หลิ่งหลินไม่สนใจสายตาสื่อนัยนั่นเพียงลุกขึ้นยืน กล่าวฉะฉาน “เรียนท่านอาจารย์ตามตรง ข้ามีปัญหาที่บ้านต้องสะสางเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังอ่านตำรามิได้ละเลย ตำราที่อ่านล่วงหน้านอกชั้นเรียนล้วนเป็นของอาจารย์เฉา และข้าก็ได้พบว่าบทกวีที่อาจารย์รังสรรค์ออกมาช่างน่าทึ่ง สำนวนละเมียดละไม สะสวยราวบุปผาผลิบาน ข้าอ่านแล้วให้รู้สึกจิตใจเบิกบานเหลือเกิน สุขสำราญเสียจนสามารถคลายทุกข์ที่เพิ่งประสบพบเจอที่บ้าน ข้าจึงเร่งสะสางปัญหา แล้วรีบมาทันที ยามนี้แม้เหนื่อยล้าแทบขาดใจก็ยังต้องการเข้ามาเรียนวิชากับท่านให้จงได้เจ้าค่ะ”
กล่าวจบก็ไม่เว้นช่วงปล่อยเวลาชักช้ามากความ นางร่ายกลอนในบทกวีที่ท่องมาทันที
“เหมันต์ผุดเกล็ดน้ำแข็งค้างกระจ่างขาว ราตรีไร้ดาว ทิวาไร้ตะวัน ไม่มีแสงเฉิดฉายกระจ่างใจ เพียงสกุณนาขับขานระรานรื่น ย่อมปลุกจิตวิญญาณปราชญ์ให้ฟื้นตื่นคืนสติ”
หลิ่งหลินร่ายกลอนบทต่อบทไปเรื่อยๆ “บุปผาจันทรา ลมบูรพา ธาราหลั่งไหลเคียงคีรี คืนวันหมุนเวียน คนชรา สกุณาปีกกล้า ท้านภา โผผินบินทะยาน มิหวนมา วิญญูชนผงาดกล้า นำคุณธรรมค้ำฟ้า โลกามิไร้ผู้ค้ำจุน...”
นางท่องได้ทุกบทด้วยสีหน้าภาคภูมิใจเป็นล้นพ้น จนคนแต่งบทกวีอย่างเฉาเฉิงเต๋อให้รู้สึกปลื้มปริ่มจนล้นอก กระทั่งผุดรอยยิ้มออกมา จนใบหน้าชราแย้มบานดุจใบพัด
เขาเอ่ยปากชมไม่หยุดว่า “ดีๆ ยอดเยี่ยม ท่องได้ดี” ยังกวักมือเรียก “มาๆ เจ้ามานั่งนี่ นั่งใกล้ๆ ข้า”
“เจ้าค่ะท่านอาจารย์ อ้อ...” หลิ่งหลินปรายหางตาลอบมองเหล่าศิษย์ทั้งหลายพร้อมรอยยิ้มร้าย ร่ายคำว่าอีก “ข้าอยากเรียนรู้กับท่านอาจารย์จะแย่ รบกวนอาจารย์เฉาสอนเร็วๆ ได้เลย ข้าและสหายร่วมชั้นทุกคน เรียนรู้ฉับไว โดยเฉพาะยามที่ได้เรียนกับอาจารย์เฉาที่เปรียบดุจเทพกวี พวกเขาอยากเรียนรู้ให้ได้เยอะๆ เจ้าค่ะ”
“ย่อมได้ๆ”
เฉาเฉิงเต๋อหลงใหลบทกวีและชอบสอนอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงสอนได้สอนดี สอนไม่พัก ถ่ายทอดวิชาความรู้อย่างกระตือรือร้นมากกว่าเดิม ชนิดที่ว่าข้าวปลาไม่ต้องกิน น้ำชาไม่เสียเวลาแตะต้อง
