“เสี่ยวจิงไปเอาน้ำมันหมูมาเร็ว” นางสั่งเด็กชาย เสี่ยวจิงรีบวิ่งไปทันที “ช่วยกันจับแม่วัวให้ดี ข้าต้องล้วงไปดึงขาลูกวัวเสียก่อน”
นางม้วนแขนเสื้อขึ้นจนถึงโคนแขนทั้งสองข้าง ท่อนแขนกลมเล็กดุจลำเทียน เมื่อเสี่ยวจิงถือหม้อใส่น้ำมันมาถึง นางก็ให้เด็กชายชโลมทั่วมือและแขน นางสบตากับผู้ใหญ่ที่ช่วยกันจับแม่วัวเป็นเชิงให้สัญญาณแล้วสอดมือเข้าไปในช่องคลอดของวัว ลูบคลำจนรู้ว่าไหล่วัวติดอยู่ นางจึงออกแรงดึงขาหน้าของวัวให้ค่อยๆ ออกมาอย่างช้าๆ
“ออกมาแล้วๆ” เด็กชายร้องอย่างดีใจที่เห็นลูกวัวหลุดออกมา แม่วัวร้องอย่างเจ็บปวดสะบัดไปมาจะเหยียบลูกเข้าให้ นางต้องรีบลากออกมาให้พ้นรัศมีเท้าของมัน แม่วัวสาวท้องแรกยังตื่นตกใจไม่ยอมมาเลียลูกวัว มู่ฟางเหนียงมองหาเศษผ้าสักผืน แต่ด้วยความร้อนใจ นางจึงฉีกชายกระโปรงของตนรีบเช็ดเมือกออกจากตัวลูกวัว
“โชคดีที่ไม่มีเมือกอุดรูจมูก” นางพึมพำ ไม่นานนักลูกวัวก็ค่อยๆ ยืนขึ้น แม้แข้งขาจะสั่นก็ตาม แม่วัวเริ่มใจเย็นแล้วเดินมาเลียลูกของตน ลูกวัวเดินมุดเข้าไปดูดนมจากเต้าของแม่ทันที
“เย้ๆ วัวของข้า” เสี่ยวจิงดีใจกระโดดโลดเต้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาร้องไห้จนตาบวมช้ำ
“ขอบคุณแม่นางมู่ ลำบากเจ้าจริงๆ”
“ไม่เป็นไร ข้าทำเท่าที่พอทำได้” นางถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วก็ก้มมองสภาพตัวเองที่เปื้อนเปรอะคราบคาวเลือดกับน้ำคร่ำของแม่วัว
“เชิญเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถิด เอาชุดของลูกสะใภ้ข้าก็ได้ นางกับเจ้ารูปร่างพอๆ กัน”
“เห็นทีต้องรบกวนแล้ว” ดูสภาพนางตอนนี้แล้วคงกลับบ้านไปแบบนี้ไม่ได้แน่ นางยิ้มน้อยๆ แล้วเดินตามมารดาของเสี่ยวจิงไปในบ้าน นางเช็ดเนื้อตัวเอาคราบคาวออกแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่
“ข้าซักเสื้อผ้าชุดนี้แล้วจะเอามาคืนนะ” นางเอ่ยบอกเมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว
“ถ้าไม่รังเกียจก็ขอยกชุดนี้ให้เจ้า ตอบแทนที่เจ้าอุตส่าห์มาช่วยทำคลอดแม่วัวให้”
“ข้าไม่ได้รังเกียจแต่ข้าเกรงใจ ข้าเห็นเสี่ยวจิงร้องไห้อย่างนั้นจะไม่ช่วยก็ไม่ได้” นางหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงเด็กผู้ชายคนนั้นที่พยายามทำเข้มแข็งแต่ร้องไห้จนมอมแมมไปหมด
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้เสี่ยวจิงไปส่งเจ้า”
