“อวี้…อวี้เฉิง เอาฉันหน่อย”
“เสิ่นหว่านฉือ ดูให้ชัดว่าผมเป็นใคร?”
เมื่อเปิดไฟ เฉินหว่านฉือมองใบหน้าของชายหนุ่มที่กำลังทับอยู่ด้านบนร่างกายของเธอ และม่านตาของเธอก็หดตัวลงทันที!
“ป๋อจิงโจว? ทำไมถึงเป็นคุณ?!”
ชายหนุ่มคนนั้นบีบคางของเธอเอาไว้ พร้อมกับสีหน้าอันเย็นชาอย่างยิ่ง “ในเมื่อขึ้นเตียงของผมแล้ว คุณก็ควรรู้นะว่าผมไม่ได้ให้ใครมาล่วงเกินง่าย ๆ น่ะ”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะ ฉันเข้าใจผิด…….”
เสิ่นหว่านฉือพยายามพลักเขาออก แต่ทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว ความเจ็บปวดรวดร้าวแทรกเข้ามาในร่างกายของเธอ และเธอก็ถูกกลืนเข้าไปในความมืดมิด……
หลังจากเสร็จกิจ ป๋อจิงโจวก็โยนบัตรใบหนึ่งให้เธอ จากนั้นเสิ่นหว่านฉือก็ตบหน้าเขา!
เขาใช้ปลายลิ้นแตะริมฝีปาก การจะแสยะยิ้มเยาะเย้ย "นี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการรึไง หืม?"
ประโยคนี้ดูย่ำยีเสิ่นหว่านฉือจนแหลกไม่เป็นชิ้นดี เธอไม่มีพื้นที่ให้เสียใจภายหลังอีกแล้ว
“ป๋อจิงโจว ฉันไม่ต้องการเงิน ฉันต้องการให้คุณสู่ขอฉัน!”
หลังจากนั้นสามปี ณ คฤหาสน์รอยัลคอร์ท
เสิ่นหว่านฉือกำลังดูข่าวบันเทิงที่ออกอากาศทางทีวี นักเต้น เจี่ยนเวยหนิง บังเอิญตกจากเวทีจนเหตุการณ์อลม่าน
ชายในชุดสูทเดินผ่านฝูงชนด้วยสีอันหน้าเย็นชา เขาอุ้มหญิงสาวที่ได้รับบาดเจ็บขึ้นมา ก่อนจะเดินออกจากที่เกิดเหตุไปอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าจะเป็นเพียงใบหน้าด้านข้าง แต่หลังจากแต่งงานกันมาสามปี ต่อให้เขากลายเป็นขี้เถาเสิ่นหว่านฉือก็ยังจำเขาได้อยู่ดี
เมื่อคืน...ก็เป็นชายหนุ่มคนนี้เหมือนกันที่นอนอยู่บนเตียง และพูดว่าวันนี้จะกลับเร็ว
เธอหันไปมองอาหารเย็นบนโต๊ะที่เย็นชืดไปหมดแล้ว ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่เธอพยายามทำมาตลอดบ่าบ
เสิ่นหว่านฉือลุกขึ้นและเดินตรงไปเอาอาหารทั้งหมดเทลงถังขยะ
แผลพุพองสองจุดบนหลังมืออันสวยงามของเธอ เทียบกับสีหน้าอันไร้อารมณ์ยามที่เธอกำลังเทอาหารพวกนั้นแล้ว ช่างดูเป็นการส่อเสียด
เมื่อเทอาหารทั้งหมดเสร็จ เสิ่นหว่านฉือก็ขึ้นไปชั้นบนเพื่อเก็บกระเป๋าสัมภาระ
เธอจำได้ว่า วันนั้นที่ลงนามทะเบียนสมรสกับป๋อจิงโจวก็เซ็นใบข้อตกลงหย่าร้างไว้ด้วย โดยที่ข้อตกลงนั้นมีระยะเวลาสามปี ซึ่งเป็นช่วงที่เจี่ยนเวยหนิงไปเรียนต่อต่างประเทศ
ถึงแม้ว่าวันที่กำหนดไว้จะห่างออกไปอีกสามเดือน แต่เจี่ยนเวยหนิงกลับประเทศมาก่อนกำหนด ถ้าอย่างนั้นข้อตกลงหย่าร้างก็มีผลอย่างเป็นทางการแล้วสินะ?
เสิ่นหว่านฉือเดินถือกระเป๋าสัมภาระลงมาด้านล่าง ตอนที่เธอใกล้จะออกไป เธอก็ได้โทรมาป๋อจิงโจว
น้ำเสียงรำคาญใจของชายหนุ่มออกมาจากลำโพง “มีเรื่องอะไร?”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงเย็นชา นิ้วของเสิ่นหว่านฉือที่ถือโทรศัพท์อยู่ก็มีรอยกดจนเป็นสีขาวเล็กน้อย ราวกับว่าเขาลืมสัญญาที่เขาให้ไว้เมื่อคืนนี้
แต่ก็ใช่ล่ะ คำพูดที่ผู้ชายพูดบนเตียงจะเชื่อได้ยังไง?
“คุณกินข้าวหรือยังคะ?”
เขาไม่อยากจะตอบคำถามที่น่าเบื่อของเธอจริง ๆ ดังนั้นอีกฝ่ายจึงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ถ้าคุณไม่มีอะไรจะพูด ก็วางสายไปเถอะ ผมยุ่งอยู่”
ประโยคเดียวอันเรียบง่าย พูดจบก็วางสายไป
จากนั้น เสิ่นหว่านฉือก็ขับรถออกไป โดยเธอเลือกรถคันที่แพงที่สุด
เดิมทีตอนที่มันจอดอยู่ท่ามกลางกองรถหรูเหล่านั้นไม่ได้ดูพิเศษอะไรนัก แต่เมื่อเริ่มขับไปบนถนนความเท่ของมันก็แสดงออกมา
เธอตรงไปยังโรงแรมระดับ 7 ดาวที่หรูหราที่สุดในเมือง จากนั้นก็ดึงบัตรเครดิตแบล็คการ์ดออกมา แล้วยื่นให้โอเปอเรเตอร์ “เอาห้องเพรสซิเดนเชียลสวีทค่ะ ขอจองเวลาสามเดือนค่ะ”
พนักงานต้อนรับยิ้มแล้วรับใบดำเอาไว้ “ได้ค่ะคุณผู้หญิง รวมเป็นเจ็ดสิบห้าล้านบาทค่ะ ห้องที่ท่านจองจะเป็นห้องเพรสซิเดนเชียลสวีทค่ะ หากคุณเช็คเอาท์ก่อนเวลาเราจะคิดค่าปรับ 30% นะคะ”
เสิ่นหว่านฉือสีหน้าไร้อารมณ์ “รูดบัตรเลยค่ะ”
พรุ่งนี้ เธอคงจะไม่สามารถใช้เงินของป๋อจิงโจวได้แล้ว
ข้อตกลงการหย่าที่เธอขอให้ทนายของเธอร่างคือการแบ่งทรัพย์สินคนละครึ่ง แต่ถ้าป๋อจิงโจวไม่เห็นด้วยอย่างเด็ดขาดขึ้นมา แล้วให้เธอออกไปจากบ้านตัวเปล่า ก็เป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้
ยังไงก็ตาม ทีมกฎหมายของป๋อซื่อกรุ๊ปประกอบไปด้วยบุคคลชั้นนำในแวดวง ไม่มีอะไรที่พวกเขาทำไม่ได้
ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็อาศัยตอนที่เธอเป็นคุณนายตระกูลป๋อ ที่ควรจะจ่ายก็ควรใจ
ยังไงซะ ถ้าไม่ใช้ก็จะเหลือเมียน้อย
หลังจากรูดบัตรแล้ว แผนกต้อนรับก็ยื่นบัตรห้องพักด้วยความเคารพ “คุณหญิง กรุณารับบัตรห้องพักของท่านไว้!”
ในขณะนี้ คนอื่น ๆ มองไปที่เสิ่นหว่านฉือราวกับว่าพวกเขากำลังมองเศรษฐีนีเคลือบทองเดินได้...
นอกห้องผ่าตัดของโรงพยาบาล
ป๋อจิงโจวมองเห็นประวัติการรูดบัตรก็เกิดขมวดคิ้วน้อย ๆ ไม่ใช่เพราะจำนวนเงิน แต่เพราะผู้รับเงินเป็นโรงแรมเจ็ดดาว
เขาขมวดคิ้ว ตอนที่กำลังจะโทรหาเสิ่นหว่านฉือ เจี่ยนเวยหนิงก็ถูกคุณหมอเข็นออกมาจากห้องผ่าตัด
เธอยังคงสวมชุดที่ใช้เต้นอยู่ และบนแขนของเธอก็เต็มไปด้วยรอยข่วนจากของตกแต่งเวทีตอนที่ล้มลงมา ตอนนี้แผลถูกเย็บแล้วมองดูน่าตกใจยิ่งกว่า
แต่สีหน้าของเธอขาวกว่าสีผ้าห่มใต้ร่างกายของเธอเสียอีก
ป๋อจิงโจวเก็บโทรศัพท์แล้วเดินไป “คุณหมอครับ แผลเธอเป็นยังไงบ้าง?”
“มีการกระทบกระเทือนที่สมองเล็กน้อย อวัยวะภายในร่างกายฟกช้ำหลายส่วน มีอาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังเล็กน้อย แต่จากผลการตรวจสอบ พบว่าไม่ร้ายแรงมากครับ”
แม้ว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสใด ๆ แต่ตกลงมาจากที่สูงขนาดนั้น ก็ทำให้ใบหน้าของเจี่ยนเวยหนิงในเวลานี้ยังคงซีดเซียว
เธอมองคุณหมอ แล้วถามอย่างกังวลว่า "จะส่งผลต่ออาชีพการงานของฉันในอนาคตไหมคะ?"
ส่วนคำตอบของคุณหมอก็ออกจะกล่ำกึ่ง "ขึ้นอยู่กับสถานการณ์หลังจากการฟื้นตัวนะครับ แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้เหมือนกัน"
เจี่ยนเวยหนิงดวงตาแดงก่ำขึ้นมาทันที แต่เธอยังคงมองไปที่ป๋อจิงโจด้วยสายตาอันเข้มแข็ง “จิงโจว วันนี้ขอบคุณมากนะคะ คุณกลับไปก่อนเถอะ ฉันอยู่คนเดียวได้ค่ะ......”
เธอบังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกคุณหมอขัดจังหวะ “ไม่ได้นะครับ คุณต้องให้ใครสักคนคอยจับตาดู การที่สมองถูกกระทบกระเทือนเล็กน้อยก็มีความเสี่ยง จะทำเป็นเรื่องล้อเล่นไม่ได้นะครับ” เขาพูดอย่างเข้มงวด
เจี่ยนเวยหนิงขยับปากราวกับจะพูดอะไรเพิ่มเติม ป๋อจิงโจวก็เอ่ยปาก “คืนนี้ผมอยู่ได้ คุณหลับให้สบายใจเถอะ”
ทั้งสองคนรู้จักกันมานาน เจี่ยนเวยหนิงรู้นิสัยของเขาดี “งั้นก็ รบกวนคุณด้วยนะคะ เพียงแต่......เรื่องเสิ่นหว่านฉือจะให้ฉันโทรไปอธิบายหน่อยดีไหมคะ?”
ข่าวใหญ่ขนาดนั้น เธอน่าจะเห็นแล้ว
ชายหนุ่มนิ่งไปสักพัก ก่อนจะขมวดคิ้วอย่างรำคาญใจ “ไม่ต้อง”
ป๋อจิงโจวอยู่ที่โรงพยาบาลตลอดจนช่วงเช้าตรู่ คนรับใช้ภายในบ้านเริ่มทำความสะอาดแล้ว เมื่อเห็นเขากลับมา คนรับใช้ก็รีบเข้ามาถาม “คุณชายกลับมาแล้วเหรอคะ? ท่านจะทานอาหารเช้าไหมคะ?”
“อือ”
เขาไม่ได้นอนมาทั้งคืน ตอนนี้จึงรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย เขายกมือขึ้นนวดระหว่างคิ้วพร้อมกับถามถึงเสิ่นหว่านฉือ “คุณนายล่ะ”
“คุณนายน่าจะไปที่บริษัทแล้วค่ะ ดิฉันมาก็ไม่เห็นท่านแล้วค่ะ”
ป๋อจิงโจวไม่ชอบให้มีคนนอกอยู่ในบ้าน ดังนั้นแม่บ้านจึงไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ด้วย
ชายหนุ่มดูนาฬิการของเขา ปกติแล้วตอนนี้เสิ่นหว่านฉือจะยังทานอาหารเช้าอยู่ เพราะงั้น เรื่องโรงแรมเมื่อคืนเธอออกไปอยู่เองแล้วเหรอ?
เธอไม่กลับมาทั้งคืน
สีหน้าของป๋อจิงโจวดูมืดมนเล็กน้อย แต่แม่บ้านไม่ได้สังเกตเห็น ตอนที่แม่บ้านยกอาหารเช้าเข้ามา ในมือของเธอยังมีเอกสารอีกฉบับอยู่ด้วย “คุณชายคะ นี่เป็นเอกสารที่บริษัทจัดการทรัพย์สินส่งมาค่ะ บอกว่ามีคนส่งไปรษณีย์มาให้ท่าน”
ที่อยู่บ้านของเขาเป็นความลับ ปกติเอกสารจะส่งไปที่บริษัท และเมื่อผ่านการคัดกรองโดยเลขาแล้วผ่านความเห็นสมควรถึงจะเอามาให้เขา
ตอนนี้เขาว่างอยู่พอดี ป๋อจิงโจวไม่ได้คิดอะไรมากจึงหยิบมาเปิดทันที
ตัวอักษรคำว่า ‘ข้อตกลงหย่าร้าง’ อันสะดุดตาที่ด้านบน ทำให้สีหน้าเศร้าหมองของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที เขาอ่านอย่างคร่าว ๆ และเมื่อเขาเห็นรายการแบ่งทรัพย์สิน ในตอนนั้นเขาก็หัวเราะเยาะออกมาจากลำคอ “แจกแจงได้ละเอียดดีนะ”
ทั้งบ้าน รถยนต์ เงินสด และหุ้นทั้งหมดในนามของเขาถูกแบ่งครึ่งเรียบร้อย
ป๋อจิงโจวพูดขึ้น “กล้าที่จะคิดนะ”
แม่บ้านที่ยืนอยู่ไหนเล่าจะกล้าต่อบทสนทนา เมื่อเห็นคำว่าหย่าร้างสองคำใหญ่ เธอก็อยากจะหายตัวไปเสียเดี๋ยวนี้
ชายหนุ่มถือข้อตกลงในมือข้างหนึ่ง แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อโทรออกด้วยมืออีกข้างหนึ่ง
ไม่นานนัก เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังมาจากปลายสาย "มีเรื่องอะไรเหรอ?"