ไม่มีคุณชายคุณหนูคนใดได้สิทธิ์หยุดคิดหยุดเขียนหยุดแต่งกลอนกันเลยทีเดียว
ทั้งยังสอนรวดเร็ว สอนแบบไม่หายใจ สอนประหนึ่งลูกธนูถูกยิงออกจากแหล่ง มิสามารถรั้งคันศรกลับคืนได้ ทำเอาเหล่าศิษย์ที่หัวดีทั้งหลายถึงกับทำความเข้าใจไม่ทัน ทั้งยังต้องร่ายกลอนท่องบทกวีจนแทบกระอักเลือด
คงมีเพียงจ้าวหมิงอวี่ที่มิต้องตรากตรำเหมือนคนอื่น เขาจึงมีเวลานั่งมองใครบางคนได้ตลอดเวลา
เพราะอย่างไรเสียเฉาเฉิงเต๋อก็มิกล้าเหิมเกริมเข้มงวดเหมือนเมื่อครั้งที่องค์ชายสี่ยังเป็นเพียงโอรสตัวน้อย
ตะวันค่อยๆ เคลื่อนคล้อยลาลับขอบฟ้า ในที่สุด อาจารย์ด้านวรรณกรรมเฉาเฉิงเต๋อผู้คลั่งไคล้การสอนบทกวีก็เห็นว่าสมควรแก่เวลาพัก เขาจึงสั่งการบ้านกองเท่าภูเขาและจากไปอย่างอารมณ์ดี ทิ้งเอาไว้เพียงเหล่าศิษย์ชายหญิงแทบสลบเหมือด รวมถึงว่านลู่ชิงที่แอบหลั่งน้ำตา ถึงขั้นลอบมากระซิบบอกหลิ่งหลินว่า
“เจ้าช่วยไว้ชีวิตข้าด้วย”
หลิ่งหลินเองก็มีสภาพทดท้อไม่ต่างจากว่านลู่ชิง
สวรรค์! ข้าประเมินอาจารย์เฉาต่ำเกินไป!
[1]ยามซื่อ (巳:sì) คือ 09.00 – 10.59 น. ยามซื่อสี่เค่อคือ 10. 00 น.
หลิ่งหลินไม่สนใจสายตาสื่อนัยนั่นเพียงลุกขึ้นยืน กล่าวฉะฉาน “เรียนท่านอาจารย์ตามตรง ข้ามีปัญหาที่บ้านต้องสะสางเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังอ่านตำรามิได้ละเลย ตำราที่อ่านล่วงหน้านอกชั้นเรียนล้วนเป็นของอาจารย์เฉา และข้าก็ได้พบว่าบทกวีที่อาจารย์รังสรรค์ออกมาช่างน่าทึ่ง สำนวนละเมียดละไม สะสวยราวบุปผาผลิบาน ข้าอ่านแล้วให้รู้สึกจิตใจเบิกบานเหลือเกิน สุขสำราญเสียจนสามารถคลายทุกข์ที่เพิ่งประสบพบเจอที่บ้าน ข้าจึงเร่งสะสางปัญหา แล้วรีบมาทันที ยามนี้แม้เหนื่อยล้าแทบขาดใจก็ยังต้องการเข้ามาเรียนวิชากับท่านให้จงได้เจ้าค่ะ”กล่าวจบก็ไม่เว้นช่วงปล่อยเวลาชักช้ามากความ นางร่ายกลอนในบทกวีที่ท่องมาทันที “เหมันต์ผุดเกล็ดน้ำแข็งค้างกระจ่างขาว ราตรีไร้ดาว ทิวาไร้ตะวัน ไม่มีแสงเฉิดฉายกระจ่างใจ เพียงสกุณนาขับขานระรานรื่น ย่อมปลุกจิตวิญญาณปราชญ์ให้ฟื้นตื่นคืนสติ”หลิ่งหลินร่ายกลอนบทต่อบทไปเรื่อยๆ “บุปผาจันทรา ลมบูรพา ธาราหลั่งไหลเคียงคีรี คืนวันหมุนเวียน คนชรา สกุณาปีกกล้า ท้านภา โผผินบินทะยาน มิหวนมา วิญญูชนผงาดกล้า นำคุณธรรมค้ำฟ้า โลกามิไร้ผู้ค้ำจุน...” นางท่องได้ทุกบทด้วยสีหน้าภาคภูมิใจเป็นล้นพ้น จนคนแต่งบท
