“อาหนิง!”
หลี่จื่อหนิงพลันหันขวับไปมองทางต้นเสียงทันที สายตามองเห็นบุรุษผู้หนึ่งก่อนจะตะโกนน้ำเสียงเต็มไปด้วยความร้อนรน “เร็วเข้า! บุรุษผู้นี้จะตายอยู่แล้ว” ตอนนี้นางไม่สนว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด ขอเพียงแค่สามารถช่วยชีวิตเฝิงอวี่เซี่ยนเอาไว้ได้ก็ก็พอแล้ว สีหน้าของหลี่จางเหว่ยขมวดคิ้วมุ่นงุนงงไม่น้อย “เจ้ากำลังทำอันใดอยู่หลี่จื่อหนิง” เดิมทีนั้นพอได้ข่าวว่าเฉิงอี้หยางจะร่วมกราบไหว้ฟ้าดินกับเจียงชุนหลินและรับสตรีผู้นี้เป็นภรรยา หลี่จื่อหนิงย่อมรู้ใจไม่พอใจที่บุรุษที่นางหมายปองนั้นไปแต่งงานกับสตรีทั้งที่นางชมชอบและรักใคร่อีกฝ่ายมาเนิ่นนานหลายปีทั้งเอาแต่ร้องโวยวายว่าจะพังงานมงคลในวันนี้ให้ได้ แน่นอนว่าหลี่จางเหว่ยรู้สึกแปลกใจและคิดเอาไว้อยู่แล้วว่างานแต่งในวันนี้ต้องเกิดเรื่องแน่! แต่สิ่งที่ทำให้หลี่จางเหว่ยตกตะลึงยิ่งกว่านั้นก็คือ... เหตุใดเฉิงอี้หยางถึงยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ในขณะที่หลี่จื่อหนิงกลับกำลังโอบอุ้มร่างของบุรุษอีกคนที่อาบไปด้วยเลือด…!? “ช่วยข้าด้วย!” หลี่จื่อหนิงยังตะโกนร้องสุดเสียง หัวใจของนางกระตุกวูบ ร่างของเฝิงอวี่เซี่ยนในอ้อมแขนเย็นเฉียบขึ้นทุกขณะ หลี่จางเหว่ยได้ยินเสียงร้องจึงรีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ดวงตาคมมองไปยังร่างของบุรุษผู้หนึ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นน้องสาวซ้ำอาภรณ์ยังเปียกชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงไหลนองเต็มพื้นไปหมด เหตุใดถึงดูคุ้นหน้านัก…เฝิงอวี่เซี่ยน!? “เหตุใดถึงไปยุ่งเกี่ยวกับคนผู้นี้!” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามออกด้วยความตกใจ สายตาคมกริบสบเข้ากับดวงตาของหลี่จื่อหนิง “ได้โปรดช่วยเขาด้วย…” นางเอ่ยออกมาอย่างสั่นเครือพยายามตั้ง ยามนี้บุรุษผู้นี้ไม่มีเวลามากนักและไม่แน่ว่าปานนี้นั้นเฝิงอวี่เซี่ยนคงเดินถึงดินแดนปรโลกแล้วกระมัง เรื่องอื่นแม้ว่าจะงุนงงสงสัยมากเพียงใดก็เอาไว้ก่อนเถิด “วางมันลงซะอาหนิง!” หลี่จางเหว่ยปฏิเสธ แม้ว่าจะเป็นหรือตายอย่างไรคนผู้นี้ก็ไม่สมควรเอาตัวไปข้องเกี่ยวให้เกิดความวุ่นวายยุ่งยากตามมาทีหลัง หมายความว่าอย่างไรกัน!? หัวคิ้วของนางขมวดมุ่นไม่เข้าใจ “ไม่!” “ข้า…ข้าจะช่วยเขาเอง” เจียงชุนหลินเอ่ยขึ้นอีกครั้งภายหลังจากยืนมองอยู่นานไม่พูดจา พอเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ภายในใจของนางย่อมเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดนึกโทษตัวเองไม่น้อย