ส่วนสุพิชญา เมื่อพูดคุยกับคนในกองเสร็จแล้ว เธอก็เดินมาที่รถเพื่อจะกลับบ้านไปพักผ่อนเสียหน่อยแล้วค่อยไปที่งานเลี้ยงปิดกล้อง แต่เมื่อมาถึงกลับพบว่าข้างรถเธอ มีชายชราเดินจะล้มแหล่มิล้มแหล่อยู่แล้ว เธอจึงรีบเดินเข้ามาพยุงทันที
“คุณตาค่ะ ไหวไหมคะ เดี๋ยวฉันจะพยุงไปนั่งที่ม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ก่อนนะคะ” หญิงสาวพูดขึ้นมาอย่างอ่อนโยน เมื่อกวาดสายตาไปพบชุดหินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ จากนั้นจึงรีบพาชายชราคนนี้ไปนั่งลง ในใจเธอก็บ่นลูกหลานของคุณตาคนนี้ ที่ปล่อยให้คนแก่ออกมาจากบ้าน
“ขอบใจมากแม่หนู” ชายชราตอบกลับเสียงแหบพร่า แล้วพยักหน้าให้หญิงสาวพยุงไปนั่งแต่โดยดี
“คุณตาหิวน้ำใช่ไหมคะ รอฉันแป๊บหนึ่งนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปซื้อน้ำมาให้”
เมื่อมาถึงก็เห็นว่าคุณตาคนนี้เหมือนอยากจะดื่มน้ำ เธอจึงพูดออกมาอย่างใส่ใจ จากนั้นก็รีบวิ่งไปที่ร้านขายของชำที่อยู่ไม่ไกล นอกจากได้น้ำมาแล้ว ยังได้ของกินมาอีกหลายอย่าง
จากนั้นจึงกลับมาเพื่อเอาของทุกอย่างที่ซื้อมาให้กับชายชราตรงหน้าทันที
“ดื่มน้ำก่อนค่ะคุณตา” เธอหยิบขวดน้ำออกมาจากถุงแล้วรีบเปิดแล้วส่งให้ชายชรา
หลังจากดื่มน้ำเสร็จแล้ว ชายชราคนนี้ก็ยิ้มกว้างแล้วพูดขอบคุณหญิงสาวอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบใจมากนะ ตาไม่มีอะไรจะตอบแทนเลย อ้อ...ตามีเพียงสร้อยที่ถักเอง หากไม่รังเกียจก็ช่วยรับไว้หน่อยได้ไหม”
พูดจบชายชราก็ยื่นเชือกถักสำหรับข้อมือสีแดงส้มให้กับเธอ
“ยินดีค่ะ สร้อยสวยมาก ขอบคุณมากนะคะ ว่าแต่คุณตาจะให้ฉันไปส่งที่บ้านหรือเปล่า ฉันไปส่งได้นะ” สุพิชญารับมาสร้อยถักมาอย่างไม่รังเกียจ ในใจก็คิดว่าคุณตาคนนี้คงถักด้วยตัวเอง และมันไม่มีค่างวดอะไรเธอจึงรับมาเพื่อรักษาน้ำใจอีกฝ่าย เพราะถ้าเป็นของราคาแพง เธอคงไม่รับมาเหมือนกัน
“ไม่เป็นไรหรอก บ้านตาอยู่ไม่ไกล เดี๋ยวค่อย ๆ เดินกลับไปเองได้ แม่หนูกลับบ้านเถอะ ตาขอให้แม่หนูเดินทางปลอดภัยนะ” ชายชราพูดออกมาอย่างคนแก่ใจดี พร้อมกับยิ้มให้เธออย่างอบอุ่น
สุพิชญาได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อนนะคะ ขอบคุณสำหรับสร้อยข้อมือเส้นนี้”
เธอพูดพร้อมกับชูข้อมือที่ใส่สร้อยถักเรียบร้อยแล้วให้อีกฝ่ายดู ก่อนจะโบกมือลาอีกครั้งแล้วเดินกลับมาที่รถของตนเอง
ชายชรามองตามไปพร้อมรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นหากหญิงสาวหันกลับมาเห็นคงขนลุกน่าดู
