ไม่นานข่าวลือได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งสำนักด้วยความรวดเร็ว ที่ว่าเฉินหลานได้หาเรื่องศิษย์ใหม่ที่เป็นถึงศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา เเต่ท้ายที่สุดได้ถูกศิษย์ใหม่ผู้นั้นตอกกลับด้วยถ้อยคำที่เจ็บแสบจนทำให้อับอาย ยังดีที่กลุ่มของตงหยางและสหายทั้งสามที่ได้เข้ามาห้ามปรามตำหนิชายหนุ่มไปเช่นกัน
เดิมทีเฉินหลานก็ไม่ได้ชอบตงหยางมากเท่าไหร่ ด้วยเพราะบิดาและผู้อาวุโสที่อยู่ในรอบตัวมักจะเปรียบเทียบเขากับตงหยางอยู่เสมอ ยิ่งถูกอีกฝ่ายกล่าวตำหนิต่อหน้าผู้คนมากมาย เขายิ่งรู้สึกโกรธและเสียหน้าเป็นอย่างมาก อคติในใจได้โทษว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพราะหนิงอ้ายคนเดียวที่ทำให้ต้องอับอายเช่นนี้ เขาต้องเอาคืนอีกฝ่ายอย่างแน่นอนในสักวัน
"เจ้าเด็กสารเลวนั่นหาเรื่องตายเสียแล้ว!!"
"ข้าจะจำเอาไว้แล้วในวันหนึ่งข้าจะทำให้เจ้าเสียใจที่ทำให้ข้าต้องอับอายเช่นนี้!!!" เฉินหลานเอ่ยสบถอย่างหัวเสีย ครั้งนี้เป็นเขาที่เสียหน้าเป็นที่อับอายไปไม่น้อย
เสียงการทำลายสิ่งของดังไปทั่ว แต่ด้วยเพราะเรือนพักแต่ละหลังของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้นั้นมีพื้นที่ส่วนตัวเป็นอย่างมาก เสียงดังที่เกิดขึ้นนี้นับว่าไม่ได้แปลกประหลาด ด้วยเพราะศิษย์ในตำหนักนี้มักจะใช้พื้นที่ในอาณาเขตเรือนพักในการฝึกฝนเวทย์ต่าง ๆ และทักษะในเชิงยุทธ์ ดังนั้นเสียงที่เกิดขึ้นนี่นับว่าเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นนั่นเอง…
ทางฝั่งของหนิงอ้ายกับลู่ซี แน่อนว่ารายชื่อของศิษย์ที่โดดเด่นในสำนักศึกษาเขาย่อมรับรู้มาบ้างเเล้ว จากการที่หวังจิ่งหลงหรือท่านตาของพวกเขาทั้งสองคนได้เตรียมข้อมูลส่วนนี้รวมไปถึงเรื่องราวในส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้ปรับตัวและสามารถอยู่ในสำนักอย่างมีความสุข ความปรารถนานี้นี้เด็กหนุ่มทั้งสองคนต่างซาบซึ้งเป็นอย่างมากมาก เพราะการที่ท่านตาได้จัดสรรเตรียมทุกอย่างที่จำเป็นเช่นนี้ ทำให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตและปรับตัวอยู่ในสำนักศึกษานี้ได้อย่างรวดเร็ว
ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับศิษย์พี่ตงหยางผู้เป็นศิษย์สายตรงของท่านเจ้าสำนักเจียงเฉิงหรืออีกในฐานะที่ทุกคนรับรู้กันนั้นคือว่าที่เจ้าสำนักคนต่อไป ศิษย์พี่จางลี่ศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตราวุธ ศิษย์พี่โม่โฉวศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลและศิษย์พี่ซุนหรานศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ ข้อมูลที่เขารับรู้มาก่อนหน้าเมื่อได้มาพบกับตัวจริงเเล้วนั้นนับได้ว่าไม่ผิดมากไปกว่ากันนัก
