Share

บทที่ 11

เมื่อจ้าวชิงเหอและลุงของเขามาถึงร้านค้า พวกเขาเห็นหวังหยวนหยิบหม้อเหล็กขึ้นมา และกำลังเทน้ำเชื่อมที่ผสมไว้กับโคลนสีเหลืองลงในกรวยที่มีฟางเรียงราย

“ท่านพ่อ ดูนั่นสิ!”

จ้าวชิงเหอมุ่ยหน้า

ลุงมองด้วยความประหลาดใจ

ซู่ ซู่ว…

กากน้ำตาลสีดำไหลออกมาจากด้านล่าง และน้ำเชื่อมเริ่มแยกตัวออกจากกันในกรวย

ไม่นาน น้ำตาลทรายขาวก็ตกผลึกอยู่ด้านบน น้ำตาลทรายแดงอยู่ตรงกลาง และกากน้ำตาลดำอยู่ด้านล่าง

“น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลทรายขาว”

ดวงตาของจ้าวชิงเหอแทบจะบินออกมาด้านนอก

น้ำตาลดำมีราคาถูกที่สุดคือจินละหนึ่งร้อยอีแปะ น้ำตาลทรายแดงจินละสามร้อยอีแปะ และยังไม่มีน้ำตาลทรายขาวขายในท้องตลาด

เมื่อดูอัตราส่วนของน้ำตาลสามสีในกรวยจะเห็นได้ว่ามีมีน้ำตาลทรายขาวห้าสิบเปอร์เซ็นต์ น้ำตาลทรายแดง สามสิบเปอร์เซ็นต์ และกากสีดำอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์

แค่น้ำตาลทรายแดงก็เกือบจะเทียบเท่าต้นทุนน้ำตาลดำแล้ว ส่วนเงินที่ขายน้ำตาลทรายขาวได้ก็ถือว่าเป็นกำไร

ลุง หวังหานชาน ต้าหู และหวังซื่อไห่รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พวกเขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

เอ้อหูถามออกไปตรง ๆ "พี่หยวน ทำไมน้ำตาลดำผสมกับโคลนสีเหลืองแล้วถึงกลายเป็นน้ำตาลทรายแดงและน้ำตาลทรายขาวล่ะ?"

ทุกคนต่างก็รู้สึกสงสัย

หวังหยวนอธิบายง่าย ๆ ว่า "น้ำตาลดำมีสารเม็ดสีเจือปนอยู่ และโคลนสีเหลืองสามารถดูดซับสิ่งที่เป็นเม็ดสีเหล่านั้นออกมาได้ น้ำตาลทรายแดงและน้ำตาลทรายขาวจึงปรากฏขึ้น"

การผลิตน้ำตาลของต้าเย่นั้นอยู่ในระดับพื้นฐาน และในทางตอนใต้มีการปลูกอ้อยเพื่อทำน้ำตาลดำ

นอกจากนี้ยังมีคนไม่กี่คนที่ใช้เถ้าจากพืช และการลดสีของไข่เป็ดเพื่อทำน้ำตาลทรายแดง

และยังไม่มีใครค้นพบวิธีการทำน้ำตาลทรายขาว

วิธีการลดสีของโคลนสีเหลือง ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเทคโนโลยีการผลิตน้ำตาลของจีนโบราณ ถูกนำมาใช้จนถึงยุคอุตสาหกรรม

เขาคือนักศึกษาปริญญาเอกด้านเคมี สำหรับกระบวนการระดับต่ำนี้ เขาจึงเข้าใจเหตุผลชัดเจนว่าทำไม

“เม็ดสี?”

“สิ่งเจือปน?”

“ดูดซับ?”

ทุกคนไม่เข้าใจ!

หวังหยวนใช้นิ้วกวัดน้ำตาลทรายขาวขึ้นมา "ลองชิมดู"

ทั้งหกคนยืนล้อมรอบกรวย ค่อย ๆ กวัดน้ำตาลทรายขาวขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แล้วใส่เข้าไปในปากของตนเอง

ดวงตาโตของจ้าวชิงเหอเป็นประกาย "มันหวานมาก หวานยิ่งกว่าน้ำตาลดำ และน้ำตาลทรายแดงเสียอีก!"