หลี่จื่อหนิงถ้อยหายใจด้วยความหงุดหงิดใจ “อย่าได้ริอาจแตะต้องเขาอีกเป็นอันขาด!” ที่เฝิงอวี่เซี่ยนต้องมีสภาพเช่นนี้ก็เพราะสตรีผู้นี้! หลี่จางเหว่ยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สายตาของเขาฉายแววไม่เห็นด้วย “เจ้าไม่รู้หรือไรจื่อหนิงว่าบุรุษที่เจ้ากำลังคิดจะช่วยคือผู้ใดกันแน่” เหตุใดถึงเอาแต่ถามไม่หยุดจนน่ารำคาญเช่นนี้! หลี่จื่อหนิงขมวดคิ้วแน่น นางไม่เข้าใจว่าบุรุษผู้นี้เป็นอะไรไปเห็นคนเจ็บเจียนตายแล้วยังไม่คิดจะช่วยอีกรึ “เห็นคนใกล้ตายเช่นนี้ไฉนท่านถึงนิ่งดูดาย!” นางตวาดเสียงแหลมด้วยความโมโหร้อนรนจนแทบจะทนไม่ไหว “เขากำลังจะตายอยู่แล้ว!” เกรงว่าน้องสาวผู้นี้ของเขาคงโง่งมเกิดกว่าจะเข้าใจได้กระมัง จื่อหยางจ้องสบตากับหลี่จื่อหนิงที่เต็มไปด้วยความดื้อดึง ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “เพราะบุรุษผู้นี้คือเฝิงอวี่เซี่ยนมิต่างจาก ตัวร้ายของแผ่นดินที่ทุกผู้คนอยากให้ตาย” “แต่ข้าไม่อยากให้เขาตาย!” นางตวาดลั่นด้วยความโกรธ “แม้แต่ปรโลกก็ไม่มีสิทธิ์พรากเขาไปหากข้าไม่อนุญาต!” กว่านางจะวิงวอนขอความช่วยเหลือจากบุรุษผู้นั้นได้ก็ทำให้นางเกือบหมดความอดทน ยามนี้ใบหน้าคนงามขมวดคิ้วอารมณ์ย่ำแย่เต็มไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัดเจน หลี่จื่อหนิงเดินไปเดินมาหน้าประตูไม่หยุดพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า เข้าไปนานปานนี้แล้วไม่รู้ว่าแม้แต่หมอเทวดาจะสามารถยื้อชีวิตเฝิงอวี่เซี่ยนให้รอดพ้นจากปรโลกเอาได้หรือไม่ “เจ้ามาเดินวนไปวนมาทำไมกัน…ข้าปวดหัวจะตายแล้ว” “…” หลี่จื่อหนิงชะงักฝีเท้าก่อนจะค่อยๆ ปรายสายตาหันไปมองทางต้นเสียง นัยน์ตาเมล็ดซิ่งฉายแววครุ่นคิดออก หากการที่นางทะลุมิติเข้ามาเพื่อช่วยเหลือตัวร้าย…เช่นนั้นได้โปรดสวรรค์เห็นใจอย่างได้หมายจะเอาชีวิตเขาไปเถิด น้ำเสียงของหลี่จางเหว่ยเต็มไปด้วยความรำคาญ เขามอง เห็นสตรีตรงหน้าเดินวนไปวนมาก็พลันเกิดความรู้สึกหงุดหงิด “เหตุใดถึงกังวลเป็นห่วงบุรุษผู้นั้นมากถึงขนาดนี้” เขาสงสัยไม่น้อย… เพราะเหตุใดกัน!? “หลี่จื่อหนิง! เจ้าเป็นทำอะไรไปแล้ว” หลี่จางเหว่ยย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าสตรีผู้นี้มีนิสัยดื้อรั้นทำตามใจตัวเองและไม่สนใจสิ่งใดทว่าเขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด ไฉนจำต้องช่วยเหลือเฝิงอวี่เซี่ยนเอาตัวไปเกี่ยวข้อง นางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เห็นคนถูกแทงจนเกือบตายแล้วข้าจะทนมองดูจิตใจแข็งกระด้างได้อย่างไรกัน” “คนผู้นั้นคือเฝิงอวี่เซี่ยนเผื่อเจ้าลืมไปแล้ว!” “แล้วอย่างไร?” หลี่จื่อหนิงถามกลับอย่างไร้ความเกรงกลัว สำหรับนางแล้ว…เฝิงอวี่เซี่ยนคือตัวร้ายผู้น่าสงสาร! หลี่จื่อหนิงรู้สึกว่าเฝิงอวี่เซี่ยนที่ได้รับบทตัวร้ายในนิยายนั้นถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เขาถูกใส่ความกล่าวหาว่าวางแผนฆ่าล้างสกุลเฝิงจนเหลือเพียงแผ่นป้ายวิญญาณ แล้วเหตุเฝิงอวี่เซี่ยนต้องทำเช่นนั้นเล่า…!? เหตุใดเขาถึงเดิมพันชีวิตยอมแลกกับทุกอย่างแล้วต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่เหลือผู้ใดข้างกายเช่นนี้และหากจำไม่ผิดตอนที่เฝิงอวี่เซี่ยนเพียงอายุแค่สิบห้าปีเท่านั้น นางไม่เข้าใจเลยจริงๆ เพราะเฝิงอวี่เซี่ยนไม่ใช่ลูกรักของนักเขียนอย่างงั้นรึ หลี่จางเหว่ยพลางถอนหายใจหนักอึ้งออกมา เขาไม่รู้จะพูดอย่างไรให้น้องสาวผู้โง่งมเข้าใจ “ข้าไม่มีทางยอมให้เจ้าเอาตัวเองไปข้องเกี่ยวคนเฉกเช่นนั้นแน่…หากรักษาจนหายดีแล้วก็เอาไปทิ้งไว้ข้างทางซะ” !!! พอได้ยินประโยคนี้แล้ว ใบหน้าคนงามขมวดคิ้วมุ่นทันที “ข้าไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่!” “ที่ผ่านมาเจ้าดื้อรั้นไม่สนใจถูกผิด…เรื่องนั้นข้าย่อมไม่เก็บมาใส่ใจให้มากความ” หลี่จางเหว่ยกล่าวออกมาเสียงเรียบ ดวงตาคมกริบสบเข้ากับนัยน์ตาคู่งามของนางด้วยความจริงจัง “ทว่าครั้งนี้ข้าจำเป็นต้องขัดใจไม่เห็นด้วยกับเจ้าจริงๆ อาหนิง” เฝิงอวี่เซี่ยน…ไม่น่าคบหาถึงเพียงนั้นเลยหรือไร “ทว่าเฝิงอวี่เซี่ยนไม่มีผู้ใดอยู่ข้างกายแล้ว…หากข้าหันหลังให้เขาอีกคนเช่นนั้นก็คงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปตลอดชีวิตอีกครั้ง” “แล้วข้าเล่า…ข้ามีน้องสาวเพียงผู้เดียวเท่านั้นหลี่จื่อหนิง” หลี่จางเหว่ยรับราชการเป็นขุนนางในราชสำนักย่อมได้ยินข่าวลือต่างๆ ของเฝิงอวี่เซี่ยนและบรรพบุรุษสกุลเฝิงมาบ้าง แม้ว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นจะสร้างความตกใจให้แก่ผู้คนในเมืองหลวงไม่เว้นแม้กระทั่งฮ่องเต้กับความโหดเหี้ยมไร้หัวใจของบุรุษผู้นั้นถึงขั้นเอ่ยปากให้สังหารไม่ยกเว้น แต่คล้ายสวรรค์ยังเห็นใจไม่รับคนเลวเช่นนี้ ผู้คนที่เคยเกี่ยวข้องสนิทสนมกับบรรพบุรุษสกุลเจียงเห็นว่าเหตุการณ์ในครานี้เฝิงอวี่เซี่ยนถูกใส่ร้ายจึงร้องขอให้มีการสอบสวนอีกครั้ง ทว่าจู่ๆ ในยามนั้นภายในวังหลวงพลันมีคลื่นลูกใหญ่เกิดการแย่งชิงอำนาจในราชสำนักจึงทำให้บัลลังก์มังกรสั่นคลอนไปด้วย คดีของเฝิงอวี่เซี่ยนยังคงค้างคาต้องรีบจัดการให้เสร็จสิ้นจึงเปลี่ยนจากประหารให้มีการไตร่สวนใหม่อีกครั้ง เฝิงอวี่เซี่ยนจึงลดโทษเพียงแค่ถูกจำคุกไม่กี่ปีเท่านั้น เรื่องนี้ย่อมเกิดความคลุมเครือไม่กระจ่างในสายตาของเหล่าขุนนางหลายคน…ราวกับต้องการให้บุรุษผู้นี้รอดชีวิตไม่ยินยอมให้ตายไปง่ายๆ ในขณะเดียวกันนั้นเสียงประตูพลันถูกผลักออกมาก่อนที่ท่านหมอชราจะเดินออกมาในสภาพที่ไม่ค่อยดูดีนัก อาภรณ์สีขาวนั้นเปียกชุ่มไปด้วยเลือด หลี่จื่อหนิงละความสนใจจากบุรุษผู้นี้ ปรายสายตารีบเร่งฝีเท้าเดินไปทันที “เขาเป็นอย่างไรบ้าง” น้ำเสียงหวานเอ่ยถามด้วยความกระวนกระวาย สายตาของนางพลันสอดส่องเข้าไปในเรือน “มีผู้ใดตายในจวนข้าหรือไม่” หมอชราปรายมองสตรีและบุรุษเบื้องหน้าสลับกันไปมาด้วยความไม่เข้าใจนัก ทว่าหาใช่เรื่องที่ต้องเก็บมาใส่ใจ เขาถอนหายใจออกมาหนักอึก่อนจะเหลียวกลับไปมองในห้องอีกครั้ง “คุณชายผู้นั้นเสียเลือดไปมากนัก…หากผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไปได้ก็นับว่าสวรรค์เมตตาและปรโลกไม่กล้าเอาชีวิต” “หมายความว่าอย่างไร…เขาจะตายงั้นหรือ” นางเอ่ยถาม “สภาพเช่นนี้...ขาข้างหนึ่งคงกำลังก้าวไปปรโลกแล้ว” ตอนที่เขาเห็นสภาพของคุณชายผู้นี้นั้น แม้ว่าบาดแผลจะไม่ได้ลึกถึงขั้นหมายจะเอาชีวิตแต่ทว่าเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุดนั้น ห้ามอยู่นานกว่าจะหยุดลงได้ หลี่จางเหว่ยได้ยินแล้ว หลี่จางเหว่ยเหลือบสายตามองไปยังหลี่จื่อหนิง เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ได้ยินแล้วหรือไม่…เอาเถอะ! หากเป็นเช่นนั้นข้าจะขุดหลุมบนภูเขาสักลูกและสลักป้ายวิญญาณให้ดีสักอัน” “เหอะ! อย่างไรเขาก็ไม่ทางตายแน่” หลี่จื่อหนิงตอบออกมาอย่างแน่วแน่ ต่อให้ต้องไปดึงเขากลับมาจากปรโลก…นางก็จะทำ!ภายในเรือนหอประดับประดาตกแต่งอย่างงดงาม โคมไฟสีและแสงเทียนสีแดงส่องแสงวูบไหวสะท้อนเงาลวดลายมงคลบนผ้าปูเตียงลายคู่นกยวนยาง ทั่วทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นของกำยานหอมจางๆ ราวกับพรให้กับคู่บ่าวสาวที่พึ่งแต่งงานใหม่เฝิงอวี่เซี่ยนยืนอยู่เบื้องหน้าม่านสีแดงสด…เขาสวมใส่อาภรณ์สีแดงเข้มมงคลที่ปักลวดลายอย่างประณีต ท่าทางสงบนิ่งดังเดิมทว่าภายในดวงตาคมกริบกลับสะท้อนแววอ่อนโยนออกมาอย่างปิดไม่มิดในยามนี้หลี่จื่อหนิงนั่งอยู่หลังม่าน ใต้ผ้าคลุมหน้าสีแดงใบหน้าของนางร้อนผ่าวเล็กน้อย จู่ๆ หัวใจก็เต้นกระหน่ำขึ้นมาแม้จะพยายามสงบอารมณ์ให้เป็นปกติก็ตามนางไม่รู้ว่าด้านนอกเขากำลังทำสีหน้าเช่นไรและไม่รู้ว่าเขาจะก้าวเข้ามาหานางเมื่อใด…หลี่จื่อหนิงฟังแต่เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ด้วยความประหม่า“วันนี้ทำเจ้าเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย” น้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นที่เบื้องหน้า เฝิงอวี่เซี่ยนค่อยๆ ก้าวเดินอย่างแผ่วเบานางเม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะตอบออกมาเบาๆ“อืม...” วันนี้นางเหนื่อยมาจริงๆ หลี่จื่อหนิงถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ท้องฟ้ายังมืดสนิทมิหนำซ้ำแล้ว ตลอดทั้งวันนางยังถูกพิธีการต่างๆ เคี่ยวกรำอย่างหนักกว่าจะได้พักผ่อนก็เ
เนิ่นนานหลายปีกว่าเฝิงอวี่เซี่ยนจะลบคำกล่าวหาได้…แม้ว่าคนผู้นั้นจะไม่ได้ลงไปคุกเข่าต่อบรรพชนสกุลเฝิงที่ปรโลกแล้วอย่างไรกัน แต่ทว่าในตอนนี้มีสภาพย่ำแย่แม้แต่ขุดหลุมหนียังทำไม่ได้“นายท่านเจ้าคะ...คุณหนูหลี่มาขอพบเจ้าค่ะ”เสียงสาวใช้ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด มือที่กำลังตวัดพู่กันอย่างสงบนิ่งพลันชะงัก เฝิงอวี่เซี่ยนวางพู่กันลงบนแท่นหมึกอย่างไม่รีบร้อนก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง“นางมาแล้วหรือ”ใบหน้าที่เรียบเฉยมาตลอดทั้งวัน ทว่าบัดนี้กลับปรากฏรอยยิ้มจางๆ ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเหล่าสาวใช้ที่เฝ้ามองนายท่านของตนลอบขนลุกไม่น้อย แม้ว่าพวกนางจะคุ้นชินกับสีหน้าดังกล่าวมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลัง แต่ก็ยังอดรู้สึกแปลกประหลาดมิได้คงมีเพียงแต่คุณหนูหลี่เท่านั้นกระมังที่นายท่านยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเช่นนี้“อวี่เซี่ยน!”น้ำเสียงหวานเจื้อยแจ้วดังขึ้นด้านนอกเรือน เฝิงอวี่เซี่ยนลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วจากนั้นจึงก้าวออกไปหาอีกฝ่าย สายตาคมกริบเต็มไปด้วยความคะนึงหาหลี่จื่อหนิงเข้าออกจวนสกุลเฝิงราวกับเป็นจวนของอีกหลังของตนเอง และไม่มีผู้ใดกล้าปริปากห้ามปราม ใบหน้างามของนางประดับด้วยรอยยิ้มแจ่มใส ดวงตากลมโตกวาดมองสอดส
