‘ชะนอ’ เป็นกลุ่มชนเผ่าชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ภายในผืนพนาต้องห้ามนิลคีรีแนวเขตติดกับอุทยานแห่งชาติพนาดรฝั่งทิศใต้ ในอดีตเคยหลบลี้เหล่าพวกเดนมนุษย์ที่รุกไล่ฆ่ากวาดล้างเพราะต้องการตัดไม้พะยูงกับไม้ชิงชันในพื้นที่หมู่บ้าน ผู้นำเผ่า ณ ขณะนั้นจึงรีบพาลูกบ้านที่เหลือรอดกลุ่มใหญ่เร่งเดินเท้าหนีออกมาโดยอาศัยความชำนาญในพื้นที่เพื่อหลบเลี่ยงการปะทะซึ่งๆหน้าเพราะมีแต่เสียเปรียบ
โดยมีเหล่าบรรดาชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อถ่วงเวลายื้อไว้ให้นานที่สุดแม้อาวุธมีเพียงแค่อุปกรณ์หาของป่าและทำเกษตรกรรมก็ตามซึ่งมันไม่ได้สูญเปล่าเพราะได้มาเจอกับป่านิลคีรีในอีกสามวันถัดมา
ยามอาทิตย์อัสดงเมื่อเหยียบย่างข้ามเขตลักษณะเป็นป่าดงดิบผสมป่าเบญจพรรณทุกคนล้วนมองหน้ากันเพราะต่างก็รู้สึกว่าเหมือนอยู่คนละมิติกับผืนป่าที่เคยอาศัย อีกหนึ่งความโชคดีคือคืนนี้ขึ้นสิบห้าค่ำทำให้แสงจันทร์เพ็ญกระจ่างส่องนำทางแทนการจุดคบไฟที่ทำให้ตกเป็นเป้าหมายของฝ่ายที่ตามล่าได้
อยู่ๆสายลมรอบตัวที่เคยพัดอ่อนล้วนหยุดนิ่งทั่วทั้งพนาไร้เสียงเหล่าสรรพชีวิตน้อยใหญ่ เล่าขานต่อมาว่าพญางูยักษ์เกล็ดสีนิลสูงใหญ่กว่าต้นตาลชูคอปรากฏตัวขึ้นดักทางไว้ ยามถูกดวงตาสีแดงเพลิงทรงอำนาจจ้องมองลงมารู้สึกไร้ค่าราวกับมดปลวกความอึดอัดขลาดกลัวเข้าเกาะกุมจนขาแข็งแทบไม่กล้าขยับหายใจ สุดท้ายผู้นำเผ่าพยายามข่มความกลัวไว้บอกเล่าเรื่องราวให้อุรคตรงหน้าฟังด้วยเสียงสั่น
เจ้าพวกมนุษย์แสนต่ำต้อยไร้ค่าตัวข้านิลคีรีผู้ปกปักษ์ผืนป่าแห่งนี้มิได้จิตใจดีโดยไร้ขอแลกเปลี่ยน จำเอาไว้ว่าครบขวบปีเมื่อใดหากต้องการหลุดพ้นความตายจงนำหนึ่งชีวิตแลกเปลี่ยนเซ่นสังเวยบูชายัญแก่ข้าอย่าได้บิดพลิ้วเป็นอันขาด ทั้งห้ามก้าวย่างออกไปนอกผืนพนานับตั้งแต่บัดนี้เมื่อข้อพันธะได้เริ่มต้นขึ้น หากรูู้ตัวว่ารักษาสัจจะมิได้ก็จงไสหัวไปเสียก่อนที่ข้าจะเอาเลือดพวกเจ้ามาล้างชะโลม
