๒
โรงเตี๊ยมอลเวง
หมู่บ้านสาวสองพันปีอยู่ห่างจากตัวเมืองค่อนข้างไกล ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วยาม[1] ในการเดินทางมาที่นี่
“ครั้งต่อไปข้าว่าเราเปลี่ยนบรรยากาศจากในครัวบ้านข้า เป็นครัวบ้านคนอื่นดีหรือไม่เจ้าคะ นาน ๆ ได้นั่งรถม้าเข้าเมืองที ปวดเมื่อยไม่น้อย”
“อะไรกัน! อายุเท่านี้ก็บ่นเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวเป็นคนแก่แล้ว”
“41 หนาวไม่น้อยแล้วนะเจ้าคะ ท่านอย่าได้โดนรูปกายภายนอกของข้าหลอกลวงเป็นอันขาด”
ปกตินางปลูกผัก เลี้ยงไก่จากไข่ที่หลันเฟิงเก็บมาเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ได้ออกแรงทำสวนบ้าง แต่ก็ไม่ได้แข็งแรงขนาดไม่ปวดเมื่อยส่วนใดของร่างกายเลย
“ไปเถอะ โรงเตี๊ยมตรงหน้าเรานี่แหละ”
เฉียนจิ่นหงเดินนำชุนเอ๋อร์เข้าไปในโรงเตี๊ยม เพราะภาพลักษณ์ที่ดูเหมือนคุณชายผู้สูงศักดิ์จึงสามารถดึงสายตาจากผู้คนได้ไม่ยาก
“คุณชายเฉียนมาแล้ว ห้องที่คุณชายจองไว้อยู่ทางนี้ขอรับ เชิญเดินตามข้าน้อยมาได้เลยขอรับ”
เมื่อเข้าไปนั่งห้องพิเศษ เฉียนจิ่นหงก็สั่งอาหารมาสามสี่อย่าง โดยที่ชุนเอ๋อร์นั่งเงียบ ยกหน้าที่สั่งอาหารให้เป็นของเขา
“ข้าสั่งถูกใจเจ้าหรือไม่”
“อะไรก็ได้เจ้าค่ะพี่เฉียน ข้าทานได้หมด”
ชุนเอ๋อร์ตอบกลับเฉียนจิ่นหง จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปมองนอกหน้าต่าง ผู้คนสัญจรไปมาบนท้องถนนไม่ขาดสายสมกับเป็นในเมือง
“อาหารมาแล้วขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์ยกอาหารมาให้ที่โต๊ะ เมื่อถึงเวลาทานอาหารทั้งสองต่างก็เงียบเสียงไม่สนทนา ชุนเอ๋อร์คีบอาหารเข้าปากแล้วเคี้ยวช้า ๆ มองออกไปนอกหน้าต่างเป็นครั้งคราวดูผู้คนใช้ชีวิต
“อิ่มแล้วเจ้าค่ะ”
จนกระทั่งอาหารพร่องลงไปนิดหนึ่ง ชุนเอ๋อร์ก็วางตะเกียบหยิบน้ำชาล้างปากเป็นการจบของคาวในมื้อนี้
“ของคาวจบแล้ว ต่อด้วยของหวานใช่หรือไม่”
“เดี๋ยวดูก่อนนะเจ้าคะ”
ชุนเอ๋อร์นั่งมองเฉียนจิ่นหงทานอาหารเงียบ ๆ เขาทานไม่นานก็วางตะเกียบลงแล้ว ชี้มือผ่านหน้าต่างไปยังร้านน้ำชาซึ่งอยู่ไม่ห่างจากโรงเตี๊ยม
“กุ้ยฮวาเการ้านนั้นอร่อยมาก ซื้อกลับไปทานที่บ้านไหม”
“เจ้าค่ะ”
ชุนเอ๋อร์พยักหน้ารับ เฉียนจิ่นหงจึงวางเงินเกินค่าอาหารไว้ที่โต๊ะ จากนั้นก็เดินเคียงคู่กันออกจากห้องพิเศษ
ทว่ายังไม่ทันที่เท้าของชุนเอ๋อร์จะเหยียบลงบันไดจากชั้นสองไปชั้นแรก นางก็โดนพลังงานบางอย่างพุ่งเข้าชนจนเกือบเสียหลัก ดีที่เฉียนจิ่นหงรับเอาไว้ มิเช่นนั้นได้ตกบันไดแน่
“โน่น มันอยู่ชั้นสอง!”
เสียงเข้มของบุรุษร่างหนาตะโกนลั่นโรงเตี๊ยม เขามีพรรคพวกมาหลายคน ท่าทางกักขฬะไม่แพ้กัน
ชุนเอ๋อร์มองตามสายตาของเขาไปที่ด้านหลังตนเอง คาดว่าเป้าหมายของคนกลุ่มนี้คือชายชุดดำปิดใบหน้าที่เกือบพุ่งตัวมาชนนาง
“น่ากลัวเจ้าค่ะพี่เฉียน”
“ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่”
เฉียนจิ่นหงกอดเอวชุนเอ๋อร์แน่น พานางโรยตัวลงมาจากชั้นสอง ปล่อยให้พวกเขาใช้กำลังตัดสินปัญหากันต่อไป
“เรารีบออกจากที่นี่กันเถิดเจ้าค่ะ เดี๋ยวโดนลูกหลง”
ชุนเอ๋อร์ดึงแขนเฉียนจิ่นหงให้รีบออกไปจากที่นี่โดยเร็ว แต่เฉียนจิ่นหงกลับส่ายหน้าปฏิเสธ มิหนำซ้ำยังจับมือชุนเอ๋อร์เดินไปหาที่หลบมุมดูการต่อสู้ของพวกเขา
“พี่เฉียน...”
