ส่วนหลิงจูที่สบเข้ากับดวงตาดุดันของจิ้นฝานก็ผงะตกใจตาโตเล็กน้อย หลุบตามองต่ำแสร้งยกสุราต้มอุ่นๆ เทลงจอกยื่นให้กับสหายตนเอง
“ข้าเทให้ ลองจิบดูหน่อย...รสชาติไม่ฉุนขึ้นจมูก” หลิงจูทำเพื่อบ่ายเบี่ยงการกระทำก่อนหน้านี้ของตนเอง คะยั้นคะยอให้ไป๋ซิงหนี่ว์ที่กำลังคีบถั่วคั่วเข้าปากนั้นดื่มสุราเข้าไปอย่างไม่รู้ตัว
“อึก” เสียงกลืนน้ำอึกใหญ่ที่ไหลเข้ามา เพราะข้าที่กำลังงุนงงได้ถูกยัดเยียดให้ดื่มบางสิ่งเข้าไปในปากไม่ทันตั้งตัว อีกทั้งยังเผลอดื่มเข้าไปจนหมด เพราะหลิงจูป้อนเข้ามาอย่างไม่เบามือเลย
“เจ้าเอาอันใดให้ข้าดื่ม…รสชาติมัน” ข้ากล่าวถามนางทันที รสชาติและกลิ่นนี้มันสุราชัดๆ “สุราต้มดอกเหมยกลิ่นหอมละมุน สตรีเช่นพวกเราดื่มได้ไม่บาดคอ” หลิงจูเอ่ยตอบเสียงหวาน
“เจ้า!” ข้ากล่าวออกไปอย่างลืมตัว เสียงน่าจะดังมากพอที่จะทำให้คนบนโต๊ะทั้งหมดหันมามองเป็นสายตาเดียวกัน
“ซิงหนี่ว์ เจ้าจะเสียงดังทำไม” หลิงจูตกใจกล่าวปรามสหายออกไป เพราะยามนี้นางเองก็ถูกจับจ้องด้วยเช่นกัน
“ข้าขอตัวก่อน…” ข้ากล่าวกระซิบกับนางด้วยความกังวลใจที่เริ่มก่อตัวขึ้น จะต้องรีบออกไปล้วงคอ มิเช่นนั้นเจ้าเด็กน้อยในท้องอาจจะ…พอกล่าวจบก็กวักมือเรียกเสี่ยวเมิ่ง แล้วเดินออกไปจากกระโจมทันทีอย่างรีบร้อน
“เจ้าจะไปไหน!” หลิงจูที่ถูกสหายทิ้งเลิ่กลั่กอยู่บนโต๊ะทำตัวไม่ถูกกับสายตาของทุกคนที่มองมา นางก้มหน้าต่ำลง และเอ่ยออกไปเสียงแผ่ว “ข้าขอตัวกลับไปยังกระโจมตระกูลหลิงก่อนนะเจ้าคะ ทูลลาไท่จื่อ และพระชายาเพคะ”
ข้ารีบวิ่งออกมาตรงด้านหลังกระโจม เบี่ยงหลบมาด้านข้างอยู่ห่างพอสมควร และหยุดยืนพักหายใจให้หายเหนื่อยที่รีบร้อนออกมาก่อนหน้านี้
“เกิดอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ” เสี่ยวเมิ่งเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“เมื่อครู่ข้าเผลอดื่มสุราเข้าไปหนึ่งจอก...เสี่ยวเมิ่ง เจ้าไปช่วยถามความจากพวกหมอหลวงทีว่ามันจะอันตรายหรือไม่ ถ้าเข้าไปถามมิได้ค่อยไปบอกเจี่ยเจีย รีบไปเสีย” ข้าร่ายยาวออกไปทีเดียว พร้อมกับโบกมือไล่นางออกไปอย่างร้อนใจ
“ได้เจ้าค่ะ เอ่อ คุณหนูรองใจเย็นๆ รอบ่าวตรงนี้นะเจ้าคะ!” เสี่ยวเมิ่งรับคำ วิ่งแจ้นออกไป
เมื่อเสี่ยวเมิ่งวิ่งห่างออกไป ข้าจึงอ้าปากกว้างแล้วใช้นิ้วคว้านคอตนเองให้อาเจียนออกมา ความรู้สึกกระอักกระอ่วนมวนท้องคล้ายจะออกก็ไม่ออก มันค้างอยู่ในลำคออย่างไรอย่างนั้น
“โอ้กกกก” ข้าตะเบ็งเสียงออกจากคอ น้ำหูน้ำตาเล็ด ยอบกายไปนั่งย่องๆ กับพื้น เกรงว่าจะหน้ามืดล้มคะมำลงไปเสียก่อน มาก้มๆ เงยๆ เช่นนี้