เเต่ด้วยเพราะเนตรแห่งสวรรค์ที่ถูกเรียกใช้ด้วยระดับพลังจักรพรรดิวิญญาณขั้นต้นในตอนนี้ จึงทำให้ข้อมูลที่ปรากฎให้รับรู้นั้นถูกเพิ่มรายละเอียดมากขึ้นสมกับชื่อที่หนิงอ้ายได้ตั้งชื่อไว้เสียจริง เเต่ถึงอย่างนั้นด้วยระดับพลังวิญญาณของเขาในตอนนี้จึงทำให้ยังถูกจำกัดด้วยหตุผลหลายอย่าง หนิงอ้ายคิดว่าในอนาคตหากเขานั้นมีระดับพลังวิญญาณบ่มเพาะที่สูงขึ้น เนตรแห่งสวรรค์นี้ก็จะสามารถเเสดงอานุภาพอย่างที่ควรจะเป็นได้มากกว่านี้
ระหว่างที่ศิษย์พี่ทั้งสี่คนนั้นได้ยื่นมือเข้ามาช่วยพวกเขาจัดการกับอันตพาลเจ้าแซ่เฉินนั้น เนตรแห่งสวรรค์ได้ส่งข้อมูลปรากฎให้เขาได้รับรู้ตรงไปตามสิ่งที่ได้รู้มาก่อนหน้าทั้งสิ้น
เช่นว่าศิษย์พี่จางลี่เเท้ที่จริงเเล้วเป็นองค์หญิงรัชทายาทจากแคว้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลไปจากสำนักศึกษามากนัก อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกตนสตรีรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นมากไปด้วยพรสวรรค์ด้วยวัยเพียงยี่สิบห้าสิบหกปีกับราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นสูงที่คาดว่าอีกเพียงหนึ่งหรือสองปีย่อมสามารถบรรลุไปถึงระดับราชันวิญญาณขั้นต้นได้อย่างไม่ยากนัก
สิ่งที่น่าแปลกใจสำหรับหนิงอ้าย คือศิษย์พี่จางลี่เป็นถึงว่าที่ผู้ปกครองราชวงศ์ของแคว้นคนต่อไป นี่เเสดงให้เห็นว่าแคว้นปกครองของศิษย์พี่จางลี่ท่านนี้นั้นไม่ได้เเบ่งแยกบุรุษหรือสตรี เพราะหากคนผู้นั้นมากไปด้วยฝีมือที่เเท้จริงย่อมได้รับความเท่าเทียมกัน นับว่าเป็นสิ่งที่ก้าวล้ำเกินยุคสมัยไปมากในความคิดของเขาเพราะในโลกนี้ยังมีอยู่ไม่น้อยที่ทุกคนต่างคิดเห็นว่าบุรุษเป็นใหญ่กว่าสตรี
ทางฝั่งของศิษย์พี่โม่โฉวนั้นอย่าได้เห็นว่าภายนอกจะดูเป็นเพียงชายหนุ่มเจ้าสำราญทั่วไป ความจริงแล้วพยัคฆ์ย่อมไม่เกิดลูกสุนัขฉันใด ศิษย์พี่ผู้นี้ก็ย่อมเป็นเช่นนั้นไม่ต่างกัน ด้วยเพราะอีกฝ่ายเป็นถึงบุตรชายเพียงคนเดียวของหนึ่งในสามปรมาจารย์ค่ายกลเเห่งยุคนามว่า ปรมาจารย์โม่ฉีหลิง ท่านเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลในปัจจุบันหรือท่านกุ้ยเจินนั้นก็เป็นหนึ่งในศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ท่านนี้เช่นกัน
