ที่เฝิงอวี่เซี่ยนถูกเฉิงอี้หยางใช้คมดาบแทงลึกจนแทบเอาชีวิตไม่รอดในคืนวันแต่งงาน แม้จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นล่วงรู้และหลังจากนั้นจู่ๆ บุรุษผู้นี้ก็พลันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยหานมู่เฉินก็ทำใจไว้แล้วว่า รออีกวันสองวันคงต้องขุดหลุมฝังโลงเปล่าไว้รอรับร่างของเฝิงอวี่เซี่ยน ว่ากันตรงแล้วมีผู้ใดบ้างไม่ต้องการหมายจะเอาชีวิตคนผู้นี้ยิ่งเขามีสภาพอ่อนแอไร้หนทางสู้ก็เสมือนกับว่าโอกาสรอดยิ่งริบหรี่แม้แต่บุรุษผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มั
ณ จวนสกุลเฉิงภายหลังจากวันนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและนางกลับยิ่งห่างเหินกว่าตอนจะก่อนแต่งงานเสียอีกเจียงชุนหลินที่เอาแต่ปักผ้าตลอดทั้งวันไม่สนใจสิ่งใด ในขณะที่เฉิงอี้หยางที่เอาแต่นอนออกจากเรือนตั้งแต่ยามรุ่งสาง คล้ายกับกำลังจงใจหลบหน้านาง กว่าจะกลับจวนอีกครั้งก็พลบค่ำ นางก็เข้าเรือนนอนไปแล้วความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่เป็นเช่นนี้มาหลายวัน จนกระทั่งบ่าวรับใช้ในเรือนเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนจะขยับตัวทำสิ่งใดก็รู้สึกหวาดระแวงไปเสียหมด“ข้าขอโทษ…เป็นเพราะวันนั้นข้าใช้อารมณ์มากเกินไปจึงพูดจาเช่นนั้นออกมา” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาแผ่วเบาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดเขาไม่ชอบที่ต้องเห็นนางเป็นเช่นนี้วันนี้เฉิงอี้หยางจงใจรั้งอยู่ที่จวน เขาตื่นสายกว่าทุกวันเล็กน้อยเพื่อจะพูดคุยกับภรรยาทว่าเมื่อเห็นนางตื่นขึ้นมาเอาแต่ล้างหน้า บ้วนปาก และเปลี่ยนอาภรณ์ไม่ปริปากพูดอันใดออกมา จนกระทั่งมื้อเช้าเสร็จสิ้น เขากลับรู้สึกกระอักกระอ่วนจนต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาก่อนสายตาคมกริบเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างเงียบๆพอได้ยินถ้อยคำนี้ เจียงชุนหลินกำลังจะตักโจ๊กเข้าปากก็ต้องหยุดชะงักไปก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อยพลางวางช้อนลงบ
หลายวันผ่านไป…ไม่ว่าเขาจะย่างกรายไปที่ใดหรือแม้แต่ทำสิ่งใดก็มักจะรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องอยู่ตลอดเวลา คราแรกเขานั้นรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อยแต่เมื่อวันเวลาผ่านไปกลับกลายเป็นความเฉยชาหากสตรีผู้นี้คิดอยากจะทำสิ่งใดก็ปล่อยให้นางทำไปเถอะ เขาหาได้ใส่ใจไม่เฝิงอวี่เซี่ยนนอนเอนกาย หลับตาลงผ่อนคลาย ก่อนที่ความคิดบางอย่างจะผุดขึ้นมา...นานเท่าใดแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเช่นนี้?เกรงว่าคงเกือบสิบปีได้แล้วกระมัง นับตั้งแต่จวนสกุลเฝิงประสบเคราะห์อันน่าหวาดกลัวนับตั้งแต่นั้นมาเฝิงอวี่เซี่ยนใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง ไร้พ่อแม่ให้พึ่งพิง ไร้ญาติสนิทมิตรสหายที่จริงใจ ผู้คนรอบกายล้วนถือมีดซ่อนไว้เบื้องหลังหากเขาพลาดเมื่อไหร่ก็พร้อมจะลงมือ สายตานับสิบคู่จับจ้องเขาอยู่ทุกฝีก้าวและแม้ว่าจะได้กินอิ่มแต่ไม่อาจข่มตานอนหลับได้อย่างสบายใจจนกระทั่งสองสามปีมานี้…ราวกับสวรรค์ลิขิตให้เขาได้พบเจียงชุนหลิน นางคือคนผู้เดียวที่อยู่เคียงข้างเขาโดยมิได้คาดหวังสิ่งมดทั้งสิ้น ทว่าหากสวรรค์ลิขิตให้พานพบแล้ว…ไฉนจึงมิได้ลิขิตเส้นด้ายแดงเส้นวาสนาให้แก่กันด้วยเล่าเหอะ! ท่าทางเคลิบเคลิ้มเช่นนี้ เกรงว่าบุรุษผู้นี้คง
บาดแผลจากรอยแทงของเฝิงอวี่เซี่ยนนับว่าสาหัสอยู่มาก ตอนที่เชิญท่านหมอมารักษายังเอ่ยปากว่า บุรุษผู้นี้ก้าวขาข้างหนึ่งเข้าสู่ปรโลกแล้ว หากจะมีชีวิตรอดต่อไปได้ล้วนขึ้นอยู่กับโชคชะตาที่สวรรค์ลิขิตยามนี้นั้น ผ้าพันแผลสีขาวที่พันรอบเริ่มซึมไปด้วยโลหิตสีแดงฉานคาดว่าบาดแผลคงปริแตกแล้ว“เฝิงอวี่เซี่ยน!”น้ำเสียงหวานร้องด้วยความตกใจ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งมองเลือดที่ไหลทะลักออกมาไม่หยุดนางไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เขาเจ็บหนักกว่าเดิมแต่ผู้ใดใช้ให้เขาบีบคอนางจนแทบหมดหนทางหายใจเล่า!เฝิงอวี่เซี่ยนพลันยกมือกุมบาดแผลพลันกระอักเลือดออกมาอีกครา ใบหน้าของเขาแสดงความเจ็บปวดออกมาอย่างปิดไม่มิดก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “ออกไปให้ห่างจากข้า”หลี่จื่อหนิงยื่นมือออกไปหมายจะตรวจดูบาดแผล ทว่าจู่ๆ มือหนากลับปัดออกอย่างไม่ไยดี“ข้าขอดูหน่อย” นางกล่าวขึ้นอย่างร้อนใจเฝิงอวี่เซี่ยนเหลือบมองสตรีตรงหน้า สายตาคมกริบฉายด้วยความแข็งกร้าว มุมปากหนาโค้งยกยิ้ม “ข้าไม่ต้องการเป็นหนี้บุญคุณผู้ใดอีก”พอได้ยินประโยคนี้ นางชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าสบตากับอีกฝ่ายทันที หลี่จื่อหนิงพลันหัวเราะออกมาเบาๆ กล่าวเสียงความหนักแน่น “ชีวิตของท่าน