หลิ่งหลินจึงเดินนวยนาดเข้าไปนั่งยังโต๊ะเก้าอี้ที่ว่างโดยไม่สนใจมองสีหน้าผู้ใดทั้งนั้นยังคงเป็นว่านลู่ชิงที่ยื่นปากยื่นคางจากโต๊ะด้านข้าง “เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้าควรกลับจวนสวีไปดีกว่า หากยังฝืนมาเรียนทั้งที่ตัวเองล่าช้า อาจจะเป็นการเพิ่มภาระให้ศิษย์คนอื่น ข้าขอเตือนด้วยหวังดีหรอกนะ” แท้จริงนางอยากไล่สวีหลิงเยี่ยนให้ไปไกลๆต่างหาก ทั้งฉู่เฉิงและองค์ชายสี่มองนางนานปานนั้น! ฮึ!ว่านลู่ชิงเหยียดปากว่าต่อ “เยี่ยนเอ๋อร์สหายรัก ข้าเป็นห่วงเจ้าเหลือเกิน”หลิ่งหลินจึงเหยียดปากยิ้มอย่างเสแสร้งเฉกเดียวกัน ขณะกระซิบกลับ “ชิงเอ๋อร์คนดี ไม่ควรมารยาสาไถยเกินไป ประเดี๋ยวปากฉีกเลือดสาดไม่รู้ตัวนะ”“...!?” ว่านลู่ชิงตาโต สมองตื้อไปชั่วขณะ “จ่ะ เจ้า” โมโหก็โมโหแต่แปลกใจมากกว่า สวีหลิงเยี่ยนเปลี่ยนแปลงเกินไปแล้วนอกจากลุกขึ้นมาแต่งตัวสีสันฉูดฉาดยังไร้มารยาท พูดจาดุดัน แค่นางเปิดเผยเรื่องที่แอบคบหากับฉู่เฉิงเท่านั้น ทำสตรีปวกเปียกกลายเป็นแข็งกร้าวได้ปานนี้เชียวหรือ? เฮอะ! แต่ก็แน่ล่ะ ใต้หล้านี้มีสตรีใดบ้างเมื่อถูกแย่งชายในดวงใจจะไม่เสียสติไปน่ะหลิงเยี่ยนกลายเป็นหญิงบ้าที่ยังโง่อยู่ปะไร!ว่านลู่ชิงแสยะยิ้มไม
เสี่ยวปาไม่ล่วงรู้ นางเล่าต่ออย่างออกรสออกชาติว่า “ตอนแรกคุณหนูสวีไม่ยินยอม แต่พอคุณหนูว่านลู่ชิงผู้นั้นยกองค์ชายสี่มากล่าวอ้าง บอกว่าเป็นการฉุดองค์ชายสี่ให้เรียนช้าลงด้วย นางจึงยอมออกมาแต่โดยดีเพคะ ตอนนี้คงกำลังหาวิธีเข้าเรียนอยู่ แต่คงยังคิดไม่ออกนั่นเอง”ประโยคทั้งหมดของเสี่ยวปาทำจ้าวหมิงอวี่อึ้งงัน บอกไม่ถูกว่าควรต้องรู้สึกอย่างไร “เจ้ามานี่”เสี่ยวปาขยับเข้ามาตามเสียงสั่งทุ้มต่ำเย็นชานั้นชายหนุ่มล้วงกล่องใส่ตำราของตน “นำบทกวีเล่มนี้ไปให้นางท่องจำก็พอ บอกนางให้รีบกลับมาเรียนต่อทันที”เสี่ยวปารับไว้ “เพคะ”ตำราเล่มนี้เป็นบทกวีหนึ่งในหลายบทที่อาจารย์เฉาเรียบเรียงขึ้นมา แต่เป็นบทที่อีกฝ่ายโปรดปรานที่สุด ภาคภูมิใจที่สุด หากใครท่องได้ย่อมทำให้อาจารย์เฉาพึงใจจ้าวหมิงอวี่ส่งคนไปสืบจนทราบจึงท่องจำไว้ เขาคิดสงบศึกกับตาเฒ่าเฉาแล้ว วันนี้จึงคิดว่าจะเอาหน้าเสียหน่อยแต่ยามนี้จำต้องเปิดทางให้ผู้อื่นก่อนเมื่อชะตาพลิกผันมีปัญหาเข้ามามิหยุดหย่อน มีชีวิตไม่แน่นอน การเอาตัวรอดได้นั้นจำต้องมีสติปัญญาหลิ่งหลินยิ่งไม่เคยมีปัญหากับการต้องใช้สมองเท่าใด แต่ไหนแต่ไรนางก็เป็นคนเรียนรู้ได้เร็ว มีทักษะห
วันนี้หิมะยังคงตกลงมา อากาศเย็นยิ่งกว่าเมื่อวาน ส่วนตำราวิชาที่ต้องเรียนยังน่าเบื่อยิ่งกว่าเมื่อวานฟ่านเจินเดินเข้ามา “องค์ชาย ข้าสืบมาว่าวิชาเรียนปราชญ์อารยเช้านี้เป็นท่านอาจารย์เฉานะเพคะ”จ้าวหมิงอวี่นิ่วหน้าเล็กน้อยอาจารย์เฉาเป็นตาเฒ่าคร่ำครึที่บ้ากระดาษถึงขนาดชอบพิสูจน์ชนิดและเนื้อของกระดาษด้วยการใส่ปากเคี้ยว มักเป่าหูเขาตั้งแต่เด็กว่าเป็นโอรสขององค์จักรพรรดิต้องเก่งกาจด้านวรรณกรรม เรียบร้อยสำรวมถึงสง่างาม ตอนนั้นเขายังเยาว์จึงไม่เก็บอารมณ์ตวาดเถียงไปว่าเป็นองค์ชายต้ององอาจผึ่งผายตามไล่ล่าฆ่าศัตรูทุกคนให้ตายนับหมื่นแสนด้วยวิชาต่อสู้อันสูงส่งถึงจะถูก ตาเฒ่าเฉาไม่เห็นด้วยจึงลงโทษเขาโดยการเชิญออกไปนอกชั้นเรียน ให้กางแขนยืนขาเดียวกลางแดดแผดจ้าท่องบทกวีจนเย็นย่ำเขาที่มุทะลุบ้าระห่ำได้แต่จำใจทำตัวสงบเสงี่ยม อึดอัดแทบกระอักเลือด เพราะเสด็จพ่อส่งขันทีมาคุมด้วยส่วนบทกวีที่ต้องกัดฟันท่องจำเป็นบทที่ตาเฒ่าเฉาเป็นคนแต่ง เนื้อหาล้วนพรรณนาคล้ายยกยอปอปั้นตัวเอง เปรียบตนดุจปรมาจารย์เหนือปรมาจารย์ด้านวรรณกรรมคิดแล้วสีหน้าจ้าวหมิงอวี่ก็เผยความเอือมระอาคล้ายอยากอาเจียน บุรุษที่ชอบร่ำเรียนการ
“คุณหนูที่เจ้าว่าคงเป็นว่านลู่ชิงกระมัง”เสี่ยวปาเบิกตา “ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูสวีเพิ่งเข้ามาเรียน รู้ได้อย่างไร? แต่ช่างเถอะเจ้าค่ะ” เสี่ยวปาทำเสียงกระซิบขยิบตายุกยิกพูดต่อ “แต่หากคุณหนูสวีคิดว่าองค์ชายสี่จะหลงกลก็อย่าได้กังวล เพราะข้ารายงานพระองค์ทุกกิริยาตามความเป็นจริงทุกประการเจ้าค่ะ”“เจ้าถูกส่งไปจับตาดูว่านลู่ชิงหรือ?”