ดังนั้นเเล้วความรู้และความสามารถ ที่คาดว่าอาจถูกถ่ายทอดมาจากสายเลือดหรืออย่างไรก็ตาม ได้หล่อหลอมให้ศิษย์พี่ท่านนี้มากไปด้วยความสามารถที่โดดเด่น มีการคาดเดาว่าในอนาคตตำแหน่งเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลคนต่อไปอาจจะเป็นศิษย์พี่โม่โฉวผู้นี้ก็เป็นไปได้ สำหรับระดับพลังวิญญาณบ่มเพาะนั้นของชายหนุ่มก็อยู่ในเขตขั้นราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นสูงเฉกเช่นเดียวกับศิษย์พี่จางลี่นั่นเอง
สำหรับศิษย์พี่ซุนหราน จากกลิ่นอายของอีกฝ่ายที่ได้แผ่ซ่านออกมาอย่างน่าเกรงขามจนผู้ฝึกตนระดับต่ำกว่าขุนพลวิญญาณก็สามารถสามารถสัมผัสได้ ช่างเหมาะสมกับตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้อย่างเเท้จริง ศิษย์พี่ท่านนี้ถือว่าเป็นสุดยอดฝีมืออย่างหาตัวจับได้ยากยิ่งคนหนึ่ง
เนตรแห่งสวรรค์ทำให้หนิงอ้ายได้รู้ว่าอีกฝ่ายเคยชนะการประลองของแคว้นด้วยอันดับที่หนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ดังนั้นอีกฐานะที่อีกฝ่ายถือครองอยู่นั่นเจ้ายุทธภพรุ่นเยาว์เเห่งมหาทวีปประจิม สิ่งนี้ย่อมการันตรีได้ถึงความเผ็ดร้อนเด็ดขาดของท่วงท่าในเชิงยุทธ์ อีกทั้งปูมหลังของศิษย์พี่นั้นก็นับได้ว่ามาจากหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นที่อยู่ในมหาทวีปทิศประจิม ด้วยวัยเพียงยี่สิบห้าสิบหกปีเช่นนี้กับราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นสูงย่อมเป็นตัวตนที่ได้รับคำยกย่องจากผู้คนทั่วไปเช่นกัน
คนสุดท้ายนั่นคือศิษย์พี่ตงหยางหรือว่าที่เจ้าสำนักคนต่อไป เนตรเเห่งสวรรค์ได้ส่งข้อมูลที่ทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดใจอย่างถึงที่สุด เพราะว่าข้อมูลในเรื่องทั่วไปทั้งราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นสูงด้วยอายุเพียงยี่สิบห้ายี่สิบหกปี ล้วนเป็นข้อมูลที่เขาต่างทราบมาก่อนหน้าเเล้วทั้งสิ้น
ทว่าหมายเหตุตรงด้านล่างที่สะดุดตา เเสดงให้เห็นว่าศิษย์พี่ตงหยางท่านนี้กำลังสวมใส่หนังมนุษย์อยู่ นี่เท่ากับว่าเเท้ที่จริงเเล้วศิษย์พี่ตงหยางตัวจริงไปอยู่ที่ไหน และเป็นใครกันที่เป็นผู้สวมรอยเเทนเช่นนี้ เเต่ถึงอย่างนั้นเนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายก็สัมผัสไม่ได้ถึงความมุ่งร้ายของศิษย์พี่ตรงหน้า
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ข้องเกี่ยวกันเขาก็ย่อมที่จะไม่เปิดเผยความลับของอีกฝ่าย สิ่งนี้หนิงอ้ายไม่รู้ว่าท่านเจ้าสำนักเจียงเฉิงรับรู้ในเรื่องนี้หรือไม่? หรือท้ายที่สุดนั้นผู้ที่เข้ามาสวมรอยเป็นศิษย์พี่ตงหยางนั้นมีจุดประสงค์อะไร ขอเพียงอีกฝ่ายไม่ข้องเกี่ยวกับพวกเขาอีกเท่านั้นก็เพียงพอเเล้ว...