“เฝ้าระวังอย่างเงียบ ๆ อยู่ตรงนี้เป็นพอ”
ชุนเอ๋อร์ถอนหายใจระบายอารมณ์ ดวงตารูปกวางมองภาพการต่อสู้ด้วยความหวาดหวั่น
“พื้นที่มีตั้งเยอะตั้งแยะ เหตุใดต้องมาสู้กันตรงนี้ด้วย”
สี่รุมหนึ่งสร้างความเสียหายให้แก่โรงเตี๊ยมไม่พอ ชายชุดดำอีกสามคนยังเข้ามาร่วมต่อสู้กับกลุ่มคนร่างหนาอีก กลายเป็นว่าการต่อสู้วันนี้ครบคู่
“ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง...”
ชุนเอ๋อร์หันไปมองหน้าเฉียนจิ่นหงด้วยความงุนงง สงสัยว่าเขานับเลขถอยหลังทำไม
จนกระทั่งหันกลับไปมองการต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง นางจึงเห็นว่าชายกลุ่มร่างหนาได้นอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้นกันทุกคนแล้ว
“จบแล้วหรือเจ้าคะ ท่านรู้ได้อย่างไร”
“เก่ง”
ชุนเอ๋อร์ร้อง “อ้อ” สั้น ๆ แล้วสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้น ก่อนจะเห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินสำรวจความเสียหายของโรงเตี๊ยม สีหน้าคล้ายจะร้องไห้ เข่าทรุดลงพื้นในทันที
“โรงเตี๊ยมข้า เสียหายหมดแล้ว”
เป็นเถ้าแก่โรงเตี๊ยมแห่งนี้นั่นเอง!
เขายกมือขึ้นกุมศีรษะ ใบหน้าเศร้าโศกชนิดที่ว่า หากเขาสามารถร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดได้ มันคงเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว
“สงสารเถ้าแก่นัก ค่าเสียหายคงไม่น้อยเลย”
ด้วยความที่ลูกค้าบางส่วนรีบหนีออกไปจากโรงเตี๊ยมกันไปแล้ว บรรยากาศตอนนี้จึงเงียบสงบ
นอกจากเสียงร้องไห้ของเถ้าแก่ที่ดังชัดแล้ว
ประโยคที่ชุนเอ๋อร์กล่าวออกไปเมื่อครู่ชัดเจนจนชายชุดดำทั้งหมดได้ยิน
“นี่ค่าเสียหายทั้งหมด เถ้าแก่ลองดูว่าพอหรือไม่”
หนึ่งในชายชุดดำเดินเข้าไปหาเถ้าแก่แล้วควักเงินหนึ่งถุงยื่นให้เขา เถ้าแก่เงียบเสียงร้อง เมื่อรับถุงเงินมาแล้วก็แง้มดู ดวงตาลุกวาวให้กับเงินในถุง
“พอ ๆ”
เถ้าแก่รีบเด้งตัวขึ้นยืนเต็มความสูง โค้งกายขอบคุณแล้วรีบเดินหนีชายชุดดำ ในความคิดของเถ้าแก่ตอนนี้ ได้ค่าเสียหายมาบ้างก็ดีกว่าไม่ได้เลย
“ข้าไม่เข้าใจเจ้าค่ะพี่เฉียน เหตุใดไม่ไปสู้กันข้างนอก จะได้ไม่สร้างความเสียหายให้ผู้อื่น”
ชุนเอ๋อร์กระซิบเบา ๆ ข้างหูของเฉียนจิ่นหง
ชายหนุ่มยิ้มมุมปากแล้วกล่าวเสียงไม่เบานักตอบกลับชุนเอ๋อร์ไป
“คงมีเงินเหลือใช้กันกระมัง”
ชุนเอ๋อร์พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย คำพูดของทั้งคู่เข้าหูชายชุดดำทั้งสี่ชัดแจ๋ว
หนึ่งในนั้นทำท่าจะเดินเข้ามาหาเรื่องเฉียนจิ่นหง แต่ก็โดนชายชุดดำอีกคนดึงแขนเอาไว้ก่อน
“พี่เฉียน ไปกันเถิดเจ้าค่ะ”
ชุนเอ๋อร์รู้ตัวแล้วว่าพูดเสียงดังเกินกว่าที่จะเรียกว่ากระซิบ มือบางดึงแขนเฉียนจิ่นหงให้รีบออกจากโรงเตี๊ยม
ทว่านางได้จับเพียงชายเสื้อของเฉียนจิ่นหงเท่านั้นก็โดนแรงบางอย่างดึงแขนออกจากโรงเตี๊ยม รู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่ในตรอกไร้ผู้คน
“นี่! เจ้าพาข้ามาที่นี่ทำไม หรือว่าโกรธที่ข้านินทาพวกเจ้า หากเป็นเช่นนั้นข้าขอโทษ”
สีหน้าชุนเอ๋อร์ซีดเผือดอย่างชัดเจน ตกใจให้กับความแข็งแกร่งของวรยุทธ์เขา
“อย่าทำอะไรข้าเลยนะ ข้ากลัวแล้ว”
[1] หนึ่งชั่วยาม มีสองชั่วโมง