“เสี่ยวเมิ่ง ยามปกติเจ้ามักฉลาดช่างจ้อ เรื่องแค่นี้มิต้องให้ข้าลุกไปจัดการเองกระมัง” ข้าเอ่ยกับนาง หลุบตาลงมองท่าทางบิดไปบิดมาของเสี่ยวเมิ่งที่นั่งด้านข้างด้วยความรู้สึกแปลกพิกล
“คุณหนูรองไปจัดเองเถิดเจ้าค่ะ ถ้าผู้ใดลือผิดๆ คุณหนูใหญ่จะมิได้มาโทษข้าเอาได้ ท่านก็รู้ว่ายามนางโกรธน่ากลัวมากแค่ไหน” เสี่ยวเมิ่งเอ่ยขอร้องอีก
ครั้งล่าสุดในคืนงานแต่ง บ่าวทั้งเรือนเหมยถูกคุณหนูใหญ่สะบั้นคอขาดไปทั้งหมด สาเหตุมาจากการละเลยหน้าที่บ่าว จนทำให้จิ้นฝานตีนเบาผู้เมามายย่องเข้าเรือนไป๋ซิงหนี่ว์จนลงมือทำร้ายนางได้
“เฮ้อ เสี่ยวเมิ่ง” ข้ากล่าวเสียงเนือยๆ ส่ายหน้าเบาๆ อย่างหน่ายใจในความคิดของนาง และกล่าวขึ้นต่อ
“เข้ามาพยุงข้าลุกขึ้น ข้าจะลุกไปจัดการเอง” สุดท้ายก็ต้องไปทำตามที่นางขอร้อง มิเช่นนั้นนางคงจะไม่ไปไหนนอกจากมานั่งทำหน้าเศร้าให้รำคาญใจอยู่เช่นนี้
“จริงหรือเจ้าคะ!” เสี่ยวเมิ่งกล่าวขึ้นอย่างดีใจ ดวงตาเล็กเปล่งประกายขึ้นมา เพราะนี่คือแผนการที่คุณหนูใหญ่ได้สั่งให้นางจัดฉากขึ้นมานั่นเอง
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้หนึ่งวัน...
ไป๋มี่อิงนั่งหาวอยู่ในสวนเรียกอดีตสาวใช้ประจำตัวอย่างเสี่ยวเมิ่งให้เข้าไปหานางที่เรือนหลิ่งเพื่อจะสั่งการบางสิ่ง
“คารวะคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ” เสี่ยวเมิ่งเอ่ยอย่างนอบน้อม
“อืม เสี่ยวเมิ่งน้อย วันพรุ่งเจ้าช่วยข้าสักเรื่องได้หรือไม่” ไป๋มี่อิงเอ่ยเสียงเนิบช้า ตามแบบฉบับความขี้คร้านของนาง
“สั่งบ่าวมาได้เลยเจ้าค่ะ มิว่าเป็นอันใดบ่าวทำให้คุณหนูได้หมด” เสี่ยวเมิ่งเอาใจ ฉีกยิ้มกว้างจนตาปิด
“ฮ่าๆ เจ้านี่น้า ตั้งใจฟังให้ดี จะมีคนขนหีบของคุณชายจิ้นไปยังห้องนอนในเรือซิงหนี่ว์ เจ้าเพียงรอให้ฟ้ามืด แล้วเอ่ยบอกนางว่ามีหีบของบุรุษหลงมา จากนั้นคงจะรู้ใช่หรือไม่ว่าต้องทำอย่างไร” ไป๋มี่อิงร่ายแผนการออกมาช้าๆ ให้บ่าวน้อยได้ฟัง
“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูต้องการให้คุณชายจิ้นและคุณหนูรองได้ใกล้ชิดกันใช่ไหมเจ้าคะ วันพรุ่งบ่าวจะทำให้งานนี้สำเร็จ” เสี่ยวเมิ่งตอบเสียงหนักแน่น
เพราะประการฉะนี้ เป็นเหตุให้ไป๋ซิงหนี่ว์ต้องลุกขึ้นมาแก้ปัญหาที่ถูกจัดขึ้นของผู้อื่น หารู้ไม่ว่าสิ่งที่นางพยายามหลบเลี่ยงมาตลอด จะได้เผชิญหน้าในอีกไม่ช้านี้
ข้าเดินขึ้นมายังชั้นสอง ตรงไปยังห้องนอนตนเอง และเรียกบ่าวอีกสองคนให้มาขนหีบที่หลงเข้ามาด้วยออกจากห้อง เพื่อจะส่งมอบคืนให้แก่เจ้าของ
หีบไม้สีน้ำตาลวางเด่นสง่ากลางห้อง ลวดลายหีบนี้ดูแล้วมิน่าใช่หีบของบ่าวหรือขันที เพราะทำมาจากไม้สนแกะสลักอย่างดี คาดว่าน่าจะเป็นของคนชั้นสูงที่มีเบี้ยมากพอจับจ่ายซื้อได้
“ไปถามไท่จื่อ คุณชายเยี่ย คุณชายไป๋ และคุณชายจิ้น ว่าหีบข้าวของพวกเขาหายไปหรือไม่ ถ้าหายบอกว่ามันหลงติดเข้ามาในห้องคุณหนูรองตอนขนหีบเข้ามา” ข้ากำลังยืนสั่งการบ่าวในห้อง ก่อนที่จะให้พวกเขาลากมันออกมาจากห้องนอน
“ขอรับ” บ่าวทั้งสองรับคำ ก้มหน้าก้มตาลากหีบใหญ่ออกมาจากห้องอยู่นาน พลันพอลากออกมาได้ก็รีบรุดออกไปทำตามที่ไป๋ซิงหนี่ว์สั่งการเอาไว้ก่อนหน้านี้
ข้ายืนคอยท่าอยู่นานราวๆ หนึ่งเค่อ คุณชายจิ้นก็เดินนำบ่าวทั้งสองคนตรงมายังทางที่ข้ายืนอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือสวรรค์จงใจ หีบอาภรณ์นี้กลับเป็นของบุรุษผู้นี้ไปได้
“เหตุใดหีบข้าถึงมาอยู่...” จิ้นฝานเดินมาหยุดตรงหน้า และเอ่ยถามไป๋ซิงหนี่ว์ด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อย
สาเหตุมาจากในยามบ่าย เขาประกาศหาหีบที่หายไปของตนเองในเรือ กลับไม่มีผู้ใดตอบ แต่ตอนนี้มันกลับมาอยู่ที่ห้องของไป๋ซิงหนี่ว์เสียอย่างงั้น
ข้าสบเข้ากับดวงตาดุที่มองอย่างไม่สบอารมณ์ จึงคร้านจะกล่าวแก้ต่างใดๆ เพราะสั่งการบ่าวไปแจ้งแล้ว ยังจะมามองด้วยสายเช่นนี้อีก ก็ไม่มีสิ่งใดที่ต้องปรับความเข้าใจกันต่อ
“ถ้าเป็นของท่านก็เอาไปเสีย ถ้ายกไปไม่ไหวก็ให้บ่าวช่วยขนเจ้าค่ะ” ข้าตอบเขา
“เหตุใดถึงไม่ตอบที่ข้าถาม...” จิ้นฝานกดคิ้วต่ำในขณะที่กล่าวกับนาง
“ตอบอันใด” ข้าเอ่ยถามอย่างสงสัย
จิ้นฝานยืนจ้องนางเพียงครู่เดียว ตวัดตากลับมาหมุนกายหันหลังกลับ และเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“พวกเจ้าขนไปไว้ในห้องให้ข้าด้วย” พอกล่าวจบก็ก้าวเดินออกไป
ข้ามองท่าทีนั้นอย่างขุ่นใจ เป็นอันใดของเขากัน ข้าจะเอาหีบอาภรณ์ของเขาเก็บเอาไว้ทำไมกัน การแสดงออกทางสีหน้าเช่นนั้น คงจะคิดหลงตัวเองไปแล้วเป็นแน่ และมันเป็นความผิดของข้าตรงไหนกัน
เฮ้อ...ข้าผ่อนลมออกจากจมูก ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องไป มิวายบ่นเขาไปอีกสองสามประโยค
ส่วนเสี่ยวเมิ่งที่ยืนมองดูเหตุการณ์ทั้งหมด ได้แต่ส่ายหน้าไปมา ดูท่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองยากจะปลูกต้นไม้ร่วมต้นกันได้
“ทำหน้าเช่นนั้นเจ้าปวดท้องรึ” ข้าเอ่ยถามเสี่ยวเมิ่งที่ยืนหน้างออยู่ด้านหลัง
“เปล่าเจ้าค่ะ...บ่าวถามอันใดจากคุณหนูได้ไหมเจ้าคะ” เสี่ยวเมิ่งอึกอักก้มหน้ากลั้นใจเอ่ยถาม
ข้ามองท่าทางของนางอยู่ครู่หนึ่งถึงจะกล่าวออกไป