“เปล่าเจ้าค่ะ ข้าแค่ไปคอยรับใช้ตามหน้าที่ชั่วคราวแทนนางกำนัลอีกคนที่ลาป่วย”“อ้อ...” หลิ่งหลินพลิกตัวห่มผ้าถึงคอหันหลังหนี “แต่กับข้า เจ้าถูกส่งมาจับตาดูโดยตรงกระมัง?”“หะ?” เสี่ยวปากะพริบตาปริบๆ “คุณหนูรู้หรือ?”หลิ่งหลินร้องเฮอะ “ปากเจ้าพูดไม่หยุด แต่ตาจ้องมองทุกอิริยาบถของข้าอย่างแน่วแน่ปานนั้น ขนาดยามนี้ยังนั่งเกาะขอบเตียงแน่น นับกระทั่งข้ากระพริบตากี่ครั้ง ไม่หลับไม่นอนหรือไร?”“...!?” “ไปเอาฟูกมานอนข้างเตียงข้าไป เฝ้าข้าใกล้ๆ นี่ล่ะ จะได้ไม่คลาดสายตา ดีหรือไม่?”เสี่ยวปายิ้มแห้ง “คุณหนู ข้าเองก็ไม่ได้อยากทำ ท่านก็แค่อย่าไปไหนไกลตา ข้าจะได้ไม่ลำบากใจเจ้าค่ะ”“นอนเถอะ ข้าไม่ไปที่ใดหรอก ง่วงจะตาย”“เจ้าค่ะๆ”เสี่ยวปารีบลุกขึ้นไปเปิดตู้หอบเครื่องนอนมาตามสั่ง หลังจา
หลิ่งหลินไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่บ่าวระดับล่างจะมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้านายชั้นสูงโดยไม่คิดเลื่อนฐานะตัวเองอีกอย่าง อาเป่าคงเป็นคนจำพวกเย่อหยิ่งเย็นชาและสมถะไม่สนฐานะทางสังคม ทุกคนย่อมมีเหตุผลแห่งตน ตัวอย่างมีให้เห็นเยอะแยะ เฒ่าทารกเครายาวที่วันๆ เอาแต่ร่ำสุราเมามายริมถนน ทำตัวเหมือนยาจกเร่ร่อนไร้หลัก ยังเป็นถึงผู้เยี่ยมยุทธไร้แซ่ไร้นามแต่ฝีมือเก่งกล้าสามารถเป็นที่เลื่องลือแต่จะว่าไปแล้ว จ้าวหมิงอวี่เองก็กำพร้ามารดานี่นา คงมีปมในใจเดียวกันกระมังถึงมิแบ่งแยกชนชั้น แบบนี้ล่ะ นางถึงชอบเขา คิดไปคิดมา หลิ่งหลินนึกตกใจตัวเองอ๊ะ! ข้ากำลังคิดอันใด? ไม่ใช่เสียหน่อย! ไม่ได้ชอบ!“ส่วนนางกำนัลชิงเอ๋อร์ จวนสกุลหูรังเกียจอย่างยิ่ง” เสี่ยวปาถูกส่งมาให้จับตาดูคุณหนูสกุลสวีทุกย่างก้าว แต่ด้วยนิสัยช่างจำนรรจาจึงพูดคุยไม่หยุดนางทำปากยื่นเล่าต่ออีกว่า “แม้จะรับเป็นอนุให้บุตรชายก็จริงแต่ก็ทำอย่างจำใจ ชีวิตนางหลังจากนี้ย่อมไม่ดี เห็นว่าตอนนี้นายท่านหูกับฮูหยินหูจ้างบรรดาแม่สื่อเฟ้นหาภรรยาคนใหม่ให้หูซั่วอย่างยากเย็นแสนเข็นจนเลือดตาแทบกระเด็น ไม่มีบ้านใดอยากให้บุตร