มู่ฟางเหนียงยิ้มฝืด เรื่องนางเป็นคนหลงทิศหลงทางนั้นเป็นที่รู้กันไปทั่ว อยากจะห้ามแต่แม่ของเสี่ยวจิงก็เดินเร็วๆ ไปตามลูกชายแล้ว เด็กชายรีบวิ่งมาหาพร้อมรอยยิ้ม
“ขอบคุณพี่ฟางเหนียง”
“เรื่องเล็กน้อย” นางยิ้มเอ็นดูเด็กชาย “เสี่ยวจิง คราวนี้ไม่มุดรั้วอีกแล้วนะ เดี๋ยวเสื้อผ้าของแม่เจ้าจะขาดเป็นริ้วๆ ข้าเย็บแผลคนได้ แต่เย็บผ้าไม่เก่งเท่าแม่ของเจ้า”
“ข้าทราบแล้ว”
เขายื่นมือไปจับปลายนิ้วมือของนางแล้วจูงให้เดินไปด้วยกัน หญิงสาวหัวเราะเสียงใสออกมาแต่ก็ยอมเดินตามอย่างว่าง่าย มือข้างหนึ่งของนางจึงมีมือของเสี่ยวจิงจับไว้ ส่วนอีกข้างนางก็ถือเสื้อผ้าชุดเดิมออกมาด้วย
“เสี่ยวจิงเจ้าไม่ต้องจูงมือข้าก็ได้”
“เดี๋ยวพี่สาวหลงทาง”
“เจ้าเดินข้างๆ แบบนี้ ข้าไม่หลงหรอกนะ” นางหัวเราะแต่ก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนดี ไม่ล้อนางเหมือนผู้อื่น
“ท่านพ่อกับท่านแม่บอกว่าท่านเป็นหมอหญิงที่เก่งมาก ทำไมท่านกลับจำเรื่องเส้นทางไม่ได้ล่ะ” เขาถามด้วยความอยากรู้
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” นางยิ้มเศร้าออกมา ก็พยายามแล้วนะ ขนาดใกล้แค่นี้นางยังจำไม่ได้ว่าต้องเลี้ยวซ้ายก่อนหรือเลี้ยวขวาก่อนกันแน่
“คงเพราะแบบนี้กระมัง พี่สาวถึงยังไม่แต่งงาน”
“หือ” นางเลิกคิ้วอย่างงุนงง “เจ้าว่าอะไรนะ”
“พี่สาวก็สวยนะ แต่ยังไม่แต่งงาน คงเพราะพี่สาวหลงทางง่ายนี่เอง”
“คงจะใช่กระมัง” นางเออออไปอย่างนั้น แต่ก็อดขำกับความคิดของเด็กชายไม่ได้
“แต่พี่สาวไม่ต้องห่วงนะ รอข้าโตกว่านี้อีกนิด ข้าจะแต่งงานกับท่านเอง”
“เจ้าแน่ใจที่พูดแล้วรึ” นางกลั้นหัวเราะ ยิ่งเห็นท่าทางจริงจังของเขาแล้ว นางก็ต้องกลั้นหัวเราะจนไหล่สั่น นี่นางคงไปอวดบิดาให้สบายใจได้แล้วกระมังว่ามีหนุ่มน้อยมาขอนางแต่งงานแล้ว
“เอาละ เจ้าส่งข้าแค่นี้ก็พอแล้ว” นางเอ่ยบอกเมื่อเดินพ้นสี่แยกแล้ว
“ได้อย่างไร ข้าต้องไปส่งพี่สาวถึงบ้าน”
“เดินตรงไปนี่ก็ถึงบ้านของข้าแล้ว ข้าไม่หลงหรอก” นางส่ายหน้าไปมา แค่เดินตรงไปเรื่อยๆ ก็ถึงบ้านนางแล้ว ไม่ได้มีทางแยกให้นางสับสนเสียหน่อย “เจ้ารีบกลับไปดูลูกวัวของเจ้าเถิด เลี้ยงดูมันให้ดีจะได้มีสินสอดมาสู่ขอข้า”
“ได้ๆ เช่นนั้นข้ากลับก่อนนะพี่สาว”
“ไปเถิดๆ”