“โอ้กกกกกกกก...อึก เมื่อไรจะออก ข้าเจ็บคอไปหมดแล้ว” ข้าเอ่ยพึมพำพลางยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตาที่ปริ่มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
เหตุการณ์ทั้งหมดของไป๋ซิงหนี่ว์ถูกจับตามองด้วยบุรุษผู้หนึ่ง ก่อนหน้านั้นเขาเดินออกจากกระโจมตามไล่หลังนางมาอย่างคับข้องใจ ตอนนี้เขากำลังยืนกอดอกหลุบตามองสตรีที่นั่งตัวสั่นโยกคว้านคอตนเองอาเจียนออกมา และยืนมองดูพักใหญ่นางก็ยังไม่รู้สึกตัว เขาคร้านที่จะยืนคอยนานจึงเริ่มเปิดบทสนทนาขึ้น
“คุณหนูรอง”
“โอ้ก...” ข้าที่กำลังโก่งคออาเจียนออกมา พลันก็หยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ทันที น้ำเสียงกดต่ำนี้แลฟังดูคุ้นหูมากนัก
ข้ากลืนของทั้งหมดลงท้องไป ล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากอกซับไปที่หางตา และปากตนเอง ยันกายลุกขึ้นยืน กำมือแน่นเรียกสติ และหันหลังกลับไปช้าๆ และเอ่ยกับเขา
“มีธุระอันใดหรือคุณชายจิ้น”
“ธุระ…” จิ้นฝานทวนคำกล่าวของนาง คิ้วมุ่นเข้าเล็กน้อย หรี่ตาข้างเดียวลงมองประเมินสตรีตรงหน้าอย่างเคลือบแคลงในใจ ก่อนจะกล่าวขึ้นต่อ
“ข้าต้องเป็นคนถามถึงจะถูก ว่าคุณหนูรองมีธุระอันใด”
“หืม!” ข้าเค้นเสียงก่อนจะกล่าวตอบเขาด้วยความแปลกใจ “ข้าไม่มีธุระอันใดกับท่าน”
“ไม่มี...การกระทำก่อนนี้คืออันใด” จิ้นฝานกอดอกเอ่ยเสียงทุ้มต่ำลงมากกว่าคราแรก จ้องมองดวงหน้าของนางราวกับว่ากำลังหาคำตอบกับเรื่องที่สงสัยในใจ
“การกระทำ...นี่ท่านติดใจหีบอาภรณ์นั่นน่ะหรือ มันเป็นเรื่องบังเอิญที่บ่าวขนมาผิดห้องเพียงเท่านั้น” ข้าเชิดหน้าขึ้นสบดวงตาดุตรงหน้า แต่ทว่าเท้าข้าเองกลับก้าวถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว
“ข้าหมายถึงเอี๊ยมอิสตรีที่มันติดมาในหีบของข้าด้วยต่างหาก” จิ้นฝานเอ่ยเข้าเรื่อง ถ้ามัวคุยอ้อมคงจะไม่รู้เรื่องกันเสียที
“เอี๊ยม...นี่ท่านกำลังหมายถึงเอี๊ยมของข้าหรอกหรือ” ข้ากล่าวทันที จะบ้าไปแล้วหรืออย่างไร มีเหตุผลอันใดที่ต้องยัดเอี๊ยมใส่เข้าไปในหีบของเขาด้วย นี่คงจะคิดหลงตัวเองเกินไปแล้วกระมัง
“ถ้ามิใช่ของท่าน แล้วจะเป็นของสตรีนางใด” จิ้นฝานกอดอกกล่าว
“อย่ามากล่าวดูหมิ่นข้าเช่นนี้ ไม่มีเหตุจำเป็นเลยที่จะต้องทำเรื่องเช่นนั้น” ข้าตอกกลับ จ้องดวงตาที่เริ่มดุขึ้นเรื่อยๆ
“ฮึ” จิ้นฝานเค้นเสียงในคอ ส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะกล่าวสิ่งที่ตนคิดออกมา “ข้าไม่พิศวาสสตรีเช่นท่านหรอกนะ...มิต้องมาหว่านเสน่ห์เหมือนบุรุษอื่นที่ท่านเคยทำ วิธีเช่นนี้ใคร่ว่าจะดูไม่ออก และคุณหนูรองตระกูลหลิงนั่นอีก อย่าได้กระทำเช่นนี้อีก”
