“ทำไมไม่ตายเสียล่ะ โผล่มาทำไม? ไสหัวไปซะ”
หลิ่งหลินถอนหายใจเบื่อ นางหยุดเดินถามเสียงนิ่ง “ครั้งที่แล้วสวีหลิงเยี่ยนขอโทษไปแล้วยังจะเอาอย่างไรอีก”
อวี้ซูเชิดหน้าถาม “แค่ขอโทษไม่พอกระมัง?”
ฟู่ชิงเสริม “เจ้าต้องหายตัวไปซะจึงจะดี”
กู้ซินว่าต่อ “รีบไสหัวกลับไปเลยนะ”
คนถูกไล่ทำหูทวนลม นางตั้งใจมาศึกษาร่ำเรียน ไม่ได้มาทะเลาะเบาะแว้งกับใคร
เป็นอย่างไรเล่า หลิ่งหลินในร่างใหม่ผู้นี้นิสัยดีมาก เปี่ยมเมตตายิ่ง รู้หรือไม่?
แน่นอนว่าคุณหนูทั้งสามมิได้รับรู้ถึงความเมตตานั้น พวกนางคิดเพียงว่าสวีหลิงเยี่ยนเพียงทำตัวสงบเสงี่ยมโง่เง่าน่ารำคาญเหมือนที่ผ่านมาจึงตามตอแยไม่เลิกรา
อวี้ซูเหยียดปากว่า “วันนี้ทำเป็นแต่งตัวสะสวย ทาแป้งแต้มชาดใส่ชุดสีแดง จงใจเลียนแบบท่านพี่ฟู่ชิงสินะ”
คุณหนูทั้งสาม ขึ้นชื่อเรื่องแต่งกายสีสันสดใสบาดตา โดดเด่นแต่ไกล คนหนึ่งชอบใส่สีเหลืองสด อีกคนสีเขียว ส่วนฟู่ชิงเป็นญาติผู้พี่ที่ชอบแต่งเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดที่สุด โดยเฉพาะสีแดง ใส่มาแทบทุกวัน
ดังนั้น การที่เห็นสวีหลิงเยี่ยนแต่งกายเหมือนกันคล้ายจงใจจริงๆ เช่นนั้นจึงหมั่นไส้ยิ่งกว่าเดิม
“ช่างบังอาจนักนะ” ฟู่ชิงตวาดอย่างหงุดหงิด
แต่หลิ่งหลินยังคงเมินเฉย
แล้วอย่างไร? ใครสน! นางเป็นคนที่ชอบสีสันสีสด ชอบหยดเลือด ชอบสีแดง เสื้อผ้าสีโลหิตยิ่งชมชอบนัก ชุดนี้ก็เพิ่งแวะซื้อที่ตลาดตอนเช้าเพื่อใส่มาเรียนวันแรกเชียวนะ
หญิงสาวเดินต่อ ไม่ใส่ใจว่าผู้ใดอยากรุมล้อม
ครั้นเห็นสตรีตรงหน้าไม่สะทกสะท้าน พวกนางยิ่งเพิ่มความชิงชัง โทสะพลันโหมกระพืออย่างรุนแรง เพียงแต่ยามนี้รอบด้านพวกนางเริ่มมีผู้คนเยอะขึ้นกว่าตอนแรกมาก เพราะใกล้เวลาเข้าเรียนแล้ว ผู้คนจึงหนาแน่น พวกเขากำลังเดินเข้าสำนักศึกษาอย่างคึกคัก
กู้ซินจึงหันมาจับแขนกับอวี้ซูและฟู่ชิงให้หยุดเดินก่อนกระซิบกระซาบกับพี่น้องของตน ให้ได้ยินกันแค่สามคน “พี่สาวทั้งสอง ด้านหลังสำนักศึกษามีป่าไผ่ เงียบเชียบยิ่ง”
อีกสองคนพลันมีดวงตาสว่างวาบ จากนั้นค่อยๆ เปลี่ยนท่าทีที่มีต่อสตรีโง่เขลา อวี้ซูเดินเข้าหาสวีหลิงเยี่ยน แย้มพรายอย่างชั่วร้าย
“หลิงเยี่ยน ข้าคิดว่าพวกเราควรไปคุยกันดีๆ ทางด้านนั้นดีกว่า พวกข้าจะช่วยเจ้าฝึกร่ายรำเพลงพิณเป็นไร ดีหรือไม่?” ว่าพลางพยักเพยิดใบหน้าใช้คางเชิดๆ ชี้ทางขณะตรงเข้ามากุมมือสวีหลิงเยี่ยนอย่างเป็นมิตร
โดยไม่รู้ตัวว่าผู้ถูกกุมมือซ่อนรอยยิ้มชั่วร้ายยิ่งกว่า เชิญตามสบาย รีบๆ เลยเถอะ อย่ามัวเห่าหอน...
[1]ประตูพระจันทร์(月门) ทางเปิดโล่งลักษณะวงกลม เชื่อมต่อจากผนังหรือกําแพงที่ล้อมรอบสวน ส่วนหนึ่งของสถาปัตยกรรมในสวนจีน
ป่าไผ่ด้านหลังสำนักศึกษาไม่ว่ามองไปทางใดล้วนเห็นแต่สีเขียวของลำปล้องไผ่ และพื้นดินที่เต็มไปด้วยใบไผ่แห้งเหี่ยวสีน้ำตาลหม่นกว้างไกลสุดสายตา ทั้งด้านซ้ายด้านขวายังคงไม่เห็นสิ่งใดแม้แค่มนุษย์สักคน“หลิงเยี่ยน เจ้ายืนรอตรงนี้ครู่หนึ่ง”กู้ซินแอบยิ้มร้าย จับแขนสวีหลิงเยี่ยนให้ยืนนิ่งๆ ตรงจุดที่ต้องการ จากนั้นเดินไปกับพี่สาวทั้งสองคนอีกทาง ในขณะที่หลิ่งหลินหยุดเดินและยืนนิ่งตามคำนั้น กู้ซินเหลือบตามองสวีหลิงเยี่ยนทางด้านหลังที่มีท่าทางใสซื่อโง่เขลาไร้ซึ่งอาการต่อต้านอื่นใดขณะหันมากระซิบกับฟู่ชิงและอวี้ซู วางแผนอย่างสนุกสนานว่า“พี่สองคนช่วยกันจับแขนจับขานังหลิงเยี่ยนนะ ส่วนข้าจะปิดปากปิดจมูกให้มันขาดอากาศหายใจสลบไสลสิ้นสติไปเลย”อวี้ซูปิดปากร้องโอ้ “รุนแรงจริงเชียว ข้าจับแขนนะ”ฟู่ชิงรีบเสริม “ข้าจับขาแล้วกัน หลังจากนั้นล่ะ”กู้ซินว่าต่อ “พอมันหมดสติก็ทิ้งไว้ในป่าไผ่เนี่ยแหละ กว่ามันจะฟื้นคงพลบค่ำ พอตื่นขึ้นมาคงตกใจจนเสียขวัญ หนีกลับบ้านไปเลย จะได้ไม่กล้าเสนอหน้ามาเข้าเรียนกับพวกเราอีก”อวี้ซูได้ฟังก็หัวเราะเบาๆ อย่างชอบใจ ในขณะที่ฟู่ชิงไม่เห็นด้วยเท่าใด “ไม่น่าจะดีหรอกนะ
“ทำไมไม่ตายเสียล่ะ โผล่มาทำไม? ไสหัวไปซะ”หลิ่งหลินถอนหายใจเบื่อ นางหยุดเดินถามเสียงนิ่ง “ครั้งที่แล้วสวีหลิงเยี่ยนขอโทษไปแล้วยังจะเอาอย่างไรอีก”อวี้ซูเชิดหน้าถาม “แค่ขอโทษไม่พอกระมัง?”ฟู่ชิงเสริม “เจ้าต้องหายตัวไปซะจึงจะดี”กู้ซินว่าต่อ “รีบไสหัวกลับไปเลยนะ”คนถูกไล่ทำหูทวนลม นางตั้งใจมาศึกษาร่ำเรียน ไม่ได้มาทะเลาะเบาะแว้งกับใคร เป็นอย่างไรเล่า หลิ่งหลินในร่างใหม่ผู้นี้นิสัยดีมาก เปี่ยมเมตตายิ่ง รู้หรือไม่?แน่นอนว่าคุณหนูทั้งสามมิได้รับรู้ถึงความเมตตานั้น พวกนางคิดเพียงว่าสวีหลิงเยี่ยนเพียงทำตัวสงบเสงี่ยมโง่เง่าน่ารำคาญเหมือนที่ผ่านมาจึงตามตอแยไม่เลิกราอวี้ซูเหยียดปากว่า “วันนี้ทำเป็นแต่งตัวสะสวย ทาแป้งแต้มชาดใส่ชุดสีแดง จงใจเลียนแบบท่านพี่ฟู่ชิงสินะ”คุณหนูทั้งสาม ขึ้นชื่อเรื่องแต่งกายสีสันสดใสบาดตา โดดเด่นแต่ไกล คนหนึ่งชอบใส่สีเหลืองสด อีกคนสีเขียว ส่วนฟู่ชิงเป็นญาติผู้พี่ที่ชอบแต่งเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดที่สุด โดยเฉพาะสีแดง ใส่มาแทบทุกวัน ดังนั้น การที่เห็นสวีหลิงเยี่ยนแต่งกายเหมือนกันคล้ายจงใจจริงๆ เช่นนั้นจึงหมั่นไส้ยิ่งกว่าเดิม“ช่างบังอาจนักนะ” ฟู่ชิงตวาดอย่างหงุดหงิดแต่หล