“ฉันช่วยเธอได้เท่านี้นะ หลี่ชิงเหยา” ชายชราพูดออกมาอย่างแผ่วเบา พูดจบร่างของชายชราก็หายไปจากตรงนั้น
หลังจากกลับมาถึงบ้าน หญิงสาวก็บอกแม่บ้านให้ทำอาหารให้ เนื่องจากในตอนที่เล่นฉากสุดท้ายนั้นเธอเสียพลังงานไปเยอะ ถึงแม้ว่าคืนนี้จะมีกินเลี้ยงปิดกล้อง แต่ตอนนี้ขอกินข้าวรองท้องก่อนก็แล้วกัน
“ป้าสาค่ะ พลอยหิวข้าวมากเลย วันนี้มีอะไรกินบ้างคะ” หญิงสาวพูดกับแม่บ้านที่ดูแลเธอมานาน น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นช่างออดอ้อนเสียจริง ทำเอาแม่บ้านอย่างสาริการีบเข้ามาหาอย่างทันที
“คุณพลอยอยากกินอะไรคะ อาหารเย็นยังไม่เสร็จซะด้วยสิ แต่เดี๋ยวป้าจะทำให้กินก่อนนะคะ” ป้าสาพูดขึ้นมาอย่างใส่ใจ
“พลอยอยากกินข้าวผัดกะเพราหมูกับไข่เจียวค่ะ รบกวนทำให้พลอยหน่อยนะคะ ตอนนี้หิวข้าวมากเลย” เธอพูดไปก็ทำท่าเบ้ปากเล็กน้อยพร้อมกับลูบท้องให้ดูว่ากำลังหิวมากจริง ๆ ภาพนี้สร้างความเอ็นดูให้กับสาริกาไม่น้อยเลยทีเดียว
“ได้เลยค่ะ เดี๋ยวป้าสาจะทำให้นะคะ คุณหนูไปรอที่ห้องก่อนได้เลย ถ้าทำเสร็จแล้วป้าสาจะให้นังเปียไปตามที่ห้องนะคะ” สาริกาพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มเอ็นดูคนตรงหน้า
สาริกามองคุณหนูพลอยของตนอย่างรักใคร่พร้อมกับคิดในใจ ‘โตขนาดนี้แล้วไม่คิดว่าคุณหนูจะยังทำตัวไม่ต่างกับเด็กน้อยในวันวาน ทุกครั้งที่หิวข้าวก็มักจะออดอ้อนแบบนี้เสมอ ช่างน่ารักจริง ๆ เลย ’ เธอคิดอย่างเอ็นดู นั่นเพราะว่าเธอเลี้ยงคุณหนูพลอยมาด้วยตัวเองอย่างไรล่ะ
ความจริงแล้วบ้านนี้มีเจ้านายทั้งหมดสี่คน คุณผู้ชาย คุณนาย คุณเมฆ และคุณหนูพลอยนี่แหละ คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายไม่ค่อยอยู่บ้าน เพราะมักจะบินไปติดต่อธุรกิจที่ต่างประเทศบ่อยครั้ง แต่ก็อยู่ในโซนเอเชียเพราะดูแลกิจการที่มี ส่วนคุณเมฆไม่ต้องพูดถึง รายนั้นดูแลกิจการที่เหลือของตระกูล จนไม่ค่อยมีเวลาได้กลับบ้าน
ส่วนคุณหนูพลอยนั้นเป็นดั่งไข่ในหินของครอบครัว น้อยคนนักที่จะรู้ว่านักแสดงสาวคนนี้ คือทายาทของนักธุรกิจหมื่นล้าน!! เพราะเธอชอบทำตัวตามสบาย กินง่าย อยู่ง่าย และไม่ถือตัว
หลังจากขึ้นมาบนห้องส่วนตัวแล้ว สุพิชญาไม่ได้พักผ่อนอย่างที่ตั้งใจไว้สักเท่าไร เพราะเธอขึ้นมาบนเตียงกว้างพร้อมกับหยิบเอาหนังสือนิยายเล่มเดิมขึ้นมาอ่านด้วย
“อ่านนิยายต่อดีกว่า” พูดจบเธอก็เปิดหน้าที่อ่านค้างไว้มาอ่านต่อ
แต่ทว่าไม่รู้ว่าเหนื่อยจนเกินไปหรือว่าง่วงกันแน่ ถึงทำให้หญิงสาวหลับใหลไป โดยมีนิยายเล่มนั้นปิดใบหน้าไว้
