พินอินครุ่นคิดครู่ใหญ่จึงตัดสินใจเดินไปหาปากกากับกระดาษมาเขียนเบอร์โทรศัพท์พร้อมที่อยู่อีเมล์ของตนส่งให้กับแอนโทนี่ และรับนามบัตรที่เขาหยิบออกมายื่นส่งให้มาเก็บไว้
“หวังว่าเราคงมีโอกาสได้ร่วมงานกันนะครับ คุณพินอิน” แอนโทนี่ ยื่นมือไปสัมผัสมือกับหญิงสาว เปิดยิ้มเต็มหน้าพลางทอดสายตามองเธออย่างมีความหวัง
“อย่าเพิ่งตั้งความหวังกับฉันนักเลยค่ะ ฉันอาจจะไม่รับงานชิ้นนี้เพราะดูมันจะเป็นงานใหญ่เอาการสำหรับฉัน” พินอินออกตัวเบา ๆ
“อย่าถ่อมตัวเลยครับ แค่เห็นแวบแรกผมก็มั่นใจว่าคุณเป็นคนที่คาร์ลต้องการ ผมเชื่อมั่นว่าคุณสามารถทำงานนี้ได้แน่ ๆ”
“ขอบคุณที่เชื่อใจฉันค่ะ ฉันขอเวลาคิดสักสองวันแล้วจะติดต่อกลับไปค่ะ” เธอบอก
“ครับ...ผมจะรอฟังข่าวดีจากคุณ วันนี้ผมคงจะรบกวนเวลาทำงานของคุณแค่นี้ เอาไว้คุยกันใหม่ครับพินอิน ความหวังของผมฝากไว้กับการตัดสินใจของคุณนะครับคนสวย” แอนโทนี่เอ่ยพลางยิ้มในสีหน้า โค้งศีรษะเล็กน้อยแทนการอำลาแล้วแยกกับพินอิน
เธอลืมเรื่องของคาร์ล คีแรนกับงานโปรเจ็กต์ใหม่ของเขาไปชั่วคราวเมื่อได้เวลาเดินทางกลับบ้าน นางแบบสาวเดินเอื่อย ๆ ไปตามเส้นทางแคบ ๆ ของซอยขนาดเล็กทอดยาวไปจนถึงบ้านแสนอบอุ่นของครอบครัว ต้นซอยเป็นย่านชุมชนขณะที่บ้านเธอปลูกลึกเข้าไปกลางซอย เป็นบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้ กลางเก่ากลางใหม่ที่เธออาศัยอยู่กับคุณตา คุณยายมาตั้งแต่จำความได้
ครอบครัวของพินอินเคยมีกันอยู่ 4 คน ประกอบด้วยคุณตา คุณยายและเธอกับแม่ พินอินไม่มีพ่อ ไม่มีแม้แต่ภาพถ่ายไว้ให้จดจำ เธอรู้แค่แม่เลิกรากับพ่อตั้งแต่เธอยังอยู่ในท้อง พอทั้งคู่แยกทางกัน แม่ก็ไม่เคยติดต่อกับพ่ออีก แม่ทำเหมือนไม่เคยรู้จักกับชายผู้ให้กำเนิดเธอ ไม่เคยเล่าเรื่องของพ่อให้เธอฟัง พ่อเองก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเธอเป็นลูก ชีวิตของพินอินจึงมีแค่ตา ยายและแม่เท่านั้นที่เป็นสมาชิกในครอบครัว
สมัยเด็กเธอเคยถามแม่ว่าทำไมถึงตั้งชื่อเธอว่า “พินอิน” ท่านเล่าว่าคุณตาเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้เธอเพราะเห็นว่าแม่เธอเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านภาษาจีนและยังเป็นอาจารย์สอนภาษาจีนในสถาบันการศึกษาชั้นนำของจังหวัด ท่านจึงใช้ชื่อเรียกตัวอักษรจีนนำมาตั้งเป็นชื่อของหลานสาว พินอินมีความสุขกับชีวิตที่มีกันสี่คนของเธอแบบนี้มาเนิ่นนาน
จวบจนกระทั่งหลายปีก่อนเธอได้รับทุนการศึกษาไปศึกษาภาคฤดูร้อนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ไปทดลองใช้ชีวิตลำพังเป็นครั้งแรก เธอจึงยิ่งเล็งเห็นความสำคัญของคนในครอบครัวมากยิ่งขึ้น แต่หลังจากกลับถึงเมืองไทยได้ไม่นาน เธอต้องพบความเสียใจครั้งใหญ่ในชีวิตเมื่อแม่ของเธอประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิตอย่างกะทันหัน สร้างความเจ็บปวดให้กับทุกคน นับจากนั้นมาครอบครัวของเธอจึงเหลือเพียงตากับยายเท่านั้น