“เอาล่ะ! ข้าต้องไปแล้ว ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”ในศาลา เหยาซื่อยังคงนั่งมองตามแผ่นหลังเล็กๆ ของบุตรสาวอย่างเงียบงัน ดรุณีน้อยผู้นั้นเดินจากไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงพลังอำนาจบางอย่างจากวาจาอันแสนธรรมดา ใช่แล้ว สิ่งที่สวีหลิงเยี่ยนพูดนั้นถูกต้องทั้งหมด และเป็นสิ่งที่นางเองก็ขบคิดมานานแล้วแต่ไม่ลงมือเสียที อาจเพราะไม่มีความกล้ามากพอ แต่นับจากวันนี้...‘ต่อไปข้าจะช่วยท่านแม่เอง...’ประโยคยาวเหยียดทั้งหมดของบุตรสาว มีเพียงวาจาสั้นๆ เพียงแค่นี้เท่านั้น ที่สามารถปลุกความกล้าในใจทว่าจู่ๆ น้ำตาหยดหนึ่งพลันเอ่อล้นขึ้นมาตรงขอบตา เหยาซื่อรู้สึกโศกเศร้าอยู่ในอกลึกๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุสายลมพัดโชยเบาๆพากลีบดอกไม้เล็กๆที่หลุดจากขั้วม้วนตัวหมุนวนอยู่ด้านนอกศาลา พาความเย็นจัดชนิดหนึ่งผ่านวูบเข้าสู่ใบหน้าของผู้ที่นั่งอยู่ด้านในศาลาดวงตาเหยาซื่อสั่นไหวเล็กน้อย แม้รู้สึกดีที่บุตรสาวเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทว่า...นางกลับรู้สึกเหมือนตัวเองได้สูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตไปแล้ว ตลอดกาล...สำนักศึกษาชิ่นหลันหลิ่งหลินเดินเข้าประตูสำนักศึกษามาอย่างคุ้นเคยตามความทรงจำจากร่างเก่า พอเข้ามาถึงสวนหย่อมต้องเลี้ยวขวาผ
หลิ่งหลินรินชาให้ตัวเองขณะเอ่ย “ใช่แล้ว ข้าไม่ใช่คนเดิม ไม่ใช่เยี่ยนเอ๋อร์ของท่าน ที่วันๆ เอาแต่หดหัวตัวสั่น ยอมถูกอนุกับน้องชายต่างมารดาดูแคลนสารพัดไม่เว้นวัน บิดาไม่ใส่ใจก็แล้วไปเถิด ทว่าแม้แต่แม่ตัวเอง” แววตานางช้อนขึ้นเผยรอยเหยียดขณะมองเหยาซื่อ “ไม่ปกป้องลูกตนนั่นว่าแย่แล้ว ยังขับไล่ไสส่งเหมือนหมูสกปรกตัวหนึ่ง”ทั้งที่วันนั้นเป็นวันที่สวีหลิงเยี่ยนอ่อนแอจนถึงที่สุด ถูกชายคนรักกับสหายหักหลัง สหายร่วมเรียนชิงชังทั้งชั้น กลับบ้านยังเจอมารดาไล่ตะเพิดอีกหลิ่งหลินยกนิ้วเรียวขาวของร่างนี้ขึ้นลูบข้างแก้มตรงตำแหน่งที่มีแผลเป็นอ่อนจาง “รอยนี่เกิดจากถ้วยชาวันนั้น ท่านจำได้หรือไม่?”เหยาซื่อชะงัก ค่อยจำได้ว่าวันนั้นนางเขวี้ยงถ้วยชาใส่หน้าบุตรสาว หญิงวัยกลางคนให้รู้สึกผิดขึ้นมา“เยี่ยนเอ๋อร์ แม่...” คำขอโทษติดอยู่ที่ริมฝีปาก มิอาจกล่าวออกมา ด้วยไม่รู้ว่าต้องเอ่ยเช่นไร อาจเป็นเพราะเรื่องที่ทำมิใช่ครั้งแรกและครั้งเดียว ทุกครั้งที่ถูกสามีกับอนุผู้นั้นทำให้เจ็บช้ำน้ำใจจนโมโห นางมักระบายโทสะกับบุตรสาวตลอดนางอ่อนแอเกินไปหากเข้มแข็งกว่านี้จะดีสักเพียงใด เหยาซื่อกำมือที่สั่นเทา แววตาเศร้า