“ถามมา”
ส่วนตัวข้าก็สบายตัว ทานอาหารได้คล่องคอมากขึ้น ถึงแม้จะยังมีอาการแพ้ท้องอยู่ก็ตามที หรืออาจจะเป็นเพราะคำแนะนำก่อนหน้านี้ที่ช่วยทำให้สบายใจมากขึ้นก็อาจเป็นไปได้ คำแนะนำของเขาคล้ายกับยาในรูปแบบหนึ่งเจิ้งเหรินอี้ที่นั่งฝั่งตรงข้ามเห็นสีหน้าชื่นมื่นสดใสขึ้นของคุณหนูรองไป๋ ก็ก้มหน้าลงยกจอกชาขึ้นดื่ม แย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย และทอดสายตามองดูนางรำด้านหน้าต่อส่วนจิ้นฝานลุกจากที่นอน จัดอาภรณ์เข้าที่แล้วก็เดินออกจากกระโจมเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้เขาเดินไปนั่งโต๊ะด้านหน้าสุด ซึ่งตั้งอยู่ด้านข้างโต๊ะของเสนาบดีฝ่ายขวา และยังได้เอ่ยทักทายเสนาบดีจางออกไปสองสามประโยค“ซือจื๋อมานั่งโต๊ะเดียวกันเถิด” เสนาบดีจางเอ่ยเรียกอย่างเป็นมิตร“ขอรับ” จิ้นฝานรับคำ ลุกขึ้นไปร่วมโต๊ะและนั่งหลังตรง หลุบตามองบ่าวที่กำลังเทสุราลงจอกให้เขาเหตุใดต้องเป็นสุรา เพราะอากาศหนาวสุราจึงช่วยดับความหนาวภายในร่างกายลงได้หลายส่วน พวกเขาจึงนิยมนั่งจิบกันเรื่อยๆ ขณะล้อมวงสนทนาสายลมยามดึกพัดผ่าน ทำให้เปลวไฟในคบเพลิงวูบไหว สายลมนี้พัดเอากลิ่นหอมอ่อนๆ ของสุราในมือจิ้นฝานลอยเข้าจมูกมันเป็นกลิ่นหอมที่เหม็นชวนให้ลมในท้องก่อตัวเป็นพายุ ร
“ซิงหนี่ว์ เมื่อครู่คุณชายจิ้นมองทางนี้ด้วย” หลิงจูเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ เขย่าแขนเสื้อสหายเบาๆ“เหอะๆ” ข้าเพียงหัวเราะแห้งในคอ เขยิบกายหันหลังให้กับคุณชายจิ้นแทน วันนี้อากาศสดใส ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆ นับว่าเป็นวันดี เช่นนั้นแล้วจำเป็นต้องมองแต่สิ่งที่สบายใจและเป็นมงคล หากเห็นของอัปมงคล วันนี้อาจจะวิบัติเอาได้ทางด้านจิ้นฝานรับสุราต้มร้อนๆ ขึ้นมาเป่าไปได้สองลม เพื่อให้ความอบอุ่นคลายหนาวยามเช้า พลันก็ย่นคิ้วเข้า ขยับจอกสุราขึ้นมาจ่อจมูก ทำสีหน้ากระอักกระอ่วน และวางลงไปบนโต๊ะตามเดิมเสนาบดีจางเห็นท่าทางไม่สู้ดีของเขาจึงเอ่ยทักออกไปด้วยความสงสัย“สุรามิถูกปากหรือซือจื๋อ”“กลิ่นมิค่อยถูกจมูกขอรับ” จิ้นฝานตอบไปตามตรง“กลิ่นก็ปกติดีนี่” เสนาบดีจางเอ่ย ยกจอกสุราขึ้นมาดม เงยหน้าขึ้นมองจิ้นฝานอย่างแปลกใจ และเอ่ยขึ้นมาใหม่“ซือจื๋อลองยกขึ้นมาดมดูใหม่เถิด ถ้ากลิ่นยังเหมือนเดิมอาจจะเป็นจอกสุราที่ล้างไม่สะอาดกระมัง จะได้ให้บ่าวมาเปลี่ยนให้ใหม่”“ขอรับ” จิ้นฝานที่คิ้วยุ่ง หลุบตาลงยกจอกสุราขึ้นมาดมเฮือกหนึ่ง ท้องไส้ก็พลันปั่นป่วนขึ้นมาเสียดื้อๆท่านเสนาบดีจางทำตาโต ตกใจมองสีหน้าดำแดงที่เปลี่ยนมาอมเขียวร
๒ความจริงที่มาพร้อมความจำใจเขาผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบาและยืดกายขึ้น ปล่อยมือของนางวางลงช้าๆ และกลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น“มีอาการทุกวันไหม”“เกือบทุกวันเจ้าค่ะ” ข้าตอบอย่างเข้าใจในคำถามของเขา“มีอาการอันใดอีกนอกจากอาเจียน” เจิ้งเหรินอี้กลับมาทำสีหน้ายิ้มแย้มตามเดิมเอ่ยถามนางอีก“ไม่ค่อยอยากอาหาร ส่วนมากที่กินเข้าไปคือต้องกินอย่างหลีกเลี่ยงมิได้” ข้าตอบเสร็จก็เม้มปากเข้า มองสีหน้าเป็นมิตรของบุรุษตรงหน้า“อืม...อาการข้างเคียงช่วงนี้ท่านมีเรื่องให้คิดหนักหรือ หยินภายในจึงมิสมดุลเช่นนี้” เจิ้งเหรินอี้กล่าวช้าๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนลงและฟังรื่นหู“มีเจ้าค่ะ จะส่งผลร้ายหรือไม่เจ้าคะ” ข้าเอ่ยถามอย่างร้อนใจ"มากเกินจำเป็นก็ส่งผลร้าย ขนาดคนที่มีร่างกายดีก็ทรุดได้เช่นกัน” เจิ้งเหรินอี้กล่าวจบ ริมฝีปากบางก็ปิดสนิท และยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่เข้าใจในความทุกข์ของนางที่เก็บเอาไว้“ข้า…” เสียงแผ่วเบาลอดออกจากปาก หลุบตามองท้องตนเอง พยายามจะไม่คิด แต่มิอาจลบล้างความคิดและความทรงจำได้เลย และเงยหน้าขึ้นไปเอ่ยกับหมอเจิ้ง“ข้าควรจะทำเช่นไรดีเจ้าคะ”“คุณหนูไป๋หมายถึงร่างกายหรือสภาพจิตใจ” เจิ้งเหรินอ
“โป๊ยกั๊กนี่นำไปต้มดื่มทุกวันกับน้ำชา ไม่เกินสามวันจะเป็นปกติตามเดิม เจ้าเพียงแค่ข้อเท้าเคล็ดเท่านั้น ข้านำติดกายมาด้วยเพียงเล็กน้อย ถ้าหมดก็ไปขอเอาได้จากในครัว” เจิ้งเหรินอี้กล่าว“จริงหรือเจ้าคะ!” เสี่ยวเมิ่งกล่าวขึ้นเสียงดังอย่างดีใจ นางเพียงข้อเท้าเคล็ดเท่านั้น นึกว่าจะหักเสียแล้ว บ่าวน้อยกล่าวขึ้นในใจ“ฮ่าๆ จริงสิ ข้าจะโป้ปดเจ้าให้ได้อันใด” เจิ้งเหรินอี้หัวเราะก่อนจะเอ่ยตามอย่างขบขันเสี่ยวเมิ่งฉีกยิ้มกว้างก้มหัวขอบใจอีกสามรอบ ส่วนเจิ้งเหรินอี้ก็ยืนประกบมือไว้ด้านหน้าขา และเลื่อนสายตาไปมองคุณหนูตระกูลไป๋ ก่อนจะกล่าวออกไปอีก“ตาท่านแล้ว แต่ข้าต้องขอออกไปล้างมือก่อนสักครู่” เขาหลุบตามองเท้าเสี่ยวเมิ่ง เป็นนัยแฝงไปด้วยข้าเบิกตาขึ้นเล็กน้อย กำมือใต้แขนเสื้อ หายใจติดขัด ก่อนจะพยักหน้ารับเขาอย่างเข้าใจ แต่ที่ไม่เข้าใจในยามนี้จะให้หลิงจูสหายคนสนิทนี้ออกไปด้านนอกนั้น ควรจะใช้วิธีอันใดถึงจะดูแนบเนียนมากที่สุด พอหมอเจิ้งหมุนกายเดินออกจากห้องไป ก็ผุดความคิดหาข้ออ้างได้ออก“หลิงจู ข้าหิวข้าวยิ่งนัก” ข้าแสร้งกล่าวเสียงอ่อน เดินกุมท้องไปนั่งด้านข้างของนาง“ซิงหนี่ว์ เจ้ายังมิได้กินข้าวตั้งแต่