พูดถึงเรื่องหาปลา หลี่ชิงเหยาก็คิดได้ว่าเมื่อชาติก่อนเธอเคยเล่นละครเป็นสาวชนบท เรื่องหาปลาเลยพอจะรู้วิธีการแทงปลามาบ้าง คิดได้อย่างนั้นจึงยิ้มออกมา แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่ดูสนุกสนาน “ดีเลยค่ะ ฉันไปด้วยได้ไหมคะ จะได้ไปหาปลากลับบ้านด้วย”หญิงสาวรู้ดีว่าบ้านหลี่ไม่ค่อยมีเงินสักเท่าไร แต่ก็ไม่เดือดร้อนถึงขั้นต้องหยิบยืมคนอื่น จะว่าไปร่างนี้ก็ล้างผลาญเงินของที่บ้านไม่ใช่เล่น เนื่องจากเคยขโมยอาหารดี ๆ ของบ้านหลี่ เพื่อนำไปให้กับอี้หยางตง!!‘ยิ่งคิดยิ่งอยากจะทุบร่างนี้เสียจริง ๆ แต่ทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะฉันคงต้องเจ็บด้วยน่ะสิ’ หญิงสาวคิดอย่างโมโหเจ้าของร่างที่สิ้นคิดทำอย่างนั้นลงไป“มันจะดีเหรอ เธอเพิ่งจะจมน้ำมา ไม่กลัวหรือไง” หลินเฟยถามออกไปอย่างกังวลใจเล็กน้อยเรื่องที่หลี่ชิงเหยาจมน้ำนั้นมีใครบ้างไม่รู้ บางคนจมน้ำแล้วเกิดความกลัวน้ำไปเลยก็มี นางเลยไม่คิดว่าหญิงสาวตรงหน้าจะขอตามไปที่ลำธารด้วย“ไม่กลัวหรอกค่ะ ให้ฉันไปด้วยนะ ป้าหยางจะได้ไม่ต้องไปหาปลาคนเดียว ฉันหาปลาเก่งนะ ว่าแต่ป้ามีมีดพร้ามาด้วยหรือเปล่า ฉันจะไปตัดไม้แทงปลาน่ะ เราต้องมีอุปกรณ์จับปลาด้วยค่ะ”หญิงสาวตอบกลับไปอย่า
บทที่ 4 หลี่ชิงเหยาเปลี่ยนไปแล้วหลี่เหวินหลังจากที่ถูกย่าไล่ให้ออกมาจากบ้าน เขาจึงตัดสินใจเข้าเมืองเพื่อมาหางานทำ เลยพบกับหยางเฟยหลงที่มาหางานทำเหมือนกัน ทั้งสองพบกันที่ตลาดมืดของเมือง“วันนี้มีงานเยอะไหมครับพี่เฟยหลง” หลี่เหวินทักทายออกไปอย่างเป็นกันเอง ทั้งสองอยู่หมู่บ้านเดียวกัน จึงมีความสนิทสนมกันมากกว่าคนขายแรงงานคนอื่น“วันนี้พอมีคนมาจ้างบ้าง อย่างที่รู้นั่นแหละ เดี๋ยวนี้หางานได้น้อยกว่าเมื่อก่อนมาก” หยางเฟยหลงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจเล็กน้อย เพราะถ้างานมีน้อยก็เท่ากับว่ารายได้ก็น้อยตามไปด้วยตั้งแต่การค้าเปิดเสรี ก็ทำให้คนมาซื้อของในตลาดมืดน้อยลง แต่ตลาดมืดก็ยังเป็นความต้องการของคนหลายกลุ่มที่ยังมาหาซื้อของ เนื่องจากบางอย่างยังจำกัดปริมาณการซื้อขาย นั่นเอง และของบางอย่างก็ยังห้ามขายอย่างเสรีอยู่ แต่ที่นี่ยังมีสินค้าต้องห้ามพวกนั้นขายอยู่“แล้ววันนี้ทำไมเพิ่งมาล่ะ” เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าหลี่เหวินเพิ่งมาเลยแปลกใจจึงถามขึ้นมา เพราะทุกครั้งทั้งสองจะมาพร้อมกัน และมีบางครั้งที่มาคนละเวลา แต่ไม่เคยมาสายขนาดนี้“ที่บ้านเกิดเรื่องนิดหน่อยน่ะ” หลี่เหวินไม่อยากพูดอะไรมากจึงตอบไปเพีย