เกรงว่าคงเป็นนางที่ตาฝาดไปเองกระมัง…หลี่จื่อหนิงหรี่สายตาลงเพ่งมองบุรุษตรงหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าพลางกระพริบตาถี่ๆ อย่างไม่อยากเชื่อสายตาราวกับว่าตาฝาดมองเห็นผิดเพี้ยนไปเหตุใดบุรุษผู้นี้ถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ได้กัน…!?นางกำลังนอนหลับอย่างสบายใจ ทว่าสะดุ้งตื่นเมื่อสาวใช้เข้ามาปลุกบอกว่ามีคุณชายผู้หนึ่งมาหาถึงจวน เดิมทีหลี่จื่อหนิงขี้เซาไม่น้อยกว่าจะลืมตาตื่นลุกขึ้นมาจากเตียงได้ก็ใช้เวลาอยู่นานเอาแต่พลิกกายบิดขี้เกียจซ้ำแล้วซ้ำเล่าทว่าพอได้ยินสาวใช้กล่าวเช่นนั้น นางก็พลันตื่นเต็มตา ลุกพรวดขึ้นจากทันทีนางจะรู้จักผู้ใดได้อีกเล่านอกจากเฝิงอวี่เซี่ยน!แล้วเหตุใดจึงบุกมาหานางถึงจวนแต่เช้าตรู่เช่นนี้อย่างเร่งร้อนราวกับมีเรื่องด่วน…หรือเขาถูกทางการตามจับได้แล้ว?“มาหาข้ามีเรื่องอันใดกัน” นางเอ่ยถามด้วยเสียงแข็ง พลางเชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อยราวกับมิได้ใส่ใจ ทั้งที่ในใจนั้นกลับร้อนรนอยากจะเค้นความจากปากอีกฝ่ายออกมาตอนนี้ให้ได้หลี่จางเหว่ยซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ พอได้ยินประโยคก่อนหน้าจึงเอ่ยแทรกขึ้นทันที “เช้าปานนี้ต่อให้เป็นฮ่องเต้…จวนสกุลหลี่ก็ปิดประตูไม่รับแขก” เขาเอ่ยออกมาเสียงเรียบ“เจ้าค่ะ”เหล่าส
ตลอดสองสามวันที่ผ่านมา เจียงชุนหลินเอาแต่ทำตัววุ่นวายคอยหลีกเลี่ยงที่จะพบหน้าหรือไม่แม้แต่จะสบตาเฉิงอี้หยางเพียงแวบเดียวเลยด้วยซ้ำ…นางโกรธเขาไม่น้อยทว่าในใจก็สับสนว้าวุ่นเสียจนไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรต่อไป“แม่…กลายเป็นภาระของเจ้าหรือไม่?”น้ำเสียงอ่อนล้าของเจียงฮูหยินขึ้นพร้อมกับเอื้อมมือมากอบกุมมือของบุตรสาวไว้แน่น ดวงตาของนางฉายแววเวทนาตนเองไม่น้อยเจียงชุนหลินได้ยินแล้วพลางเงยหน้ามองมารดา นางเม้มฝีปากแน่นภาระหรือ…?ยามนี้ จวนสกุลเจียงที่เคยสูงศักดิ์กลับร่วงหล่นลงมาเพียงชั่วพริบตาทุกสิ่งทุกอย่างสูญสิ้นไปจนไม่หลงเหลือสิ่งใดภายหลังเหตุการณ์ไฟไหม้ในคืนนั้น บิดาของนางพลันถูกเรียกตัวเข้าวังกะทันหันถึงขั้นส่งทหารจากวังหลวงมาตามถึงที่จวนสกุลเฉิงเพื่อสอบสวนคดีทุจริตในราชสำนัก ซึ่งเป็นการตรวจสอบย้อนหลังไปหลายสิบปี ตั้งแต่ยามที่ท่านพ่อรับราชการเป็นขุนนางครั้งแรกมิใช่ว่าที่ผ่านมานางไม่รู้เลยแม้แต่น้อยแต่ทว่า…ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาบิดาพยายามชุบตัวให้ใสสะอาดเสมือนสายน้ำแต่ภายในกลับเป็นน้ำที่ตกตะกอนเพียงแค่มีผู้ยื่นมือไปกวนก็พลันขุ่นมัวขึ้นมาที่ผ่านมาล้วนกล่าวได้ว่าสวรรค์บังตาหรือเห็นใจกันแน่ถึง