นางโบกมือไล่ เห็นเขาหมุนตัววิ่งกลับไปแล้วนางก็หมุนเท้าเดินกลับมาทางเดิมของตน นึกถึงคำพูดของเด็กชายตัวน้อยแล้วอดยิ้มไม่ได้ ปีนี้นางอายุสิบหก ส่วนเขาสิบขวบเท่านั้น กว่าเขาจะอายุสิบหก นางก็อายุยี่สิบสอง ถึงตอนนั้นเด็กน้อยคงลืมคำพูดกับท่าทีจริงจังนั้นไปแล้ว โลกของเด็กมักเป็นเช่นนี้ คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ไม่ต้องระแวงระวังอันใด ส่วนนางเองก็คงไม่ต้องไปใส่ใจกับคำพูดของเด็กน้อย ได้แต่เก็บมาคิดให้ยิ้มขำเป็นเรื่องเล่าตลกของวันวานก็พอ
พอเดินคนเดียวแล้วนางก็อดท่องอาการคนป่วยไม่ได้ นางเป็นอย่างนี้เสมอ เดินพึมพำคนเดียว คงเพราะแบบนี้ทำให้นางมักใจลอยคิดเรื่องอื่นจนลืมเส้นทางที่แม้จะเดินประจำก็ยังหลงออกบ่อยไป
“ฝ่ามือบอกโรค ฝ่ามือต้องรู้สึกนุ่มนิ่ม สบาย ไม่เปียก ไม่ร้อน ไม่เย็น ฝ่ามือร้อน มาจากอาการหยินพร่องของไตและหัวใจ ความหงุดหงิด ร้อนใน นอนไม่หลับ หรือฝันบ่อย ฝ่ามือเย็น มาจากอาการพร่องของม้ามหรือไตหยาง ร่างกายอ่อนแอกลัวหนาว การดูดซึมอาหารไม่ดีเท่าที่ควร ฝ่ามือชื้นเปียกมาจากหัวใจและม้ามพร่อง ไฟในหัวใจร้อน ทำให้มีความรู้สึกตื่นเต้น และเป็นคนที่เหนื่อยง่าย ฝ่ามือแห้งมาจากอาการพร่องของม้ามและปอด ผิวจะแห้งกร้าน และไม่สบายง่ายด้วย...”
เสียงหวานชะงักไปเมื่อเห็นงูตัวยาวกำลังเลื้อยผ่าน เท้าทั้งสองหยุดนิ่งและดวงตาสีนิลหรี่ตามองว่าเป็นงูชนิดใดและจะหาทางจับมันกลับบ้านด้วย ทันใดนั้น มีดสั้นเล่มหนึ่งก็พุ่งฝ่ากระแสลมปักฉึกที่หัวงู! งูตัวยาวดิ้นรนอย่างน่าเวทนาเพียงอึดใจก็แน่นิ่งไป หญิงสาวอ้าปากค้าง พอได้สติก็หันขวับไปทางด้านหลัง เงาร่างของบุรุษอยู่บนหลังม้าทาบทับร่างของนาง หญิงสาวจ้องเขม็งจึงเห็นใบหน้าของบุรุษผู้นั้น
องค์ชายไท่หยางมักมีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าซีดเซียวเสมอ ซึ่งมองเพียงผิวเผินจะเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ใครเลยจะรู้ว่าเบื้องหลังใบหน้าและร่างกายอ่อนแอนี้กุมความลับที่ใช้ต่อรองกับเขาได้ดียิ่งนัก เขาเองก็ได้สัญญาการซื้อขายกับทางการหลายรายการเพราะการแนะนำของคุณชายเฉิน“แล้วนี่คุณชายเฉิน อ้อ! ไม่สิ! องค์ชายไท่หยางนึกสนุกอย่างไรถึงอยากได้หน้ากากอสูรที่ดูน่ากลัวเช่นนี้”“ก็คงไม่ต่างจากเจ้าที่เบื้องหน้าเป็นคุณชายเจ้าสำราญเช่นกัน”“พระองค์กล่าวเช่นนี้ เห็นทีว่ากระหม่อมคงไม่มีทางหลีกเลี่ยงแล้วกระมัง” เหวินเฮ่าหลันกลับรู้สึกพอใจกับท่าทางเปิดเผยขององค์ชายไท่หยาง“ร่างกายของข้าไม่ค่อยแข็งแรงนัก จึงมีเรื่องที่ต้องทำให้เรียบร้อยก่อน... แต่การเคลื่อนไหวในฐานะขององค์ชายไท่หยางทำได้ลำบากนัก จึงอยากจะรบกวนเจ้าหาช่างดีๆ ทำหน้ากากอสูรนี่ให้ข้า”“พระองค์จะเอาไว้ใช้เอง?”เหวินเฮ่าหลันได้คำตอบเป็นรอยยิ้มที่มุมปาก หลังจากนั้นเขาหาช่างที่ไว้ใจได้สั่งทำหน้ากากอสูร แต่ไม่รู้สิ่งใดดลใจเขาให้ช่างทำสองอัน เมื่อส่งมอบหน้ากากอสูรนั่นให้องค์ชายไท่หยาง ไม่นานนักก็ได้ยินข่าวว่ามีบุรุษลึกลับภายใต้หน้ากากอสูรออกอาละวาดเล่น
ปีศาจน้อย! จ้าวจิ่นสือขบกรามแน่น นางเรียนรู้ที่จะหยอกล้อเขาเช่นเดียวกับที่เขาทำกับนาง เขาไม่อาจทานทนไฟปรารถนาที่เผาไหม้อยู่นี้ได้อีก ขยับร่างกายรวดเร็วรุนแรงและลึกล้ำ เป็นนางที่พาเขาให้เตลิดโบยบินไปในค่ำคืนวิวาห์ที่อุ่นร้อน ราวกับวิหคคู่ที่โบยบินในเวิ้งฟ้า หยอกล้อราวกับทั้งโลกมีเพียงแค่เขากับนางเท่านั้น ร่างสองร่างสอดประสานแทบเป็นหนึ่งเดียว ชายหนุ่มส่งเสียงคำราม ในขณะที่หญิงสาวหวีดร้องออกมาอย่างสุขสม แล้วเขาจึงผ่อนร่างนางลงนอนกอดอย่างรักใคร่นางปิดเปลือกตาหอบใจแรงแล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจตัวเองจนเกือบจะเป็นปกติจ้าวจิ่นสือมองหญิงคนในรักในวงแขน ยกมือขึ้นเกลี่ยเส้นผมของนางให้พ้นใบหน้า หนึ่งชีวิตได้พานพบผู้คนมากมาย แต่มีเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นเจ้าของเสียงในหัวใจ เขาก้มหน้าสูดกลิ่นหอมของนางให้กลิ่นกายของนางไหลเวียนในตัวเขา นางคือหญิงสาวของเขาแต่เพียงผู้เดียว“ฟางเหนียง ข้ารักเจ้า”ผ่านเรื่องราวมากมายฟันฝ่ามาด้วยกันจนมีวันนี้ แต่แท้จริงแล้วทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น นางคิดถึงกลองป๋องแป๋งอันนั้น นางจะเก็บรักษาเอาไว้ให้ลูกๆ ได้ดู ของขวัญล้ำค่าที่เชื่อมโยงหัวใจของคนสองคนให้ได้มาใกล้ชิดกั
“ท่าน...” นางถูกดวงตาร้อนแรงของเขาจ้องมองจนลืมคำพูดตัวเองไปเสียสิ้น “อืม”เขาจ้องมองนาง ไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายที่ได้มองใบหน้านี้เลยสักคราเดียว คิดไม่ออกเลยว่าหากไม่มีนางเคียงข้างแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เห็นทีเรื่องนี้คงต้องเก็บเป็นความลับไว้ให้ลึกที่สุด ไม่เช่นนั้นนางจะเอาแต่ใจตัวเองเกินไป รู้ว่าอย่างไรเขาก็ต้องจำนนยอมแพ้พ่ายต่อสายตาคู่นี้ของนาง “ข้า... ข้าต้องปรนนิบัติท่าน... พี่” คืนนี้นางเป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องแล้ว ควรทำหน้าที่ของตนเองถึงจะถูก แต่มือเล็กก็สั่นเทา ยื่นไปหมายจะช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่อาการเงอะงะของนางเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา ทำให้นางฉุนกึกขึ้นมา แล้วเงยหน้าขึงตาใส่อย่างดุดัน “ใช่สิ! ข้าทำไม่เก่งนี้ เรื่องแบบนี้ข้าคุ้นเคยเสียเมื่อไหร่ล่ะ” นางหงุดหงิดโมโห อารมณ์นางช่วงนี้ขึ้นๆ ลงๆ แปรปรวนชอบกล “ไม่เป็นไร น้องหญิงอยากทำอะไรก็ตามใจเจ้าเถิด” เขากลั้นหัวเราะแต่กลายเป็นยิ้มกรุ้มกริ่มแทน ปล่อยให้มือเล็กช่วยถอดเสื้อตัวนอก พอนางลุกขึ้นจะเอาเสื้อของเขาไปแขวน ตัวเองก็เสียหลักเพราะนั่งตัวเกร็งอยู่ตั้งนา
หญิงสาวนั่งก้มหน้า มองปลายเท้าที่สวมรองเท้าสีแดงสดสวยปักรูปหงส์อย่างงดงามประณีต เสียงครื้นเครงด้านนอกไม่ได้ช่วยให้นางลดอาการตื่นเต้นลงได้เลย ยามมองผ่านผ้าคลุมหน้าสีแดงสดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องหอราวกับถูกย้อมด้วยสีแดง นางจึงหลุบตาลงก้มมองปลายเท้าของตนแทน เพียงหนึ่งเดือนหลังเสร็จภารกิจลับของจ้าวจิ่นสือ ด้วยความช่วยเหลือขององค์ชายไท่หยาง ทำให้ทั้งสองได้รับราชโองการพระราชทานสมรส แม้มู่ฟางเหนียงจะเป็นเพียงหญิงสาวสามัญชน แต่ด้วยความรักใคร่ที่รองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือมีให้นางนั้นเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่ว นางทั้งเขินทั้งอาย แต่ก็ดีใจที่ฮูหยินอี้ซิ่วรักและเอ็นดูนางราวกับเป็นลูกสาวแท้ๆ ท่านพ่อของนางก็พลอยวางใจว่านางจะอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าวได้อย่างไม่ทุกข์ร้อนใจอันใด “เจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว ต่อไปนี้ทำอะไรก็เชื่อฟังพ่อแม่สามีของเจ้าให้ดี” “ท่านพ่อ” นางกลั้นน้ำตา คราวนี้ได้แยกกันอยู่แล้วจริงๆ ท่านพ่อของนางมีใจรักใคร่น้าเสี่ยวหลิว เสร็จงานแต่งงานของนางแล้วก็จะกลับไปเมืองหลวง ช่วยน้าเสี่ยวหลิวดูแลโรงเตี๊ยมหมื่นบุปผาและรักษาคนเจ็บป่วยเช่นเคย ส่วนนางเองก็ได้รั