หลี่ชิงเหยาเดินไปเรื่อย ๆ อย่างสบายใจ เธอไม่คิดเลยว่า บรรยากาศของหมู่บ้านนี้จะร่มรื่นมากขนาดนี้ หญิงสาวเดินมาเรื่อย ก็พบกับชาวบ้านจับกลุ่มนั่งพูดคุยกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเรื่องของเธอ“หายดีแล้วเหรอชิงเหยา” เสียงของนางจริงถามขึ้นมาเมื่อเห็นหลี่ชิงเหยาเดินผ่านมา แต่ก็เป็นเพียงคำถามลอย ๆ เท่านั้น“ดีขึ้นแล้วค่ะ” หญิงสาวตอบกลับไปเพียงเท่านี้ก็จะเดินต่อ แต่ไม่คิดว่าจะมีเสียงของใครบางคนตะโกนต่อว่ากลับมา“ผู้ใหญ่ถามทำไมไม่ตอบดี ๆ หน่อยล่ะ ทำแบบนี้ไร้มารยาทเสียจริง”นั่นทำให้หญิงสาวหยุดชะงักทันที ‘ต่อให้ไม่อยากจะมีเรื่อง แต่ก็ไม่คิดว่าเรื่องจะมาหาถึงที่แบบนี้’ คิดได้แค่นั้นเธอก็หมุนตัวหันกลับมาทันที พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“ฉันตอบไม่ดีตรงไหน ในเมื่อถามว่าหายดีแล้วเหรอ ฉันก็ตอบว่าดีขึ้นแล้วค่ะ มีคำไหนไม่ดี ไม่สุภาพ หรือว่ามีคำไหนที่ไร้มารยาทเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นคนที่สุภาพ ช่วยบอกหน่อยว่าฉันต้องตอบกลับอย่างไร” ระหว่างพูดออกมา หญิงสาวก็ปรายตามองทุกคนอย่างไร้เดียงสา แต่ในใจนั้นคิดว่า ‘หึ ไม่คิดว่าจะมีเรื่องตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในนิยาย น่าเบื่อจริงๆ แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่อร่างนี
บทที่ 3 อยู่ดี ๆ เรื่องก็มาหาขณะที่ทั้งสามคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น โจวเม่ยเม่ยก็เดินเข้ามาในบ้านหลี่พอดี เมื่อเห็นว่าหลี่ชิงเหยาฟื้นแล้ว ใบหน้าก็ชะงักค้างเล็กน้อย แต่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นก็กลับมาเป็นปกติแต่แม้จะมีเวลาเพียงเสี้ยววินาที หลี่ชิงเหยาก็เห็นใบหน้าที่ประหลาดใจของอีกฝ่ายพอดี จึงแสยะยิ้มมุมปากพร้อมกับคิดในใจ ‘คงจะมาเล่นละครอะไรอีกล่ะสิ คราวนี้สนุกแน่เพราะฉันจะเล่นกับเธอด้วย’“ชิงเหยา เธอฟื้นแล้วเหรอ ฉันดีใจจังเลย” ใบหน้าของโจวเม่ยเม่ยยังคงยิ้มแย้มในตอนที่ถามไถ่ บ่งบอกให้เห็นว่าเธอนั้นดีใจที่เพื่อนฟื้นแล้ว“อืม ฉันเพิ่งฟื้นน่ะ ว่าแต่เธอมีอะไรหรือเปล่าถึงได้มาหาฉัน” น้ำเสียงที่หญิงสาวถามออกไปนั้นราบเรียบและเย็นชาสิ้นดี คล้ายกับไม่อยากจะเสวนากับเพื่อนคนนี้สักเท่าไร“ฉันมาเพราะเป็นห่วงเธอน่ะสิ ดีแค่ไหนแล้วที่พี่หลี่เหวินช่วยเธอเอาไว้ทัน ไม่อย่างนั้นแล้ว...” เธอพูดออกมายังไม่จบประโยคก็ต้องหยุดลง เพราะหลี่ชิงเหยาพูดแทรกขึ้นมา“ไม่อย่างนั้นแล้ว พรานป่าท้ายหมู่บ้านคงจะมาช่วยฉันไว้ แล้วชาวบ้านก็มาเห็นว่าฉันอยู่กับเขาในสภาพไม่เรียบร้อย จนฉันต้องแต่งงานกับเขาใช่ไหม”หญิงสาวพูดสวนกล
ขณะที่กลุ่มชมรมคนขี้นินทากำลังพูดกันอย่างสนุกปากอยู่นั้น ย่าหลี่ก็เดินผ่านมากับลูกสะใภ้ซึ่งก็คือแม่ของหลี่ชิงเหยา ย่าหลี่พอได้ยินว่ามีคนนินทาหลานสาวในทางไม่ดีก็รู้สึกโกรธขึ้นมา‘ด่ากันไปก็เหนื่อยเปล่า แต่ถ้าจะเอาให้สาแก่ใจนั้น ต้องทำให้พวกนี้หุบปากให้ได้’ ย่าหลี่คิดในใจ จากนั้นจึงแหงนมองหาอะไรบางอย่าง พอเห็นเป้าหมายแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างถูกใจ ก่อนจะกระซิบกับฟางเหนียงลูกสะใภ้ตัวเองเบา ๆฟางเหนียงได้ยินก็เบิกตากว้าง เธอไม่คิดว่าแม่สามีจะมีความคิดแบบนี้ แต่สุดท้ายก็พยักหน้าเอาด้วย เพราะไม่ชอบชาวบ้านกลุ่มนี้สักเท่าไร ที่ชอบพูดถึงลูกสาวเธอในทางเสียหายแม่สามีกับลูกสะใภ้รีบมาหลบหลังต้นไม้ โดยที่สายตามองหาสิ่งของเหมาะมือมาถือไว้คนละอันสองอัน หลังจากหาที่ซ่อนได้แล้ว จึงหยิบก้อนหินขนาดพอเหมาะมือขึ้นมา จากนั้นก็เล็งไปที่รังมดแดงตรงต้นไม้ที่กลุ่มชาวบ้านพวกนั้นนั่งอยู่ แล้วปาก้อนหินออกไป และย่าหลี่ก็ปาแม่นซะด้วยสิ“โอ๊ย!! นี่มันมดแดงนี่นา ตกลงมาได้ยังไงกันเนี่ย”หลังจากก้อนหินโดนรังมดแดง เสียงร้องโวยวายของชาวบ้านกลุ่มนี้ก็ดังขึ้น พร้อมกับปัดมดแดงที่หล่นลงมาใส่ตัวออกสองแม่สามีกับลูกสะใภ้ยังไม่รามือ
บทที่ 2 ฉันเข้ามาอยู่ในนิยายเหรอเนี่ย“ฮือ ๆ ชิงเหยาของย่า หลานย่ารีบฟื้นเถอะนะ ทำยังไงถึงได้ตกน้ำแบบนี้ล่ะ” ย่าหลี่ร้องไห้ฟูมฟายเสียใจอย่างหนัก ที่หลานสาวสุดที่รักตกน้ำจนสลบไป จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้น“ย่าอย่าเพิ่งฟูมฟายไปเลยครับ หมอก็บอกแล้วว่าชิงเหยาไม่ได้เป็นอะไร” หลี่เหวินพี่ชายของหลี่ชิงเหยาส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายใจ ที่ย่าแสดงอาการเศร้าโศกเกินจริงอีกแล้ว“ไม่ต้องพูดดีเลย แกมันไม่รักน้อง เห็นน้องถูกรังแกจนสลบไปยังไม่ฟื้นแบบนี้ แทนที่จะไปแก้แค้นให้น้อง กลับมาบ่นย่าเสียอย่างนั้น แกจะไปไหนก็ไปเลย ฉันเบื่อหน้าแกแล้ว” ย่าหลี่พูดออกมาอย่างรำคาญหลานชายอย่างมาก จึงได้โบกมือไล่เขาให้ไปไกล ๆ“พ่อกับแม่ดูสิครับ บ้านอื่นรักลูกหลานที่เป็นผู้ชายกันทั้งนั้น แล้วทำไมบ้านหลี่ของเราถึงผิดแปลกไปละครับ รักแต่หลานสาว จนหลานชายอย่างผมเป็นหมาหัวเน่าแล้วเนี่ย ผมงงไปหมดแล้วนะ” ชายหนุ่มถามพ่อแม่ออกไป เขาสงสัยมาตั้งแต่น้องสาวเกิดแล้วว่า ทำไมย่าของตนไม่เหมือนบ้านอื่น ที่รักหลานชายมากกว่าหลานสาว ส่วนบ้านหลี่นั้นย่ารักหลานสาวยิ่งกว่าจงอางหวงไข่เสียอีก“พ่อว่าลูกน่าจะชินได้แล้วนะ ตั้งแต่ชิงเหยาเกิดมา ย่าก็เป