ตลอดสองสามวันที่ผ่านมา เจียงชุนหลินเอาแต่ทำตัววุ่นวายคอยหลีกเลี่ยงที่จะพบหน้าหรือไม่แม้แต่จะสบตาเฉิงอี้หยางเพียงแวบเดียวเลยด้วยซ้ำ…นางโกรธเขาไม่น้อยทว่าในใจก็สับสนว้าวุ่นเสียจนไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรต่อไป“แม่…กลายเป็นภาระของเจ้าหรือไม่?”น้ำเสียงอ่อนล้าของเจียงฮูหยินขึ้นพร้อมกับเอื้อมมือมากอบกุมมือของบุตรสาวไว้แน่น ดวงตาของนางฉายแววเวทนาตนเองไม่น้อยเจียงชุนหลินได้ยินแล้วพลางเงยหน้ามองมารดา นางเม้มฝีปากแน่นภาระหรือ…?ยามนี้ จวนสกุลเจียงที่เคยสูงศักดิ์กลับร่วงหล่นลงมาเพียงชั่วพริบตาทุกสิ่งทุกอย่างสูญสิ้นไปจนไม่หลงเหลือสิ่งใดภายหลังเหตุการณ์ไฟไหม้ในคืนนั้น บิดาของนางพลันถูกเรียกตัวเข้าวังกะทันหันถึงขั้นส่งทหารจากวังหลวงมาตามถึงที่จวนสกุลเฉิงเพื่อสอบสวนคดีทุจริตในราชสำนัก ซึ่งเป็นการตรวจสอบย้อนหลังไปหลายสิบปี ตั้งแต่ยามที่ท่านพ่อรับราชการเป็นขุนนางครั้งแรกมิใช่ว่าที่ผ่านมานางไม่รู้เลยแม้แต่น้อยแต่ทว่า…ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาบิดาพยายามชุบตัวให้ใสสะอาดเสมือนสายน้ำแต่ภายในกลับเป็นน้ำที่ตกตะกอนเพียงแค่มีผู้ยื่นมือไปกวนก็พลันขุ่นมัวขึ้นมาที่ผ่านมาล้วนกล่าวได้ว่าสวรรค์บังตาหรือเห็นใจกันแน่ถึง
หลี่จื่อหนิงเงยหน้ามองเฝิงอวี่เซี่ยนตาปริบๆ คล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน นัยน์ตาเมล็ดซิ่งหรี่ลงราวกับกำลังจับผิดอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยออกมา “เหอะ! ข้าจะเชื่อได้อย่างไร”เพียงแค่แม่ดอกบัวขาวนางนั้นปรากฏตัวขึ้น…เขาก็รีบตามติดราวกับสุนัขที่เจอเจ้าของแล้ว!ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเฝิงอวี่เซี่ยนจึงต้องสนใจความรู้สึกของนางนัก มุมปากหนาโค้งยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นแล้วก้าวมายืนอยู่ตรงหน้า สายตาคมกริบเพ่งมองหลี่จื่อหนิงจากนั้นจึงโน้มใบหน้าลงมาใกล้“แล้วต้องทำอย่างไรเล่าเจ้าถึงจะเชื่อข้า” น้ำเสียงทุ้มแหบพร่าพูดอย่างแผ่วเบาหลี่จื่อหนิงส่ายหน้าไปมา “ช่างเถอะ…ท่านจะชอบผู้ใดแล้วมันเกี่ยวอันใดกับข้า”หากว่ากันตามตรงแล้ว เรื่องความรู้สึกของจิตใจปล่อยให้เขาจัดการเองเถอะ นางหาได้สอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือสร้างความวุ่นวายให้…ขอเพียงเฝิงอวี่เซี่ยนมีชีวิตรอดอยู่ถึงวันพรุ่งนี้ก็พอ!!!ทว่าในจังหวะเดียวกันนั้น เพียงชั่วพริบตาเดียวหลี่จื่อหนิงยังไม่ทันได้ตั้งตัวกลับต้องสะดุ้งด้วยความตกใจทันที ฝ่ามือหนาเอื้อมมาประคองใบหน้าคนงามอย่างอ่อนโยน นิ้วโป้งลูบผ่านแก้มนุ่มนิ่มราวกับสำรวจความรู้สึกของนางก่อนที่จู่ๆ เฝิงอวี่เ