เหตุการณ์วุ่นวายตรงหน้านี้จบลงด้วยการที่กลุ่มของเฉินหลานได้จากไป บรรดาศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกชายหญิงที่คอยมุงดูก่อนหน้านี้ต่างแยกย้ายกันจับจ่ายซื้อของเหมือนเดิม ในใจของพวกเราต่างรู้สึกยินดีที่กลุ่มของหนิงอ้ายนั้นกล้าต่อกรกับกลุ่มของเฉินหลาน เพราะว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ต่างไปจากอันตพาลที่คอยรังแกผู้อื่นหน้าด้าน ๆ อยู่เสมอ
กลุ่มของหนิงอ้ายและกลุ่มของตงยางได้เดินดูของในตลาดพร้อมกับเหล่าศิษย์พี่ต่างเอ่ยแนะนำสิ่งต่าง ๆ เนื่องจากว่าในสำนักศึกษาแห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นการจับจ่ายซื้อของ การซื้อโอสถหรือแม้กระทั่งตำราเคล็ดวิชานั้นไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินทองทั่วไปเหมือนข้างนอก เนื่องจากว่าในสำนักจะใช้สิ่งที่เรียกว่าแต้มคะแนนในการใช้จ่าย
การที่จะได้มาซึ่งแต้มคะแนนนอกจากที่ศิษย์ใหม่ในทุกปีจะได้รับกันอย่างเท่าเทียมกันในครั้งแรกอยู่ที่ห้าร้อยคะแนนแล้ว ในทุก ๆ ปีของศิษย์สายนอกจะได้รับแต้มคะแนนเพิ่มขึ้นปีละสองร้อยคะแนน ศิษย์สายในนั้นจะได้รับเพิ่มขึ้นปีละห้าร้อยแต้มคะแนน
นอกจากนี้แล้วการรับทำภารกิจต่าง ๆ ในสำนักก็จะได้มาซึ่งแต้มคะแนนสะสมเช่นกัน ดังนั้นแล้วต่อให้ทางสำนักศึกษาเองจะมีทรัพยากรส่งเสริมในการบ่มเพาะให้กับศิษย์ทุกคนกันอย่างเท่าเทียมก็จริง เเต่ความขยันหมั่นเพียรของศิษย์แต่ละคนย่อมส่งผลให้ระดับพลังวิญญาณของทุกคนล้วนแตกต่างกันไป การที่จะได้มาสิ่งเหล่านี้ในสำนักย่อมใช้แต้มคะแนนแลกมาด้วยทั้งสิ้น ดังนั้นแล้วจึงมีศิษย์ในทุกชั้นปีที่มักจะคอยหาทำภารกิจต่าง ๆ เพื่อที่จะได้มาซึ่งแต้มคะแนนเหล่านี้นั่นเอง
กลุ่มของหนิงอ้ายยังคงพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ กับเหล่าศิษย์พี่ทั้งสี่คน บรรยากาศการพูดคุยเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ด้วยความที่อี้หลินนั้นเป็นคนที่ร่าเริงและเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย ยิ่งเมื่อได้จับคู่กับศิษย์พี่โม่โฉวแล้วดูจากหน้าของศิษย์พี่จางลี่ที่คอยห้ามปรามทั้งสองคนให้อยู่สงบนิ่งนั้นไม่ต่างจากมารดาสั่งสอนบุตรสักเท่าไหร่นัก เหล่าศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกคนอื่น ๆ ต่างลอบมองมายังทางนี้ด้วยความสนใจ