เกือบสามร้อยปีแล้วนับตั้งแต่หัวหน้าเผ่าชะนอได้ทำข้อตกลงกับอุรคผู้ปกปักษ์ผืนป่าทิศใต้ผู้น่าเกรงขาม บัดนี้ผ่านพ้นหมุนเวียนเข้าสู่ปลายฤดูหนาวเป็นสัญญาณบอกกล่าวให้คนในหมู่บ้านรับรู้โดยทั่วกันว่าใกล้ครบกำหนดหนึ่งปีอีกครั้งและถึงเวลาเสี่ยงทายเพื่อเตรียมเครื่องเซ่นบูชายัญให้กับท่านนิลคีรีในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า
พิธีเสี่ยงทายถูกจัดขึ้นตรงลานขนาดใหญ่กลางหมู่บ้านในวันนี้แท่นไม้ประกอบพิธีกรรมด้านข้างถูกประดับตกแต่งผ้าหลากสีถักทอลายพื้นเมืองอย่างสวยงาม ข้างบนวางพานดอกไม้ บายศรีต้น 4 ต้น และบายศรีปากชาม 7 สำรับ ที่บรรดาหญิงสาวในหมู่บ้านช่วยกันจัดทำขึ้นมาตั้งแต่เช้ามืดพื้นที่รอบๆส่วนบนถูกขึงล้อมด้วยเส้นฝ้ายสีขาว
ไหดินเผาขนาดเท่าฝ่ามือบรรจุข้าวเปลือกจนเต็มปักไผ่เหลากว้างหนึ่งข้อนิ้วยาวสองคืบสลักชื่อผูกปมด้วยเส้นฝ้ายขวัญสีแดงอีกรอบ โดยหนึ่งไหใช้เป็นตัวแทนบุคคลที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ถูกวางเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบระยะห่างต่อไหประมาณหนึ่งคืบ
ก่อนพิธีกรรมเริ่มต้นขึ้นทุกคนในหมู่บ้านล้วนถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกมาจากเรือนจนกว่าทุกอย่างจะเสร็จสิ้นหากได้ยินเสียงอะไรห้ามเผลอทักท้วงขึ้นมาเด็ดขาด เผ่าชะนอนั้นมีแม่เฒ่าจันตาเป็นผู้ประกอบพิธีหลักแม้ดวงตาฝ้าฟางด้วยวัยที่ร่วงโรย 80 ปี แต่ยังคงแข็งแรงกระฉับกระเฉงซึ่งมีผู้สืบทอดโดยสายเลือดส่งต่ออาคมจากรุ่นสู่รุ่นถึงจะรับขันธ์ดำเนินพิธีได้
ฟ้าร้องครืนครานแลบแปลบเป็นระยะเริ่มตั้งแต่แสงสุริยาลาลับขอบฟ้าสร้างบรรยากาศขะมุกขะมัวชวนหวาดหวั่นไม่น้อยแต่เพราะเคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาสี่สิบปีจึงไม่ได้ตระหนก น่าแปลกยามแสงจันทร์เพ็ญลอยเด่นเหนือยอดไม้บรรยากาศขุ่นมัวพลันมลายสิ้นราวกับตาหูฝาดไปชั่วครู่แม่เฒ่าจันตาเริ่มพิธีเสี่ยงทายทันทีเมื่อถึงฤกษ์ยาม เทียนขี้ผึ้งสีดำกว้างขนาดสองข้อนิ้วยาวหนึ่งช่วงแขนถูกจุดขึ้นพร้อมฟ้อนร่ายรำไปรอบๆแท่นพิธีก่อนเอื้อนเอ่ยคำ..