“อืม หวานกว่าน้ำตาลทรายแดงจริงด้วย”

หวังซื่อไห่เห็นด้วย ราวกับว่าเขาได้กินน้ำตาลทรายแดงจริง ๆ

น้ำตาลเป็นยาชูกำลัง แต่ชาวบ้านไม่มีกำลังจับจ่าย

จะมีก็แต่เวลาเยี่ยมญาติในช่วงเทศกาลวันหยุดเท่านั้นที่ชาวบ้านพอจะได้กินน้ำตาลดำบ้าง

น้ำตาลทรายแดงนั้นมีแต่คนรวยเท่านั้นที่จะได้กิน

"ข้าเคยกินแต่น้ำตาลดำ น้ำตาลทรายขาวนี้หวานกว่าน้ำตาลดำมาก"

เอ้อหู่ยังคงแสวงหาคำตอบ แต่พวกเขาไม่ได้เสแสร้งเป็นผู้อวดรู้

ลุง ลุงหานซาน และต้าหู่ชิมน้ำตาลทรายแดงอีกครั้ง เพื่อเปรียบเทียบก่อนจะพยักหน้าอย่างแรง

“น้ำตาลทรายขาวนั้นหวานกว่า แต่คุณค่าทางยานั้นไม่ดีเท่าน้ำตาลทรายแดง!”

หวังหยวนเหลือบมองจ้าวชิงเหอ "เมื่อหญิงสาวต้องการบำรุงเลือด ดีที่สุดคือดื่มน้ำน้ำตาลทรายแดง"

จ้าวชิงเหอหน้าแดง และมองหวังหยวนอย่างเขม็ง "ถุย พูดไปเรื่อยl!"

ลุง หวังหานซานไอแห้ง ๆ ต้าหู่ เอ้อหู่ และซื่อไห่ทำหน้ามึนงงอย่างไม่เข้าใจ

เอ้อหู่พูดอีกครั้ง "พี่หยวน พี่รู้วิธีนี้ได้อย่างไรกัน?"

“ยังต้องถามเหรอ?”

หวังซื่อไห่เงยหน้าขึ้นและพูดกับตัวเองว่า "หวังหยวนต้องเรียนรู้มาจากหนังสือน่ะสิ"

“ฉลาดมาก!”

หวังหยวนยกนิ้วให้ หวังซื่อไห่เป็นคนช่างจินตนาการ ทำให้เขาไม่ต้องคิดหาเหตุผล

“ไอ้โง่!”

เมื่อมองไปเห็นหวังซื่อไห่ที่กำลังทำสีหน้าภาคภูมิใจ จ้าวชิงเหอก็กลอกตามองบน

หากมีวิธีการทำน้ำตาลทรายขาวในหนังสือ มันก็ต้องมีขายในตลาดแล้วสิ ทำไมจะต้องรอจนกว่าลูกพี่ลูกน้องของฉันทำมันด้วยล่ะ!

“เจ้าหยวน!”

ลุงตัดประเด็น "เจ้าจะขายน้ำตาลทรายขาวนี้ในราคาจินละเท่าไหร่?"

เอ้อหู่ลูบหัวของตัวเอง "น้ำตาลทรายแดงขายได้สามร้อยเหวิน แต่น้ำตาลทรายขาวนี้ซึ่งหวานกว่าน้ำตาลทรายแดงก็คงต้องขายในราคาสี่ร้อยอีแปะแล้วล่ะ!"

ต้าหู่พยักหน้าซ้ำ ๆ น้ำตาลสี่ร้อยอีแปะเป็นเงินจำนวนมากแล้ว

“สี่ร้อยอีแปะถูกเกินไป!”

หวังซื่อไห่โบกมือของเขา ก่อนจะอ้าปากพูดต่อ "ข้าคิดว่า มันน่าจะขายได้ในราคาหกร้อยอีแปะ ซึ่งเป็นราคาสองเท่าของน้ำตาลทรายแดง!"

ลุงกับลุงหานซานส่ายหัวพร้อมกัน "น้ำตาลทรายขาวหวานกว่าน้ำตาลทรายแดงถึงสองเท่า หากขายในราคา หกร้อยอีแปะข้าคิดว่าถูกเกินไปหน่อย ควรจะขายในราคาแปดร้อยอีแปะต่อจิน!"

จ้าวชิงเหอกล้าหาญที่สุด "ราคาแปดร้อยอีแปะก็ต่ำไปเช่นกัน น้ำตาลทรายขาวนี้ไม่ได้ขายให้กับคนทั่วไป มีเพียงคนร่ำรวยเท่านั้นที่สามารถเพลิดเพลินกับมันได้ ข้าคิดว่ามันควรจะเพิ่มอีกสองร้อยอีแปะ หรือก็คือหนึ่งกว้าน พี่คิดว่าอย่างไร?”

"หนึ่งกว้านต่อหนึ่งจิน!"

ทุกคนอ้าปากค้าง

น้ำตาลดำขายหนึ่งร้อยอีแปะต่อหนึ่งจิน น้ำตาลทรายขาวขายหนึ่งกว้านต่อหนึ่งจิน เท่ากับขายนำตาลดำได้สิบจินแล้ว

“กินข้าวก่อนเถอะ!”

หวังหยวนไม่ได้พูดอะไรต่อ

แม้แต่ลูกพี่ลูกน้องที่มีหัวเป็นลูกคิดอย่างเธอ ก็ยังกล้าขายแค่ในราคาหนึ่งกว้าน กล่าวได้ว่าเพื่อนพ้องเหล่านี้ช่างไร้เดียงสาเสียจริง

อาหารกลางวันมากมายหลากหลาย

เซาปิ่ง ปลาตุ๋นเต้าหู้ เนื้อตุ๋นหัวไชเท้า ถั่วงอกผัดกระเทียมกับไข่ และกะหล่ำปลีราดน้ำส้มสายชู

ลุงจ้าวต้าโช่ยหยิบไวน์ผลไม้ออกมา

สิ่งนี้ทำให้ต้าหู่ เอ้อหู่ และหวังซื่อไห่รู้สึกปลื้มปิติยิ่งนัก

ตั้งแต่เด็กจนโต พวกเขาไม่เคยกินกับข้าวสี่จาน และไม่เคยดื่มไวน์เลย!

หวังหยวนจิบไวน์ผลไม้แล้ววางแก้วลง รสชาติมันแย่และขมเกินไป

นี่คือสารแทนนินในไวน์ผลไม้ ซึ่งจำเป็นต้องย่อยสลายโดยการเติมกลีเซอรีน มิฉะนั้นหากดื่มมากเกินไปจะไม่ดีต่อสุขภาพ

แต่คนสมัยนี้จะรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร แค่มีไวน์ให้ดื่มก็ถือว่าเป็นวันที่ดีแล้ว

หลังอาหาร หวังหยวนสอนประเด็นสำคัญของการทำน้ำตาล

การต้มน้ำตาล อัตราส่วนของโคลนสีเหลืองกับน้ำ และเวลาที่จะเทลงในกรวย

หลังจากที่ทั้งห้าคนทำตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง หวังหยวนก็เริ่มสระผม เปลี่ยนเสื้อผ้า และแต่งตัว

เมื่อเห็นลูกพี่ลูกน้องของเขาสวมชุดคลุมผ้าซาติน และมีหยกขาวห้อยลงมาจากเอว พร้อมกับถือพัดกระดาษ จ้าวชิงเหอก็ตกตะลึง ใบหน้าสวยของเธอร้อนผ่าว

เธอหันกลับมาอย่างรวดเร็ว "ก็แค่ขายน้ำตาล แต่งตัวซะเหมือนเจ้าบ่าวเชียว อย่างกับว่าถ้าแต่งตัวดี พวกเขาจะให้เงินเพิ่มงั้นแหละ"

“ต้องรู้จักตัดสินคนจากการแต่งตัวก่อนอันดับแรก หากเราแต่งตัวเป็นสามัญชนทั่วไป แม้ว่าเราจะเอาน้ำตาลทรายขาวไปขายในร้านขายน้ำตาล ก็จะโดนกดราคาเอาได้”

หวังหยวนกระพริบตา "ช่วยเล่นเป็นสาวใช้ข้าข้าหน่อยสิ!"

"เป็นสาวใช้ของพี่!"

จ้าวชิงเหอวางมือบนสะโพกของเธอ "หวังหยวนอย่าโลภไปหน่อยเลย!"

หวังหยวนเลิกคิ้ว "กำไลหยกคู่หนึ่ง ต่างหูเงินหนึ่งคู่ และปิ่นเงินอีกหนึ่งอัน!"