หลิ่งหลินหาวิธีกลับเข้าร่างเก่าไม่ได้ ทั้งยังไม่รู้ว่าจะเดินทางไปยังหุบเขาปีศาจอย่างไร มันตั้งอยู่ตรงไหน รู้เพียงมันเป็นเส้นทางลึกลับใจกลางหุบเขาวงกต ภายใต้เทือกเขาสูงชันสลับกับหน้าผาหินแกร่งที่ตั้งตระหง่านซับซ้อนเรียงรายสุดลูกหูลูกตา รอบทิศมีแต่สีเขียวอึมครึม แล้วอย่างไรอีกเล่า? ทุกครั้งที่คิดขึ้นมา นางมักปวดหัว นึกไม่ออก เหมือนน้ำในสระ พอแตะต้องความจำบางส่วนก็กระเพื่อมจนพร่าเบลอ คลับคล้ายสายตาที่เห็นดอกไม้ที่สวยสดงดงามแต่พอมันไหวเอนใต้น้ำกลับมองลวดลายของมันไม่ชัดเจนอาจเป็นเพราะความทรงจำสองร่างมารวมกันทำให้ความทรงจำบางส่วนโดนบดบังหรือสวรรคกลั่นแกล้งไม่ให้ข้าจำได้ ไม่ให้กลับสู่บ้าน ไม่ให้นางกลับไปบงการสมุนมารก่อกรรมทำเข็ญอันใดอีกโอ้! สวรรค์! ท่านควรรู้ไว้ คนที่นางไล่ล่าเข่นฆ่านั้น พวกมันสมควรตายปานใด แต่จะว่าไป นางก็ฆ่าคนเยอะจริงเฮ้อ!เพราะเป็นเช่นนี้ หลายสิ่งยิ่งมิอาจทำตามอำเภอใจเมื่ออาศัยในร่างผู้อื่นนั่นแล ยามนี้หลิ่งหลินจึงมีความคิดว่าใช้ชีวิตให้แนบเนียนเป็นปกติที่สุดไปก่อนทว่าคิดแล้วก็ให้รู้สึกไม่ยินยอม อาจเพราะเจ้าของร่างนี้ต้อยต่ำเกินไป ไร้อำนาจปราศจากบา
ยังไม่นับรวมการล้ำเส้นบังอาจอบรมบุตรีภรรยาเอก ผู้อื่นมีแต่ให้ภรรยาเอกช่วยสั่งสอนบุตรอนุ สามตำหนิไปถึงสวีจงสือ เรื่องตำแหน่งที่นั่ง เพราะยามนี้กัวเหมยนั่งใกล้นายท่านใหญ่สวี ในขณะที่ภรรยาเอกนั่งไกลปานนั้น อันที่จริงอนุภรรยามิอาจนั่งร่วมโต๊ะกับเหล่านายท่านนายหญิงด้วยซ้ำมิใช่หรือไร?นี่มันครอบครัวแบบใด?นั่นมิใช่เพียงความคิดของหลิ่งหลินแต่ยังส่งตรงไปถึงอู่ถังเชี่ยวผู้เป็นแขกในวันนี้ด้วยชายหนุ่มถึงขั้นมีสีหน้ากระอักกระอ่วนแล้ว เขาอยากขอปลีกตัวกลับก่อน แต่หาจังหวะเอ่ยแทรกไม่ได้ จึงเพียงมองคนนั้นทีคนนี้ทีและส่งเสียง “เอ่อ ข้า” ได้แค่นั้นกัวเหมยกับสวีหย่งกังแม่ลูกถึงกับบื้อใบ้ไปชั่วขณะด้วยไม่คิดว่าสวีหลิงเยี่ยนที่สงบปากเจียมตนมาแต่ไหนแต่ไรจะกล้าพูดจาสามหาวปานนี้ อันที่จริงพวกเขาไม่รู้แล้วว่านิสัยแท้จริงของนางเป็นเช่นไรในส่วนนี้สวีจงสือเองก็รู้สึกเช่นกัน เขาไม่เคยมองบุตรสาวคนนี้เต็มตา ทว่าเห็นทีวันนี้คงต้องมองนางใหม่ อีกทั้งยังต้องเข้มงวดให้มากขึ้นเสียแล้ว เขาแค่นเสียงเครียด “เจ้าลูกคนนี้ กล้าล่วงเกินผู้อาวุโส ช่างบังอาจนัก”แน่นอนว่าแม้แต่ฮูหยินยังมิอาจทำอันใดกัวเหมยได้ เพราะ