“ท่าน... ระ.. รักข้า..” นางแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเขาหัวเราะเบาๆ อาศัยจังหวะที่นางไม่เป็นตัวของตัวเองลอกคราบเสื้อผ้าออกเหลือเพียงเอี๊ยมปิดบังทรวงอกที่สะท้อนหอบหายใจแรงกับกางเกงชั้นในตัวน้อย มือกร้านลูบไล้เรียวขาของนาง ไอร้อนจากกายของเขาทำให้นางแทบไม่รู้สึกว่าตัวเองเกือบจะเปลือยเปล่าอยู่แล้ว“ข้า... เข้าใจว่า... ท่าน ระ รัก พี่หลิ่งหลิน” นางรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีพูดออกไปเขาผงกศีรษะรับแล้วกลับยิ้มให้นาง “ก่อนนั้นข้าคิดเช่นนั้น แต่เมื่อเจอเจ้า ข้าก็รู้ว่าความรักที่แท้จริงเป็นเช่นไร”หัวใจของนางแทบหยุดเต้นไป แต่กระนั้นก็ยังหวาดหวั่นอยู่ “แต่ท่านเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ท่านจะรับข้าไว้ในฐานะใดเล่า”“ข้าย่อมให้เจ้าเป็นภรรยา” มือใหญ่เลื่อนขึ้นจากต้นขาด้านในสู่กลีบบุปผาอ่อนบาง “ข้าจ้าวจิ่นสือจะมีภรรยาเพียงผู้เดียวก็คือเจ้า”“ท่านจะไม่มีหญิงอื่นอีกหรือ?” นางกะพริบตามองหน้าเขา ค้นหาความจริงใจในทุกถ้อยคำ “ข้าไม่ได้หวังตำแหน่งใด ข้าเพียงไม่อาจแบ่งสามีกับผู้อื่นได้”“เจ้าทำให้ข้ารักเจ้าจนไม่มีที่ว่างให้ผู้อื่นแล้ว” แตะกลีบดอกไม้เบาๆ แล้วกระซิบเสียงพร่า แท่งศิลาใต้ตักของนางเริ่มร้อนระอุ“อย
“นึกแล้วเชียว” นางพึมพำ ไม่รอถามอะไรเขาทั้งนั้น ขยับเสื้อของเขาออกกว้างเพื่อจะได้จัดการล้างแผลและใส่ยาให้ใหม่ ขณะนั้นเอง เสียงเรียกชื่อนางอย่างเกรงใจก่อนที่จะเปิดประตูเข้ามา เสี่ยวเอ้อที่รอพานางไปส่งที่พักก็ต้องตกใจเพราะเห็นมู่ฟางเหนียงกำลังเปลื้องผ้าชายหนุ่มอยู่ แต่เขามองไม่เห็นบาดแผลจึงคิดไปเองว่าทั้งสองกำลัง...“ข้าจะรอข้างนอก แม่นางมู่เสร็จธุระแล้วโปรดเรียก”นางเพียงหันไปพยักหน้ารับ เพราะใจจดจ่อกับบาดแผล พอเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นสายตาของเขาก้มมองนางอยู่ก่อนแล้วผู้หญิงคนนี้ วุ่นวายกับเขานัก! จ้าวจิ่นสือได้แต่บ่นในใจ แต่ก็ยอมให้นางแกะผ้าพันแผลและทำความสะอาดที่บริเวณชายโครงซ้ายของเขา“โรคทางใจรักษายากนัก” นางรำพึง“อย่ามาทำเป็นรู้ดี” เขาแค่นเสียงในลำคอ รินสุราใส่จอกให้ตนเอง แต่นางกลับยื่นมือไปคว้าแย่งไว้“ระหว่างที่รักษาแผลนี้อยู่ งดดื่มสุราทุกชนิด” นางถลึงตาสั่งเขา “ข้ารักษาให้ท่านได้เพียงบาดแผลภายนอก แต่ในใจที่เจ็บปวดของท่านนั้น ท่านคงต้องใช้เวลาเยียวยารักษาเอง”“ข้าจะดื่ม” เขาท้าทายนาง“ถือว่าข้าเตือนแล้ว ท่านอยากให้แผลเน่าอยู่ภายในก็ตามใจท่านเถิด” นางปิดบาดแผลให้เขาเรียบร้อย “ท่าน