รอดในเมืองหลวง คอยส่งข่าวให้พวกที่หนีรอดไป นับว่าเป็นอีกหนึ่งแผนการที่อาจจะบรรลุผลได้เช่นกัน“สั่งงานเช่นนี้หมายความว่าวันพรุ่งท่านจะไม่เข้าวังหลวงหรือขอรับ” ผู้ช่วยเขาเอ่ยถามอย่างสงสัยจิ้นฝานปรายตาไปมองผู้ช่วยของเขาก่อนจะพยักหน้ารับ แล้วกล่าวออกไปเสียงเนือยๆ“เข้าไปยามบ่าย แต่ก็จัดการตามที่ข้าบอกเอาไว้ก่อน คัดคนของเราที่พอจะคล้ายพวกมันมา”ตอนเช้าเขาต้องไปดูความคืบหน้าของเรื่องโรคระบาด ที่คฤหาสน์อวี้เป็นสถานที่เอาไว้สำหรับกลุ่มคนที่เขาจัดขึ้นโดยเฉพาะ จากนั้นตอนบ่ายก็ต้องเข้าไปดูงานในวังหลวงต่อนับว่าเป็นปีที่เขาเหน็ดเหนื่อยเอาการ แต่ดีหน่อยพอกลับเรือนซือซือ ความเหนื่อยล้าทั้งหมดก็ได้หายไปหมดสิ้น ที่นั่นคล้ายกับยาชูกำลังอย่างไรอย่างนั้น“ได้เลยขอรับ” ผู้ช่วยเขากล่าว และเข้าไปจัดการงานเบื้องหน้าต่อ ต้องเก็บกวาดสถานที่นี้ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม ทำเหมือนว่าก่อนหน้านี้ไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้นจิ้นฝานมองรถม้าที่เขานั่งมาตอนเย็น สภาพดูไม่จืด ล้อหลุดออกหนึ่งข้าง ด้านข้างมีรอยดาบฟันเข้าไปลึกอยู่มาก ไม่อยากนึกเลยว่าถ้าเขาไม่เอะใจขึ้นมาก่อน ยามนี้ไม่เป็นเขาก็เป็นคุณหนูรองที่ได้รับบาดเจ็บแทน ดีที่
๑๕แผนการของคนซื่อม้าสีดำตัวใหญ่ก้าวเดินเป็นจังหวะไม่ช้า และไม่เร็วเกินไป เดินผ่านม่านหมอกเย็นๆ ไปตามเส้นทางของถนนที่ทอดยาว สายลมที่พัดทำให้หมอกลอยคลุ้งกระจาย คนทั้งสองไม่อาจคาดเดาว่าเป็นหมอกที่เกิดจากอะไรอาจจะเกิดจากอากาศที่เย็นลง หรือไอร้อนระเหยของพื้นถนน มันอาจจะลอยมาจากการเผาฝืนแก้หนาวของชาวบ้านก็ได้ คนทั้งสองจมูกเย็นเกินกว่าจะได้กลิ่นควันเหล่านี้ อากาศเย็นๆ หมอกขาวๆ นั่งกอดกันบนหลังม้าคงจะอุ่นกายอุ่นใจไม่น้อยช่วงเวลาแห่งการสร้างสายใยความสัมพันธ์นี้ที่ได้ถักทอขึ้นมาอย่างเงียบๆ ได้เดินทางมาถึงหน้าจวนตระกูลจิ้นจิ้นฝานลงจากหลังม้า และไม่ลืมที่จะยื่นแขนขึ้นไปรับฮูหยินของเขาลงมาด้านล่าง จัดแจงจับเสื้อคลุมที่บิดเบี้ยวไปด้านข้างของนางให้เข้าที่เรียบร้อย“จมูกไม่หายแดงเสียที” เขากล่าวบ่นขึ้น หลุบตามองปลายจมูกของนาง “ก็อากาศมันหนาวนี่เจ้าคะ” ข้าเบี่ยงตาไปมองทางอื่น บอกตามตรงทำตัวไม่ถูกจริงๆ ก่อนหน้านี้ก็พึ่งถูกขโมยจูบ ตลอดทางพวกเราทั้งสองก็นั่งเงียบมาตลอดไม่มีการสนทนาใดๆ หลังจากเหตุการณ์นั้นอีกทั้งข้ายังใจง่ายยอมให้เขากอดเช่นนั้นโดยไม่บ่น โดยไม่ว่าเลยสักคำเดียว น่าโมโหตัวข้าเองยิ่งนั
“มีอันใดรึเจ้าคะ”“มี ลองแหงนหน้าขึ้นไปมองด้านบน” จิ้นฝามก้มหน้าลงตอบนาง“แหงนหน้าหรือ” ข้าเอ่ย แล้วทำตามที่เขาบอกมองภาพด้านบนนี้ มีริ้วสีขาวพร่างพราวลงมา ท่ามกลางพระจันทร์สีนวล นับว่าแปลกนัก วันใดที่หิมะตกไม่มีทางที่จะมองเห็นพระจันทร์ได้ มันช่างน่าอัศจรรย์มากยิ่งเงาดำเริ่มคืบคลานบดบังสายตาของข้า แทนที่ด้วยใบหน้าคุณชายจิ้น ไออุ่นสีขาวที่พ่นออกมาทางจมูก รดลงมาที่หน้าของข้า ความรู้สึกนี้เหมือนทุกสิ่งหยุดนิ่ง มีเพียงแค่พวกเราทั้งสองคนเท่านั้น ที่ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของกันและกันเมื่อหายใจเข้ารอบที่สามในขณะที่เราทั้งสองสบตากันนั้น ริมฝีปากของเขาก็ประทับลงมาอย่างนุ่มนวล และแผ่วเบามันรู้สึกอุ่นๆ ร้อนๆ ตรงริมฝีปากข้าเอง หนวดที่ขึ้นตอสีเขียวถูลงที่คาง และมือของเขาประคองที่หัวข้าเอาไว้เป็นการจูบที่แตะลงมาเท่านั้น และนิ่งค้าง พอๆ กับความรู้สึกที่ตกใจ และตกตะลึงกับสัมผัสนี้จิ้นฝานวางปากประทับลงอยู่นานหนึ่งอึดใจ แล้วดึงหน้ากลับมาเลียริมฝีปากด้วยเอง พลางขมวดคิ้วเข้าอย่างสงสัย“ทำไมปากท่านถึงหวาน”“ข้า... ข้าดื่มข้าวหมักนํ้าผึ้งมา” ข้าตอบพลางหายใจหอบ แต่ทว่ามือของคุณชายจิ้นยังประคองเอาไว้ที
อี๋เสี่ยวควนคั่วได้ยินล่ามแปลประโยคที่จิ้นฝานกล่าวก็ยิ่งขบขันเข้าไปใหญ่ แบบนี้ในเผ่าของเขาเรียกว่ากลัวภรรยา แต่ถ้าเสนาบดีจิ้นเอ่ยออกมาเช่นนี้เขาก็จะเชื่อว่าแค่เกรงใจนางเท่านั้นเมื่อคิดเช่นนั้นก็หันไปมองโต้วตู่จื่อที่นั่งอยู่ เห็นตัวเล็กบอบบางคงจะร้ายไม่น้อยตอนอยู่ที่บ้าน ถึงกับทำให้บุรุษที่ขึ้นชื่อเป็นพยัคฆ์คู่ฝ่ายขวาของแคว้นซิ่นหมอบลงได้งานเลี้ยงดำเนินไปจนจบลง จิ้นฝานสั่งการลูกน้องตัวเองสองสามประโยค จากนั้นถึงจะเดินไปรับฮูหยินน้อยที่ยืนรํ่าลาเหล่าฮูหยินทั้งสามคน ก่อนจะหมุนกายกลับมาหาเขาสีหน้าของนางเรียบเฉยไม่มีรอยยิ้มใดๆ ปรากฏให้เห็นมีเพียงคิ้วได้รูปที่กดตํ่าลงเหมือนไม่ชอบใจอะไรในตัวเขาขณะนี้“ฮูหยินน้อยมานี่มา” จิ้นฝานเอ่ยเรียกนาง ยื่นมือออกไปด้านหน้ารอให้นางจับ“…….” ข้ามองหน้าคุณชายจิ้น เหตุใดต้องให้สาวงามใช้ซาลาเปาคู่มานั่งถูไถได้หน้าตาเฉย เขามียางอายบ้างหรือไม่!ดูท่าโต้วตู่จื่อนี้จะดื้อเอาเรื่อง จิ้นฝานมองไป๋ซิงหนี่ว์อย่างอ่อนใจ และเดินเข้าไปใกล้ก้มหน้าลงกล่าวเสียงแผ่ว“ขากลับจะควบม้ากลับกัน แต่ว่าข้าขอเสื้อคลุมของท่านได้หรือไม่ เอาไว้จะหาซื้อตัวใหม่มาคืนให้”“ข้าไม่เข้าใจ..
“นํ้าข้าวหมักนํ้าผึ้งนี้ ได้ยินขันทีกล่าวว่าเผ่าอิงคาขนมา” ฮูหยินหลันกล่าว พลางยกขึ้นจิบรสชาติหวานปลายลิ้นของมันในแก้ว“รสชาติเป็นเช่นไรบ้างฮูหยินหลัน” ฮูหยินที่นั่งด้านทางขวาเอ่ยถาม“รสชาติดี กินง่ายเจ้าค่ะ” ฮูหยินหลันเอ่ยตอบ“นํ้าข้าวหมักนี้กินแล้วเมาหรือไม่” ถึงตาข้าเอ่ยถามบ้าง อยากจะลองกิน แต่กลัวจะเมาเหมือนครั้งที่แล้ว“ไม่เมาเจ้าค่ะ” ฮูหยินหลันหันไปตอบอย่างมั่นใจข้ามองสีหน้าของฮูหยินหลันอย่างชั่งใจอยู่มาก อะไรหมักๆ ไม่อยากกินเข้าปากเลย แต่กลิ่นมันหอมข้าวอ่อนๆ จะไม่ลองก็กระไรอยู่ ประเดี๋ยวจะเสียเที่ยวเอาได้ มิใช่ว่าจะหาดื่มของแปลกต่างถิ่นได้เช่นนี้ ว่าแล้วก็ค่อยๆ จิบตามที่คุณชายจิ้นบอกเอาไว้ละกันเสียงกลองแผ่วลง พวกนางรำของเผ่าอิงคาก็เข้าไปนั่งลงตามโต๊ะขุนนาง และบุรุษในงานเลี้ยง ข้ามองตามสะโพกงอนงาม ตามจังหวะการก้าวเท้าเดินไปด้วยของพวกนางแต่คิดไม่ถึงว่าจะมีสาวงามหนึ่งในนั้นดวงหน้าคมเข้ม เดินเข้าไปนั่งลงด้านข้างคุณชายจิ้นจากนั้นนางก็เอื้อมมือไปหยิบจอกสุราขนาดใหญ่รินลงไปให้เขา แล้วยื่นขึ้นไปป้อนถึงปาก ข้าหรี่ตาลงมองให้ชัดเจน อยากรู้ว่าเขาจะทำอย่างไรต่อจิ้นฝานหลุบตาลงมองจอกสุราส
“ฟางซายจือ เหลียงเหลง หวู่ต้าตั๋ว ดานตรง ซีจงจึ่ย ฮ่างซี” อี๋เสี่ยวควนคั่วตอบออกไป พร้อมกับชูจอกสุราสีทองให้จิ้นฝาน“ท่านอี๋เสี่ยวกล่าวว่า ดีมาก แต่ขาดการระบำ และสาวงาม แต่สุรานี้อร่อยถูกปากเขานัก” ล่ามภาษาได้แปลออกมาให้ท่านเสนาบดีจิ้นฟัง“บอกเขาว่าไม่นานเกินรอ” จิ้นฝานเอ่ยขึ้นต่อ“จางไจ่ บู่ลู่” ล่ามหันไปแปลให้อี๋เสี่ยวควนคั่วฟังอย่างรวดเร็วอี๋เสี่ยวควนคั่วที่ได้ยินก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ตบหน้าตักตัวเองไปหนึ่งที แล้วกล่าวออกมาเป็นภาษาถิ่นของแผ่นดินหยวนโปวที่เขาพอจะรู้มาบ้าง แต่ก็ไม่เก่งจนสนทนากันได้อย่างเข้าใจ และฉะฉาน“เยี่ยม เยี่ยม!”จิ้นฝานพยักหน้ารับอี๋เสี่ยวควนคั่ว หันไปมองกลุ่มคนพิเศษ ที่เขาจัดขึ้นมาเพื่อหาวิธียุติโรคระบาดชายแดน หนึ่งในนั้นก็มีเจิ้งหรินอี้ด้วยเช่นกัน กำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่อีกมุมหนึ่ง จากนั้นก็กวาดตามองฮูหยินน้อยของเขาว่ายามนี้นางอยู่ที่ไหนเขามองเห็นสาวงามเด่นสะดุดตา เพราะเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวที่ฟูฟ่อง กำลังยืนสนทนากับสตรีนางอื่นอีกสี่คน แล้วยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะน้อยๆ ออกมา“ยินดีด้วยนะเจ้าค่ะ ที่ได้เป็นฮูหยินขั้นหนึ่งแล้ว งานเลี้ยงในวังหลวงครั้งที่แล้วข้า