บ้านของพินอินอยู่ใจกลางเมืองแต่เป็นคนละจังหวัดกับสถานที่ที่เธอทำงานทำให้คุณตากับคุณยายของเธอต้องอยู่กันตามลำพังถึงสามวัน โชคดีว่าเธอมีเพื่อนบ้านเป็นคนดีมีน้ำใจ ก่อนไปทำงานต่างจังหวัดเธอจึงฝากฝังให้ป้าแก้วแม่บ้านของอาจารย์นิพนธ์ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านที่อยู่ตรงข้ามกันช่วยดูแลคุณตาคุณยายแทน พินอินจึงสามารถเดินทางไปทำงานได้อย่างหมดห่วง
พินอินเดินเอื่อย ๆ เข้ามาในบ้านด้วยความรู้สึกเอะใจในความเงียบเชียบที่ผิดไปจากปกติ ลมเย็นเยือกโชยผ่านเมื่อเธอเดินมาถึงหน้าประตู เธอเคาะประตูและร้องเรียกคุณตาคุณยายเหมือนทุกครั้งที่ทำเป็นประจำเมื่อกลับมาถึงบ้าน แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับจากคนในบ้านราวกับไม่มีใครอยู่ข้างใน
“ใครน่ะ” เสียงตะโกนถามดังออกมาจากข้างใน
“พินเองค่ะป้าแก้ว” พินอินร้องตะโกนตอบและแปลกใจเมื่อป้าแก้วเปิดประตูออกมา
“หนูพิน…ไหนคุณยายบอกว่าหนูพินจะกลับอาทิตย์หน้ายังไงคะ” นางถามแล้วลอบถอนใจเมื่อเห็นสีหน้าอิดโรยของหญิงสาว ยิ่งเห็นท่าทางเหนื่อยอ่อนของพินอินนางก็ยิ่งลำบากใจและรู้สึกสงสารหญิงสาวยิ่งขึ้น
พินอินยิ้มโรย ๆ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อนแต่ค่อนข้างนอบน้อม “พอดีงานเสร็จไวกว่ากำหนดค่ะ คุณตาคุณยายไม่อยู่บ้านเหรอคะป้าแก้ว ทำไมบ้านดูเงียบจัง”
“ค่ะ...ไม่อยู่ค่ะ” นางตอบเสียงตะกุกตะกัก
พินอินนิ่วหน้ามองป้าแก้วอย่างประหลาดใจ คุณตาคุณยายไม่ได้โทรไปบอกเธอว่าจะไม่อยู่บ้านทั้งที่ปกติหากทั้งสองจะไปไหนจะต้องโทรไปบอกเธอเสมอ
“คุณตากับคุณยายไปไหนกันเหรอคะ ทำไมพินไม่เห็นรู้เรื่องเลย แล้วไปกับใคร ไปยังไงคะป้าแก้ว”
“คือว่า...คุณยาย เอ่อ คุณยายท่านพาคุณตาไปวัดค่ะ” ป้าแก้วตอบตะกุกตะกักอย่างมีพิรุธ
“ไปวัด” พินอินขมวดคิ้วมองหญิงวัยกลางคนด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ทำไมถึงไปเอาป่านนี้ละค่ะ หรือว่าไปช่วยงานศพใครหรือคะ” การไปวัดยามวิกาลทำให้เธอนึกถึงงานที่ไม่เป็นมงคล เธอกระพริบตาเบาพลางจ้องมองป้าแล้วนึกเอะใจ “มีใครเป็นอะไรคะป้าแก้ว”
“คุณพินเพิ่งทำงานกลับมาเหนื่อย ๆ ป้าว่าเข้าบ้านไปอาบน้ำอาบท่าให้มันสบายเนื้อตัวก่อนดีกว่าไหมคะ แล้วเดี๋ยวค่อยมาคุยกัน” นางพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบ
พินอินรู้สึกใจคอไม่ดีขณะมองท่าทีกระอักกระอวนกับคำตอบบ่ายเบี่ยงของหญิงวัยกลางคน เธอรู้สึกใจหายความกลัวกระแทกลงกลางใจของเธอ พินอินภาวนาขออย่าให้เกิดเหตุร้ายขึ้นกับใครสักคนที่เธอรักอย่างที่คิดเลย เธอรีบร้อนเอ่ยถามอย่างร้อนใจ
“ป้าแก้ว บอกพินสิคะว่าคุณตาคุณยายของพินไปวัดทำไม มีใครเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
พินอินเงยหน้า กระพริบตาปริบ ๆ ใส่สามีแล้วถามขึ้นอย่างประหลาดใจ ขณะที่คนถูกถามรีบส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธว่าตนเองก็ไม่รู้เรื่องนี้เช่นเดียวกัน ความสงสัยใคร่รู้ของพินอินทำให้คีแรนเดือดร้อนอย่างหนัก เพราะคำสั่งของภรรยาสาวที่สั่งให้เขาเข้าไปเรียบเคียงสืบข่าวมาจากพิมพ์พรโดยข่มขู่เขาว่าหากทำไม่สำเร็จ นำข่าวมาบอกเธอไม่ได้ คืนนี้เธอจะไม่ยอมให้เขาแตะต้องตัวเธออย่างเด็ดขาดเจ้าบ่าวทำหน้าเซ็งนิด ๆ ที่ถูกเจ้าสาวแก้แค้นเอาคืน ใช้เขาเข้าไปสอดแนมเรื่องของเพลงพิณ เหมือนอย่างที่เขาเคยใช้เงินหว่านล้อมจ้างให้เธอทำแบบเดียวกันกับสองแม่ลูกพินอินกวาดตามองรอบบ้านที่เต็มไปด้วยภาพความทรงจำแสนอบอุ่นอย่างตื้นตัน รู้สึกปลาบปลื้มที่เธอสามารถรักษาสมบัตินี้ไว้ได้ เธอมองกรอบรูปของแม่ที่แขวนอยู่ต่ำกว่ากรอบรูปของคุณตาซึ่งติดอยู่เหนือหิ้งสำหรับวางโกฐกระดูก กระถางธูป แจกันดอกไม้บนผนังตามอย่างที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยส่วนใหญ่ถือปฏิบัติกันถ้าแม่กับคุณตายังอยู่กับหนูที่นี่ แม่กับคุณตาก็ไม่ต้องห่วงหนูกับคุณยายอีกแล้วนะคะ วันนี้หนูมีความสุขมาก คีแรนเขาสัญญาว่าจะดูแลหนูกับคุณยายแทนคุณตากับแม่เอง เรามีลูกชายด้วยกันคนหนึ่งแล้วนะคะ พว
“ดีเลียนโตอีกหน่อย ยายแก้วเขาคงจะอุ้มไปอวดทั่วเมืองแน่ ๆ” คุณยายจิตเอ่ยกลั้วหัวเราะชอบใจ“แค่ตอนนี้ดิฉันยังอยากจะอุ้มไปอวดคุณพลเธอเสียเลยค่ะป้าจิต” หญิงกลางคนเอ่ย“ไม่ต้องค่ะ” พินอินเผลอห้ามป้าแก้วเสียงแข็ง หน้าตาบึ้งตึงทันทีที่ได้ยินชื่อบุตรชายอาจารย์นิพนธ์เสียงขึงขังกับสีหน้าบึ้งตึงของพินอินทำให้ทุกคนหันมองเธออย่างสนใจ คีแรนสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของพินอิน เขาจึงตั้งใจจะเก็บไว้ถามเธอเมื่ออยู่ด้วยกันลำพังว่าป้าแก้วพูดอะไรให้เธอขัดเคืองใจ“ขอโทษค่ะป้าแก้ว พินหวงลูกมากไปหน่อย พินคิดว่าตาหนูยังเล็กเลยยังไม่อยากจะพาแกไปไหนค่ะ”หญิงกลางคนยิ้มเจื่อนและรีบส่งทารกน้อยคืนให้กับพินอินที่ยื่นมือออกมาขอตัวลูกของเธอคืน ราวกับกลัวว่าคนสูงวัยจะพาลูกชายของเธอไปไหน“ป้าก็พูดไปอย่างนั้นเองแหละค่ะ”“พินขอตัวพาลูกไปนอนก่อนนะคะ”เธอกล่าวก่อนจะอุ้มลูกชายเดินตรงไปที่ห้องนอนของตน โดยมีคีแรนเดินตามไม่ห่างท่ามกลางสายตางงงันของป้าแก้วกับคุณยายจิต และทันทีที่วางลูกชายลงบนที่นอนเรียบร้อย คีแรนก็ถามเธอทันที“ป้าแก้วพูดอะไรให้เธอไม่พอใจอย่างนั้นรึ” เขาไม่เข้าใจบทสนทนาภาษาไทยระหว่างเธอกับป้าแก้วแต่จับน้
“ฉันอยากเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นเหลือเกินคาร์ล อยากรู้ว่าส่วนไหนของเธอที่ทำให้คุณคลั่งไคล้ได้ยาวนานขนาดนี้ แล้วคุณไม่เคยพบกับเธออีกเลยเหรอคะ” พินอินรอฟังคำตอบจากเขาอย่างจดจ่อ“เธอได้เห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นอยู่ทุกวันอยู่แล้วคารา” เขากุมหน้าของเธอไว้พลางเอ่ยเฉลยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“หื้ม...” เธอกระพริบตาเบา ๆ อย่างไม่เข้าใจ“เธอจำวันนั้นไม่ได้สินะ วันที่เธอช่วยเหลือเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งกลางหิมะ เด็กผู้หญิงที่กำลังหิวโซแต่กลับไม่ได้รับการเหลียวแลจากใครนอกจากเธอพินอิน”ความทรงจำในอดีตหมุนวนตีกลับขึ้นเป็นภาพที่แสนพร่าเลือนอยู่ในหัวของพินอิน ขนอ่อนทั่วร่างกายของเธอลุกชันด้วยความตื่นกระจ่าง ดวงตากลมวาวเบิกโพลงขึ้นอย่างตื่นตะลึงทันทีที่ระลึกขึ้นได้ เด็กสาวที่เขาพูดถึงแท้จริงก็คือตัวเธอเองอย่างนั้นรึ...“โอ้...คาร์ล มันเป็นไปได้ยังไง”“มันคือพรหมลิขิต สวรรค์กำหนดให้เธอเกิดมาเพื่อเป็นของฉันคารา ฉันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ตอนที่เห็นเธอหลับอยู่บนเตียงของฉันวันที่เราได้พบกันที่เมืองไทยเป็นวันแรก” เขายิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน ไล้แก้มนุ่มด้วยปลายนิ้วและอดใจไม่ให้จูบเธอไม่ไหวจูบของคีแรนแผ่วเบาดุจขนนก พ
การเป็นช่างภาพฟรีแลนซ์ทำให้เขานึกอยากจะหยุดงานก็หยุดเฉยๆ เพื่อมาคอยเฝ้าอารักขาเธอยิ่งกว่าเป็นเทวดาประจำตัว ไม่ว่าพินอินจะขยับตัวไปทางไหนคีแรนต้องปรี่เข้าไปประคอง เธอจะหยิบจับทำอะไร เขาก็กุลีกุจอเข้ามาทำแทนราวกับกลัวเธอจะเป็นลมล้มพับกลางอากาศไปอีก เพราะตั้งแต่คราวนั้น คีแรนก็ไม่ยอมให้เธอทำขนมอีก เขาดูแลเธอยิ่งกว่าไข่ในหินด้วยเกรงว่าหากเธอหมดสติคราวนี้คงไม่โชคดีเหมือนคราวก่อนและอาจทำให้เกิดอันตรายกับตัวเธอเองและลูกในท้องได้ ดังนั้นแค่เธอเดินสะดุด คีแรนก็รีบเดินเข้ามาอุ้มเธอแล้วคุณยายของเธอกับแม่กาบก็พลอยเห็นดีเห็นงามให้คีแรนดูแลเธออย่างใกล้ชิด ทั้งสองเป็นคนแก่ที่ค่อนข้างหัวสมัยใหม่จึงไม่ตะขิดตะขวงใจกับการที่คีแรนย้ายตัวเองเข้ามานอนในห้องของพินอิน ทำตัวประหนึ่งเป็นคู่สามีภรรยา ทั้งที่เขากับเธอยังไม่ได้จัดการทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎหมายและประเพณี“เราไปจดทะเบียนสมรสกันที่สถานทูตก่อนดีไหมคารา ส่วนพิธีแต่งงานรอให้คุณคลอดลูกของเราเสียก่อนค่อยจัดที่โบสถ์ดีไหม” เขาปรึกษาเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขณะลูบไล้หน้าท้องแข็งนูนของเธอ หยอกเย้ากับลูกน้อยในครรภ์ของเธอเล่นอยู่อย่างเพลิดเพลิน“คุณจะแต่งงานกั