"ตกลง!"

จ้าวชิงเหอวิ่งเหยาะ ๆ และหันกลับมา

หวังหยวนร้องเรียกคนที่เหลือ "ต้าหู่ ซื่อไห่ มาล้างหน้าและสวมเสื้อผ้าใหม่ซะ"

ต้าหู่และหวังซื่อไห่รีบวิ่งไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเก่าที่มีกลิ่นคาวปลา และสวมผ้าแพรสองชุดพร้อมกับสวมรองเท้าใหม่

เมื่อเห็นดังนั้นเอ้อหู่ก็รู้สึกอิจฉา

ผ้าของต้าเย่มีทั้งผ้าไหม ผ้าซาติน ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน ฯลฯ!

คนธรรมดาสวมผ้าลินิน ครอบครัวที่ฐานะดีขึ้นมาหน่อยสวมผ้าฝ้าย และครอบครัวคนร่ำรวยในเมืองจะสวมผ้าซาติน

ในชนบท เจ้าของบ้านทั่วไป หัวหน้าหมู่บ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่ และหัวหน้าครัวเรือนส่วนใหญ่จะสวมผ้าแพรกัน

เขาสวมผ้าลินินมาตั้งแต่ยังเด็ก และเขาไม่เคยแม้แต่จะสวมใส่ผ้าฝ้าย หรือแม้แต่ผ้าซาติน

หวังซื่อไห่ที่สวมชุดผ้าซาตินเป็นครั้งแรก รู้สึกตื่นเต้นมากจนเดินเชิดหน้าเชิดอก

ต้าหู่เองก็ทำตัวจริงจังขึงขังขึ้นมา

หลังจากนั้นไม่นาน จ้าวชิงเหอก็เปลี่ยนเป็นชุดผ้าซาติน พร้อมกับสวมต่างหู และปิ่นปักผมสีเงิน คิ้วของเธอวาดยาวขึ้นเล็กน้อย แก้มของเธอนั้นมีเลือดฝาดอยู่แล้ว จึงทาแป้งแค่นิดหน่อย

ดวงตาของหวังหยวนเป็นประกาย และเขารู้สึกว่าลูกคิดตัวน้อยไม่ได้ด้อยไปกว่าหลี่ซื่อหานเลย

ต้าหู่ เอ้อหู่ และหวังซื่อไห่มองตรงไป

“มานี่ ข้าจะบอกว่าต้องทำอะไรบ้าง!”

หวังหยวนอธิบาย

ทั้งสามถามคำถามเป็นครั้งคราว

หลังจากนั้นไม่นาน ลุง ลุงหานซาน และเอ้อหู่ก็เคี่ยวน้ำตาลทั้งหมดเสร็จ

น้ำตาลทรายแดงห้าสิบจิน จะได้น้ำตาลทรายขาวยี่สิบห้าจิน น้ำตาลทรายแดงสิบห้าจิน และกากน้ำตาลอีกสิบจิน

กล่องไม้จันทน์สีแดงสองกล่องบรรจุน้ำตาลทรายขาวยี่สิบจินไปขายในตงซื่อ

น้ำตาลทรายขาวสามจิน และน้ำตาลทรายแดงห้าจินเหลือไว้ให้ลุงของเขา และคนอื่น ๆ นำกลับไปที่หมู่บ้าน

เจ็ดคนแบ่งออกเป็นสองทีมเพื่อไปที่ตงซื่อ

ตงซื่อมีขนาดใหญ่มาก นอกจากปลา เนื้อ ผัก ธัญพืช และน้ำมันแล้ว ยังมีของแห้ง อาหารทะเล และลูกอมอีกด้วย

ให้เงินลุงหนึ่งกว้าน ให้ลุงพาลุงหานซาน และเอ้อหู่ไปซื้อเสบียงมาไว้

ส่วนพวกเขาไปที่โรงรถ และจ้างรถม้า หวังหยวนและชิงเหอนั่งอยู่ในรถม้า ต้าหู่เป็นคนขับ และซื่อไห่วิ่งเหยาะ ๆ ตามมา พวกเขาทั้งหมดรู้สึกประหม่าและตื่นเต้น

รถม้ามาถึงร้านขายน้ำตาลของโจว ซึ่งเป็นร้านของตระกูลโจวที่มีอำนาจในเมืองฝู

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status