“อุ ระ คะ นา พะ ทา มิ นิล คี รี
ผู้ข้าต่ำต้อยนามว่าจันตาตัวแทนสรรพชีวาแห่งเผ่าชะนอ
บัดนี้จักขอเริ่มพิธีเสี่ยงทาย
เลือกผู้หมายเซ่นบูชาแด่พญางูปกปักษ์ทิศใต้ผู้ยิ่งใหญ่นามท่านนิลคีรี
ครบรอบขวบปีเซ่นสังเวยแทนคุณ
ขอผู้เกื้อหนุนแจ้งหมายว่าผู้ใดถึงคราวเดินทางก้าวจากไกล”
ว่าเสร็จก็ร่ายเทียนวนไปตามไหแต่ละไหตอนนี้สิ่งรอบตัวหยุดนิ่งไร้เสียงสรรพชีวิตราวกับเวลากำลังถูกหยุดลง ซึ่งวนยังไม่ทันครบทุกไหดวงตาของสัตว์สีทองวาววับของสัตว์ใหญ่ปรากฏขึ้นในป่าห่างจากหน้าแท่นไม่ถึงสิบเมตร พร้อมเสียงคำรามดังก้องจนพื้นดินสะเทือน มีไหหนึ่งแตกออกสิ่งที่บรรจุไว้ด้านในไหลมากองข้างนอกไม้ไผ่สลักชื่อกระเด็นตกลงพื้นทันทีแม่เฒ่าจันตาเก็บขึ้นมาเพื่อขานชื่อให้ผู้รับสารฟัง
“ผู้หมายเซ่นบูชาปีนี้นามว่าปีซอ”
เมื่อแจ้งผู้ที่ได้รับเลือกเป็นที่เรียบร้อยแล้วเป็นอันเสร็จพิธีจากนั้นแม่เฒ่าจันตาก็เดินตรงไปยังเรือนของคนผู้นั้นทันทีเพื่อบอกกล่าว ในทุกย่างก้าวทุกผู้คนล้วนลุ้นด้วยใจที่กระวนกระวายบ้างนั่งกุมขมับด้วยความเครียดจนกว่าจะผ่านพ้นคืนนี้ไป
“ปีซอ”
เพียงเสียงเรียกแผ่วหน้าชานผู้เป็นเจ้าของชื่อที่เพิ่งปลอบประโลมเมียรักใกล้คลอดอีกไม่ถึงเดือนหลับไป เลยลุกออกนอกมุ้งมานั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กด้วยใจว้าวุ่นนอนไม่หลับแม้จะภาวนาว่าอย่าให้เป็นตน เคยคิดว่ายอมรับได้แต่บัดนี้เขากำลังจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์มือที่สั่นเทาค่อยๆยันผนังเพื่อพยุงตัวเองไปเปิดประตูเรือนตามแม่เฒ่าจันตาออกไปโดยมีจิ่งต่าแม่ของปีซอที่อยู่เรือนข้างกันขอตามไปด้วย
“ฮึกแม่จ๋า ข้ายังไม่อยากตาย”
เสียงร่ำไห้ปานจะขาดใจของชายหนุ่มรูปร่างสูงผิวแทนอายุ 21 ปี ในชุดชาติพันธุ์สีดำโพกหัวเก็บมวยผมที่ยาวด้วยผ้าฝ้ายสีเดียวกันดังขึ้นหลังจากที่เข้าไปในเรือนแม่เฒ่า
“แม่เฒ่าจ้ะ เอาฉันไปแทนไม่ได้หรือ”
“พวกเอ็งก็รู้นี่ว่ามันทำไม่ได้”
คนที่วูบโหวงหนักใจทุกปีคงหนีไม่พ้นผู้ทำพิธีกรรมเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อตามเจ้าของนามผู้ถูกเลือกให้เป็นเครื่องเซ่นท่านนิลคีรีกลับมาที่เรือนตัวเองแต่ไม่สามารถชินได้เสียที
“โธ่ ปีซอลูกแม่”
“แต่นันทาท้องใกล้จะคลอดอีกไม่นานแล้วข้ายังไม่อยากตายเมียกับลูกจะอยู่กันอย่างไรหรือ”