ปกติศิษย์พี่ตงหยางที่เป็นถึงว่าที่เจ้าสำนักคนต่อไปกับเหล่าสหายในกลุ่มอีกทั้งสามคนล้วนเป็นถึงศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักทั้งสามกันทั้งสิ้น ด้วยฐานะตำแหน่งในสำนักรวมไปถึงชื่อเสียงของทั้งสี่คนนับว่าเป็นตัวตนที่น่าเกรงขามไม่น้อย กลุ่มของหนิงอ้ายที่เป็นเพียงศิษย์ใหม่เเต่สามารถพูดคุยและเข้าได้กับกลุ่มของศิษย์พี่ผู้โด่งดังเหล่านี้ช่างเป็นเรื่องที่น่าอิจฉายิ่งนัก แม้พวกเขาอยากจะทำตามแค่ไหน แต่พวกเขาต่างรู้ดีว่ากลุ่มของตงหยางทั้งสี่คนนั้นแม้ว่าจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มและท่าทางที่สุภาพแต่ถึงอย่างไรยังคงไว้ซึ่งการไว้ตัวเป็นอย่างมาก
ศิษย์พี่ตงหยางนั้นเป็นศิษย์สายตรงของท่านเจ้าสำนักเจียงเฉิง หรืออีกฐานะหนึ่งนั้นคือว่าที่เจ้าสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์คนต่อไป ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลา กริยาท่าทางที่เต็มไปด้วยมารยาท ถึงแม้จะพูดน้อยไปบ้างแต่นั่นยิ่งส่งเสริมให้ภาพลักษณ์ของอีกฝ่ายนั้นมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก
อีกทั้งชื่อเสียงในด้านต่าง ๆ ล้วนเป็นที่ประจักษ์ทั้งในสำนักศึกษาเองรวมไปถึงผู้ฝึกตนภายนอกนั้นต่างรู้จักชายหนุ่มเช่นกัน ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ย่อมมีสตรีและชายหนุ่มไม่น้อยที่เข้าหาอีกฝ่ายอย่างเปิดเผยแต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายได้ปฏิเสธไปอย่างนิ่มนวลสมกับสุภาพบุรุษ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้คนเหล่านี้ถอดใจไป เพราะว่าหากพวกเขาได้เป็นคนรักของชายหนุ่มย่อมการันตรีได้ถึงตำแหน่งของฮูหยินของเจ้าสำนัก ด้วยสถานะตำแหน่งเช่นนี้นับได้ว่าเย้ายวนใจอยู่ไม่น้อย มีบ้างที่เหล่าผู้อาวุโสระดับสูงในสำนักต่างแนะนำบุตรหลานของตนให้กับชายหนุ่มอย่างเปิดเผย บ้างก็มีตระกูลน้อยใหญ่ต่าง ๆ ที่ตงหยางได้รู้จักในยามออกไปทำภารกิจของสำนัก
กลุ่มคนเหล่านั้นล่วงรู้ฐานะที่แท้จริงของชายหนุ่มแล้วจึงต้องการที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชายหนุ่มกันทั้งสิ้น แน่นอนว่าสตรีเหล่านั้นย่อมไม่ปฏิเสธความหวังดีเหล่านี้ เพราะเมื่อพวกนางได้พบเจอกับตงหยางแล้วต่างตกหลุมรักอีกฝ่ายทั้งสิ้น
แม้ว่าเบื้องหลังความเป็นมาของตงหยางยังเป็นปริศนาอยู่ในตอนนี้ แต่ถึงอย่างไรการที่สามารถบ่มเพาะรุ่นเยาว์คนหนึ่งออกมาให้มากไปด้วยพรสวรรค์เช่นนี้ย่อมไม่ใช่ตระกูลธรรมดาสามัญเป็นแน่ อีกทั้งตำแหน่งที่อีกฝ่ายมีอยู่ย่อมการันตรีได้ถึงวันข้างหน้าที่ยิ่งใหญ่ แต่จนถึงทุกวันนี้ชายหนุ่มยังคงครองตัวเป็นอิสระไม่ผูกมัดกับผู้ใดนี่จึงเป็นอีกเหตุผลสำคัญที่คนเหล่านั้นไม่ยอมทิ้งความหวังในการเป็นคนรักของอีกฝ่ายได้นั่นเอง...