“ใช่เจ้าค่ะ” หลิงจูเอ่ยขึ้นอีกเจิ้งเหรินอี้ยิ้มรับอย่างเป็นมิตรและเอ่ยขึ้น “แม่นางมีธุระอันใดกับข้าหรือ”“กล่าวไปสิซิงหนี่ว์” หลิงจูกระทุ้งข้อศอกเบาๆ ไปด้านข้าง“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ ข้ามีนามว่าไป๋ซิงหนี่ว์ ส่วนนี่หลิงจู จะรบกวนให้ท่านหมอมาตรวจดูอาการของบ่าวคนสนิทให้เสียหน่อย”เจิ้งเหรินอี้ที่ยังแย้มยิ้มกว้างอยู่นั้น ก็เอียงหน้าลงด้านข้างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลุบตามองสตรีงามตรงหน้า พลางใช้หัวครุ่นคิดไปด้วยว่า ‘ไป๋’ ใช่แซ่หนึ่งในสิบตระกูลมหาอำนาจลำดับที่หนึ่งหรือไม่ แต่นับว่าหายากที่เจ้านายจะใส่ใจดูแลบ่าว เขาจึงพยักหน้าตอบรับอย่างสุภาพ พร้อมกับผายมือออกไปด้านหน้า“เชิญแม่นางไป๋นำทาง”“ขอบใจมากเจ้าค่ะ ที่ไม่รังเกียจตรวจดูอาการบ่าวของข้า” ข้าขอบใจแทนเสี่ยวเมิ่ง หมอหลวงนั้นเปรียบดั่งขุนนาง พวกเขาตรวจให้เพียงบุคคลชั้นสูง ไม่มีทางที่จะลดตัวลงมาตรวจอาการบ่าวเช่นนี้ได้“แม่นางไป๋กล่าวเกินไปแล้ว” เจิ้งเหรินอี้กล่าวอย่างเป็นมิตร เดินมาขนาบข้างไป๋ซิงหนี่ว์“มิทราบว่าหมอหลวงมีนามว่าอันใดหรือเจ้าคะ เมื่อครู่พวกข้าเสียมารยาทมิได้เอ่ยถามชื่อกลับ” หลิงจูชะโงกหน้าจากอีกฝั่งไปถาม“ข้ามีนามว่าเจิ้งเหรินอ
เป็นไปตามที่จิ้นฝานคิดเอาไว้ เช้าวันที่หนึ่งเขาสะดุ้งกายตื่นขึ้นมาเพราะเสียงอาเจียนของไป๋ซิงหนี่ว์ ลากยาวจนเกือบสองชั่วยาม เขานอนฟังเสียงนั้นเอาแขนหนุนหัวสองข้าง ทอดมองเพดานอย่างทอดถอนใจด้วยความที่มีนิสัยสันโดษ ไม่ชอบสุงสิงกับผู้อื่นที่ไม่สนิท จึงออกไปพบปะสนทนากับขุนนางด้านนอกเพียงเล็กน้อย และเข้ามาเก็บตัวต่อในห้อง ตลอดทั้งวันเขาจะได้เสียงอาเจียนของนางเป็นพักๆ จึงเป็นการรบกวนเขาค่อนข้างมากด้วยเช่นกัน“เคร้ง!” พลันก็มีเสียงเขวี้ยงบางสิ่งที่กระทบเข้ากับผนังห้อง ตามมาด้วยเสียงตะโกนขึ้นสูงของสตรีที่เขาชังหน้า“ว้ายยย เสี่ยวเมิ่ง! ไปเอาอาหารมาใหม่ที ข้าไม่ไหวแล้ว” น้ำเสียงนี้บ่งบอกถึงความไม่พอใจ และเอาแต่ใจของไป๋ซิงหนี่ว์ที่เขาสัมผัสได้บุรุษที่แหงนหน้ามองเพดาน มีหนังสือหนึ่งเล่มเปิดหน้าเอาไว้วางบนอก ริมฝีปากหนาปริออกกล่าวออกมาอย่างไร้เสียง“เรื่องมากยิ่งนัก”คำกล่าวนี้ล้วนมาจากความนึกคิดของตนเองจากการคาดการณ์ แต่เขามิอาจรู้ได้ว่าหลังกำแพงไม้นี้ เหตุการณ์จริงๆ เกิดอะไรขึ้นกันแน่จากนั้นเสียงทั้งหมดก็กลับมาเงียบสงบตามเดิม ไร้เสียงสนทนาโวยวายของนางต่ออีก ถึงแม้ว่าจะเป็นห้องข้างๆ กัน แต่จะได