ยิ่งหวนระลึกถึงเรื่องราวระหว่างเขากับเมียรักน้ำตาก็ยิ่งรินไหลไม่ขาดสายเพราะเคยแท้งมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสองปีที่แล้วตอนอายุครรภ์เข้าเดือนที่สาม อยู่ๆเลือดก็ไหลออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุกว่านันทาจะทำใจและแข็งแรงจนมีลูกคนนี้ได้กลับเป็นปีซอที่ต้องพรากจากเสียเอง
“เอ็งทำใจเถอะวะ อันที่จริงใช่ว่าจะไม่มีวิธีเลยแต่ไม่เคยมีใครทำสำเร็จน่ะสิ”
“วิธีไหนหรือจ๊ะแม่เฒ่าข้าจะทำ ข้าต้องทำสำเร็จแน่ๆ”
แต่เมื่อชายหนุ่มได้ฟังคำตอบแล้วจากความหวังที่จุดประกายกลับมืดมนดิ่งลงเหวอีกครั้ง พร้อมกับรู้สาเหตุแล้วว่าทำไมถึงไม่มีผู้ใดทำเรื่องนี้สำเร็จได้
“เอ็งต้องหาคนที่มีชะตาตกฟากเหมือนราวกับคนๆเดียวกันมาเป็นตัวแทนสังเวยท่านนิลคีรี”
“ข้าคงหมดหวังไปแล้วสินะหรือไม่มันก็เป็นเพียงความหวังลมๆแล้งๆเท่านั้นจะหาผู้ใดมาแทนได้เล่าในเมื่อก็มีกันแค่นี้”
รอยยิ้มเศร้าสร้อยกับบรรยากาศรอบตัวหม่นหมองอย่างคนสิ้นหวังพาให้แม่เฒ่าจันตาถอนหายใจแผ่วเบาเพราะมันคือข้อตกลงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่งต่อลงมายังรุ่นสู่รุ่นหากไม่มีท่านนิลคีรีเผ่าชะนอก็คงไม่เหลือรอดจนถึงปัจจุบัน หลังจากปีซอกับจิ่งต่าขอตัวพากันกลับเรือนไป หญิงชรายังคงแข็งแรงนั่งนิ่งแบบนั้นสักพักไม่มีใครรู้ว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ก่อนลุกขึ้นยืนเดินเข้าไปในห้องพิธีจนเกือบรุ่งสางและออกมานอนหลับพักผ่อน
ภายใต้ผืนป่าอันเงียบสงบเจ้าของดวงตาสีทองบัดนี้ปรากฏตัวที่หน้าถ้ำแสงจันทร์ส่องสว่างมองเห็นเป็นรูปลักษณ์สัตว์สี่เท้าปราดเปรียวลักษณะคล้ายกับพญาราชสีห์สูงใหญ่กว่าสามเมตร ขนสั้นเตียนสีครีมอ่อนแต่ตรงแผงคอรวมถึงข้อเท้าทั้งสี่มีขนปุกปุยนุ่มนิ่มสีน้ำตาลอบเชยปกคลุมหนาส่วนปลายหางสีเดียวกันมีห่วงทองคำสลักลวดลายโบราณถูกสวมไว้ เยื้องย่างกลับเข้ามายืนนิ่งและย่อหมอบลงรายงานผู้เป็นนายเหนือหัว
“ได้แล้วหรือภูสิงห์”
“ขอรับนายท่าน ปีนี้เป็นชายมันมีนามว่าปีซอ”
“อืม”
ดวงเนตรสีแดงฉานฉายชัดขึ้นภายในถ้ำอันมืดมิดแม้จะเป็นคืนจันทร์เพ็ญแต่แสงนวลละออกลับไม่มีเล็ดลอดผ่านเข้ามาราวกับว่าที่แห่งนี้ไร้ช่องลม พร้อมเสียงทุ้มกังวานน่าเกรงขามดังขึ้นและหายไปเมื่อคำตอบเสร็จสิ้น
โลหิตฉานไหลหลั่งชโลมพื้นคำรามครืนคลื่นสายประกายไหววชิระทัณฑ์พาดฟาดก้องไกลสองสายใยโยงเพริศกำเนิดพรายกุดั่นแก้วแวววับระยับแสงทิวาแรงแซงแทรกแหวกธารสายหมอกสีชาดร้อยรัดกระหวัดกลายโอบกำจายเวียนวนล้นคณาราตรีอันมืดมิดและหม่นหมองค่อยๆถูกแทนที่ด้วยแสงแห่งอรุณรุ่งเสียงแว่วหวานขับขานของสกุณาดังขึ้น ความเงียบเดิมถูกเหล่าสรรพชีวิตในผืนป่าเริ่มออกมาใช้ชีวิตกันเป็นเรื่องปกติ บ้างออกล่าหาอาหาร บ้างลงเล่นน้ำในลำธารใส บ้างหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานแต่ไม่ใช่ที่ผืนพนาต้องห้ามทิศใต้อย่างนิลคีรีผลของทัณฑ์อสนีบาตจากฝีมืออรุคผู้ปกปักษ์นั้นทำให้เกือบทั้งป่าราบเป็นหน้ากลองสนั่นฟ้าสะเทือนดินลามไปจนสร้างความประหลาดใจไปถึงป่าต้องห้ามอีกสามทิศที่เหลือเกิดอะไรขึ้นที่นิลคีรี?สร้างความโกลาหลอย่างถ้วนทั่วทิ้งไว้เพียงเศษซากของต้นไม้ที่ถูกฟ้าผ่าจนหักโค่นลงจนล้มระเนระนาดบ้างก็ดำเป็นตอตะโกตายคาต้น รวมไปถึงสัตว์ป่าน้อยใหญ่ที่เคยหนีตายกันจ้าละหวั่นมีส่วนน้อยไม่อาจรอดจากสายฟ้าได้กลิ่นเนื้อไหม้คละคลุ้งไปทั่วบริเวณเพราะเพชรถวนาเคนทร์เปล่งประกายแสงคุ้มภัยทันเวลาไม่อย่างนั้นคงไม่เหลืออะไรให้ดูต่างหน้ากลายเป็นป่าที่ดับสูญก
โครมอุกร่างสูงใหญ่ที่คล่อมทับร่างบางที่เหลือแค่โจงนุ่งเป็นปราการสุดท้ายที่กำลังจะถูกถอดก็มีเสียงดังขึ้นจากทางหน้าต่างพร้อมพรรวินท์ลอยหวือไปกระแทกพื้นปรากฏเชือกพันธนาการรอบตัวหมัดหนักถูกกระแทกเข้าที่ใบหน้าพร้อมกลางอกถูกถีบจนล้มกลิ้งไปกับพื้นอีกครั้ง “พี่อยู่นี่”ร่างสูงของอุรคหนุ่มตรงเข้าไปหยิบแพรผืนใหญ่คลุมกายโอบกอดชายคนรักที่กำลังร้องไห้เนื้อตัวสั่นเทาแน่น“ทะ..ท่านจะรังเกียจข้าหรือไม่ ฮึก”มือหนาเช็ดน้ำตาบนแก้มนวลกุมใบหน้าหวานให้เงยขึ้นมอง“ฟังพี่หนาคนที่น่ารังเกียจคือไอ้ยูงทองชั่วนั่นต่างหาก น้ำตาของเจ้านั้นกำลังทำให้พี่นั้นเจ็บปวดใจยิ่ง”พูดจบปากหยักสีอ่อนจรดทาบทับกลีบปากอิ่มนุ่มนวลก่อนผละออกไปกระทืบตัวต้นเรื่องด้วยสถานะของอีกฝ่ายจึงได้เพียงแค่สั่งสอน ทั้งที่ฆ่ามันได้เพียงแค่พลิกฝ่ามือแต่นิลคีรีเลือกที่จะสะกดกลั้นความเดือดดาลของตน เพราะมันจะกลายเป็นชนวนสงครามระหว่างฝั่งเหนือกับฝั่งใต้ทันทีนำพาความเดือดร้อนมาสู่ผู้บริสุทธิ์จึงทำได้แค่สั่งสอนให้หนักและเนรมิตให้รอยช้ำหายไปหลังจากเสร็จสิ้นก็ถีบส่งพรรวินท์เข้าห้องตัวเองไปเดินทางออกนอกนครฝั่งเหนือเมื่อใดวันนั้นคือวันตายของพวกเจ้าทั้