นิงอ้ายไม่พลาดที่จะสอบถามเรื่องราวของเฉินหลานไว้เพิ่มเติม เพราะถึงแม้ว่าเนตรแห่งสวรรค์จะทำให้เขาได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับอีกฝ่ายในบางเรื่องราวแล้ว การมีข้อมูลอยู่ในมือยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งเป็นการดีมากเท่านั้น หนิงอ้ายยังถามกลับด้วยความเป็นห่วงว่าการที่เหล่าศิษย์พี่ทั้งสี่คนนั้นออกตัวปกป้องเขาและสหายจะสร้างความเดือดร้อนให้เหล่าศิษย์พี่หรือไม่ ด้วยเพราะเฉินหลานนับได้ว่าเป็นศิษย์สายในอีกคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงและมีผู้อาวุโสตระกูลเฉินหนุนหลังในสำนักศึกษาแห่งนี้อยู่ไม่น้อยนั่นเอง
ทางฝั่งของจางลี่ได้ตอบกลับมาว่าไม่ต้องเป็นกังวล เพราะสำนักศึกษาต่างมีกฎข้อห้ามอย่างชัดเจนในเรื่องนี้ อีกทั้งผู้อาวุโสตระกูลเฉินบางคนนับว่ายังคงซื่อตรงอยู่บ้างจึงไม่เข้าข้างการกระทำของเฉินหลานในทุกทั้งเสมอไป ถึงอย่างไรหนิงอ้ายคิดอยู่ในใจว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมจบเรื่องราวได้ง่าย ๆ เป็นแน่ ด้วยเพราะเขากล้าที่จะต่อคำกับอีกฝ่ายท่ามกลางสายตาของคนมากมาย คนประเภทนี้มักจะหน้าบางและหาทางเอาคืนไม่ยอมจบสิ้น
หนิงอ้ายตั้งใจว่าจะส่งวิหคสอดแนมไปสังเกตความเคลื่อนไหวอีกฝ่าย เพราะถึงอย่างไรชีวิตในสำนักศึกษานี้เขาก็อยากที่จะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแต่หากมีผู้ใดเอาเปรียบหรือมีผู้ใดหาเรื่องเขาไม่ใช่หนิงอ้ายคนเก่าที่จะยอมให้กระทำต่อเขาแบบนี้โดยง่ายเขาย่อมโต้กลับไปอย่างแน่นอน…
"แล้วนี่พวกเจ้าเสร็จธุระกันแล้วใช่หรือไม่? นี่ใกล้เวลาที่ทางตำหนักนัดหมายไว้แล้วศิษย์น้องลู่ซี ศิษย์น้องอู๋ฮั่น เดี๋ยวศิษย์พี่จะไปที่ตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลพร้อมกับพวกเจ้า..." โม่โฉ่วเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าสมควรแกเวลาที่ท่านอาจารย์ได้นัดหมายเอาไว้ก่อนที่จะเดินแยกจากไปพร้อมกับรับปากว่าจะดูแลเด็กหนุ่มทั้งสองคนเองไม่ต้องเป็นห่วงอันใด
"ศิษย์น้องจินหั่ว ศิษย์น้องอี้หลิน ศิษย์น้องหลี่ซวงและศิษย์น้องจ้าวหลานพวกเจ้าทั้งสี่คนก็ตามศิษย์พี่มาเถอะ ใกล้ถึงเวลานัดหมายของตำหนักของพวกเราแล้วเช่นกัน..." ซุนหรานเอ่ยขึ้นกับเด็กหนุ่มทั้งสี่คนที่พยักหน้ารับรู้ก่อนที่จะเอ่ยลาสหายของตนอีกเล็กน้อยก่อนที่จะแยกย้ายออกไป
"ส่วนข้าก็มีนัดหมายในตำหนักเช่นกัน ตงหยางฝากเจ้าดูแลศิษย์น้องหนิงอ้ายด้วยเล่า..." จางลี่เอ่ยขึ้นกับสหายของตนก่อนที่จะเอ่ยลาเด็กหนุ่มอีกเล็กน้อยและเดินแยกตัวออกไปทางฝั่งตำหนักของตนในทันที
"ศิษย์น้องหนิงอ้ายจะไปที่ใดอีกหรือไม่?" ตงหยางเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา
"ไม่รบกวนศิษย์พี่ตงหยางขอรับข้าต้องกลับไปตำหนักของตนแล้วเช่นกัน ลาตรงนี้เลยนะขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นกับชายหนุ่มก่อนที่จะประสานมือคำนับเล็กน้อยก่อนที่จะเดินแยกตัวออกมา
ชายหนุ่มมองตามหลังของอีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังเดินเเยกไปทางตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาด้วยความรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าร่างบางได้หายเข้าไปในเขตตำหนักของตนเเล้วชายหนุ่มจึงถอนสายตาออกมาพร้อมกับหันหลังเดินจากไปเช่นกัน
"เสี่ยวไปทู่ตัวน้อยช่างระวังตนเสียจริง ดูท่าเเล้วคงจะล่วงรู้ความลับของข้าเสียแล้วกระมัง?"
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต