๑
แม่ม่ายยังสาว
ชุนเอ๋อร์อยู่ในสถานะแม่ม่ายมายี่สิบหนาวแล้ว!
ยี่สิบหนาวเป็นเวลาไม่น้อยสำหรับมนุษย์ มากพอที่จะทำให้เด็กคนหนึ่งโตเป็นผู้ใหญ่ได้ อย่างเช่นบุตรชายของนาง
แต่ตัวชุนเอ๋อร์กลับไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด ตอนนี้นางยังคงนั่งอยู่ที่ศาลาตัวเดิม เป็นสตรีอายุ 41 หนาวที่มองภายนอกเหมือนสาวอายุยี่สิบตอนต้น
ชุนเอ๋อร์ไม่ทราบว่าทำไมตนไม่แก่ขึ้นเลย แอบนึกสงสัยไม่น้อยว่าทำไมคนในหมู่บ้านสาวสองพันปีถึงไม่แปลกใจกับความหน้าเด็กตลอดกาลนี้ ทุกคนยังใช้ชีวิตปกติ ไม่มีใครว่านางเป็นแม่มดหมอผี
กลับกัน...
หากนางอยู่ที่เมืองหลวง ตอนนี้คงถูกจับถ่วงน้ำไปแล้ว เพราะแบบนี้กระมัง ตอนนั้นนางถึงรู้สึกว่าหมู่บ้านสาวสองพันปีดู
‘พิศวง’
“สิบปีแล้วสินะ ที่เฟิงเอ๋อร์จากไป”
ชุนเอ๋อร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าซึม ที่นางกล่าวว่าเฟิงเอ๋อร์จากไป ไม่ได้หมายความว่าบุตรชายลาจากโลกนี้ไปแล้ว
ตอนหลันเฟิงอายุ 15 หนาวได้ออกเดินทางจากหมู่บ้านไปฝึกวิชายุทธ์กับจอมยุทธ์ที่สำนักแห่งหนึ่ง
ชีวิตที่ไม่มีบุตรชายคอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ ทำให้ชุนเอ๋อร์รู้สึกโดดเดี่ยวมาก ยังดีที่มีเฉียนจิ่นหงคอยมาสนทนาด้วยอยู่เสมอ
เขาก็คือรุ่นพี่ที่ชุนเอ๋อร์ให้ความนับถือ ช่วยนางหลบหนีจากอดีตสามีเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว
“เหม่ออีกแล้วชุนเอ๋อร์”
ชุนเอ๋อร์หันหน้าไปยังต้นเสียงก็เห็นร่างสูงของเฉียนจิ่งหงในชุดสีขาวมีรัศมีสูงศักดิ์ ใบหน้าหล่อเหลายิ้มให้นางแล้วเดินเข้ามานั่งในศาลาที่นั่งตรงข้ามกับชุนเอ๋อร์
“วันนี้มาเร็วกว่าทุกวันนะเจ้าคะพี่เฉียน”
“เพิ่งเลิกงานนะ เจ้าล่ะ กำลังคิดอะไรอยู่”
“หลายเรื่องเลยเจ้าค่ะ ทั้งเรื่องของเฟิงเอ๋อร์ ตัวข้าและพี่เฉียน”
เฉียนจิ่นหงเลิกคิ้ว “คิดถึงข้าด้วยหรือ”
เฉียนจิ่นหงเอนกายไปยังพนักพิงหลัง กอดอกมองชุนเอ๋อร์ยิ้ม ๆ
“แค่นึกสงสัยว่าเหตุใดรูปร่างหน้าตาของข้ายังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย พี่เฉียนก็ด้วย”
ดวงตารูปกวางสำรวจเฉียนจิ่นหงอย่างชัดเจนไม่ปิดบังจนคนตรงข้ามหัวเราะเสียงแผ่ว
“โลกนี้มีอะไรที่น่าพิศวงรอให้เจ้าเรียนรู้อีกเยอะ ไม่มองโลกแบบแคบ ๆ เป็นดีที่สุด”
“เจ้าค่ะ” ชุนเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
นางไม่ได้เชื่อฟังเขาเพียงนี้เรื่องเท่านั้น แต่ยังฟังคำโน้มน้าวเรื่องการฝึกวิชาต่างแดนของหลันเฟิงด้วย
เฉียนจิ่นหงเห็นศักยภาพในตัวหลันเฟิง ไม่อยากให้เขาถูกขังอยู่ในหมู่บ้านที่มีแต่สตรี อยู่อย่างไร้อนาคตแบบนี้
ชุนเอ๋อร์กลัวบุตรชายเป็นคนโลกแคบ นางจึงยอมให้หลันเฟิงไปฝึกวิชายุทธ์ที่ต่างแดน จากวันนั้นก็ผ่านมาแล้วกว่าสิบหนาว
“นี่ก็ปีที่สิบแล้ว รออีกหน่อยเถิด เดี๋ยวเฟิงเอ๋อร์ก็กลับมา”
ชุนเอ๋อร์คิดในใจ...กลับมาคราวนี้ก็อายุ 25 โตเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้วสินะ
“ข้าควรเตรียมใจหรือไม่เจ้าคะ เผื่อกลับมาครั้งนี้เขาหอบลูกเมียมาด้วย รู้ตัวอีกทีข้าก็ได้เป็นย่าคนแล้ว”
ชุนเอ๋อร์พูดติดตลก หากวันนั้นบุตรชายนางหอบลูกกลับมาด้วย นางก็ไม่รู้ว่าตัวเองยังตลกออกหรือไม่
“ไม่หรอก”
เฉียนจิ่นหงเห็นแววตาของชุนเอ๋อร์ไม่ได้ยิ้มเหมือนมุมปากจึงได้กล่าวให้นางสบายใจ ในใจเขาคิด...
เจ้าเด็กนั่นรักแม่ที่สุด มีหรือจะยอมออกเรือนในเร็ววันนี้
“ขอบคุณที่ปลอบข้าเจ้าค่ะ แล้วนี่ทานอะไรมาหรือยังเจ้าคะ”
เฉียนจิ่นหงส่ายหน้า “ยังเลย เจ้าทำกับข้าวไว้เผื่อข้าหรือ”
ชุนเอ๋อร์ยิ้มแห้ง “ไม่ได้ทำเจ้าค่ะ”
“แล้วกล่าวเหมือนจะชวนทานข้าว...ไป! วันนี้ข้าจะพาเข้าเมืองไปเปลี่ยนบรรยากาศ ทานข้าวไปเสพความวุ่นวายของคนเมืองไป”
“พี่เฉียนจะเลี้ยงหรือเจ้าคะ”
“แล้วข้าจะให้สตรีเลี้ยงอาหารได้อย่างไร”
“พี่เฉียนใจดีที่สุด ข้ารู้ดีกว่าใคร”
เฉียนจิ่นหงส่ายหน้าให้ชุนเอ๋อร์ แต่พอหมุนกายเดินนำออกไปจากศาลากลับยิ้มมุมปาก ในใจคิด...
นิสัยเหมือนเด็กน้อยจริง ๆ
หนึ่งเค่อ[1]ต่อมา...
ชุนเอ๋อร์และเฉียนจิ่นหงนั่งรถม้าออกมาจากหมู่บ้านสาวสองพันปีที่สมาชิกในหมู่บ้านล้วนเป็นแม่ม่าย สามีตาย ไม่ก็ถูกสามีหย่าขาดทำให้เป็นที่อับอายของคนทั้งเมือง ญาติพี่น้องไม่ต้อนรับ
สตรีในหมู่บ้านล้วนมีปมฝังลึกกันทั้งนั้น จากการเล่าของเฉียนจิ่นหง ชุนเอ๋อร์จึงรู้ว่าตนไม่ใช่คนแรกที่เขาพามาอยู่หมู่บ้านแห่งนี้
สตรีที่อยากจบชีวิตตัวเองล้วนถูกเฉียนจิ่นหงช่วยไว้และพามาอยู่ในหมู่บ้าน สมาชิกทุกคนเห็นเฉียนจิ่นหงจะรีบทำความเคารพดุจลูกน้องทำความเคารพเจ้านาย ต่างจากนางที่เป็นกันเองกับเขาเหมือนพี่น้อง
ชุนเอ๋อร์ให้เหตุผลในข้อสงสัยนี้ว่าเฉียนจิ่นหงเอ็นดูที่นางมีลูกติดท่ามกลางสตรีหลายร้อยคนในหมู่บ้านจึงมีเพียงนางที่สนิทกับเขา
“พี่เฉียนเจ้าคะ เพราะหมู่บ้านมีแต่สตรีหรือไม่ เฟิงเอ๋อร์ถึงไม่รีบกลับมาหาข้าเสียที”
ชุนเอ๋อร์ถามเสียงเครียด ความโคลงเคลงของรถม้าทำให้ศีรษะนางส่ายไปมาจนเริ่มรู้สึกวิงเวียน
“เขาอาจจะฝึกวิชาเสร็จแล้วก็ได้ แต่ไม่อยากกลับหมู่บ้าน”
“คิดมาก ข้าก็เป็นบุรุษยังเดินเข้าหมู่บ้านหน้าระรื่น”
เฉียนจิ่นหงไม่เพียงกล่าวออกมาเท่านั้น ยังยื่นนิ้วไปดีดหน้าผากชุนเอ๋อร์เบา ๆ ลงโทษที่นางคิดเล็กคิดน้อย
“สถานการณ์ไม่เหมือนกันเสียหน่อย แต่ก็ขอบคุณนะเจ้าคะ กำลังเมารถม้าอยู่พอดีเลย พอพี่เฉียนดีดนิ้วมาที่หน้าผากข้าเมื่อครู่...หายเลย!”
“หึ! เด็กน้อย”
เห็นนางยิ้มสดใสเช่นนี้ เฉียนจิ่นหงก็พลอยมีความสุขไปกับนางด้วย ระหว่างทางในรถม้าไม่เงียบเลย
เพราะทั้งคู่สนทนากันตลอดทางจนกระทั่งรถม้าแล่นเข้าในเมืองมาถึงโรงเตี๊ยมที่เป็นจุดหมายในวันนี้
[1] เค่อ หมายถึง สิบห้านาที
***แม่ม่าย
เขียนอย่างนี้นะคะ
ไม่ใช่
แม่หม้าย