เมื่ออุรคหนุ่มก้าวเท้าออกมาจากภายในถ้ำอสนีสีหนาทก็พบว่าด้านนอกนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากโข ในความทรงจำเมื่อหนึ่งพันสองร้อยปีก่อนไม่รกครึ้มและเต็มไปด้วยเถาวัลย์น้อยใหญ่ถึงเพียงนี้ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้ามาช้านานแล้วนิลคีรีหลับตาเพ่งสมาธิดูก็พบอีกอย่างว่าอุรคที่เคยอาศัยยังป่าหิมพานต์ได้ย้ายออกไปด้านนอกจนหมดไม่หลงเหลือผู้ใดแล้วก็คงมีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่เป็นงูเพียงหนึ่งเดียวอีกทั้งด้านนอกดูแปลกตาไปหมดหอมนักเป็นกลิ่นของดอกไม้ชนิดใดกันทันทีที่หายตัวออกมาถึงด้านหน้าพ้นป่าที่รกชัฏกลับได้กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยลมมา“สมน้ำหน้า เจ้าพวกกินนรนิสัยไม่ดีชอบรังแกผู้อื่นดีนัก”ปึก “อ๊ะ”ในขณะที่นิลคีรีกำลังหาต้นตอของกลิ่นอยู่นั้นก็ถูกร่างอรชรของยูงทองหนุ่มที่วิ่งหนีพวกกินนรเกเรสามตน หลังจากไปแอบขว้างก้อนหินใส่ตอนที่กำลังรุมแกล้งกินนรผู้หนึ่งอยู่จนพวกมันหัวแตกเลือดอาบแต่ไม่ได้มองทางข้างหน้าเลยชนเข้าเต็มอกของอุรคหนุ่ม วงแขนแกร่งคว้าเอวบางทันท่วงทีก่อนจะร่วงลงไปกองกับพื้น“เจ้าเจ็บตรงไหนหรือไม่”คนที่รู้สึกราวกับว่าชนกำแพงเหล็กเงยหน้าขึ้นถามคนตัวโตเพราะเขาเป็นคนผิดที่ไม่มองทางเองตึกหั
บ่ายวันหนึ่งในแดนหิมพานต์ฝั่งทิศตะวันออกเปลือกไข่สีครีมใบสุดท้ายถูกกระเทาะออกจนเกิดเป็นรอยร้าวและแตกในที่สุด สิ่งมีชีวิตตัวเล็กจิ๋วค่อยๆเผยดวงตาสีแดงใสแจ๋วโผล่พ้นออกมางูน้อยตัวสีดำสนิทได้ลืมตาขึ้นเป็นวันแรกในป่าหิมพานต์ แต่สีกลับผิดแผกจากบรรดาพี่น้องตนอื่นที่มีดวงตาสีมรกตรับกับสีเกล็ดที่ขาวสว่างนวล จากวันแรกเด็กน้อยแสนสดใสเพราะได้เห็นโลกกว้างมองดูสิ่งมีชีวิตอื่นในป่าหิมพานต์ต่างพากันเล่นสนุกสนานเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ผิดจากเขาที่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีผู้ใดอยากเล่นด้วยเพียงเพราะว่ามีเกล็ดสีดำจึงถูกมองว่าตัวกาลกิณีนำพาความโชคร้ายมาสู่ตน ไม่เว้นแม้กระทั่งในครอบครัวที่ถูกเลือกปฏิบัติราวกับคนแปลกหน้า บรรดาพี่น้องทั้งห้าตนที่สีเดียวกันต่างเลือกเล่นกันเองโดยไม่สนใจและกีดกันงูน้อยตัวจิ๋วสีดำที่มองด้วยสายตาเศร้าสร้อยออกจากวงโคจร“ท่านแม่กลับมาแล้ว” “ต่อไปห้ามเรียกข้าว่าแม่ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าหรือลับหลังผู้อื่น” แม้กระทั่งที่ไม่มีสิทธิ์เรียกผู้ให้กำเนิดว่าแม่เลยด้วยซ้ำเพราะในใจอุรคสูงใหญ่ตรงหน้าคิดว่าคงมีงูตนใดแอบเอามาใส่ไว้เป็นแน่เขาผิดหรือที่กำเนิดมาไม่เหมือนใคร ฮึก เหตุใดพวกท่านจึงไม่รักข้าบ้