“คุณอยากแต่งงานกับฉันจริง ๆ หรือเพราะยากได้ลูกของฉันกันแน่คะคาร์ล” คนอ่อนไหวยังหวาดระแวง“ฉันต้องการลูกแต่ฉันก็ต้องการเธอด้วยพินอิน” เขาพูดเบา ๆ ขณะมองเธออย่างลึกซึ้ง “ฉันรู้แล้วว่าวันเวลาที่ไม่มีเธอมันอ้างว้างและหม่นหมองแค่ไหน ฉันรักเธอพินอิน”เธอกุมใบหน้าเขาด้วยฝ่ามือทั้งสองข้าง มองลึกลงไปในดวงตาของเขาอย่างค้นคว้า “พิสูจน์สิคะคาร์ล ว่าคุณรักฉันมากแค่ไหน” เขาวางมือทับฝ่ามือของเธอและกุมมือเธอไว้ “ด้วยร่างกายและวิญญาณของฉันคารา ฉันจะพิสูจน์ให้เห็นว่าฉันรักและภักดีต่อเธอคนเดียวพินอิน”คีแรนจูบเธออย่างดูดดื่มและเคลื่อนไหวสำรวจความเปลี่ยนแปลงทุกส่วนของเธอด้วยมือ ปากและลิ้น มือกว้างเอื้อมปลดบราเซียของเธอโยนลงข้างเตียงขณะคลอเคลียริมฝีปากดื่มด่ำอยู่กับทรวงอกเต็มตึงที่ปรารถนา ทุกความเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างกลมกลืนและอ่อนโยน พินอินครางเบา ๆ เมื่อเขาเคลื่อนตัวลงต่ำ จูบผ่านหน้าท้องกลมนูนเหมือนดังจะแวะทักทายชีวิตน้อย ๆ ที่ขยับตัวอย่างเกียจคร้านตอบสนองสัมผัสของเขามาจากข้างในท้องเธอ พอเขาทักทายลูกจนหนำใจแล้วก็เคลื่อนย้ายริมฝีปากลงต่ำแล้วหยุดเพื่อเปลื้องเสื้อผ้าของเขาเองก่อนจะเริ่มใหม่อีกรอบเขาลูบไล
คีแรนทนดูพินอินกับยายของเธอช่วยกันทำขนมไปฝากขายที่ร้านอาหารของแม่กาบอย่างไม่ชอบใจนัก เขาไม่อยากเห็นทั้งสองคนลำบากจึงพยายามหว่านล้อมพินอินขอเป็นคนดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดของเธอกับ คุณยาย แต่ไม่ว่าคีแรนจะพยายามอย่างไร พินอินก็ไม่ยอมรับเงินของเขา ถึงจะอ้างว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องดูแลลูกในครรภ์เธอ พินอินก็ไม่ยอมแตะเงินเขาแม้แต่สตางค์แดงเดียวพินอินทำให้คีแรนหัวเสียกับความดื้อรั้นของเธอ แต่เขาก็ยอมรับว่าความดื้อรั้นและเด็ดเดี่ยวของพินอินเป็นอีกหนึ่งความมีเสน่ห์ของเธอที่ผูกมัดหัวใจของเขาไว้ที่เธอคีแรนหอบข้าวของออกจากหลังรถพะรุงพะรัง เมื่อพินอินปฏิเสธไม่ยอมรับเงินของเขา คีแรนเลยเปลี่ยนวิธีมาเป็นคนจัดการดูแลซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันของเธอกับคุณยายให้แทน เขากำลังใช้หลังดันประตูบ้านเพราะมือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ที่ขนซื้อมาเมื่อได้ยินเสียงแก้วกระทบพื้นดังออกมาจากในห้องครัวเขารู้ว่าพินอินอยู่บ้านตามลำพัง พอได้ยินเสียงแก้วแตกเขาจึงตกใจและคิดไปล่วงหน้าแล้วว่าอาจจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับหญิงสาว เขาทิ้งข้าวของในมือเกลื่อนกระจัดกระจายเพราะเป็นห่วงพินอินและรีบวิ่งเข้