มหาสมุทรฝั่งตะวันออกอยู่ในการปกครองขององค์จักเรศวรนาคราชกษัตริย์นักรบตระกูลกัณหาโคตมะผู้ที่ขึ้นชื่อเรื่องความปรีชาและเก่งกาจชำนาญการรบมามากมาย มเหสีคู่พระทัยเพียงหนึ่งเดียวก็คือพระนางจันทราภาวดีนาคราชสีทองตระกูลวิรูปักษ์ ทั้งสองมีพระโอรสหนึ่งพระองค์ที่เกิดแบบโอปปาติกะที่เปรียบดั่งลูกไม้ใต้ต้นถอดแบบผู้เป็นบิดามาแทบทั้งหมดทั้งความปรีชาและยึดมั่นในรักเดียว“เจ้าพี่ท่านทำสิ่งใดอยู่หรือ”“คันศรอันใหม่จากหินศิลากาฬที่เจ้าอยากได้อย่างไรเล่า”“ทำไมถึงตามใจข้าอยู่เรื่อยเลยจนข้าเสียนิสัยแล้วรู้หรือไม่”หนึ่งใบหน้าคมคายสันกรามชัดคิ้วเข้มพาดเฉียงรับกับตาคมดุจเหยี่ยวสีรัตติกาลที่กำลังมองคนตรงหน้าด้วยความเอื้อเอ็นดูปากหยักยกยิ้มยามเห็นอีกฝ่ายบ่นว่าเขาตามใจจนเสียนิสัยแต่กลับตาเป็นประกายทุกครั้งที่ได้ของถูกใจ “งั้นคราวนี้เจ้าต้องให้รางวัลพี่แทนแล้วหนา”“ท่านประสงค์สิ่งใดหากข้าหาได้ย่อมไม่อิดออดเป็นแน่ สัญญา”หนึ่งใบหน้ารูปไข่ทั้งงดงามและสลักเสลาในคนๆเดียวคิ้วเข้มรับกับแพขนตาหนาดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนจมูกโด่งรั้นปากอิ่มสีชมพูอ่อนเอื้อนเอ่ยรับปากคนพี่“เป็นสิ่งที่เจ้านั้นหาได้ง่ายมาก” “จริงหรือ งั้นเจ
หลังจากอสูรกายปีซอดับสูญบุคคลที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเจ้าของตำหนักราพณาลัยจากตอนแรกที่มองดูผลงานหลังจากฟาดแส้ใส่นิลคีรีด้วยความสะใจ ในระหว่างที่รออสูรกายใต้อาณัติไปพาตัวชายหนุ่มเจ้าของดวงตาคู่สวยสีน้ำตาลอ่อนมาเล่นสนุกแต่แล้วอยู่ๆก็รู้สึกปวดร้าวขึ้นที่เบ้าตาขวาอย่างรุนแรง “อึก ไอ้งูเวรมึงทำอะไรกู อ๊าก”ร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีควันบุหรี่ที่ถือแส้อาลัมพายน์ทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นหน้าตาบิดเบี้ยวเส้นเลือดข้างขมับปูดโปนเด่นชัด เสียง‘โพล๊ะ’ดังขึ้นพร้อมกับมือใหญ่ยกกุมที่ตาข้างขวาเลือดสีแดงฉานทะลักอาบย้อมเปรอะเปื้อนเล็ดลอดออกมาตามง่ามนิ้วไหลยาวลงไปตามหลังมือไม่มีทีน่าว่าจะหยุดง่ายๆ เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นยิ่งเมื่ออยู่ภายในถ้ำปิดไร้ช่องลมด้วยแล้วกลับยิ่งสะท้อนหนักดังก้องกว่าปกติ สายใยที่ถูกสะบั้นจึงรับทันทีรู้ว่าอสูรกายที่ตนส่งไปยังเป้าหมายถูกทำลายแล้วสิ้นจนเป็นฝุ่นผงไม่เหลือเศษเสี้ยววิญญาณแม้แต่น้อย หากเป็นในยามปกติแล้วนั้นเมื่อใดที่กายสามานย์ถูกทำลายจนดับสูญจิตวิญญาณย่อมแตกสลายแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงถูกชำระจนสะอาดใสได้เช่นนี้ส่วนกระแสจิตที่เชื่อมใส่เมื่อใดที่ตัดสะบ